ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๕

 
khampan.a
วันที่  21 พ.ย. 2564
หมายเลข  40711
อ่าน  1,239

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๕
* *





~ ผู้ที่ศึกษาพระธรรม ก็รู้ว่า ถ้าเป็นชาวพุทธ เคารพในพระศาสดา ก็ต้องศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ใช่คิดเอง ไม่ใช่กล่าวเอง แล้วอ้างว่านี่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

~ สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่มิตรผู้หวังดีจะให้ สูงสุด คือ ความเห็นที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุด เคารพในฐานะใด เคารพในฐานะที่ถ้าไม่มีคำสอนของพระองค์ ไม่มีใครรู้ความจริงได้ ไม่ว่าชาติไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ความจริงที่ได้ฟัง เหนือทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งสิ้น

~ ความหวังดีของความเป็นมิตรมีประการเดียว คือ ใครจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบ ไม่ชอบ จะชังสักเท่าไหร่ แต่ขอให้เขาได้เข้าใจถูกต้อง เพราะว่า ความไม่ดีทั้งหมดที่เขาชังเรา ก็คือ เขา ไม่ใช่เรา แล้วทำไมเราจะไปโกรธ (ถ้าเราโกรธเขา) เรากำลังมีสิ่งไม่ดี แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรามีสิ่งที่ไม่ดีหรือ? แต่ทรงชี้ให้เห็นโทษขณะนั้นว่า เป็นอกุศล เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจธรรมจริงๆ กาย วาจา เป็นไปตามทางที่ถูกต้อง

~ อะไรที่ผิด ถ้าไม่แก้ ก็ถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น พร้อมวันไหน ทิ้ง (สิ่งที่ผิด) วันนั้นเลย อย่าไปเก็บเอาไว้มากๆ เพราะจะทับถมขึ้นและแก้ยาก

~ มีคนเขาตำหนิเรา ว่าเรา ถ้าเราโกรธ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? พระองค์ตรัสว่า ใครทำกรรมอย่างไร คนอื่นจะไปรับผลแทนไม่ได้ เขากำลังโกรธ เขาดีไหม? แล้วถ้าเราโกรธตอบ เราดีไหม? ลืมไป เลยไปโกรธเขา เห็นไหม นี่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ไม่มีเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เขาพูดอย่างนั้น เพราะเขาไม่รู้ ควรสงสาร ควรเห็นใจ ควรเป็นมิตร ควรหาโอกาสที่จะทำให้เขาได้เข้าใจถูกไหม? ขณะนั้น จิตที่คิดอย่างนั้น ไม่มีโทษเลย วาจาก็สุภาพเรียบร้อย เป็นมิตรกับเขา เขาก็สามารถที่จะฟัง เพราะเห็นความหวังดี นี่คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีโทษภัยอะไรเลยสักอย่างเดียว และความจริง ต้องเป็นความจริง ว่า จริงไหม แม้แต่โจรมาเลื่อยแขนเลื่อยขา ถ้าใครโกรธ คนนั้น ก็ไม่ใช่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ข้อสำคัญที่สุด โกรธเมื่อไหร่ เราไม่ได้ประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่เตือนตลอดเวลา

~ เราไม่สามารถจะแก้ไขใครได้ นี่แน่นอนที่สุด แต่สามารถช่วยเขา โดยพูดความจริงไปเรื่อยๆ ให้เขาสามารถไตร่ตรอง เพราะคนผิดมีเยอะมาก ความคิดเห็นผิดๆ เยอะมาก การกระทำผิดจากธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ก็มาก ไม่สามารถที่จะไปคิดถึงการที่จะทำอะไรกับคนอื่นได้ นอกจากประโยชน์สูงสุด คือ ใครก็ได้ สะสมมาที่จะได้มีโอกาสไตร่ตรองได้ฟัง สักวันหนึ่งเขาก็เริ่มเข้าใจถูกต้อง ดีกว่าปล่อยให้พระศาสนาสูญสิ้นไปโดยที่ว่าไม่ได้ทำอะไรให้เขาได้เริ่มคิดเริ่มเข้าใจ

~ กิเลสแรงมีกำลังเท่าไหร่ ทุกข์ก็มีมากเท่านั้น

~ ชีวิตที่เหลือ ควรที่จะให้เป็นประโยชน์สูงสุด คือ ฟังพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจ แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น ใครจะเกลียดเรา นั่นเรื่องของเขา แต่ถ้าเราเกลียดคนอื่น ดีหรือ? ขณะนั้น เป็นอกุศล เร่าร้อน แล้วก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีซึ่งให้โทษทั้งกับตนเองและคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น


~ พุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่เฉพาะพระภิกษุ อุบาสกอุบาสิกาก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมได้ เพราะว่าปัญญาจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่ามีเพศหญิงเพศชาย ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจ อยู่ตรงไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ แต่มีเหตุที่จะให้เกิด ถ้าไม่มีเหตุก็เกิดไม่ได้

~ ถ้าเป็นชาวพุทธ หมายความว่า ต้องเป็นผู้รู้ ผู้มีปัญญา ถ้าไม่รู้ ไม่มีปัญญา ใช้คำว่า ชาวพุทธ ไม่ถูกต้อง เป็นชาวพุทธที่ไม่ใช่ชาวพุทธจริงๆ เพราะว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้อง เป็นชาวพุทธไม่ได้ รู้ความจริงไม่ได้

~ ธรรมที่ไม่มีโทษเลย ไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้เลย ก็คือ อโลภะ ความไม่ติดข้องซึ่งทำให้ไม่ขุ่นเคือง คือ อโทสะ แล้วทำให้รู้ความจริงเป็นปัญญา คือ อโมหะ สภาพธรรมทั้งหลายจึงสามารถค่อยๆ ลดทางฝ่ายอกุศล และเพิ่มทางฝ่ายกุศลขึ้น

~ ถ้าสามารถจะทำกุศลได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่า ชีวิตแต่ละภพแต่ละชาติสั้นมาก ไม่ทราบว่าชาติหน้าจะมาถึงเร็วหรือช้า จะเกิดที่ไหน เป็นบุคคลใด และจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เจริญกุศลอีกไหม ดังนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลได้ ก็ควรกระทำโดยเร็วหรือโดยทันที

~ ความดี เป็นความดี ความชั่ว เป็นความชั่ว ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้น จะมีการเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อน ได้ไหม แทนที่จะโกรธ เพราะโกรธ ไม่ดีแน่ๆ จะมาอ้างสักนิดหนึ่งว่า ต้องโกรธ ไม่ได้เลย ทำไมต้องโกรธ? ดีตรงไหน?

~ โกรธมีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจเล็กน้อยนิดหน่อยจนกระทั่งพยาบาทไม่ลืมทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต่งเป็นความคิดที่จะทำร้ายและทำลาย มาจากไหน มาจากความไม่ดี ไม่เห็นโทษของความโกรธว่า เพียงโกรธเกิดขึ้น ใครไม่สบาย? ใครเป็นทุกข์?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตราบใดที่ยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวตน ที่จะพ้นทุกข์เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้ารู้ตามความจริงว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างไม่เที่ยง เกิดมาแล้วไม่มีสักขณะจิตเดียวที่เที่ยง ถ้ารู้ความจริงและประจักษ์อย่างนี้จริงๆ ไม่มีการยึดมั่นว่าเป็นเรา ความทุกข์ก็จะน้อยลง

~ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยการพิจารณาอย่างแยบคาย ก็ย่อมเห็นคุณของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรม ซึ่งจะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยการละอกุศลและเจริญกุศลยิ่งขึ้น และย่อมจะเป็นไปทั้งในชาตินี้และต่อๆ ไปในชาติหน้าด้วย ถ้าเริ่มเจริญกุศลตั้งแต่ในชาตินี้

~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่ทำให้คนมีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงทุกขณะ แม้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น
สำนักปฏิบัติสำหรับคนที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาแน่นอน ที่พูดเน้นอย่างนี้ก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สำนักปฏิบัติ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีสำนักอะไรมากมายสักเท่าไหร่ จะอ้างชื่อประการใดก็ตาม ก็ไม่นำมาสู่ความเข้าใจธรรมเลย

~ ไปทำอะไรที่สำนักปฏิบัติ? ต้องตรง ถ้าไม่ตรง เราเห็นผิด แล้วยังทำให้คนอื่นเห็นผิดตามๆ กันไปด้วย โทษไหม? โหดร้ายไหม? เขาควรจะได้รู้ความจริง ก็ไปให้โทษ คือ ทำลายความเห็นถูกของเขาในสังสารวัฏฏ์ เพราะถ้าเห็นถูกวันนี้รู้ความจริงวันนี้ต่างกับเห็นผิด พอเห็นผิดวันนี้ วันต่อไปก็เห็นผิดเพิ่มขึ้น ไม่ให้เขารู้ความจริงที่ถูกต้อง โหดร้ายไหม? หวังดีหรือเปล่า? เป็นเพื่อนหรือเปล่า?

~ ไม่ว่าสมัยไหน จะต้องไม่มีสำนักปฏิบัติเมื่อเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เครื่องวัดก็คือว่าตราบใดที่คิดว่าต้องมีสำนักปฏิบัติหรือควรมี นั่นคือ ไม่เข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่า มีสำนักปฏิบัติเมื่อไหร่ เป็นวิปัสสนาเขาบอก ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๔




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 21 พ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 21 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natthayapinthong339
วันที่ 21 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 พ.ย. 2564

มีคนเขาตำหนิเรา ว่าเรา ถ้าเราโกรธ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? พระองค์ตรัสว่า ใครทำกรรมอย่างไร คนอื่นจะไปรับผลแทนไม่ได้ เขากำลังโกรธ เขาดีไหม? แล้วถ้าเราโกรธตอบ เราดีไหม?

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 21 พ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 21 พ.ย. 2564

ชีวิตที่เหลือ ควรที่จะให้เป็นประโยชน์สูงสุด คือ ฟังพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจ แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น ใครจะเกลียดเรา นั่นเรื่องของเขา แต่ถ้าเราเกลียดคนอื่น ดีหรือ? ขณะนั้น เป็นอกุศล เร่าร้อน แล้วก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีซึ่งให้โทษทั้งกับตนเองและคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 21 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Pornkamol
วันที่ 21 พ.ย. 2564

ขอบคุณค่ะ ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Dusita
วันที่ 22 พ.ย. 2564

กราบ อนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 22 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
พัชรีรัศม์
วันที่ 23 พ.ย. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Lai
วันที่ 23 พ.ย. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
มังกรทอง
วันที่ 24 พ.ย. 2564

สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่มิตรผู้หวังดีจะให้ สูงสุด คือ ความเห็นที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วซึ่งเป็นที่เคารพสูงสุด เคารพในฐานะใด เคารพในฐานะที่ถ้าไม่มีคำสอนของพระองค์ ไม่มีใครรู้ความจริงได้ ไม่ว่าชาติไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น สูงสุดในสังสารวัฏฏ์ คือ ความจริงที่ได้ฟัง เหนือทรัพย์สมบัติใดๆ ทั้งสิ้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ