๓. เวนาคสูตร ว่าด้วยพระพุทธองค์ได้ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ๓ อย่าง
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 299
ทุติยปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๒
๓. เวนาคสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ได้ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ๓ อย่าง
จิตผ่องใสทําให้อินทรีย ์๕ ผ่องใส 315
พระพุทธเจ้าเข้าฌานเดินจงกรม 319
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 299
๓. เวนาคสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ได้ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่ ๓ อย่าง
[๕๐๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จจาริกไปในประเทศ โกศล พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเวนาคปุระ พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านเวนาคปุระได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดม พระโอรสกษัตริย์สักยะ ทรงผนวชจากตระกูลกษัตริย์สักยะ เสด็จถึงหมู่บ้านเวนาคปุระแล้ว ก็แลพระโคคมผู้เจริญนั้นมีพระเกียรติศัพท์อันดีฟุ้งเฟื่องไปอย่างนี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 300
อิติปิ โส ภควา แม้เพราะอย่างนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
อรหํ เป็นพระอรหันต์
สมฺมาสมฺพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว
โลกวิทู เป็นผู้รู้โลก
อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่พึงฝึกได้ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว
ภควา เป็นผู้มีโชค
โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงกระทำให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์แล้ว ทรงประกาศให้โลกนี้ กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก คือ ประชาชนรวมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดา และมนุษย์ ให้รู้ทั่ว
โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปุณฺณํ ปริสุทฺธํ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติ ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ สิ้นเชิง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 301
สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหติ ก็แลการได้พบเห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษเห็นปานนั้น ย่อมเป็นการดีแล
ครั้งนั้น พราหมณ์และคฤหบดีชาวบ้านเวนาคปุระ พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นไปถึงแล้ว บางพวกถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกแสดงความยินดีกับพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวถ้อยคำที่ทำให้เกิดความชื่นชมต่อกัน ให้ระลึกถึงกัน บางพวกประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า บางพวกร้องทูลชื่อและนามสกุล บางพวกนิ่ง (ไม่ทำอะไรทั้งนั้น) ต่างนั่งลง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง
พราหมณ์วัจฉโคตร ชาวบ้านเวนาคปุระ นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ พระโคดมผู้เจริญ ไม่เคยมี พระอินทรีย์ของพระโคดมผู้เจริญแจ่มใสยิ่งนัก พระฉวีวรรณบริสุทธิ์ผุดผ่องดังพุทราสุกในฤดูสารท ... ดังผลตาลสุกที่เพิ่งหลุดจากขั้ว (๑) ... ดังทองชมพูนท (๒) ที่บุตรช่างทองผู้มีฝีมือตกแต่งดีแล้ว ขัดอย่างดีแล้ววางไว้บนผ้าบัณฑุกัมพล สุกปลั่งอร่ามจ้าอยู่ฉะนั้น ... ข้าแต่พระโคคมผู้เจริญ อุจจาสยนะ (ที่นั่งที่นอนสูง) และมหาสยนะ (ที่นั่งที่นอนใหญ่) ทั้งหลาย คือ
อาสนฺทิ ม้าหรือเก้าอี้สำหรับนั่ง
ปลฺลงฺโก แท่นหรือเตียงมีรูปสัตว์ร้ายที่เท้า
(๑) เห็นจะหมายเอาตรงบริเวณขั้วเท่านั้น หรือมิฉะนั้นก็เนื้อใน
(๒) ชมพูนท ทองที่เกิดอยู่ตามแม่น้ำชมพูในอินเดีย แต่ครั้งกระโน้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 302
โคณโก เครื่องลาดทำด้วยขนแกะสีดำขนยาวมาก
จิตฺติกา เครื่องลาดทำด้วยขนแกะปักหรือทอเป็นลาย
ปฏิกา เครื่องลาดทำด้วยขนแกะสีขาว
ปฏลิกา เครื่องลาดทำด้วยขนแกะปักเป็นสัณฐานพวงดอกไม้
ตูลิกา ฟูกยัดนุ่นหรือสำลี
วิกติกา เครื่องลาดทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยรูปสีห์และเสือเป็นต้น
อุทฺธโลมิ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะมีขนตั้ง
เอกนฺตโลมิ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะมีขนล้มไปข้างเดียวกัน
กฏฺิสฺสํ เครื่องลาดทอด้วยด้ายทองแกมไหม
โกเสยฺยํ เครื่องลาดทอด้วยไหมล้วน
กุตฺตกํ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะ กว้างพอนางระบำยืนฟ้อนรำได้ ๑๖ คน
หตฺถตฺถรํ เครื่องลาดหลังช้าง
อสฺสตฺถรํ เครื่องลาดหลังม้า
รถตฺถรํ เครื่องลาดบนรถ
อชินปฺปเวณิ เครื่องลาดทำด้วยหนังอชิน (๑)
กาทลิมิคปวรปจฺจตฺถรณํ ที่นอนอย่างดีหุ้มด้วยหนังกทลิมฤค (๒)
สอุตฺตรจฺฉทํ ประกอบด้วยผ้าดาดเบื้องบน
อุภโตโลหิตกุปธานํ (๓) มีหมอนสีแดงสองข้าง
(๑) อชิน เคยแปลกันว่าเสือ ในคำมณิกัณฐนาคราชพ้อดาบสว่า กินฺเต อชินสาฎิยา แปลกันว่า "ประโยชน์อะไรของท่านด้วยผ้าหนังเสือ"
(๒) กทลิมฤค แปลว่า กวาง หรือชะมด
(๓) สองบทนี้ ลางทีท่านแยกออกเป็นประเภทหนึ่งๆ สอุตฺตรจฺฉทํ ได้แก่ ที่นอนมีเพดาน อุภโตโลหิตถุปธานํ ได้แก่ หมอนข้าง
เครื่องลาดเหล่านี้เกี่ยวด้วยวินัย ลางอย่างแก้ไขแล้วใช้ได้ก็มี ที่อนุญาตให้ใช้ในภายหลังก็มี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 303
อุจจาสยนมหาสยนะชนิดนี้ๆ พระโคดมผู้เจริญ เห็นจะมีอยู่พอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคืองเป็นแน่
พราหมณ์ อุจจาสยนมหาสยนะทั้งหลาย คือ ม้านั่งฯ ลฯ หมอนสีแดงสองข้าง อุจจาสยนมหาสยนะเหล่านั้น เป็นของหาได้ยากสำหรับบรรพชิต และได้มาก็ไม่ควร อุจจาสยนมหาสยนะ ๓ นี้สิ ที่เรามีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง อุจจาสยนมหาสยนะ ๓ คืออะไร คือ อุจจาสยนมหาสยนะทิพย์ อุจจาสยนมหาสยนะพรหม อุจจาสยนมหาสยนะอริยะ นี้แล พราหมณ์ อุจจาสยนมหาสยนะ ๓ ที่เรามีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อุจจาสยนมหาสยนะทิพย์ ที่พระโคดมผู้เจริญมีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง เป็นไฉน.
พราหมณ์ เราอาศัยหมู่บ้านหรือตำบลใด (เป็นที่โคจรบิณฑบาต) อยู่ ตอนเช้าเราครองสบงแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าสู่หมู่บ้านหรือตำบลนั้นเพื่อบิณฑบาต เวลาหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้วก็เข้าป่า สิ่งใดมีอยู่ในที่นั้น หญ้าหรือใบไม้ก็ตาม กวาดมันมารวมกันเข้า นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า เราสงัดจากกาม จากอกุศลกรรมทั้งหลาย เข้าปฐมฌานอันประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ฯลฯ เข้าจตุตถฌานไม่ทุกข์ไม่สุข มีความบริสุทธิ์ด้วยสติอันเกิดเพราะอุเบกขาอยู่ ดูก่อนพราหมณ์ เราเป็น (ผู้เข้าฌาน) อย่างนี้แล้ว ถ้าเราจงกรม ที่จงกรมในสมัยนั้น นั่นเป็นที่จงกรมทิพย์ของเรา ถ้าเรายืน ที่ยืนในคราวนั้น นั่นเป็นที่ยืนทิพย์ของเรา ถ้าเรานั่ง ที่นั่งในครั้งนั้น นั่นเป็นอาสนะทิพย์ของเรา ถ้าเรานอน ที่นอนในคราวนั้น นั่นเป็นอุจจาสยนมหาสยนะทิพย์ของเรา นี้แล พราหมณ์ อุจจาสยนมหาสยนะทิพย์ ซึ่งเรามีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคืองในบัดนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 304
น่าอัศจรรย์ พระโคดมผู้เจริญ ไม่เคยมี ... อันอุจจาสยนมหาสยนะทิพย์เช่นนี้ คนอื่นใครเล่าจักมีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง เว้นแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อุจจาสยนมหาสยนะพรหม ซึ่งพระโคดมผู้เจริญมีพอการ ฯลฯ ในบัดนี้เป็นไฉน.
พราหมณ์ เราอาศัยหมู่บ้านหรือตำบลใด (เป็นที่โคจรบิณฑบาต) อยู่ ฯลฯ ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า เรามีใจไปกับเมตตา ... กรุณา ... มุทิตา ... อุเบกขา แผ่ไปตลอด ๑ ทิศ ทิศที่ ๒ ... ทิศที่ ๓ ... ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น โดยวิธีนี้ เรามีใจไปกับเมตตา เป็นใจกว้างใหญ่ ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน แผ่ไปทั้งทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศขวาง ทุกทิศ เสมอทั่วหน้ากันหมดทั้งโลก ดูก่อนพราหมณ์ เราเป็น (ผู้มีใจอยู่ในพรหมวิหารภาวนา) อย่างนี้แล้ว ถ้าเราจงกรม ที่จงกรมในสมัยนั้น นั่นเป็นที่จงกรมพรหมของเรา ถ้าเรายืน ที่ยืนในคราวนั้น นั่นเป็นที่ยืนพรหมของเรา ถ้าเรานั่ง ที่นั่งในครั้งนั้น นั่นเป็นอาสนะพรหมของเรา ถ้าเรานอน ที่นอนในคราวนั้น นั่นเป็นอุจจาสยนมหาสยนะพรหมของเรา นี้แล พราหมณ์ อุจจาสยนมหาสยนะพรหม ซึ่งเรามีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง ในบัดนี้
น่าอัศจรรย์ พระโคคมผู้เจริญ ไม่เคยมี ... อันอุจจาสยนมหาสยนะพรหมเช่นนี้ คนอื่นใครเล่าจักมีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง เว้นแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็อุจจาสยนมหาสนะอริยะ ซึ่งพระโคดมผู้เจริญมีพอการ ฯลฯ ในบัดนี้เป็นไฉน.
พราหมณ์ เราอาศัยหมู่บ้านหรือตำบลใด (เป็นที่โคจรบิณฑบาต) อยู่ ฯลฯ ดำรงสติไว้จำเพาะหน้า เรารู้ทั่วอย่างนี้ว่า ราคะเราละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว ทำให้เหมือนตอตาลแล้ว ทำให้ไม่มีในภายหลังแล้ว มีอัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 305
ไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา โทสะเราละแล้ว ฯลฯ มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา โมหะเราละแล้ว ฯลฯ มีอันไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูก่อนพราหมณ์ เราเป็น (ผู้รู้ทั่วถึง) อย่างนี้แล้ว ถ้าเราจงกรม ที่จงกรมในสมัยนั้น นั่นเป็นที่จงกรมอริยะของเรา ถ้าเรายืน ที่ยืนในคราวนั้น นั่นเป็นที่ยืนอริยะของเรา ถ้าเรานั่ง ที่นั่งในครั้งนั้น นั่นเป็นอาสนะอริยะของเรา ถ้าเรานอน ที่นอนในคราวนั้น นั่นเป็นอุจจาสยนมหาสยนะของเรา นี้แลพราหมณ์ อุจจาสยนมหาสยนะอริยะ ซึ่งเรามีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคืองในบัดนี้
น่าอัศจรรย์ พระโคดมผู้เจริญ ไม่เคยมี ... อันอุจจาสยนมหาสยนะอริยะเช่นนี้ คนอื่นใครเล่าจักมีพอการ หาได้ไม่ยาก ได้อย่างไม่ฝืดเคือง เว้นแต่พระโคดมผู้เจริญ ดีจริงๆ พระโคดมผู้เจริญ ฯลฯ ขอพระโคดมผู้เจริญ ทรงจำข้าพระองค์ทั้งหลายไว้ว่าเป็นอุบาสกถึงสรณะแล้ว ตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้ไป.
จบเวนาคสูตรที่ ๓
อรรถกถาเวนาคสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในเวนาคสูตรที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-
จาริกมี ๒ อย่าง
บทว่า โกสเลสุ ได้แก่ ในชนบทที่มีชื่ออย่างนั้น. บทว่า จาริกํ จรมาโน ได้แก่ (พระผู้มีพระภาคเจ้า) เสด็จพุทธะดำเนินไปสู่ทางไกล. ธรรมดาว่า การเสด็จจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีอยู่ ๒ อย่างคือ การเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน ๑ การเสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วน ๑. บรรดาการ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 306
เสด็จจาริก ๒ อย่างนั้น การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นบุคคลผู้ควรจะแนะนำให้รู้ได้แม้ในที่ไกลแล้ว ด่วนเสด็จไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะสอนบุคคลนั้นให้รู้ ชื่อว่า การเสด็จจาริกอย่างรีบด่วน. การเสด็จจาริกอย่างรีบด่วนนั้น พึงเห็นในเวลาที่เสด็จไปต้อนรับพระมหากัสสปะเป็นต้น. ส่วนการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอนุเคราะห์โลกด้วยพุทธกิจ มีการเที่ยวบิณฑบาตเป็นต้น เสด็จไปตามลำดับหมู่บ้านวันละหนึ่งโยชน์ สองโยชน์ ชื่อว่า การเสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วน. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาการเสด็จจาริกอย่างไม่รีบด่วนนี้ จึงตรัสคำนี้ว่า จาริกญฺจรมาโน. ก็กถาว่าด้วยการเสด็จจาริก ได้กล่าวไว้แล้วโดยพิสดารในอัมพัฏฐสุตตวรรณนา ในอรรถกถาทีฆนิกาย ชื่อสุมังคลวิลาสินี.
บ้านพราหมณ์
บทว่า พฺราหฺมณคาโม ความว่า หมู่บ้านที่พราหมณ์ทั้งหลายมาสโมสรกันก็ดี หมู่บ้านที่พราหมณ์ทั้งหลายมาบริโภคก็ดี เรียกว่า หมู่บ้านพราหมณ์ (ทั้งนั้น). ในที่นี้ หมู่บ้านที่พราหมณ์ทั้งหลายมาสโมสรกัน ประสงค์เอาว่าเป็นหมู่บ้านพราหมณ์. บทว่า ตทวสริ คือ เสด็จไปในหมู่บ้านพราหมณ์นั้น อธิบายว่า เสด็จถึงแล้ว. ส่วนการประทับอยู่มิได้กำหนดไว้ในที่นี้. เหตุนั้นจึงควรทราบว่า ในที่ไม่ไกลหมู่บ้านพราหมณ์นั้น มีไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง ซึ่งสมควรแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระศาสดาเสด็จไปยังไพรสณฑ์นั้น.
บทว่า อสฺโสสุํ ความว่า (พราหมณคหบดีทั้งหลาย) ฟัง คือ ได้เข้าไป ได้แก่ ทราบตามกระแสเสียงที่เปล่งออกเป็นคำพูดที่ถึงโสตทวาร. ศัพท์ว่า โข เป็นนิบาตใช้ในความหมายแห่งอวธารณะ (ห้ามความอื่น) หรือใน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 307
ความหมายเพียงทำบทให้เต็ม. บรรดาความหมาย ๒ อย่างนั้น ด้วยความหมายแห่งอวธารณะ พึงทราบเนื้อความดังนี้ว่า พราหมณคหบดีทั้งหลายได้ยินแล้วทีเดียว พราหมณคหบดีเหล่านั้นมิได้มีอันตรายแห่งการฟังอะไรเลย. และในการทำบทให้เต็ม (ปทปูรณะ) พึงทราบแต่เพียงว่า เป็นความสละสลวยแห่งพยัญชนะเท่านั้น.
ความหมายของสมณะ
บัดนี้ เพื่อจะประกาศเนื้อความที่พราหมณคหบดีทั้งหลายได้ฟังแล้ว พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวคำว่า สมโณ ขลุ โภ โคตโม เป็นต้นไว้. ในบทเหล่านั้น พึงทราบความว่า บุคคลชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะมีบาปอันสงบแล้ว. ศัพท์ว่า ขลุ เป็นนิบาตใช้ในความหมายว่า ได้ฟังสืบๆ มา. บทว่า โภ เป็นเพียงพราหมณคหบดีเหล่านั้นร้องเรียกกันและกัน. บทว่า โคตโม เป็นบทแสดงถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอำนาจโคตร. เหตุนั้น ในบทว่า สมโณ ขลุ โภ โคตโม นี้ พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า พระสมณะผู้โคตมโคตร. ส่วนบทว่า สกฺยปุตฺโต นี้ เป็นบทแสดงถึงตระกูลอันสูงส่งของพระผู้มีพระภาคเจ้า. บทว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต เป็นบทแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผนวชด้วยศรัทธา. มีคำอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ถูกความเสื่อมอะไรเลยครอบงำ ทรงละตระกูลนั้นที่ยังไม่เสื่อมสิ้นเลย ทรงผนวชด้วยศรัทธา.
บทว่า ตํ โข ปน เป็นทุติยาวิภัติใช้ในความหมายบ่งบอกว่า เป็นอย่างนี้. อธิบายว่า ก็ของพระโคดมผู้เจริญนั้นแล. บทว่า กลฺยาโณ ได้แก่ ประกอบด้วยคุณอันงาม มีคำอธิบายว่า ประเสริฐที่สุด. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 308
กิตฺติสทฺโท ได้แก่ เกียรตินั่นเอง หรือเสียงชมเชย. บทว่า อพฺภุคฺคโต ได้แก่ ระบือไปถึงเทวโลก. ถามว่า กิตติศัพท์ระบือไปอย่างไร. ตอบว่า ระบือไปว่า อิติปิ โส ภควาฯ เปฯ พุทฺโธ ภควา. ในพระบาลีนั้น มีบทสัมพันธ์ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เพราะเหตุนี้ ฯลฯ เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เพราะเหตุนี้. มีคำอธิบายว่า เพราะเหตุนี้ด้วย เพราะเหตุนี้ด้วย. ในพระพุทธคุณนั้น ท่านตั้งมาติกาไว้โดยนัยเป็นต้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นพึงทราบว่า เป็นพระอรหันต์ ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ
๑. เพราะเป็นผู้ไกล (จากกิเลส)
๒. เพราะทรงทำลายข้าศึกทั้งหลาย
๓. เพราะทรงหักซี่กำทั้งหลาย
๔. เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น
๕. เพราะไม่มีความลับในการทำบาป
ดังนี้ แล้วขยายบทเหล่านี้ทุกบททีเดียวให้พิสดารในพุทธานุสสตินิเทศ ในปกรณ์พิเศษชื่อวิสุทธิมรรค. นักศึกษาพึงถือเอาความพิสดารของบทเหล่านั้นจากปกรณ์พิเศษ ชื่อวิสุทธิมรรคนั้นเทอญ.
บทว่า โส อิมํ โลกํ ความว่า พระโคดมผู้เจริญนั้น ... โลกนี้. ต่อไปนี้ จะแสดงคำที่จะพึงกล่าว. บทว่า สเทวกํ ได้แก่ (สัตว์โลก) พร้อมทั้งเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่า สเทวกะ (สัตว์โลก) พร้อมทั้งมารอย่างนี้ ชื่อว่า สมารกะ (สัตว์โลก) พร้อมทั้งพรหม ชื่อว่า สพรหมกะ หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ชื่อว่าสัสสมณพราหมณี หมู่สัตว์ที่ชื่อว่าปชา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 309
เพราะมีตัวตนเกิดจากน้ำ ซึ่งปชานั้น ปชาพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายชื่อว่า สเทวมนุสสะ. บรรดาคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า สเทวกะ พึงทราบว่า มุ่งถึงเทวดาชั้นกามาจร ๕ ชั้น ด้วยคำว่า สมารกะ พึงทราบว่า มุ่งถึงเทวดาชั้นกามาวจรชั้นที่ ๖. ด้วยคำว่า สพรหมกะ พึงทราบว่า มุ่งถึงพรหม. ด้วยคำว่า สัสสมณพรามณี พึงทราบว่า มุ่งถึงสมณพราหมณ์ผู้เป็นข้าศึกศัตรูต่อพระศาสนา และมุ่งถึงสมณพราหมณ์ผู้มีบาปอันสงบแล้ว ผู้ลอยบาปแล้ว. ด้วยคำว่า ปชา พึงทราบว่า มุ่งถึงสัตว์โลก. ด้วยคำว่า สเทวมนุสสะ พึงทราบว่า มุ่งถึงสมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือ. ในที่นี้ สัตว์โลกพร้อมทั้งโอกาสโลก พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้วด้วย ๓ บท สัตว์โลกคือหมู่สัตว์ พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้วด้วย ๒ บท ดังพรรณนามาฉะนี้.
อีกนัยหนึ่ง โลกชั้นอรูปาวจร ท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า สเทวกะ เทวโลกชั้นกามาวจร ๖ ชั้น ท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า สมารกะ โลกของรูปพรหม ท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า สพรหมกะ มนุษยโลกพร้อมทั้งบริษัท ๔ หรือสมมติเทพ หรือสัตว์โลกทั้งหมดที่เหลือ ท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า สัสสมณพราหมณะ เป็นต้น. ฝ่ายพระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า บทว่า สเทวกํ ได้แก่ โลกที่เหลือพร้อมทั้งเทวดาทั้งหลาย. บทว่า สมารกํ ได้แก่ โลกที่เหลือพร้อมทั้งมาร. บทว่า สพฺรหฺมกํ ได้แก่ โลกที่เหลือพร้อมทั้งพรหม. เพื่อจะประมวลสัตว์ที่เข้าถึงภพ ๓ ทั้งหมดไว้ใน ๓ บท ด้วยอาการ ๓ แล้วกำหนดถือเอาอีกด้วย ๒ บท ท่านจึงกล่าวว่า สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ ดังพรรณนามานี้. ท่านกำหนดถือเอาธาตุ ๓ นั่นแล โดยอาการนั้นๆ ด้วยบท ๕ อย่างนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 310
บทว่า สยํ ในคำว่า สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ มีความว่า ด้วยพระองค์เอง คือ ไม่มีคนอื่นแนะนำ. บทว่า อภิญฺา แปลว่า ด้วยอภิญญา อธิบายว่า ทรงรู้ด้วยพระญาณอันยิ่ง. บทว่า สฺจฉิกตฺวา คือ ทรงทำให้ประจักษ์ชัด. ท่านทำการปฏิเสธการคาดคะเนเป็นต้น ด้วยบทว่า สจฺฉิกตฺวา นั้น. บทว่า ปเวเทติ คือ ทรงให้รู้ ได้แก่ ทรงให้ทราบ คือ ทรงประกาศ.
เบื้องต้น - ท่ามกลาง - ที่สุด
บทว่า โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ ฯลฯ ปริโยสานกลฺยาณํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงอาศัยพระกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ถึงจะทรงงด (พระธรรมเทศนาไว้ชั่วคราว) แล้วทรงแสดงความสุขอันเกิดจากวิเวกอย่างยอดเยี่ยม. (๑) ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความสุขอันเกิดจากวิเวกนั้นน้อยบ้างมากบ้าง ก็ทรงแสดงเฉพาะประการที่มีความงามในเบื้องต้นเป็นต้นเท่านั้น มีคำอธิบายว่า ทรงแสดงทำให้งาม คือ ดี ได้แก่ ไม่ให้มีโทษเลยทั้งในเบื้องต้น ทรงแสดงทำให้งาม คือ ดี ได้แก่ ไม่ให้มีโทษเลยทั้งในท่ามกลาง ทั้งในที่สุด. ในข้อนั้นมีอธิบายว่า เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของเทศนามีอยู่ เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของศาสนา (คำสอน) ก็มีอยู่.
สำหรับเทศนาก่อน ในคาถา ๔ บท บทที่ ๑ ชื่อว่าเป็นเบื้องต้น สองบทจากนั้น ชื่อว่าเป็นท่ามกลาง บาทเดียวในตอนท้าย ชื่อว่าเป็นที่สุด.
(๑) ปาฐะว่า หิตฺวาปิ อนุตฺตรํ วิเวกสุขํ เทเสติ ฎีกาจารย์ได้ขยายความออกไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังทรงแสดงธรรม ขณะที่บริษัทให้สาธุการ หรือพิจารณาธรรมตามที่ได้ฟังแล้ว จะทรงงดแสดงธรรมชั้นต้นไว้ชั่วคราวก่อน ทรงเข้าผลสมาบัติ และทรงออกจากสมาบัติตามที่ทรงกำหนดไว้แล้ว จึงจะทรงแสดงธรรมต่อจากที่ได้หยุดพักไว้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 311
สำหรับพระสูตรที่มีอนุสนธิเดียว คำขึ้นต้นเป็นเบื้องต้น คำลงท้ายว่า อิทมโวจ เป็นที่สุด ระหว่างคำขึ้นต้นและคำลงท้ายทั้งสองเป็นท่ามกลาง. สำหรับพระสูตรหลายอนุสนธิ อนุสนธิแรกเป็นเบื้องต้น อนุสนธิสุดท้ายเป็นที่สุด อนุสนธิเดียวบ้าง สองอนุสนธิบ้าง อนุสนธิมาก (กว่า ๑ หรือ ๒) บ้าง ในตอนกลางเป็นท่ามกลางทั้งหมด.
สำหรับศาสนา (คำสอน) ศีล สมาธิ และวิปัสสนา ชื่อว่าเป็นเบื้องต้น. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ก็อะไรเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ศีลที่บริสุทธิ์ดี และทิฏฐิที่ตรง (สัมมาทิฏฐิ) เป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายเป็นต้นดังนี้. ส่วนอริยมรรคที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคตตรัสรู้แล้วมีอยู่ ดังนี้ ชื่อว่าเป็นท่ามกลาง ผลและนิพพาน ชื่อว่าเป็นที่สุด. ผล ท่านกล่าวว่าเป็นที่สุดในประโยคนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ นั่นเป็นฝั่ง นั่นเป็นที่สุด. นิพพาน ท่านกล่าวว่าเป็นที่สุดในประโยคนี้ว่า ดูก่อนวิสาขะผู้มีอายุ ท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่หยั่งลงในนิพพาน มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า มีนิพพานเป็นที่สุด.
ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดของเทศนา. เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงศีลในเบื้องต้น ทรงแสดงมรรคในท่ามกลาง แล้วทรงแสดงนิพพานในที่สุด. ด้วยเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง (และ) งามในที่สุด. เพราะเหตุนั้น พระธรรมกถึกแม้รูปอื่นๆ เมื่อจะกล่าวธรรม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 312
ก็พึงแสดงศีลในเบื้องต้น พึงแสดงมรรคในท่ามกลาง พึงแสดงนิพพานในที่สุด นี้ชื่อว่าเป็นหลักที่ดีของพระธรรมกถึก.
บทว่า สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ความว่า ก็เทศนาของพระธรรมกถึกรูปใด อาศัยการพรรณนาถึงข้าวต้ม ข้าวสวย หญิงและชายเป็นต้น (อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุจูงใจจึงแสดง) พระธรรมกถึกนั้น ไม่ชื่อว่าแสดงธรรมที่พรั่งพร้อมไปด้วยอรรถ (ประโยชน์) แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละเทศนาเห็นปานนั้นเสีย ทรงแสดงเทศนาที่อาศัยสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ทรงแสดงธรรมที่พรั่งพร้อมด้วยอรรถ (ประโยชน์). ส่วนเทศนาของพระธรรมกถึกรูปใด ประกอบไปด้วยพยัญชนะประการเดียวเป็นต้นบ้าง มีพยัญชนะหายไปทุกตัวบ้าง ทิ้งพยัญชนะทั้งหมดและนิคหิตเป็นพยัญชนะไปหมดบ้าง เทศนาของพระธรรมกถึกรูปนั้นชื่อว่าไม่มีพยัญชนะ เพราะมีพยัญชนะไม่ครบเหมือนภาษาของพวกชาวป่า มีชาวทมิฬ ชาวกิรายตกะ และชาวโยนกเป็นต้น. แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม กระทำพยัญชนะให้บริบูรณ์ ไม่ทรงลบล้างพยัญชนะทั้ง ๑๐ ชนิดที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า
ความรู้เรื่องพยัญชนะมี ๑๐ ประการ คือ สิถิล ๑ ธนิต ๑ ทีฆะ ๑ รัสสะ ๑ ลหุ ๑ ครุ ๑ นิคหิต ๑ สัมพันธ์ ๑ ววัฎิตะ ๑ วิมุตตะ ๑
เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ทรงแสดงธรรมพรั่งพร้อมไปด้วยพยัญชนะ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 313
คำว่า เกวลํ ในบทว่า เกวลปริปุณฺณํ นี้ เป็นคำใช้แทนคำว่า สกลํ หมายถึงทั้งหมด. บทว่า ปริปุณฺณํ หมายถึงไม่ขาดไม่เกิน. มีคำอธิบายดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมบริบูรณ์ทั้งหมดทีเดียว แม้เทศนาเรื่องเดียวที่ไม่บริบูรณ์ก็ไม่มี. บทว่า ปริสุทฺธํ ได้แก่ ไม่มีอุปกิเลส. อธิบายว่า พระธรรมกถึกรูปใดแสดงธรรมด้วยหวังว่า เราจักได้ลาภหรือสักการะเพราะอาศัยธรรมเทศนานี้ เทศนาของพระธรรมกถึกรูปนั้น ชื่อว่าไม่บริสุทธิ์. แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงมุ่งหวังโลกามิส ทรงมีพระทัยอ่อนโยนด้วยการแผ่ประโยชน์เกื้อกูล ด้วยการเจริญเมตตา ทรงแสดงธรรมด้วยพระทัยที่ดำรงอยู่ในการยกย่อง เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ทรงแสดงธรรมบริสุทธิ์. บทว่า พฺรหฺมจริยํ. ในคำว่า พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติ นี้ ได้แก่ ศาสนา (คำสอน) ทั้งหมดที่สงเคราะห์ลงในไตรสิกขา เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า ทรงประกาศพรหมจรรย์.
พึงเห็นเนื้อความในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น ฯลฯ บริสุทธิ์ และเมื่อทรงแสดงอย่างนี้ ชื่อว่าทรงประกาศศาสนพรหมจรรย์ทั้งสิ้นที่สงเคราะห์ลงในไตรสิกขา. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ความว่า จริยาที่ชื่อว่าเป็นพรหม เพราะหมายความว่าประเสริฐที่สุด อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า จริยาของท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ชื่อว่าพรหมจรรย์.
บทว่า สาธุ โข ปน ความว่า ก็แล การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเป็นของดี. มีคำอธิบายว่า นำประโยชน์มาให้ นำความสุขมาให้. บทว่า ตถารูปานํ อรหตํ ความว่า พระอรหันต์ทั้งหลาย เช่น พระโคดมผู้เจริญ เป็นบุคคลที่เห็นได้โดยยาก โดยใช้เวลานานถึงหลายแสนโกฏิกัปป์ (จึงจะได้เห็น) มีสรีระดึงดูดใจ แพรวพราวด้วยมหาปุริสลักษณะอันงามเลิศ ๓๒ ประการ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 314
ประดับประดาด้วยรัตนะ คือ อนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แวดวงด้วยพระรัศมีที่แผ่ซ่านออกไปประมาณหนึ่งวา น่าทัศนาไม่น้อย มีกระแสเสียงแสดงธรรมไพเราะยิ่งนัก ได้เสียงเรียกขาน (นาม) ว่า เป็นพระอรหันต์ในโลก เพราะได้บรรลุคุณตามเป็นจริง. บทว่า ทสฺสนํ โหติ ความว่า แม้เพียงลืมนัยน์ตาที่เป็นประกายด้วยความเลื่อมใสเป็นต้นขึ้นดูก็ยังเป็นการดี เพราะทำอัธยาศัยอย่างนี้ว่า ก็ถ้าว่า เมื่อพระพุทธเจ้า เช่น พระโคดมผู้เจริญ แสดงธรรมอยู่ด้วยพระสุรเสียงดุจเสียงพรหมซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ เราทั้งหลายจักได้ฟังสักบทหนึ่งไซร้ ก็จักเป็นการดียิ่งขึ้นไปอีกทีเดียว.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมึสุ ความว่า ชาวเวนาคปุระทั้งหลาย ละทิ้งการงานทุกอย่าง มีใจยินดี. ในบทว่า อญฺชลิมฺปณาเมตฺวา นี้ มีอธิบายว่า ชนเหล่าใดเข้ากันได้กับทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งฝ่ายสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ ชนเหล่านั้นคิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวกมิจฉาทิฏฐิจักทักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงกราบพระสมณโคดม เราทั้งหลายจักตอบพวกมิจฉาทิฏฐินั้นว่า แม้ด้วยเหตุเพียงทำอัญชลี ก็จัดเป็นการกราบด้วยหรือ? ถ้าพวกสัมมาทิฏฐิจักท้วงพวกเราว่า เพราะเหตุไร ท่านทั้งหลายจึงไม่กราบพระผู้มีพระภาคเจ้า เราทั้งหลายจักตอบว่า เพราะศีรษะกระทบพื้นดินเท่านั้นหรือจึงจัดเป็นการกราบ แม้การประนมมือก็ถือเป็นการกราบเหมือนกันมิใช่หรือ?
ประกาศชื่อและโคตร
บทว่า นามโคตฺตํ ความว่า ชาวเวนาคปุระทั้งหลายเมื่อกล่าวว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าชื่อทัตตะ เป็นบุตรของคนโน้น ชื่อมิตตะ เป็น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 315
บุตรของคนโน้น มาในที่นี้ ดังนี้ ชื่อว่าประกาศชื่อ เมื่อกล่าวว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าชื่อวาเสฏฐะ ข้าพเจ้าชื่อกัจจายนะ มาในที่นี้ ดังนี้ ชื่อว่าประกาศโคตร.
เล่ากันว่า ชาวเวนาคปุระเหล่านั้นยากจน เป็นคนแก่ ทำอย่างนั้นก็ด้วยหวังว่า เราทั้งหลายจักปรากฏด้วยอำนาจชื่อและโคตรในท่ามกลางบริษัท. ก็แล ชาวเวนาคปุระเหล่าใดนั่งนิ่ง ชาวเวนาคปุระเหล่านั้นเป็นคนตระหนี่ เป็นคนโง่. บรรดาชนเหล่านั้น พวกที่ตระหนี่คิดว่า เมื่อเราทำการสนทนาปราศรัยคำหนึ่ง สองคำ พระสมณโคดมก็จะคุ้นเคยด้วย เมื่อมีความคุ้นเคย จะไม่ให้ภิกษาหนึ่ง สองทัพพี ก็จะไม่เหมาะ ดังนี้ เมื่อจะปลีกตัวจากการสนทนาปราศรัยนั้นจึงนั่งนิ่ง. พวกคนโง่นั่งนิ่งอยู่ในที่แห่งหนึ่งเหมือนก้อนดินที่ขว้างลง เพราะความที่ตนเป็นคนไม่รู้. บทว่า เวนาคปุริโก ได้แก่ ชาวเมืองเวนาคบุรี. บทว่า เอตทโวจ ความว่า ชาวเมืองเวนาคบุรีมองดูพระสรีระของพระตถาคตเจ้า ตั้งแต่ปลายพระบาทขึ้นไปจนถึงปลายพระเกศา ก็เห็นพระสรีระของพระตถาคตเจ้าประดับประดาด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งรุ่งเรืองด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ แวดล้อมด้วยพระพุทธรัศมีสีเข้ม ๖ สี ซึ่งเปล่งออกจากพระสรีระไปครอบคลุมประเทศโดยรอบได้ ๘๐ ศอก จึงเกิดความพิศวงงงงวย เมื่อจะกล่าวสรรเสริญคุณ จึงได้กล่าวอย่างนี้ คือ ได้กล่าวคำมีอาทิว่า อจฺฉริยํ โภ โคตม.
จิตผ่องใสทำให้อินทรีย์ ๕ ผ่องใส
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวญฺจิทํ นี้ เป็นคำบ่งถึงการกำหนดมีประมาณยิ่ง. บทว่า ยาวญฺจิทํ นั้น สัมพันธ์เข้ากับบทว่า วิปฺปสนฺนํ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 316
และ (อินทรีย์ทั้งหลาย) ผ่องใสเพียงใด ชื่อว่าผ่องใสอย่างยิ่ง อธิบายว่า ผ่องใสยิ่งนัก. บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๖ มีจักษุเป็นต้น ก็ความที่อินทรีย์ ๖ นั้นผ่องใสได้ปรากฏแล้วแก่พราหมณ์วัจฉโคตร เพราะได้เห็น ความที่โอกาสที่อินทรีย์ ๕ ตั้งอยู่ผ่องใส ก็เพราะเหตุที่ความผ่องใสนั้น ย่อมผ่องใสที่ใจนั่นเอง เพราะสำหรับบุคคลผู้มีจิตไม่ผ่องใส ก็จะมีอินทรีย์ไม่ผ่องใส ฉะนั้น แม้ความผ่องใสแห่งมนินทรีย์ก็ได้ปรากฏแก่พราหมณ์วัจฉโคตรนั้น. พราหมณ์วัจฉโคตรมุ่งเอาความที่อินทรีย์ ๖ ผ่องใสอย่างนี้นั้น จึงกล่าวว่า วิปฺปสนฺนานิ อินฺทฺริยานิ.
บทว่า ปริสุทฺโธ ได้แก่ ไม่มีมลทิน. บทว่า ปริโยทาโต ได้แก่ ผุดผ่อง. บทว่า สารทํ พทรปณฺฑุํ ได้แก่ ผลพุทราสุกเต็มที่ซึ่งเกิดในสรทกาล. แท้จริง ผลพุทราสุกจัดนั้น มีทั้งใส ทั้งผุดผ่อง. บทว่า ตาลปกฺกํ ได้แก่ ผลตาลสุกจัด. บทว่า สมฺปติ พนฺธนา ปมุตฺตํ ได้แก่ หลุดจากขั้วในขณะนั้นนั่นเอง. อธิบายว่า เนื้อที่เพียง ๔ องคุลีของผลตาลสุกนั้น ที่บุคคลปลิดออกจากขั้วทะลาย แล้วหงายหน้าขึ้นวางไว้บนแผ่นกระดาน ย่อมปรากฏเป็นสีสดใสผุดผ่องแก่บุคคลผู้แลดู. พราหมณ์วัจฉโคตรหมายเอาผลตาลสุกนั้นแล จึงกล่าวอย่างนี้.
บทว่า เนกฺขํ ชมฺโพนทํ ได้แก่ แท่งทองชมพูนุทซึ่งมีสีแดงกล่ำ. บทว่า ทกฺขกมฺมารปุตฺตสุปริกมฺมกตํ ได้แก่ อันบุตรนายช่างทองผู้ฉลาดตกแต่งไว้ดีแล้ว. บทว่า อุกฺกามุเข สุกุลสมฺปหฏฺํ ความว่า ทองชมพูนุท อันนายช่างทองผู้มีฝีมือ หลอมในเตาของนายช่างทองแล้วขัดอย่างดี ด้วยการตี การรีด และการบุนวด อธิบายว่า ขัดนวดให้ได้ที่ด้วยดี. บทว่า ปณฺฑุกมฺพเล นิกฺขิตฺตํ ความว่า อันนายช่างทองผู้มีฝีมือ ใช้ไฟลน ขัดถูด้วยเขี้ยวเสือ-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 317
เหลือง เอายางไม้ทา แล้ววางไว้บนผ้ากัมพลสีแดง. บทว่า ภาลเต ได้แก่ เปล่งแสงเพราะมีแสงเกิดเอง. บทว่า ตปเต ได้แก่ ส่องสว่าง เพราะกำจัดความมืด. บทว่า วิโรจติ ได้แก่ แผ่ไพโรจน์โชติช่วง อธิบายว่า สง่างาม.
ในบทว่า อุจฺจาสยนมหาสยนานิ นี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ที่นอน (สูง) เกินขนาด ชื่อว่าที่นอนสูง. ที่นอนที่เป็นอกัปปิยภัณฑ์ (ของที่ไม่ควรแก่สมณะ) ทั้งยาวและกว้าง ชื่อว่าที่นอนใหญ่. บัดนี้ เมื่อจะแสดงที่นอนสูงและที่นอนใหญ่นั้น พราหมณ์วัจฉโคตรจึงกล่าวคำว่า เสยฺยถีทํ อาสนฺทิ เป็นต้น.
อธิบายเรื่องอาสนะเป็นต้น
ในคำว่า อาสนฺทิ เป็นต้นนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ที่ชื่อว่า อาสันทิ ได้แก่ อาสนะ (ที่นั่ง) เกินขนาด ที่ชื่อว่า บัลลังก์ ได้แก่ บัลลังก์ (เตียงหรือแท่น) ที่เขาทำโดยติดรูปสัตว์ร้ายไว้ที่เท้า. ที่ชื่อว่า โคณกะ ได้แก่ ผ้าโกเชาว์ผืนใหญ่ที่มีขนยาว. เล่ากันว่า ขนของผ้าโกเชาว์ผืนใหญ่นั้น (ยาว) เกิน ๔ นิ้ว. ที่ชื่อว่า จิตติกา ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรัตนะ. ที่ชื่อว่า ปฏิกา ได้แก่ เครื่องลาดสีขาวทำจากขนแกะ. ที่ชื่อว่า ปฏลิกา ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะมีดอกหนา ซึ่งเรียกว่าแผ่นมะขามป้อมบ้าง. ที่ชื่อว่า ตูลิกา ได้แก่ เครื่องลาดทำจากสำลี ซึ่งยัดเต็มด้วยสำลีชนิดใดชนิดหนึ่งในสำลี ๓ ชนิด. ที่ชื่อว่า วิกติกา ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะซึ่งวิจิตรด้วยรูปราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น. ที่ชื่อว่า อุทธโลมี ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะที่มีชายทั้งสองข้าง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เครื่องลาดขนแกะที่มีดอกนูนขึ้นข้างเดียว. ที่ชื่อว่า เอกันตโลมี ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะที่มีชายข้างเดียว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เครื่อง-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 318
ลาดขนแกะที่มีดอกนูนขึ้นทั้งสองข้าง. ที่ชื่อว่า กัฏฐิสสะ ได้แก่ เครื่องลาดทำจากไหมเย็บ ติดด้วยรัตนะ. ที่ชื่อว่า โกเสยยะ ได้แก่ เครื่องลาดทำจากเส้นไหม เย็บติดด้วยรัตนะเหมือนกัน. ที่ชื่อว่า กุตตกะ ได้แก่ เครื่องลาดขนแกะขนาดที่นางระบำ ๑๖ นางใช้ยืนร่ายรำได้. ที่ชื่อว่าเครื่องลาดช้างเป็นต้น ได้แก่ เครื่องลาดที่ลาดบนหลังช้างเป็นต้น และเครื่องลาดที่ทำแสดงเป็นรูปช้างเป็นต้น. ที่ชื่อว่า อชินัปปเวณิ ได้แก่ เครื่องลาดที่เอาหนังเสือดาวมาเย็บ ทำโดยขนาดเท่าเตียง. บทที่เหลือมีความหมายดังกล่าวแล้วในตอนต้นนั่นเอง.
บทว่า นิกามลาภี แปลว่า (พระสมณโคดมผู้เจริญ) มีปกติได้ตามปรารถนา คือ มีปกติได้ที่นอนสูงและใหญ่ตามที่ต้องการๆ. บทว่า อกิจฺฉลาภี แปลว่า มีปกติได้โดยไม่ยาก. บทว่า อกสิรลาภี แปลว่า มีปกติได้ที่นอนอันไพบูลย์ คือ มีปกติได้ที่นอนใหญ่ พราหมณ์วัจฉโคตรกล่าวหมายเอาว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ เห็นจะได้ที่นอนที่โอฬารทีเดียว. เล่ากันว่า พราหมณ์นี้ตระหนักในการนอน (ชอบนอน). เขาเห็นว่า อินทรีย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผ่องใสเป็นต้น สำคัญอยู่ว่า พระสมณโคดมนี้นั่งและนอนบนที่นอนสูงและที่นอนใหญ่เห็นปานนี้เป็นแน่แท้ ด้วยเหตุนั้น อินทรีย์ทั้งหลายของท่านจึงผ่องใส ผิวพรรณจึงบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงได้กล่าวสรรเสริญคุณของเสนาสนะนี้.
ในบทว่า ลทฺธา จ ปน น กปฺปนฺติ นี้ มีอธิบายว่า เพราะพระบาลีว่า เครื่องลาดบางอย่างใช้ได้ อธิบายว่า เครื่องลาดแกมไหมล้วน จะปูลาดแม้บนเตียงก็ใช้ได้ เครื่องลาดทำด้วยผ้าขนสัตว์เป็นต้น จะปูลาดโดยใช้เป็นเครื่องปูพื้นก็ใช้ได้ จะตัดเท้าของอาสันทิ (แล้วนั่ง) ก็ได้ จะทำลายรูปสัตว์ร้ายของแท่น (แล้วนั่ง) ก็ได้ จะฉีกอาสนะยัดนุ่นเอามาทำเป็นหมอน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 319
ก็ได้ ดังนี้ เครื่องลาดแม้เหล่านี้จึงควรโดยวิธีเดียวกัน แต่เพราะอาศัยสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ เครื่องลาดทั้งหมดนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไม่สมควร. บทว่า วนนฺตํเยว ปจารยามิ ความว่า เราตถาคตเข้าไปสู่ป่าทีเดียว. บทว่า ยเทว คือ ยานิเยว (แปลว่า เหล่าใด). บทว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา คือ นั่งให้อาสนะติดกับขาอ่อนชิดกันไปโดยชอบ. บทว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย คือ ตั้งกายให้ตรง ให้กระดูกสันหลัง ๑๘ ข้อ เอาปลายจรดปลายกัน. บทว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺเปตฺวา ความว่า ตั้งสติมุ่งตรงต่อพระกัมมัฏฐาน หรือทำการกำหนดและการนำออก (จากทุกข์) ให้ปรากฏชัด. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า ศัพท์ว่า ปริ มีความหมายว่า กำหนด ศัพท์ว่า มุขํ มีความหมายว่า นำออก ศัพท์ว่า สติ มีความหมายว่า ตั้งมั่น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า. บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหรามิ ความว่า เราตถาคตได้ คือ ทำให้ประจักษ์อยู่.
พระพุทธเจ้าเข้าฌานเดินจงกรม
บทว่า เอวมฺภูโต ความว่า (เราตถาคต) เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยฌานใดฌานหนึ่งในบรรดาฌานมีปฐมฌานเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า ทิพฺโพ เม เอโส ตสฺมึ สมเย จงฺกโม โหติ ความว่า ก็การจงกรมของเราตถาคตผู้เข้ารูปฌาน ๔ เดินจงกรมอยู่ ชื่อว่า เป็นการจงกรมทิพย์ แม้เมื่อเราตถาคตออกจากสมาบัติเดินจงกรม การจงกรม (นั้น) ชื่อว่าเป็นการจงกรมทิพย์เหมือนกัน. แม้ในอิริยาบถทั้งหลาย มีการยืนเป็นต้น ก็มีนัยนี้แล. ในการอยู่ ๒ อย่างนอกนี้ก็เหมือนกัน. บทว่า โส เอวํ ปชานามิ ราโค เม ปหีโน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงราคะที่ละได้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 320
ด้วยอรหัตตมรรค ณ มหาโพธิบัลลังก์นั่นเอง จึงตรัสว่า โส เอวํ ปชานามิ ราโค เม ปหีโน ดังนี้. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล. อนึ่ง ถามว่า ด้วยบทนี้เป็นอันตรัสถึงอะไร (ตอบว่า) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการพิจารณา (ปัจจเวกขณญาณ). พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงผลสมาบัติด้วยการพิจารณา แท้จริง อิริยาบถมีการจงกรมเป็นต้นของพระอริยะผู้เข้าผลสมาบัติก็ดี ผู้ออกจากสมาบัติก็ดี ชื่อว่า เป็นการจงกรมของพระอริยะเป็นต้น. บทที่เหลือในสูตรนี้ง่ายทั้งหมดแล.
จบอรรถกถาเวนาคสูตรที่ ๓