อิ่มเดียว หลับเดียว

 
ไตรสรณคมน์
วันที่  7 มิ.ย. 2550
หมายเลข  3937
อ่าน  906

ข้าพเจ้าได้รับข้อความนี้จากสหายท่านหนึ่ง เห็นว่ามีประโยชน์ เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง ...

" ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมาขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น (กางเกงขาสั้น)

ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆ ไม่มีบกพร่องไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกันเพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย

แด่องค์พระประมุขของชาติจอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตรแต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตกใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท (เดินเล่น) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยามและนายทหารราชองครักษ์เวรประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยาม ให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาคุณว่าทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดีแม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี ตอนนั้น ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้าซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิตทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้าจากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า " ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียวหลับเดียวเท่านั้น "

ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป จนลับพระองค์ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไรจนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้านอีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดาจึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า

" ท่านมหาขอรับ คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่าอย่างไรขอรับ "ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า" โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ " ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า" โยมเฉลิมศักดิ์ คำนี้น่ะ ผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้

เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อ เข้าใจได้ง่ายอีกด้วยคำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่าพอ

เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตนพออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้วการนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้นมนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม

ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีกนอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยาก ได้ให้มันมากขึ้นไปอีกถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียวโลกก็จะเป็นสุข

ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว …คนเรานะโยม จะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียวกินข้าวคลุกน้ำปลา หรือ กินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาทก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้วจะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำนอนในสลัม หรือ นอนในคฤหาสน์

ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้นเต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาชีวิตของมนุษย์ทุกคน ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ "


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
อิสระ
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Anutta
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

ข้อความลึกซึ้ง ขออนุโมทนาค่ะ เอามาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

เปรียบเหมือนคนรวยมหาศาล มีบ้านเป็นสิบหลัง มีรถเป็นสิบคัน เวลาจะอยู่จะใช้ก็ใช้ได้แค่อย่างเดียว จะใช้พร้อมกันทั้งหมดไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าลืมว่าเราต้องตายแน่ๆ สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่อยู่ที่ได้มีโอกาสทำความดีทำประโยชน์ให้กับคนอื่น และที่ขาดไม่ได้เลย คือ การอบรมปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

เป็นโชคของเราแล้วหนอ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้อยู่ในประเทศที่มีพระมหากษัตรย์ ที่ทรงเปี่ยมไปด้วยทศพิธราชธรรมเป็นขณะที่หาได้แสนยาก

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่

เรื่อง อิ่มเดียว หลับเดียว อยู่ที่เดียว แต่งชุดเดียว

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ