ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
[เล่มที่ 66] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 1
อัฏฐกวัคคิกะ
ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
ว่าด้วยคําถามของพระพุทธนิมิต หน้า 1
ว่าด้วยความทําไว้ในเบื้องหน้า ๒ อย่าง หน้า 6
ว่าด้วยเหตุให้เกิดความโกรธ ๑๐ อย่าง หน้า 8
ว่าด้วยผู้ไม่มีความรําคาญ หน้า 12
ว่าด้วยปัญญาเรียกว่ามันตา หน้า 14
ว่าด้วยความหลอกลวง ๓ อย่าง หน้า 20
ว่าด้วยความตระหนี่ ๕ อย่าง หน้า 24
ว่าด้วยความคะนอง ๓ อย่าง หน้า 25
ว่าด้วยผู้น่ารังเกียจ และไม่น่ารังเกียจ หน้า 29
ว่าด้วยผู้มีปฏิภาณ ๓ จำพวก หน้า 34
ว่าด้วยรู้ธรรมแล้ว ไม่ต้องเชื่อใครอีก หน้า 35
ว่าด้วยผู้ไม่ต้องคลายกําหนัด หน้า 37
ว่าด้วยศึกษาเพราะอยากได้ลาภ หน้า 38
ว่าด้วยไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ หน้า 40
ว่าด้วยอุเบกขามีองค์ ๖ หน้า 44
ว่าด้วยกิเลสหนา ๗ ประการ หน้า 48
ว่าด้วยเครื่องร้อยรัด ๔ อย่าง หน้า 51
ว่าด้วยตัณหามีชื่อต่างๆ หน้า 52
ว่าด้วยพระอรหันต์ไม่มีโทษห้อมล้อม หน้า 56
ว่าด้วยความกําหนด ๒ อย่าง หน้า 58
ว่าด้วยผู้ไม่ความยึดถือ หน้า 59
อรรถกถาปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐ หน้า 63
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 66]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 1
พระสุตตันตปิฎก
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
เล่มที่ ๕ ภาคที่ ๒
อัฏฐกวัคคิกะ (๑)
ปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
[๓๗๔] (พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า) บุคคลมีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิต กล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ข้าแต่พระโคดม พระองค์ถูกถามแล้ว ขอจงตรัสบอกบุคคลนั้น ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม แก่ข้าพระองค์.
ว่าด้วยคำถามของพระพุทธนิมิต
[๓๗๕] คำว่า มีความเห็นอย่างไร ในคำว่า บุคคลมีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ความว่า บุคคลประกอบด้วยความเห็นเช่นไร คือ ด้วยความดำรงอยู่อย่างไร ด้วยประการอย่างไร ด้วยส่วนเปรียบอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีความเห็นอย่างไร. คำว่า มีศีลอย่างไร ความว่า บุคคลประกอบ
๑. บาลีเล่มที่ ๒๙. คำนี้พม่าเป็นอัฏฐกวัคคะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 2
ด้วยศีลเช่นไร คือ ด้วยความดำรงอยู่อย่างไร ด้วยประการอย่างไร ด้วยส่วนเปรียบอย่างไร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร. คำว่า อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ความว่า อันบัณฑิตกล่าว เรียก บอก พูด แสดง แถลงว่า เป็นผู้สงบ เข้าไปสงบ ดับ ระงับแล้ว. พระพุทธนิมิตตรัสถามถึง อธิปัญญาว่า มีความเห็นอย่างไร ตรัสถามถึง อธิศีลว่า มีศีลอย่างไร ตรัสถามถึง อธิจิตว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลมีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว.
[๓๗๖] คำว่า ซึ่งบุคคลนั้น ในคำว่า ข้าแต่พระโคดม... ขอจงตรัสบอกบุคคลนั้น... แก่ข้าพระองค์ ความว่า บุคคลที่ถาม ที่ขอให้บอก ขอจงตรัสบอก ขอให้ประสาทพระพุทธนิมิตนั้น ย่อมตรัสเรียก พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พุทธเจ้า โดยพระโคตรว่า ข้าแต่พระโคดม. คำว่า ขอจงตรัสบอก คือ ตรัส เล่า บอก แสดง แถลง แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ข้าแต่พระโคดม... ขอจงตรัสบอกบุคคลนั้น... แก่ข้าพระองค์.
[๓๗๗] คำว่า ถูกถามแล้ว ในคำว่า ถูกถามแล้ว... ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม ความว่า ถูกถาม ถูกสอบถาม ขอให้บอก ขอเชิญให้ทรงแสดง ขอให้ประสาท. คำว่า ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม ความว่า ซึ่งเป็นนรชนผู้เลิศ ประเสริฐ วิเศษ เป็นประธาน สูงสุด บวร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม เพราะเหตุนั้น พระพุทธนิมิตจึงตรัสว่า
บุคคลมีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ข้าแต่พระโคดม พระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 3
ถูกถามแล้ว ขอจงตรัสบอกบุคคลนั้น ซึ่งเป็นนรชนผู้อุดม แก่ข้าพระองค์
[๓๗๘] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า) ก่อนแต่กายแตก พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากตัณหา ผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น อันใครๆ ไม่นับได้ในส่วนท่ามกลาง ความทำไว้ในเบื้องหน้ามิได้มี แก่พระอรหันต์นั้น.
อธิบายคำว่า ภควา
[๓๗๙] คำว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) ก่อนแต่กายแตก พระอรหันต์ เป็นผู้ปราศจากตัณหา ความว่า ก่อนแต่กายแตก คือ ก่อนแต่อัตตภาพแตก ก่อนแต่ทอดทิ้งซากศพ ก่อนแต่ขาดชีวิตินทรีย์ พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากตัณหา คือ เป็นผู้มีตัณหาหายไป สละไป สำรอกออก ปล่อย ละ สละคืน เป็นผู้ปราศจากราคะ คือ เป็นผู้มีราคะหายไป สละไป สำรอกออก ปล่อย ละ สละคืนแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับแล้ว เย็นแล้ว เป็นผู้เสวยสุข มีตนดังพรหมอยู่. บทว่า ภควา เป็นคำกล่าวเรียกด้วยความเคารพ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะ ทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายมานะ ทำลายทิฏฐิ ทำลายเสี้ยนหนาม ทำลายกิเลส และเพราะอรรถว่า ทรงจำแนก แจกแจง ซึ่งธรรมรัตนะ เพราะอรรถว่า ทรงทำที่สุดแห่งภพทั้งหลาย เพราะอรรถว่า มีพระกายอันอบรมแล้ว มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว มีปัญญาอันอบรมแล้ว อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงซ่องเสพเสนาสนะ อันเป็นป่าละเมาะ ป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อย ปราศจากเสียงกึกก้อง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 4
ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของมนุษย์ สมควรแก่หลีกออกเร้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ อรูปสมาบัติ ๔ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ ๘ อภิภายตนะ ๘ (ฌาน เป็นที่ตั้งแห่งความครอบงำอารมณ์) อนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ (รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑) เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา ๑๐ กสิณสมาบัติ ๑๐ อานาปานสติสมาธิ อสุภฌานสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีส่วนแห่งตถาคตพละ ๑๐ เวสารัชญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ พุทธธรรม ๖ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา พระภคินี มิตร อำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้เฉลิมให้พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันตินาม (พระนามมีในอรหัตผล ในลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็นสัจฉิกาบัญญัติ (บัญญัติที่เกิด เพราะทำให้แจ้ง ซึ่งพระอรหัตผล และธรรมทั้งปวง) พร้อมด้วยการทรงบรรลุ พระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงแห่งโพธิพฤกษ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้แล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 5
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก่อนแต่กายแตก พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากตัณหา.
[๓๘๐] อดีตกาล ท่านเรียกว่า ส่วนเบื้องต้น ในคำว่า ผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น พระอรหันต์ปรารภถึงอดีตกาล ละตัณหา สละคืนทิฏฐิเสียแล้ว เพราะละตัณหา สละคืนทิฏฐิเสียแล้ว จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ไม่เป็นไป ตามความเพลินในรูปว่า ในอดีตกาล เราได้มีรูปอย่างนี้ ไม่เป็นไปตามความเพลินในนามว่า ในอดีตกาล เราได้มีเวทนาอย่างนี้... มีสัญญาอย่างนี้... มีสังขารอย่างนี้... มีวิญญาณอย่างนี้ จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์มิได้มีวิญญาณ เนื่องด้วยฉันทราคะในจักษุ และรูปว่า ในอดีตกาล เราได้มีจักษุดังนี้ มีรูปดังนี้ เพราะเป็นผู้ไม่มีวิญญาณ เนื่องด้วยฉันทราคะ. จึงไม่เพลินซึ่งจักษุ และรูปนั้น เมื่อไม่เพลินซึ่งจักษุ และรูปนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ มิได้มีวิญญาณ เนื่องด้วยฉันทราคะในหู และเสียงว่า ในอดีตกาล เราได้มีหูดังนี้ มีเสียงดังนี้ ในอดีตกาล เราได้มีจมูกดังนี้ มีกลิ่นดังนี้... ในอดีตกาล เราได้มีลิ้นดังนี้ มีรสดังนี้ ในอดีตกาล เราได้มีกายดังนี้ มีโผฏฐัพพะดังนี้ ในอดีตกาล เราได้มีใจดังนี้ มีธรรมารมณ์ดังนี้ เพราะเป็นผู้ไม่มีวิญญาณ เนื่องด้วยใจ และธรรมารมณ์นั้น จึงไม่เพลินซึ่งใจ และซึ่งธรรมารมณ์นั้น เมื่อไม่เพลินซึ่งใจ และซึ่งธรรมารมณ์นั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 6
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ย่อมไม่พอใจ ไม่ชอบใจซึ่งความหัวเราะ การเจรจา การปราศรัย และการเล่นหัว กับมาตุคามในกาลก่อน และไม่ถึงความปลื้มใจ ด้วยความหัวเราะ การเจรจา การปราศรัย และการเล่นหัว กับมาตุคามที่มีในคราวก่อนนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
[๓๘๑] ปัจจุบันกาล ท่านเรียกว่า ส่วนท่ามกลาง ในคำว่า ผู้อันใครๆ ไม่นับได้ในส่วนท่ามกลาง พระอรหันต์ปรารภถึงปัจจุบันกาล ละตัณหา สละคืนทิฏฐิแล้ว เพราะละตัณหา สละคืนทิฏฐิแล้ว อันใครๆ ไม่นับได้ว่า เป็นผู้กำหนัด ขัดข้อง หลงใหล ผูกพัน ยึดถือถึงความกวัดแกว่ง ถึงความไม่ตกลง ถึงโดยเรี่ยวแรง พระอรหันต์ละอภิสังขารเหล่านั้นได้แล้ว เพราะละอภิสังขารได้แล้ว อันใครๆ ไม่นับได้โดยคิดว่า เป็นผู้เกิดในนรก เกิดในกำเนิดดิรัจฉาน เกิดในเปรตวิสัย เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นสัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัตว์มีสัญญา เป็นสัตว์ไม่มีสัญญา หรือเป็นสัตว์มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ พระอรหันต์นั้น ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีการณะ อันเป็นเครื่องถึงการนับ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้อันใครๆ ไม่นับได้ ในส่วนท่ามกลาง.
ว่าด้วยความทำไว้ในเบื้องหน้า ๒ อย่าง
[๓๘๒] คำว่า นั้น ในคำว่า ความทำไว้ในเบื้องหน้ามิได้มี แก่พระอรหันต์นั้น คือ พระอรหันตขีณาสพ ชื่อว่า ความทำไว้เบื้องหน้า ได้แก่ ความทำไว้ในเบื้องหน้า ๒ อย่าง คือ ความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยตัณหา ๑ ความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความทำไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 7
ในเบื้องหน้าด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยทิฏฐิ พระอรหันต์นั้น ละความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยตัณหา สละคืน ความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยทิฏฐิแล้ว เพราะละความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยตัณหา สละคืนความทำไว้ในเบื้องหน้าด้วยทิฏฐิ จึงไม่กระทำตัณหา หรือทิฏฐิ ไว้ในเบื้องหน้าเที่ยวไป คือ ไม่มีตัณหาเป็นธงชัย ไม่มีตัณหาเป็นธงยอด ไม่มีตัณหาเป็นใหญ่ ไม่มีทิฏฐิเป็นธงชัย ไม่มีทิฏฐิเป็นธงยอด ไม่มีทิฏฐิเป็นใหญ่ ไม่เป็นผู้อันตัณหาหรือทิฏฐิแวดล้อมทั่วไป แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ไม่เป็นไปตามความเพลินในรูปว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีรูปอย่างนี้ ไม่เป็นไปตามความเพลินในนามว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีเวทนาอย่างนี้... มีสัญญาอย่างนี้... มีสังขารอย่างนี้... มีวิญญาณอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ จึงชื่อว่า ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ย่อมไม่ตั้งจิต เพื่อได้จักษุ และรูป ที่ยังไม่ได้ว่า ในอนาคตกาลเราพึงมีจักษุดังนี้ มีรูปดังนี้ เพราะเหตุไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น เมื่อไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ไม่ตั้งจิตเพื่อได้หู และเสียงที่ยังไม่ได้ว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีหูดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีจมูกดังนี้ มีกลิ่นดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีลิ้นดังนี้ มีรสดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีกายดังนี้ มีโผฏฐัพพะดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีใจดังนี้ มีธรรมารมณ์ดังนี้ เพราะเหตุไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 8
เพลินซึ่งใจ และธรรมารมณ์นั้น เมื่อไม่เพลินซึ่งใจ และธรรมารมณ์นั้น ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์ย่อมไม่ตั้งจิต เพื่อได้ภพที่ยังไม่ได้ว่า เราจักเป็นเทพเจ้า หรือเป็นเทวดาตนใดตนหนึ่ง ด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ เพราะเหตุไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่เพลินภพนั้น เมื่อไม่เพลินภพนั้น ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
(พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) ก่อนแต่กายแตก พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น อันใครๆ ไม่นับได้ ในส่วนท่ามกลาง ความทำไว้ในเบื้องหน้า มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น.
[๓๘๓] บุคคลนั้นแล ผู้ไม่โกรธ ไม่สะดุ้ง ไม่โอ้อวด ไม่มีความคะนอง พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน สำรวมวาจา เป็นมุนี.
ว่าด้วยเหตุให้เกิดความโกรธ ๑๐ อย่าง
[๓๘๔] ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่โกรธ ในคำว่า ผู้ไม่โกรธไม่สะดุ้ง ก็แต่ว่าความโกรธควรกล่าวก่อน ความโกรธย่อมเกิด ด้วยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการว่า เขาได้ประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่เราแล้ว ๑ เขากำลังประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ๑ เขาจักประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่เรา ๑ เขาได้ประพฤติสิ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 9
ไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้เป็นที่รักชอบใจของเราแล้ว ๑ เขากำลังประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้เป็นที่รักชอบใจของเรา ๑ เขาจักประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ๑ เขาได้ประพฤติสิ่งเป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ๑ เขา กำลังประพฤติสิ่งเป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ๑ เขาจักประพฤติสิ่งเป็นประโยชน์แก่บุคคล ผู้ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ๑ ความโกรธย่อมเกิดในที่มิใช่เหตุ ๑.
ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขัดเคือง ความขุ่นเคือง ความเคือง ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ดุร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต นี้เรียกว่า ความโกรธ.
อีกอย่างหนึ่ง ควรรู้ความโกรธมาก โกรธน้อย บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงทำจิตให้ขุ่นมัว แต่ยังไม่ถึงให้หน้าเง้าหน้างอก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นเพียงทำให้หน้าเง้าหน้างอ แต่ยังไม่ทำให้คางสั่นก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงทำให้คางสั่น แต่ยังไม่ให้เปล่งผรุสวาจาก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้เปล่งผรุสวาจา แต่ยังไม่ให้เหลียวดูทิศต่างๆ ก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้เหลียวดูทิศต่างๆ แต่ยังไม่ให้จับท่อนไม้ และศาสตราก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้จับท่อนไม้ และศาสตรา แต่ยังไม่ให้เงื้อท่อนไม้ และศาสตราก็มี บางครั้งความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 10
โกรธ เป็นแต่เพียงให้เงื้อท่อนไม้ และศาสตรา แต่ยังไม่ให้ท่อนไม้ และศาสตราถูกต้องก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้ท่อนไม้ และศาสตราถูกต้อง แต่ยังไม่ทำให้เป็นแผลเล็ก แผลใหญ่ก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงทำให้เป็นแผลเล็ก แผลใหญ่ แต่ยังไม่ให้กระดูกหักก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้กระดูกหัก แต่ยังไม่ให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไปก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไป แต่ยังไม่ให้ชีวิตดับก็มี บางครั้งความโกรธ เป็นแต่เพียงให้ชีวิตดับ แต่ยังไม่เสียสละ ชีวิตของตน ให้หมดไปก็มี เมื่อใดความโกรธ ให้ฆ่าบุคคลอื่นแล้ว จึงให้ฆ่าคน เมื่อนั้นความโกรธ เป็นไปรุนแรงอย่างหนัก ถึงความเป็นของมากอย่างยิ่ง ความโกรธนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้นได้ เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่โกรธ บุคคลชื่อว่า เป็นผู้ไม่โกรธ เพราะละความโกรธได้แล้ว เพราะกำหนดรู้วัตถุแห่งความโกรธ เพราะตัดเหตุแห่งความโกรธเสีย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่โกรธ.
ว่าด้วยผู้ไม่สะดุ้ง
[๓๘๕] คำว่า ผู้ไม่สะดุ้ง ความว่า ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สะดุ้ง หวาดเสียว สยดสยอง ภิกษุนั้นย่อมสะดุ้ง หวาดเสียว สยดสยองกลัว ถึงความสะดุ้งว่า เราไม่ได้สกุล ไม่ได้หมู่คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลผู้พยาบาล ในคราวเป็นไข้ เราจะไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ ภิกษุใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 11
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว ไม่สยดสยอง ภิกษุนั้น ย่อมไม่สะดุ้ง ไม่หวาดเสียว ไม่สยดสยอง ไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งว่า เราไม่ได้สกุล ไม่ได้หมู่คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลผู้พยาบาล ในคราวเป็นไข้ เราไม่เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่โกรธ ผู้ไม่สะดุ้ง.
ว่าด้วยไม่โอ้อวด
[๓๘๖] คำว่า ผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีความรำคาญ ความว่า ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้อวด โอ้อวด ภิกษุนั้น ย่อมอวด ย่อมโอ้อวดว่า เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลบ้าง ถึงพร้อมด้วยวัตรบ้าง ถึงพร้อมศีล และวัตรบ้าง ถึงพร้อมด้วยชาติบ้าง ถึงพร้อมด้วยโคตรบ้าง ถึงพร้อม ด้วยความเป็นบุตรแห่งสกุลบ้าง ถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้มีรูปงามบ้าง ถึงพร้อมด้วยทรัพย์บ้าง ถึงพร้อมด้วยการปกครองบ้าง ถึงพร้อมด้วยหน้าที่การงานบ้าง ถึงพร้อมด้วยหลักแหล่งแห่งศิลปศาสตร์บ้าง ถึงพร้อมด้วยวิทยฐานะบ้าง ถึงพร้อมด้วยการศึกษาบ้าง ถึงพร้อมด้วยปฏิภาณบ้าง ถึงพร้อมด้วยวัตถุอย่างใด อย่างหนึ่งบ้าง ออกบวชจากสกุลสูงบ้าง ออกบวชจากสกุลใหญ่บ้าง ออกบวชจากสกุลมีโภคสมบัติมากบ้าง ออกบวชจากสกุลมีโภคสมบัติยิ่งใหญ่บ้าง เป็นผู้มีชื่อเสียงปรากฏ มียศกว่าพวกคฤหัสถ์ และบรรพชิตบ้าง เป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัช บริขารบ้าง เป็นผู้ทรงจำพระสูตรบ้าง ทรงจำพระวินัยบ้าง เป็นธรรมกถึกบ้าง เป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรบ้าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 12
เป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือไม่ฉันภัตในภายหลังเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือไม่นอนเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถืออยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ได้ปฐมฌานบ้าง เป็นผู้ได้ทุติยฌานบ้าง เป็นผู้ได้ตติยฌานบ้าง เป็นผู้ได้จตุตถฌานบ้าง เป็นผู้ได้อากาสานัญจายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้วิญญาณัญจายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้อากิญจัญายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติบ้าง บุคคลไม่อวด ไม่โอ้อวดอย่างนี้ บุคคลงดเว้น เว้นขาด ออก สลัด พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องด้วยความอวด เป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่โอ้อวด.
ว่าด้วยผู้ไม่มีความรำคาญ
[๓๘๗] ชื่อว่า ความรำคาญ ในคำว่า ผู้ไม่มีความรำคาญ ได้แก่ ความรำคาญมือบ้าง ความรำคาญเท้าบ้าง ความรำคาญทั้งมือ และเท้าบ้าง ความสำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร ความสำคัญในสิ่งควรว่าไม่ควร ความสำคัญในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ ความสำคัญในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ ความรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ความเป็นผู้รำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความรำคาญ อีกอย่างหนึ่ง ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะกระทำ และเพราะไม่กระทำ.
ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้น เพราะกระทำ และเพราะไม่กระทำอย่างไร ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจย่อมเกิดขึ้นว่า เราทำแต่กายทุจริต เราไม่ได้ทำกายสุจริต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 13
เราทำแต่วจีทุจริต เราไม่ได้ทำวจีสุจริต เราทำแต่มโนทุจริต เราไม่ได้ ทำมโนสุจริต เราทำแต่ปาณาติบาต เราไม่ได้ทำเจตนา งดเว้นจากปาณาติบาต เราทำแต่อทินนาทาน เราไม่ได้ทำเจตนา เครื่องงดเว้นจากอทินนาทาน เราทำแต่กาเมสุมิจฉาจาร เราไม่ได้ทำเจตนา เครื่องงดเว้น จากกาเมสุมิจฉาจาร เราทำแต่มุสาวาท เราไม่ได้ทำเจตนา เครื่องงดเว้นจากมุสาวาท เราทำแต่ปิสุณาวาจา เราไม่ได้ทำเจตนา เครื่องงดเว้นจากปิสุณาวาจา เราทำแต่ผรุสวาจา เราไม่ได้ทำเจตนา เครื่องงดเว้นจากผรุสวาจา เราทำแต่สัมผัปปลาปะ เราไม่ได้ทำเครื่องงดเว้นจากสัมผัปปลาปะ เราทำแต่อภิชฌา เราไม่ได้ทำอนภิชฌา เราทำแต่พยาบาท เราไม่ได้ทำอัพยาบาท เราทำแต่มิจฉาทิฏฐิ เราไม่ได้ทำสัมมาทิฏฐิ ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้น เพราะกระทำ และเพราะไม่กระทำอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ความรำคาญ ความเดือดร้อนจิต ความกลุ้มใจ ย่อมเกิดขึ้นว่า เราเป็นผู้ไม่กระทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย เราเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ เราเป็นผู้ไม่หมั่นประกอบในความเพียร เป็นเครื่องตื่นอยู่ เราเป็นผู้ไม่ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เราไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ เราไม่ได้เจริญสัมมัปปธาน ๔ เราไม่ได้เจริญอิทธิบาท ๔ เราไม่ได้เจริญอินทรีย์ ๕ เราไม่ได้เจริญพละ ๕ เราไม่ได้เจริญโพชฌงค์ ๗ เราไม่ได้เจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เราไม่ได้กำหนดรู้ทุกข์ เราไม่ได้ละสมุทัย เราไม่ได้เจริญมรรค เราไม่ได้ทำให้แจ้งนิโรธ ความรำคาญนี้ อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 14
บุคคลนั้นเรียกว่า ไม่มีความรำคาญ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีความรำคาญ.
ว่าด้วยปัญญาเรียกว่า มันตา
[๓๘๘] คำว่า ผู้พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ความว่า ปัญญา เรียกว่า มันตา ได้แก่ ปัญญา ความรู้ทั่ว ฯลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ความเห็นชอบ บุคคลกำหนดกล่าววาจา ด้วยปัญญา แม้กล่าว มาก พูดมาก แสดงมาก แถลงมาก ก็ไม่กล่าววาจาที่กล่าวชั่ว พูดชั่ว เจรจาชั่ว ปราศรัยชั่ว บอกเล่าชั่ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้พูดด้วยปัญญา. ความฟุ้งซ่าน ในคำว่า ผู้ไม่ฟุ้งซ่านเป็นไฉน ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบจิต ความที่จิตกวัดแกว่ง ความที่จิตหมุนไป นี้เรียกว่า ความฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้นได้ เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นชื่อว่า ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน.
ว่าด้วยการสำรวมวาจา
[๓๘๙] คำว่า บุคคลนั้นแล สำรวมวาจา เป็นมุนี ความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท พูดจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำมั่นคงเชื่อถือได้ ไม่พูดให้เคลื่อนคลาดแก่โลก ละปิสุณาวาจา เว้นขาดจากปิสุณาวาจา ฟังจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้ว ไม่มาบอกคนหมู่นี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น เป็นผู้สมานคนที่แตกกันบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 15
กันบ้าง มีความพร้อมเพรียงเป็นที่มายินดี ยินดีในบุคคลที่พร้อมเพรียง กัน มีความเพลิดเพลินในบุคคลที่พร้อมเพรียงกัน กล่าววาจาที่ทำให้เขา พร้อมเพรียงกัน ด้วยประการฉะนี้ ละผรุสวาจา เว้นขาดจากผรุสวาจา กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ อันไพเราะโสต เป็นที่ตั้งแห่งความรัก หยั่งลงถึง หทัย เป็นคำของชาวเมือง ที่ชนหมู่มากพอใจชอบใจ ละสัมผัปปลาปะ เว้นขาดจากสัมผัปปลาปะ พูดโดยกาลควร พูดจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย กล่าววาจาเป็นหลักฐาน มีที่อ้างอิง มีส่วนสุด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร เป็นผู้ประกอบด้วยวจีสุจริต ๔ กล่าววาจาปราศจากโทษ ๔ งดเว้น เว้นขาด ออก สลัด พ้นขาด ไม่ประกอบด้วยดิรัจฉานกถา ๓๒ ประการ เป็นผู้มีจิตปราศจากเขตแดนอยู่ ย่อมกล่าวกถาวัตถุ ๑๐ อย่าง คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา สติปัฏฐานกถา สัมมัปปธานกถา อิทธิบาทกถา อินทริยกถา พลกถา โพชฌังคกถา มรรคกถา ผลกถา นิพพานกถา.
คำว่า ผู้สำรวมวาจา คือ ผู้สำรวม สำรวมเฉพาะ คุ้มครอง ปกครอง รักษา ระวัง สงบแล้ว. คำว่า มุนี ความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเครื่องข้อง และตัณหาเพียงดังว่าข่าย บุคคลนั้นชื่อว่า มุนี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้นแล สำรวมวาจา เป็นมุนี เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 16
บุคคลผู้นั้นแล ผู้ไม่โกรธ ไม่สะดุ้ง ไม่โอ้อวด ไม่มีความรำคาญ พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน สำรวมวาจา เป็นมุนี.
[๓๙๐] บุคคลผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย และไม่ถูกนำไป ในเพราะทิฏฐิทั้งหลาย.
ว่าด้วยผู้ไม่มีตัณหา
[๓๙๑] คำว่า บุคคลผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต ความว่า ตัณหา เรียกว่า ตัณหา เครื่องเกี่ยวข้อง ได้แก่ ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ตัณหาเครื่องเกี่ยวข้องนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ แม้เพราะเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ไม่เป็นไป ตามความเพลินในรูปว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีรูปอย่างนี้ ไม่เป็นไปตามความเพลินในนามว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีเวทนาอย่างนี้ มีสัญญาอย่างนี้ มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลไม่ตั้งจิต เพื่อได้จักษุ และรูปที่ยังไม่ได้ว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีจักษุดังนี้ มีรูปดังนี้ เพราะเหตุที่ไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น เมื่อไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น ก็เป็นผู้ไม่มีตัณหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 17
เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ไม่ตั้งจิตเพื่อได้หู และเสียงที่ยังไม่ได้ว่า ในอนาคตกาล เราพึงมีหูดังนี้ มีเสียงดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีจมูกดังนี้ มีกลิ่นดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีลิ้นดังนี้ มีรสดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีกายดังนี้ มีโผฏฐัพพะ ดังนี้... ในอนาคตกาล เราพึงมีใจดังนี้ มีธรรมารมณ์ดังนี้ เพราะเหตุที่ไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่เพลินซึ่งใจ และธรรมารมณ์นั้น เมื่อไม่เพลินซึ่งใจ และธรรมารมณ์นั้น ก็เป็นผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลไม่ตั้งจิตเพื่อจะได้ภพที่ยังไม่ได้ว่า เราจักเป็นเทพ หรือเทวดาตนใดตนหนึ่ง ด้วยศีล ด้วยวัตร ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ เพราะเหตุที่ไม่ตั้งจิตไว้ จึงไม่เพลินภพนั้น เมื่อไม่เพลินภพนั้น ก็เป็นผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้.
ว่าด้วยผู้ไม่เศร้าโศก
[๓๙๒] คำว่า ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ความว่า ไม่เศร้าโศกถึงวัตถุที่แปรปรวน หรือเมื่อวัตถุแปรปรวนไปแล้ว ก็ไม่เศร้าโศกถึง คือ ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบาก ไม่รำพันถึง ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหลว่า จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายของเรา แปรปรวนไปแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะของเรา แปรปรวนไปแล้ว สกุล หมู่ คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขของเรา แปรปรวนไปแล้ว จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเรา แปรปรวนไปแล้ว มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 18
บุตร ธิดา มิตร พวกพ้อง ญาติสาโลหิต ของเรา แปรปรวนไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว.
ว่าด้วยผัสสะ
[๓๙๓] ชื่อว่า ผัสสะ ในคำว่า ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย ได้เเก่ จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส อธิวจนสัมผัส ปฏิฆสัมผัส สัมผัสอันเกื้อกูลแก่สุขเวทนา สัมผัสอันเกื้อกูลแก่ทุกขเวทนา สัมผัสอันเกื้อกูลแก่อทุกขมสุขเวทนา ผัสสะอันเป็นกุศล ผัสสะอันเป็นอกุศล ผัสสะอันเป็นอัพยากตะ ผัสสะอันเป็นกามาวจร ผัสสะอันเป็นรูปาวจร ผัสสะอันเป็นอรูปาวจร ผัสสะอันเป็นสุญญตะ ผัสสะอันเป็นอนิมิตตะ ผัสสะอันเป็นอัปปณิหิตะ ผัสสะอันเป็นโลกิยะ ผัสสะอันเป็นโลกุตตระ ผัสสะอันเป็นอดีต ผัสสะอันเป็นอนาคต ผัสสะอันเป็นปัจจุบัน ผัสสะความถูกต้อง กิริยาที่ถูกต้อง ความเป็นแห่งความถูกต้อง เห็นปานนี้ นี้ชื่อว่า ผัสสะ. คำว่า ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย ความว่า บุคคลเห็นจักษุสัมผัสว่า เป็นของว่างจากความเป็นตนบ้าง จากธรรมที่เนื่องในตนบ้าง จากความเที่ยงบ้าง จากความยั่งยืนบ้าง จากความเป็นของเที่ยงบ้าง จากธรรมที่ไม่แปรปรวนบ้าง เห็นโสตสัมผัส เห็นฆานสัมผัส เห็นชิวหาสัมผัส เห็นกายสัมผัส เห็นมโนสัมผัส เห็นอธิวจนสัมผัส เห็นปฏิฆสัมผัส เห็นสัมผัสอันเกื้อกูลแก่สุขเวทนา เห็นสัมผัสอันเกื้อกูลแก่ทุกขเวทนา เห็นสัมผัสอันเกื้อกูลแก่อทุกขมสุขเวทนา เห็นผัสสะอันเป็นกุศล เห็นผัสสะอันเป็นอกุศล เห็นผัสสะอันเป็นอัพยากตะ เห็นผัสสะอันเป็นกามาวจร เห็นผัสสะอันเป็นรูปาวจร เห็นผัสสะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 19
อันเป็นอรูปาวจร เห็นผัสสะอันเป็นสุญญตะ เห็นผัสสะอันเป็นอนิมิตตะ เห็นผัสสะอันเป็นอัปปณิหิตะ เห็นผัสสะอันเป็นโลกิยะ เห็นผัสสะอันเป็นโลกุตตระว่า เป็นของว่างจากความเป็นตนบ้าง จากธรรมที่เนื่องในตนบ้าง จากความเที่ยงบ้าง จากความยั่งยืนบ้าง จากความเป็นของเที่ยงบ้าง จากธรรมที่ไม่แปรปรวนบ้าง.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลย่อมเห็นผัสสะอันเป็นอดีตว่า เป็นของว่างจากผัสสะอันเป็นอนาคต และผัสสะอันเป็นปัจจุบัน เห็นผัสสะอันเป็นอนาคตว่า เป็นของว่างจากผัสสะอันเป็นอดีต และผัสสะอันเป็นปัจจุบัน เห็นผัสสะอันเป็นปัจจุบันว่า เป็นของว่างจากผัสสะอันเป็นอดีต และผัสสะอันเป็นอนาคต.
อีกอย่างหนึ่ง ผัสสะเหล่าใด เป็นอริยะไม่มีอาสวะ เป็นโลกุตตระอันปฏิสังยุตด้วยสุญญตผัสสะ บุคคลย่อมเห็นผัสสะเหล่านั้นว่า เป็นของว่างจากราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความกระด้าง ความแข็งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความประมาทกิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย.
[๓๙๔] คำว่า และไม่ถูกนำไปในเพราะทิฏฐิทั้งหลาย ความว่า ทิฏฐิ ๖๒ อันบุคคลนั้นละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลอันทิฏฐิย่อมไม่นำไป ไม่นำออกไป ไม่ลอยไป ไม่เลื่อนไป และบุคคลนั้นไม่กลับถึง ไม่กลับมาสู่ทิฏฐินั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 20
โดยความเป็นแก่นสาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และไม่ถูกนำไปในเพราะทิฏฐิทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลผู้ไม่มีตัณหา เครื่องเกี่ยวข้องในอนาคต ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ผู้เห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย และไม่ถูกนำไปเพราะทิฏฐิทั้งหลาย.
[๓๙๕] บุคคลเป็นผู้หลีกเร้น ไม่หลอกลวง ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ตระหนี่ ไม่คะนอง ไม่เป็นที่รังเกียจ และไม่ประกอบ ในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด.
ว่าด้วยผู้หลีกเร้น
[๓๙๖] คำว่า เป็นผู้หลีกเร้น ในคำว่า บุคคลเป็นผู้หลีกเร้น ไม่หลอกลวง ความว่า เพราะละเสียแล้ว ซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง จึงชื่อว่า ผู้หลีกเร้น สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้หลีกเร้นอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละ ความถือตัวว่า เป็นเราแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้ง ดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้หลีกเร้นอย่างนี้แล เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้หลีกเร้น.
ว่าด้วยความหลอกลวง ๓ อย่าง
[๓๙๗] เรื่องความหลอกลวง ในคำว่า ไม่หลอกลวง มี ๓ อย่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 21
คือ เรื่องความหลอกลวงกล่าวด้วย การซ่องเสพปัจจัย ๑ เรื่องความหลอกลวง อาศัยอิริยาบถ ๑ เรื่องความหลอกลวงกล่าวด้วย การพูดเลียบเคียง ๑.
เรื่องความหลอกลวงกล่าวด้วย การซ่องเสพปัจจัยเป็นไฉน พวกคฤหบดีในโลกนี้ ย่อมนิมนต์ภิกษุด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารภิกษุนั้น มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ มีความต้องการด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร อาศัยความเป็นผู้อยากได้มาก ย่อมบอกคืนจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอย่อมพูดอย่างนี้ว่า ประโยชน์อะไรแก่สมณะ ด้วยจีวรมีค่ามาก สมณะควรเที่ยวเลือกเก็บ ผ้าเก่าจากป่าช้า กองหยากเยื่อ หรือร้านตลาด แล้วทำสังฆาฏิใช้ ข้อนั้นเป็นการสมควร ประโยชน์อะไรแก่สมณะ ด้วยบิณฑบาตอันมีค่ามาก สมณะควรสำเร็จความ เป็นอยู่ ด้วยก้อนข้าวที่ได้มา ด้วยปลีแข้ง โดยความประพฤติแสวงหา ข้อนั้นเป็นการสมควร ประโยชน์อะไรแก่สมณะ ด้วยเสนาสนะมีค่ามาก สมณะควรอยู่ที่โคนต้นไม้ อยู่ที่ป่าช้า หรืออยู่ในที่แจ้ง ข้อนั้นเป็นการสมควร ประโยชน์อะไรแก่สมณะ ด้วยคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร มีค่ามาก สมณะพึงทำยาด้วยมูตรเน่า หรือชิ้นลูกสมอ ข้อนั้นเป็นการสมควร เธออาศัยความเป็นผู้อยากได้มากนั้น จึงทรงจีวรที่เศร้าหมอง ซ่องเสพเสนาสนะที่เศร้าหมอง และฉันคิลานปัจจัยเภสัชบริขารที่เศร้าหมอง พวกคฤหบดี เห็นภิกษุนั้นแล้ว ย่อมทราบอย่างนี้ว่า สมณะนี้มีความปรารถนาน้อย เป็นผู้สันโดษสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ปรารภความเพียร มีวาทะ กำจัดกิเลส ก็ยิ่งนิมนต์เธอด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 22
เภสัชบริขาร เธอก็กล่าวอย่างนี้ว่า เพราะประจวบด้วยเหตุ ๓ ประการ กุลบุตรผู้มีศรัทธาย่อมประสบบุญมาก คือ เพราะประจวบด้วยศรัทธา กุลบุตรผู้มีศรัทธา ก็ประสบบุญมาก เพราะประจวบด้วยไทยธรรม กุลบุตรผู้มีศรัทธา ย่อมประสบบุญมาก เพราะประจวบด้วยพระทักขิไณยบุคคล กุลบุตรผู้มีศรัทธา ย่อมประสบบุญมาก พวกท่านมีศรัทธานี้อยู่ มีไทยธรรมนี้อยู่ ทั้งอาตมาก็เป็นปฏิคาหก ถ้าอาตมาจักไม่รับ พวกท่านก็จักเสื่อมจากบุญไป อาตมาไม่มีความต้องการด้วยปัจจัยนี้ แต่อาตมาจะรับ ด้วยความอนุเคราะห์พวกท่าน จำเดิมแต่นั้น เธอก็รับจีวรมาก รับบิณฑบาตมาก รับเสนาสนะมาก รับคิลานปัจจัยเภสัชบริขารมาก ความทำหน้าสยิ้ว ความเป็นผู้มีหน้าสยิ้ว ความหลอกลวง กิริยาที่หลอกลวง ความเป็นผู้หลอกลวง เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า เรื่องความหลอกลวง กล่าวด้วยการซ่องเสพปัจจัย.
เรื่องความหลอกลวง กล่าวด้วยอิริยาบถเป็นไฉน ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ มีความประสงค์ในการยกย่อง คิดว่า ประชุมชนจักยกย่องเรา ด้วยอุบายอย่างนี้ จึงสำรวมการเดิน สำรวมการนั่ง สำรวมการนอน ย่อมตั้งสติเดิน ตั้งสติยืน ตั้งสตินั่ง ตั้งสตินอน ทำเหมือนภิกษุมีสมาธิยืน ทำเหมือนภิกษุมีสมาธินั่ง ทำเหมือนภิกษุมีสมาธินอน และทำเหมือนภิกษุที่เจริญอาปาถกฌาน (เจริญฌานต่อหน้าพวกมนุษย์) การตั้งใจ ตั้งการดำรงอิริยาบถ ความทำหน้าสยิ้ว ความเป็นผู้มีหน้าสยิ้ว ความหลอกลวง กิริยาที่ หลอกลวง ความเป็นผู้หลอกลวง เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า เรื่องความหลอกลวง กล่าวด้วยอิริยาบถ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 23
เรื่องความหลอกลวง กล่าวด้วยการพูดเลียบเคียงเป็นไฉน ภิกษุ บางรูปในธรรมวินัยนี้ มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ มีความประสงค์ในการยกย่อง คิดว่า ประชุมชนจักยกย่องเรา ด้วยอุบายอย่างนี้ จึงกล่าววาจา อิงอริยธรรม คือพูดว่า สมณะใดทรงจีวรอย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก สมณะใดทรงบาตรอย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก สมณะใดทรงภาชนะโลหะ ทรงธมกรก ทรงผ้าสำหรับกรองน้ำ ถือลูกกุญแจ สวมรองเท้า ใช้ประคดเอว ใช้สายโยกบาตรอย่างนี้ สมณะนั้น มีศักดิ์มาก พูดว่า สมณะใดมีอุปัชฌายะอย่างนี้ มีอาจารย์อย่างนี้ มีพวกร่วมอุปัชฌายะอย่างนี้ มีพวกร่วมอาจารย์อย่างนี้ มีมิตรอย่างนี้ มีพวกอย่างนี้ มีพวกที่คบกันมาอย่างนี้ มีสหายอย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก พูดว่า สมณะใด อยู่ในวิหารเช่นนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก สมณะใด อยู่ในเรือนมีหลังคาแถบเดียวอย่างนี้ อยู่ในปราสาทอย่างนี้ อยู่ในเรือนมีหลังคาโล้นอย่างนี้ อยู่ในถ้ำอย่างนี้ อยู่ในที่หลีกเร้นอย่างนี้ อยู่ในกุฎีอย่างนี้ อยู่ในเรือนยอดอย่างนี้ อยู่ในป้อมอย่างนี้ อยู่ในโรงกลมอย่างนี้ อยู่ในเรือนที่พักอย่างนี้ อยู่ในศาลาที่ประชุมอย่างนี้ อยู่ในมณฑปอย่างนี้ อยู่ที่โคนต้นไม้อย่างนี้ สมณะนั้นมีศักดิ์มาก อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีหน้าบูดเบี้ยว ทำหน้าย่นยู่ยี่ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง อันผู้อื่นสรรเสริญด้วยความที่ตนวางหน้าว่า สมณะนี้ได้วิหารสมาบัติ อันมีอยู่เห็นปานนี้ ภิกษุนั้นย่อมกล่าวถ้อยคำเช่นนั้น อันปฏิสังยุตด้วยโลกุตตรธรรม และนิพพานอันลึกลับ สุขุม ละเอียด ปิดบัง ความทำหน้าสยิ้ว ความเป็นผู้มีหน้าสยิ้ว ความหลอกลวง กิริยาที่หลอกลวง ความเป็นผู้หลอกลวง เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า เรื่องความหลอกลวง กล่าวด้วยการพูดเลียบเคียง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 24
เรื่องความหลอกลวง ๓ อย่างนี้ อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่หลอกลวง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้หลีกเร้นไม่หลอกลวง.
[๓๙๘] ตัณหา เรียกว่า ความทะเยอทะยาน ในคำว่า ผู้ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ตระหนี่ ได้แก่ ความกำหนัด ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความทะเยอทะยานนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่ทะเยอทะยาน ไม่อยากได้ ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา ไม่ชอบใจรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล หมู่คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ อดีต อนาคต ปัจจุบัน รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อารมณ์ที่ทราบ และธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง เพราฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่ทะเยอทะยาน.
ว่าด้วยความตะหนี่ ๕ อย่าง
คำว่า ผู้ไม่ตระหนี่ ความว่า ความตระหนี่ ๕ อย่าง คือ ความตระหนี่ที่อยู่ ๑ ความตระหนี่สกุล ๑ ความตระหนี่ลาภ ๑ ความตระหนี่วรรณะ ๑ ความตระหนี่ธรรม ๑ ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ความเป็นผู้ตระหนี่ ความเป็นผู้ปรารถนาต่างๆ ความเหนียวแน่น ความเป็นผู้มีจิตหดหู่เจ็บร้อนในการให้ ความที่จิตอันใครๆ ไม่เชื่อถือได้ในการให้ เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความตระหนี่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 25
อีกอย่างหนึ่ง ความตระหนี่ขันธ์ก็ดี ความตระหนี่ธาตุก็ดี ความตระหนี่อายตนะก็ดี นี่เรียกว่าความตระหนี่ ความมุ่งจะเอาก็เรียกว่า ความตระหนี่ ความตระหนี่นั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่ตระหนี่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ตระหนี่.
ว่าด้วยความคะนอง ๓ อย่าง
[๓๙๙] ชื่อว่า ความคะนอง ในคำว่า ผู้ไม่คะนอง ไม่เป็นที่รังเกียจ ได้แก่ ความคะนอง ๓ อย่าง คือ ความคะนองทางกาย ๑ ความคะนองทางวาจา ๑ ความคะนองทางจิต ๑.
ความคะนองทางกายเป็นไฉน? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในสงฆ์ก็ดี อยู่ในคณะก็ดี อยู่ในโรงฉันก็ดี อยู่ในเรือนไฟก็ดี อยู่ที่ท่าน้ำก็ดี กำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้านก็ดี เข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้วก็ดี ก็แสดงความคะนองทางกาย.
ภิกษุอยู่ในสงฆ์ แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในสงฆ์ ไม่ทำความยำเกรง ยืนเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง นั่งเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง ยืนบังหน้าบ้าง นั่งบังหน้าบ้าง นั่งบนอาสนะที่สูงบ้าง นั่งคลุมศีรษะตนบ้าง ยืนตัวแข็ง (ไม่ก้ม) พูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง ภิกษุอยู่ในสงฆ์ แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุอยู่ในคณะ แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัย อยู่ในคณะ ไม่ทำความยำเกรง เมื่อพวกภิกษุที่เป็นเถระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 26
ไม่สวมรองเท้าเดินอยู่ ก็สวมรองเท้าเดินไป เมื่อพวกภิกษุที่เป็นเถระ เดินอยู่ในที่จงกรมต่ำ ก็เดินในที่จงกรมสูง เมื่อพวกภิกษุที่เป็นเถระ เดินอยู่บนแผ่นดิน ก็เดินในที่จงกรม ยืนเบียดบ้าง นั่งเบียดบ้าง ยืนบังหน้าบ้าง นั่งบังหน้าบ้าง นั่งบนอาสนะที่สูงบ้าง นั่งคลุมศีรษะตนบ้าง ยืนตัวแข็งพูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง ภิกษุอยู่ในคณะ แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุอยู่ในโรงฉัน แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในโรงฉัน ไม่ทำความยำเกรง นั่งแทรกแซง พวกภิกษุบางรูปที่เป็นเถระบ้าง นั่งกีดกันอาสนะ พวกภิกษุที่เป็นนวกะบ้าง ยืนเบียดบ้าง ยืนบังหน้าบ้าง นั่งบังหน้าบ้าง นั่งบนอาสนะที่สูงบ้าง นั่งคลุมศีรษะคนบ้าง ยืนตัวแข็งพูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง ภิกษุอยู่ในโรงฉัน แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุอยู่ในเรือนไฟ แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในเรือนไฟ ไม่ทำความยำเกรง ยืนเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง นั่งเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง ยืนบังหน้าบ้าง นั่งบังหน้าบ้าง นั่งบนอาสนะที่สูงบ้าง ไม่บอกก่อนแล้วใส่ฟืนบ้าง ไม่บอกก่อนแล้วปิดประตูบ้าง ภิกษุอยู่ในเรือนไฟ แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุอยู่ที่ท่าน้ำ แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ที่ท่าน้ำ ไม่ทำความยำเกรง ลงเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง ลงข้างหน้าบ้าง อาบเบียดบ้าง อาบข้างหน้าบ้าง อาบเหนือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 27
น้ำบ้าง ขึ้นเบียดบ้าง ขึ้นข้างหน้าบ้าง ขึ้นข้างเหนือน้ำบ้าง ภิกษุอยู่ที่ท่าน้ำ แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุกำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้าน แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ กำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้าน ไม่ทำความยำเกรง เดินเบียดพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง เดินข้างหน้าบ้าง เดินขึ้นหน้าพวกภิกษุที่เป็นเถระบ้าง ภิกษุกำลังเข้าไปสู่ละแวกบ้าน แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้.
ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว แสดงความคะนองทางกายอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว เมื่อเขาไม่บอกว่า เข้าไปเถิดพระคุณเจ้า ก็เข้าไป เมื่อเขาไม่บอกว่า ยืนเถิดพระเจ้าข้า ก็ยืน เมื่อเขาไม่บอกว่า นั่งเถิดพระคุณเจ้า ก็นั่ง เข้าไปสู่ที่เป็นโอกาสไม่ควรบ้าง ยืนในที่เป็นโอกาสไม่ควรบ้าง นั่งในที่เป็นโอกาสไม่ควรบ้าง ผลุนผลันเข้าไปในห้องเล็กลับปิดบังของสกุล อันเป็นที่นั่งอยู่แห่งหญิงของสกุล ธิดาของสกุล สะใภ้ของสกุล กุมารีของสกุลบ้าง จับศีรษะเด็กบ้าง ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว แสดงความคะนองทางกายอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความคะนองทางกาย.
ความคะนองทางวาจาเป็นไฉน? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในสงฆ์ก็ดี อยู่ในคณะก็ดี เข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้วก็ดี ย่อมแสดงความคะนองทางวาจา.
ภิกษุอยู่ในสงฆ์ แสดงความคะนองทางวาจาอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในสงฆ์ ไม่ทำความยำเกรง ไม่บอกพวกภิกษุที่เป็นเถระก่อน หรืออันพวกภิกษุที่เป็นเถระ ไม่เชื้อเชิญ ก็แสดงธรรมแก่ภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 28
ทั้งหลาย ที่อยู่ในอาราม แก้ปัญหาเอง สวดปาติโมกข์เอง ยืนตัวแข็งพูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง ภิกษุอยู่ในสงฆ์ แสดงความคะนองทางวาจา อย่างนี้.
ภิกษุอยู่ในคณะ แสดงความคะนองทางวาจาอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ อยู่ในคณะ ไม่ทำความยำเกรง ไม่บอกแก่พวกภิกษุที่เป็นเถระก่อน หรืออันพวกภิกษุที่เป็นเถระไม่เชื้อเชิญ ก็แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่อยู่ในอาราม แก้ปัญหาเอง ยืนตัวแข็งพูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง แสดงธรรมแก่ภิกษุณีทั้งหลาย ที่อยู่ในอาราม แสดงธรรมแก่อุบาสกทั้งหลาย ที่อยู่ในอาราม แสดงธรรมแก่อุบาสิกาทั้งหลาย ที่อยู่ในอาราม แก้ปัญหาเอง ยืนตัวแข็งพูดบ้าง แกว่งแขนพูดบ้าง ภิกษุอยู่ในคณะ แสดงความคะนองทางวาจาอย่างนี้.
ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว แสดงความคะนองทางวาจาอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว พูดกะสตรีบ้าง กุมารีบ้าง พูดฟุ้งไปว่า ดูก่อนหญิงมีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ สิ่งอะไรมีอยู่ ยาคูมีไหม ภัตมีไหม ของควรเคี้ยวมีไหม พวกเราจะดื่มอะไร จะฉันอะไร จะเคี้ยวอะไร สิ่งอะไรมีหรือ หรือท่านทั้งหลาย จะให้อะไรแก่เรา ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้ว แสดงความคะนองทางวาจาอย่างนี้ นี้ชื่อว่า ความคะนองทางวาจา.
ความคะนองทางจิตเป็นไฉน? ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มิใช่เป็นผู้ออกบวชจากสกุลสูง ก็มีจิตวางตน เหมือนกับภิกษุที่ออกบวชจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 29
สกุลสูง มิใช่เป็นผู้ออกบวชจากสกุลใหญ่ ก็มีจิตวางตนเหมือนกับภิกษุ ที่ออกบวชจากสกุลใหญ่ มิใช่เป็นผู้ออกบวชจากสกุล มีโภคสมบัติมาก ก็มีจิตวางตนเหมือนกับภิกษุ ที่ออกบวชจากสกุลมีโภคสมบัติมาก มิใช่เป็นผู้ออกบวชจากสกุลมีโภคสมบัติยิ่งใหญ่ ก็มีจิตวางตนเหมือนกับภิกษุที่ออกบวช จากสกุลมีโภคสมบัติยิ่งใหญ่ มิใช่เป็นผู้ทรงจำพระสูตร ก็มีจิตวางตนเหมือนกับภิกษุผู้ทรงจำพระสูตร มิใช่เป็นผู้ทรงจำพระวินัย... มิใช่เป็นพระธรรมกถึก... มิใช่เป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้เที่ยวบิณฑบาต ไปตามลำดับตรอกเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ถือไม่ฉันภัตหนหลังเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ถือไม่นอนเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ถืออยู่ในเสนาสนะ ที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตร... มิใช่เป็นผู้ได้ปฐมฌาน ฯลฯ มิใช่เป็นผู้ได้เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ก็มีจิตวางตนเหมือนกับภิกษุที่ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ นี้ชื่อว่า ความคะนองทางจิต.
ความคะนอง ๓ ประการนี้ บุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่คะนอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่คะนอง.
ว่าด้วยผู้น่ารังเกียจ และไม่น่ารังเกียจ
[๔๐๐] คำว่า ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจ ความว่า บุคคลผู้เป็นที่รังเกียจก็มี ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 30
ก็บุคคลผู้เป็นที่รังเกียจเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทุศีล มีบาปธรรม มีความประพฤติอันไม่สะอาด ที่พึงระลึกด้วยความระแวง มีการงานอันปกปิด ไม่ใช่สมณะ ก็ปฏิญาณว่า คนเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ก็ปฏิญาณว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นผู้มีความเน่าอยู่ ณ ภายใน มีจิตชุ่มอยู่ด้วยราคะ เป็นดังว่า หยากเยื่อ บุคคลนี้เรียกว่า เป็นที่รังเกียจ.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้มักโกรธ มีความแค้นเคืองมาก ถูกใครว่า เข้าแต่น้อย ก็ขัดใจ โกรธเคือง มุ่งร้าย ปองร้าย ทำความโกรธ ความเคือง ความไม่ยินดี ให้ปรากฏ บุคคลนี้เรียกว่า ผู้เป็นที่รังเกียจ.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด มีมารยา เป็นผู้กระด้าง ถือตัวจัด มีความปรารถนาลามก มีความเห็นผิด มีความถือทิฏฐิของตน มีความถือรั้น มีความสละคืนยาก บุคคลนี้เรียกว่า ผู้เป็นที่รังเกียจ.
ก็บุคคลผู้ไม่เป็นที่รังเกียจเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลสำรวม ด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร เห็นภัยในโทษทั้งหลาย มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจ.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มีความแค้นเคืองมาก แม้อันใครๆ ว่ามากก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่มุ่งร้าย ไม่ปองร้าย ไม่ทำความโกรธ ความเคือง ความไม่ยินดี ให้ปรากฏ บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 31
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลเป็นผู้ไม่ถือโกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่ ไม่ตีเสมอ ไม่ริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ไม่กระด้าง ไม่ถือตัวจัด ไม่มีความปรารถนาลามก ไม่มีความเห็นผิด ไม่ถือทิฏฐิของตน ไม่มีความถือรั้น มีความสละคืนง่าย บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจ อริยบุคคลทั้งหมด รวมทั้งกัลยาณปุถุชน เรียกว่า ผู้ไม่เป็นที่รังเกียจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่คะนอง ไม่เป็นที่รังเกียจ.
ว่าด้วยผู้ส่อเสียด
[๔๐๑] ชื่อว่า ความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด ในคำว่า และไม่ประกอบในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือ ฟังจากข้างนี้แล้ว ไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังจากข้างโน้นแล้ว มาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น เป็นผู้ทำลายคนที่พร้อมเพรียงกันบ้าง สนับสนุนคนที่แตกกันแล้วบ้าง ชอบผู้ที่เป็นก๊กกัน ยินดีผู้ที่เป็นก๊กกัน เพลินผู้ที่เป็นก๊กกัน เป็นผู้กล่าววาจาที่ทำให้เป็นก๊กกัน นี้เรียกว่า ความเป็นผู้มีคำ ส่อเสียด อีกอย่างหนึ่ง บุคคลย่อมนำคำส่อเสียดเข้าไป ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รัก ๑ มีความประสงค์ให้เขาแตกกัน ๑.
บุคคลนำคำส่อเสียดเข้าไป ด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างไร? บุคคลนำคำส่อเสียดเข้าไป ด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างนี้ว่า เราจักเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นผู้สนิท เป็นภายใน เป็นที่ดีใจ ของบุคคลนี้ บุคคลนำคำส่อเสียดเข้าไป ด้วยความมุ่งหมายเป็นที่รักอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 32
บุคคลเป็นผู้มีความประสงค์ ให้เขาแตกกันอย่างนี้ว่า คนเหล่านี้พึงเป็นต่างกัน แยกกัน เป็นก๊กกัน เป็นสองเหล่า สองพวก สองฝ่ายอย่างไร คนเหล่านั้นพึงแตกกัน ไม่ปรองดองกัน พึงอยู่ลำบาก ไม่ผาสุก บุคคลมีความประสงค์ ให้เขาแตกกัน นำคำส่อเสียดเข้าไปอย่างนี้.
คำส่อเสียดนี้ บุคคลใด ละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นไม่ประกอบ ไม่ประกอบทั่ว ไม่มาประกอบ ไม่มาประกอบพร้อม ในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และไม่ประกอบในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลเป็นผู้หลีกเร้น ไม่หลอกลวง ไม่ทะเยอทะยาน ไม่ตระหนี่ ไม่คะนอง ไม่เป็นที่รังเกียจ และไม่ประกอบในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด.
[๔๐๒] บุคคลผู้ไม่มีความยินดี ในวัตถุเป็นที่ยินดี ไม่ประกอบในความถือตัวจัด เป็นผู้ละเอียด มีปฏิภาณไม่เชื่อใครๆ และไม่คลายกำหนัด.
ว่าด้วยกามคุณ
[๔๐๓] กามคุณ ๕ เรียกว่า วัตถุเป็นที่ยินดี ในคำว่า บุคคลผู้ไม่มีความยินดี ในวัตถุเป็นที่ยินดี เพราะเหตุว่า เทวดา และมนุษย์ ย่อมอยากได้ ยินดี ปรารถนา รักใคร่ พอใจกามคุณ ๕ โดยส่วนมาก เพราะเหตุนั้น กามคุณ ๕ จึงเรียกว่า วัตถุเป็นที่ยินดี. ความยินดี คือ ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 33
ปรารถนานั้น อันชนเหล่าใดยังละไม่ได้แล้ว ชนเหล่านั้น ก็มีรูปตัณหาไหลหลั่ง เลื่อนไหล เป็นไปในทางจักษุ มีสัททตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางหู มีคันธตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางจมูก มีรสตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางลิ้น มีโผฏฐัพพตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางกาย มีธรรมตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางใจ ความยินดี คือ ความปรารถนานั้น อันชนเหล่าใด ละ ตัดขาด สงบระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ชนเหล่านั้น ก็ไม่มีรูปตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางจักษุ ไม่มีสัททตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางหู ไม่มีคันธตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางจมูก ไม่มีรสตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางลิ้น ไม่มีโผฏฐัพพตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางกาย ไม่มีธรรมตัณหาหลั่งไหล เลื่อนไหล เป็นไปทางใจ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่มีความยินดี ในวัตถุเป็นที่ยินดี.
ว่าด้วยความดูหมิ่น
[๔๐๔] คำว่า ไม่ประกอบในความดูหมิ่น ความว่า ความดูหมิ่นเป็นไฉน? บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมดูหมิ่นผู้อื่น โดยชาติบ้าง โดยโคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ความถือตัว กิริยาที่ถือตัว ความกำเริบขึ้น ความฟูขึ้น ความถือตัวดังว่า ธงชัย ความยกย่องตน ความที่จิตใคร่เป็นดังว่า ธงยอด เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความดูหมิ่นนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นไม่ประกอบ ไม่ประกอบทั่ว ไม่มาประกอบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 34
ไม่มาประกอบพร้อม ในความดูหมิ่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ประกอบในความดูหมิ่น.
[๔๐๕] คำว่า ผู้ละเอียด มีปฏิภาณ ความว่า ชื่อว่า ผู้ละเอียด เพราะประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ อริยมรรคมีองค์ ๘ อันละเอียด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ละเอียด.
ผู้มีปฏิภาณ ๓ จำพวก
[๔๐๖] คำว่า มีปฏิภาณ ความว่า บุคคลมีปฏิภาณ ๓ จำพวก คือ บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริยัติ ๑ บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริปุจฉา ๑ บุคคลมีปฏิภาณเพราะอธิคม ๑.
บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริยัติเป็นไฉน? บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เล่าเรียนพระพุทธพจน์ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ญาณของบุคคลนั้น ย่อมแจ่มแจ้งเพราะอาศัยปริยัติ บุคคลนี้ชื่อว่า ผู้มีปฏิภาณเพราะปริยัติ.
บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริปุจฉาเป็นไฉน? บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เป็นผู้ไต่ถามในประโยชน์ของตน ในประโยชน์ที่ควรรู้ ในลักษณะ ในเหตุ ในฐานะ และอฐานะ ญาณของบุคคลนั้น ย่อมแจ่มแจ้ง เพราะอาศัยการไต่ถามนั้น บุคคลนี้ชื่อว่า ผู้มีปฏิภาณเพราะปริปุจฉา.
บุคคลมีปฏิภาณเพราะอธิคมเป็นไฉน? บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เป็นผู้ได้บรรลุธรรมทั้งหลาย คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 35
สามัญญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ บุคคลนั้นรู้อรรถ รู้ธรรม รู้นิรุตติ เมื่อรู้อรรถ อรรถก็แจ่มแจ้ง เมื่อรู้ธรรม ธรรมก็แจ่มแจ้ง เมื่อรู้นิรุตติ นิรุตติก็แจ่มแจ้ง ญาณในอรรถ ธรรม และนิรุตติ ทั้ง ๓ นี้ ชื่อว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา บุคคลใดเข้าถึง เข้าถึงพร้อม เข้าไป เข้าไปพร้อม เข้าไปถึง เข้าไปถึงพร้อม ประกอบแล้ว ด้วยปฏิภาณปฏิสัมภิทานี้ บุคคลใดไม่มีประยัติ ไม่มีปริปุจฉา ไม่มีอธิคม ญาณอะไรเล่า จะแจ่มแจ้งแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ละเอียด มีปฏิภาณ.
ว่าด้วยรู้ธรรมแล้ว ไม่ต้องเชื่อใครอีก
[๔๐๗] คำว่า ไม่เชื่อใครๆ ในคำว่า ไม่เชื่อใครๆ ไม่คลายกำหนัด ความว่า ภิกษุนั้นย่อมไม่เชื่อธรรมที่รู้ยิ่งด้วยตนเอง อันประจักษ์แก่ตนเองต่อใครๆ อื่น ซึ่งเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหม คือไม่เชื่อธรรมที่รู้ยิ่งด้วยตนเอง อันประจักษ์แก่ตนเองว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ... เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติดับ ชรา มรณะจึงดับ... นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เหล่านั้น อาสวะ ฯลฯ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ... ธรรมเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯลฯ ธรรมเหล่านี้ ควรทำให้แจ้งต่อใครๆ อื่น ซึ่งเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหม และไม่เชื่อธรรมที่รู้ยิ่ง ด้วยตนเอง อันประจักษ์แก่ตนเอง คือ ความเกิด ความดับ คุณ โทษ อุบายเครื่องสลัดออกไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 36
แห่งผัสสายตนะ ๖ และความเกิด ความดับ คุณ โทษ อุบายเครื่องสลัดออกไป แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ และความเกิด ความดับ คุณ โทษ อุบายเครื่องสลัดออกไป แห่งมหาภูตรูป ๔ ต่อใครๆ อื่น ซึ่งเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหม และไม่เชื่อธรรมที่รู้ยิ่งด้วยตนเอง อันประจักษ์แก่ตนเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมด มีความดับไปเป็นธรรมดา ต่อใครๆ อื่น ซึ่งเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร หรือพรหม.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร เธอย่อมเชื่อ หรือว่า สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นธรรมชาติหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด. ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ ข้าพระองค์ไม่ถึงความเชื่อต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นธรรมชาติ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัทธินทรีย์เป็นต้นนั้น ชนเหล่าใด ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่ทำให้แจ้ง ไม่ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น พึงถึงความเชื่อต่อชนอื่นในข้อนั้น โดยแน่นอนว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ที่บุคคลเจริญเล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นคุณชาติ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ส่วนว่า สัทธินทรีย์เป็นต้นนั้น ชนเหล่าใดรู้เห็น ทราบ ทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้ว ด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย ในข้อนั้นว่า สัทธินทรีย์... ปัญญินทรีย์... ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 37
มากแล้ว เป็นคุณชาติ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สัทธินทรีย์เป็นต้นนั้น ข้าพระองค์รู้ เห็น ทราบ ทำให้แจ้ง ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ข้าพระองค์ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย ในข้อนั้นว่า สัทธินทรีย์... ปัญญินทรีย์ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นคุณชาติหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ถูกละๆ ดูก่อนสารีบุตร ความจริง สัทธินทรีย์เป็นต้นนั้น ชนเหล่าใด ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ทราบ ไม่ทำให้แจ้ง ไม่ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น พึงถึงความเชื่อต่อชนอื่น ในข้อนั้นว่า สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ที่บุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นคุณชาติ หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้ จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า
นรชนใด เป็นผู้ไม่เชื่อใครๆ รู้ว่านิพพาน อันปัจจัยอะไรๆ ทำไม่ได้ ตัดที่ต่อ กำจัดโอกาส คลายความหวังเสียแล้ว นรชนนั้นแล ชื่อว่า เป็นอุดมบุรุษ ดังนี้.
ว่าด้วยผู้ไม่ต้องคลายกำหนัด
คำว่า ไม่ต้องคลายกำหนัด ความว่า พาลปุถุชนทั้งหมด ย่อมกำหนัด พระเสขะ ๗ จำพวก รวมทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมต้องคลายกำหนัด พระอรหันต์ ย่อมไม่กำหนัด จึงไม่ต้องคลายกำหนัด พระอรหันต์นั้น ชื่อว่า เป็นผู้เว้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 38
เพราะสิ้นราคะ ปราศจากราคะ สิ้นโทสะ ปราศจากโทสะ สิ้นโมหะ ปราศจากโมหะ พระอรหันต์นั้น อยู่จบพรหมจรรย์ มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ไม่มีภพใหม่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่เชื่อใครๆ ไม่ต้องคลายกำหนัด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลผู้ไม่มีความยินดี ในวัตถุเป็นที่ยินดี ไม่ประกอบในความดูหมิ่น ผู้ละเอียด มีปฏิภาณ ไม่เชื่อใครๆ และไม่ต้องคลายกำหนัด.
[๔๐๘] บุคคลไม่ศึกษา เพราะอยากได้ลาภ ไม่โกรธ เพราะไม่ได้ลาภ เป็นผู้ไม่พิโรธ และไม่ติดใจในรส เพราะตัณหา.
ว่าด้วยศึกษาเพราะอยากได้ลาภ
[๔๐๙] พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ไม่พึงศึกษาเพราะอยากได้ลาภ ไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ ดังต่อไปนี้ บุคคลย่อมศึกษา เพราะอยากได้ลาภอย่างไร? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นภิกษุผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงจำพระสูตร ด้วยเหตุนั้น ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอหวังได้ลาภก็เล่าเรียน พระสูตร เพราะเหตุแห่งลาภ เพราะปัจจัยเเห่งลาภ เพราะการณะแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 39
ลาภ เพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ ภิกษุย่อมศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเห็นภิกษุผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงจำพระวินัย ฯลฯ ท่านผู้นี้เป็นผู้ทรงจำพระอภิธรรม ด้วยเหตุนั้น ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอหวังได้ลาภ ก็เล่าเรียนพระอภิธรรม เพราะเหตุแห่งลาภ เพราะปัจจัยแห่งลาภ เพราะการณะแห่งลาภ และเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ ภิกษุย่อมศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้ อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุเห็นภิกษุผู้ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า เพราะเหตุอะไรหนอ ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เธอมีความดำริอย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตร ถือการเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกเป็นวัตร ถือไม่ฉันภัตหนหลังเป็นวัตร ถือการนั่งเป็นวัตร ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตร ด้วยเหตุนั้น ท่านผู้นี้จึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัย เภสัชบริขาร เธอหวังได้ลาภ ก็เป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ฯลฯ เป็นผู้ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตร เพราะเหตุแห่งลาภ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 40
เพราะปัจจัยแห่งลาภ เพราะการณะแห่งลาภ และเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ ภิกษุย่อมศึกษา เพราะความอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
ภิกษุไม่ศึกษา เพราะอยากได้ลาภอย่างไร? ภิกษุย่อมไม่ศึกษาเพราะเหตุแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะปัจจัยแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะการณะแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ ไม่หวังได้ลาภ ย่อมเล่าเรียนพระสูตร ย่อมเล่าเรียนพระวินัย ย่อมเล่าเรียนพระอภิธรรม เพื่อประโยชน์ฝึกตน เพื่อสงบตน เพื่อให้ตนปรินิพพาน อย่างเดียวเท่านั้น ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุไม่ศึกษาเพราะเหตุแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะปัจจัยแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะการณะแห่งลาภ ไม่ศึกษาเพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ ไม่หวังได้ลาภ ย่อมเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถือทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตร ถือทรงผ้าไตรจีวรเป็นวัตร ถือการเที่ยวบิณฑบาต ตามลำดับตรอกเป็นวัตร ถือไม่ฉันภัตหนหลังเป็นวัตร ถือการนั่งเป็นวัตร ถือการอยู่ในเสนาสนะ ที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตร เพราะอาศัยความปรารถนาน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลากิเลส ความสงัด ความเป็นผู้มีความต้องการด้วยกุศลนี้ แต่อย่างเดียวเท่านั้น ภิกษุไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ แม้อย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ.
ว่าด้วยไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ
[๘๑๐] พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ ดังต่อไปนี้ บุคคลย่อมโกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างไร? ภิกษุบางรูปในธรรม-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 41
วินัยนี้ ยังโกรธ ขัดเคือง แค้นใจ ทำความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่ยินดีให้ปรากฏว่า เราย่อมไม่ได้สกุล ไม่ได้คณะ ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้สุข ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลเป็นคิลานุปัฏฐาก เราเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ปรากฏ บุคคลย่อมโกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างนี้.
บุคคลย่อมไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างไร? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่โกรธ ไม่ขัดเคือง ไม่แค้นใจ ไม่ทำความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่ยินดีให้ปรากฏว่า เราย่อมไม่ได้สกุล ไม่ได้คณะ ไม่ได้อาวาส ไม่ได้ลาภ ไม่ได้ยศ ไม่ได้สรรเสริญ ไม่ได้จีวร ไม่ได้บิณฑบาต ไม่ได้เสนาสนะ ไม่ได้คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ไม่ได้บุคคลเป็นคิลานุปัฏฐาก เราเป็นผู้ไม่มีชื่อเสียงปรากฏ บุคคลย่อมไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ ไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ.
ว่าด้วยความพิโรธ
[๔๑๑] คำว่า ความพิโรธ ในคำว่า เป็นผู้ไม่พิโรธ และไม่ติดใจในรสเพราะตัณหา ดังนี้ ได้แก่ ความปองร้าย ความมุ่งร้าย ความขุ่นเคือง ความเคือง ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ ความชัง ความชังทั่ว ความชังเสมอ ความพยาบาทแห่งจิต ความประทุษร้ายในใจ ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ความเป็นผู้โกรธ ความชัง กิริยาที่ชัง ความเป็นผู้ชัง ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท ความเป็นผู้พยาบาท ความพิโรธ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 42
ความพิโรธตอบ ความเป็นผู้ประทุษร้าย ความเพาะวาจาชั่ว ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต นี้เรียกว่า ความพิโรธ ความพิโรธนั้น อันบุคคลใด ละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ไม่พิโรธ. ชื่อว่า ตัณหา ได้แก่ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา. ชื่อว่า รส ได้แก่ รสที่ราก รสที่ลำต้น รสที่เปลือก รสที่ใบ รสที่ดอก รสที่ผล รสเปรี้ยว รสหวาน รสขม รสเผ็ดร้อน รสเค็ม รสปร่า รสเฝื่อน รสฝาด รสอร่อย รสไม่อร่อย รสเย็น รสร้อน. มีสมณพราหมณ์บางพวกติดใจในรส สมณพราหมณ์พวกนั้น เที่ยวแสวงหารสอันเลิศ ด้วยปลายลิ้น ได้รสเปรี้ยวก็แสวงหารสไม่เปรี้ยว ได้รสไม่เปรี้ยวก็แสวงหารสเปรี้ยว ได้รสหวานก็แสวงหารสไม่หวาน ได้รสไม่หวานก็แสวงหารสหวาน ได้รสขมก็แสวงหารสไม่ขม ได้รสไม่ขมก็แสวงหารสขม ได้รสเผ็ดร้อนก็แสวงหารสไม่เผ็ดร้อน ได้รสไม่เผ็ดร้อนก็แสวงหารสเผ็ดร้อน ได้รสเค็มก็แสวงหารสไม่เค็ม ได้รสไม่เค็มก็แสวงหารสเค็ม ได้รสปร่าก็แสวงหารสไม่ปร่า ได้รสไม่ปร่าก็แสวงหารสปร่า ได้รสเฝื่อนก็แสวงหารสฝาด ได้รสฝาดก็แสวงหารสเฝื่อน ได้รสอร่อยก็แสวงหารสไม่อร่อย ได้รสไม่อร่อยก็แสวงหารสอร่อย ได้รสเย็นก็แสวงหารสร้อน ได้รสร้อนก็แสวงหารสเย็น สมณพราหมณ์พวกนั้นได้รสใดๆ แล้ว ย่อมไม่ยินดีด้วยรสนั้นๆ ย่อมแสวงหารสอื่นๆ อีก เป็นผู้กำหนัด ปรารถนา ยินดี ติดใจ ลุ่มหลง ข้องเกี่ยว พัวพัน ในรสที่ชอบใจ. ตัณหาในรส อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 43
ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้น พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ย่อมฉันอาหาร ไม่ฉันเพื่อเล่น ไม่ฉันเพื่อเมา ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง ไม่ฉันเพื่อประดับ ฉันเพื่อความดำรงร่างกายนี้ เพื่อให้ร่างกายนี้เป็นไป เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้น ด้วยมนสิการว่า เราจะบำบัดเวทนาเก่าเสีย จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำเนินไป ความเป็นผู้ไม่มีโทษ ความอยู่สบายของเรา จักมีด้วยอุบายดังนี้ คนทาแผลเพื่อจะบ่มผิว คนหยอดน้ำมันเพลาเกวียน เพื่อจะขนภาระ คนกินเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพื่อจะออกจากทางกันดารอย่างเดียวเท่านั้น ฉันใด ภิกษุพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว พึงฉันอาหารก็ฉันนั้น ไม่ฉันเพื่อเล่น ไม่ฉันเพื่อเมา ไม่ฉันเพื่อตกแต่ง ไม่ฉันเพื่อประดับ ฉันเพื่อความดำรงกายนี้ เพื่อให้ ร่างกายนี้เป็นไป เพื่อกำจัดความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ อย่างเดียวเท่านั้น ด้วยมนสิการว่า เราจักบำบัดเวทนาเก่าเสีย จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น ความดำเนินไป ความเป็นผู้ไม่มีโทษ ความอยู่สบายของเรา จักมีด้วยอุบายดังนี้ ย่อมละ บรรเทา ทำให้สิ้นซึ่งรสตัณหา ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง เป็นผู้งด เว้น เว้นขาด ออก สลัด พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องด้วยรสตัณหา เป็นผู้มีจิตปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่พิโรธ และไม่ติดใจในรส เพราะตัณหา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลไม่ศึกษา เพราะอยากได้ลาภ ไม่โกรธเพราะไม่ได้ลาภ เป็นผู้ไม่พิโรธ และไม่ติดใจในรส เพราะตัณหา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 44
[๔๑๒] บุคคลเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติทุกเมื่อ ไม่สำคัญว่าเสมอเขา ไม่สำคัญว่าดีกว่าเขา ไม่สำคัญว่าต่ำกว่าเขา ในโลก กิเลสอันหนาทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น.
ว่าด้วยอุเบกขามีองค์ ๖
[๔๑๓] คำว่า มีอุเบกขา ในคำว่า บุคคลเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติทุกเมื่อ ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยอุเบกขามีองค์ ๖ กล่าวคือ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ ได้ยินเสียงด้วยหู สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่ เห็นรูปที่ชอบใจด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่ติดใจ ไม่ยินดี ไม่ให้ราคะเกิด กายของบุคคลนั้นตั้งอยู่ (ไม่หวั่นไหว) จิตก็ตั้งอยู่ ดำรงดีอยู่ ณ ภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว. อนึ่ง เห็นรูปที่ไม่ชอบใจด้วยจักษุแล้ว ก็ไม่เสียใจ ไม่โกรธ ไม่หดหู่ ไม่พยาบาท กายของบุคคลนั้นตั้งอยู่ จิตก็ตั้งอยู่ ดำรงดีอยู่ ณ ภายใน พ้นวิเศษ แล้ว ได้ยินเสียงที่ชอบใจด้วยหู สูดดมกลิ่นที่ชอบใจด้วยจมูก ลิ้มรส ที่ชอบใจด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะที่ชอบใจด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ชอบใจด้วยใจแล้ว ย่อมไม่ติดใจ ไม่ยินดี ไม่ให้ราคะเกิด กายของบุคคลนั้นตั้งอยู่ จิตก็ตั้งอยู่ ดำรงดีอยู่ ณ ภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว รู้แจ้งธรรมารมณ์ที่ไม่ชอบใจด้วยใจแล้ว ก็ไม่เสียใจ ไม่โกรธ ไม่หดหู่ ไม่พยาบาท กายของบุคคลนั้นตั้งอยู่ จิตก็ตั้งอยู่ ดำรงดีอยู่ ณ ภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว กายของบุคคลนั้นตั้งเฉยอยู่ ในรูปที่ชอบใจ และไม่ชอบใจ จิตก็ตั้งเฉยดำรงดีอยู่แล้ว ณ ภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 45
ได้ยินเสียงด้วยหู สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะ ด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว กายของบุคคลนั้นตั้งเฉยอยู่ ในธรรมารมณ์ที่ชอบใจ และไม่ชอบใจ จิตก็ตั้งเฉย ดำรงดีอยู่ ณ ภายใน พ้นวิเศษดีแล้ว เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมไม่กำหนัดในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ไม่หลงในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความหลง ไม่โกรธในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ ไม่เศร้าหมองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง ไม่มัวเมาในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา ได้ยินเสียงด้วยหู สูดดม กลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่กำหนัดในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง ไม่หลงในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความหลง ไม่โกรธในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ ไม่เศร้าหมองในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง ไม่มัวเมาในอารมณ์ เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา บุคคลนั้น เป็นแต่เพียงเห็นในรูปที่เห็น เป็นแต่เพียงได้ยินในเสียงที่ได้ยิน เป็นแต่เพียงทราบในกลิ่น รส โผฎฐัพพะที่ทราบ เป็นแต่เพียงรู้แจ้งในธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง ไม่คิดในรูปที่เห็น ไม่ติดในเสียงที่ได้ยิน ไม่ติดในกลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่ทราบ ไม่ติดในธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง ไม่มีตัณหา อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้องในรูปที่เห็น ย่อมมีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ ไม่มีตัณหา อันตัณหาทิฏฐิไม่อาศัย ไม่พัวพัน พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง ในเสียงที่ได้ยิน ในกลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่ทราบ ในธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง ย่อมมีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ พระอรหันต์มีจักษุปรากฏ ย่อมเห็นรูปด้วยจักษุ แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิตพ้นวิเศษ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 46
ดีแล้ว มีหูปรากฏ ย่อมได้ยินเสียงด้วยหู แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิต พ้นวิเศษดีแล้ว มีจมูกปรากฏ ย่อมสูดดมกลิ่นด้วยจมูก แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว มีลิ้นปรากฏ ย่อมลิ้มรสด้วยลิ้น แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว มีกายปรากฏ ย่อมถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว มีใจปรากฏ ย่อมรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ แต่มิได้มีฉันทราคะ มีจิตพ้นวิเศษดีแล้ว จักษุเป็นธรรมชาติชอบรูป ยินดีในรูป ชื่นชมในรูป พระอรหันต์ฝึก คุ้มครอง รักษา สำรวมจักษุ และย่อมแสดงธรรม เพื่อความสำรวมจักษุนั้น หูเป็นธรรมชาติชอบเสียง จมูกเป็นธรรมชาติชอบกลิ่น ลิ้นเป็นธรรมชาติชอบรส กายเป็นธรรมชาติชอบโผฏฐัพพะ ใจเป็น ธรรมชาติชอบธรรมารมณ์ ยินดีในธรรมารมณ์ ชื่นชมในธรรมารมณ์ พระอรหันต์ฝึกคุ้มครอง รักษา สำรวมใจ และแสดงธรรมเพื่อความสำรวมใจนั้น
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ชนทั้งหลาย ย่อมนำพาหนะที่เขาฝึกแล้ว ไปสู่ที่ประชุม พระราชาทรงขึ้นพาหนะ ที่เขาฝึกแล้ว บุคคลผู้ฝึกฝนแล้ว อดกลั้นถ้อยคำที่ล่วงเกินได้ เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ม้าอัสดร ม้าสินธพผู้อาชาไนย ช้างใหญ่กุญชร ที่เขาฝึกแล้ว เป็นสัตว์ประเสริฐ บุคคลผู้ฝึกตนแล้ว ประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น ใครๆ ไม่พึงไปถึงนิพพาน อันเป็นทิศที่ไม่เคยไป ด้วยยานเหล่านั้น เหมือนบุคคลผู้ฝึกแล้ว มีตนอันฝึกแล้ว ฝึกดีแล้ว ย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 47
ไปถึงได้ พระอรหันต์ไม่หวั่นไหว ในมานะทั้งหลาย เป็นผู้พ้นขาดแล้วจากภพใหม่ เป็นผู้บรรลุถึงแล้วซึ่งภูมิที่ฝึกแล้ว (๑) พระอรหันต์เหล่านั้น เป็นผู้ชนะแล้วในโลก ผู้ใดอบรมอินทรีย์ทั้งหลาย ในโลกทั้งปวง ทั้งในภายใน ทั้งในภายนอก ผู้นั้นฝึกดีแล้ว ทราบโลกนี้ และปรโลกแล้ว รอคอยอยู่ซึ่งกาลมรณะ.
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีอุเบกขา.
คำว่า ทุกเมื่อ คือ ในกาลทุกเมื่อ ในกาลทั้งปวง ตลอด นิตยกาล ตลอดกาลยั่งยืน ฯลฯ ในตอนวัยหลัง. คำว่า ผู้มีสติ คือ เป็นผู้มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ กล่าวคือ เมื่อเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในกายก็ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในเวทนาทั้งหลายก็ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในจิตก็ชื่อว่ามีสติ เมื่อเจริญธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในธรรมทั้งหลายก็ชื่อว่ามีสติ ฯลฯ บุคคลนั้นเรียกว่า มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติทุกเมื่อ.
ว่าด้วยมานะ
[๔๑๔] คำว่า ไม่สำคัญว่าเสมอเขา... ในโลก ความว่า ไม่ยังมานะให้เกิดโดยชาติบ้าง โดยโคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ว่าเราเสมอเขา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่สำคัญว่าเสมอเขา... ในโลก.
๑. อรหัตผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 48
[๔๑๕] คำว่า ไม่สำคัญว่าดีกว่าเขา ไม่สำคัญว่าต่ำกว่าเขา ความว่า ไม่ยังความดูหมิ่นให้เกิดขึ้น โดยชาติบ้าง โดยโคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ว่าเราดีกว่าเขา ไม่ยังความถือตัวให้เกิดขึ้น โดยชาติบ้าง โดยโคตรบ้าง ฯลฯ โดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ว่าเราเลวกว่าเขา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่สำคัญว่าดีกว่าเขา ไม่สำคัญว่าต่ำกว่าเขา.
ว่าด้วยกิเลสหนา ๗ ประการ
[๔๑๖] คำว่า นั้น ในคำว่า กิเลสอันหนาทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น ได้แก่ พระอรหันตขีณาสพ. ชื่อว่า กิเลสอันหนาทั้งหลาย คือกิเลสอันหนา ๗ ประการ กล่าวคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส และกรรม กิเลสอันหนาเหล่านี้ มิได้มี คือย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไป ได้แก่บุคคลนั้น เป็นบาปธรรมอันบุคคลนั้นละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กิเลสอันหนาทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติทุกเมื่อ ย่อมไม่สำคัญว่าเสมอเขา ไม่สำคัญว่าดีกว่าเขา ไม่สำคัญว่าต่ำกว่าเขา ในโลก กิเลสอันหนาทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น.
[๔๑๗] ผู้ใดไม่มีความอาศัย รู้ธรรมแล้วไม่อาศัย ไม่มีตัณหาในภพ หรือในความปราศจากภพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 49
ว่าด้วยความอาศัย
[๔๑๘] คำว่า ผู้ใด ในคำว่า ผู้ใดไม่มีความอาศัย คือพระอรหันตขีณาสพ. ชื่อว่า ความอาศัย ได้แก่ นิสัย ๒ ประการ คือ ตัณหานิสัย ๑ ทิฏฐินิสัย ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าตัณหานิสัย ฯลฯ นี้ชื่อว่า ทิฏฐินิสัย ฯลฯ ผู้นั้นละตัณหานิสัย สละคืนทิฏฐินิสัย เพราะละตัณหานิสัย สละคืนทิฏฐินิสัย ความอาศัยมิได้มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้แก่ผู้ใด คือ ความอาศัยนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดไม่มีความอาศัย.
[๔๑๙] คำว่า รู้แล้ว ในคำว่า รู้ธรรมแล้วไม่อาศัย ความว่า รู้ ทราบ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์....ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ รู้ ทราบ พิจารณา เทียบเคียง ให้แจ่มแจ้ง ทำให้เป็นแจ้งว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา.
คำว่า ไม่อาศัย ได้แก่ นิสัย ๒ ประการ คือ ตัณหานิสัย ๑ ทิฏฐินิสัย ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่าตัณหานิสัย ฯลฯ นี้ชื่อว่าทิฏฐินิสัย ผู้ใดละตัณหานิสัย สละคืนทิฏฐินิสัย เป็นผู้ไม่อาศัย ไม่พัวพัน ไม่เข้าถึง ไม่ติดใจ ไม่น้อมใจไป ออก สละ พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งจักษุ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ฯลฯ รูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ ที่ทราบ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง เป็นผู้มีจิตทำให้ปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า รู้ธรรมแล้วไม่อาศัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 50
ว่าด้วยตัณหา
[๔๒๐] ชื่อว่า ตัณหา ในคำว่า ไม่มีตัณหาในภพ และในความปราศจากภพ คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา. คำว่า ใด คือ พระอรหันตขีณาสพ. คำว่า ในภพ คือ ในภวทิฏฐิ. คำว่า ในความปราศจากภพ คือ ในวิภวทิฏฐิ. คำว่า ในภพ คือ ในสัสสตทิฏฐิ. คำว่า ในความปราศจากภพ คือ ในอุจเฉททิฏฐิ. คำว่า ในภพ คือ ในความเกิดบ่อยๆ ในความไปบ่อยๆ ในอุปบัติบ่อยๆ ในปฏิสนธิบ่อยๆ ในอันให้อัตตภาพเกิดบ่อยๆ ตัณหาย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ แก่ผู้ใด คือ ตัณหานั้น อันผู้ใดละ ตัดขาด สงบ ระงับ ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ใดไม่มีตัณหาในภพ และในความปราศจากภพ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ผู้ใดไม่มีความอาศัย รู้ธรรมแล้วไม่อาศัย ไม่มีตัณหาในภพ และในความปราศจากภพ.
[๔๒๑] เรากล่าวบุคคลนั้น ผู้ไม่เพ่งในกามทั้งหลายว่า เป็นผู้เข้าไปสงบ กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นได้ข้ามตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกาแล้ว.
[๔๒๒] คำว่า เรากล่าวบุคคลนั้น... ว่า เป็นผู้เข้าไปสงบ ความว่า เรากล่าว บอก พูด แสดง แถลง ซึ่งบุคคลนั้นว่า เป็นผู้สงบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 51
เข้าไปสงบ เงียบ ดับ ระงับแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เรากล่าวบุคคลนั้น....ว่า เป็นผู้เข้าไปสงบ.
ว่าด้วยกาม ๒
[๔๒๓] โดยอุทานว่า กาม ในคำว่า ผู้ไม่เพ่งในกามทั้งหลาย กามมี ๒ อย่าง คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑ ฯลฯ กามเหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯลฯ กามเหล่านั้นเรียกว่า กิเลสกาม บุคคลนั้นกำหนดรู้วัตถุกามแล้ว ละ สละ บรรเทา ทำให้สิ้น ให้ถึงความไม่มีในภายหลังแล้ว ซึ่งกิเลสกาม ชื่อว่า เป็นผู้ไม่เพ่งในกามทั้งหลาย คือ เป็นผู้ปราศจาก สละ สำรอก ปล่อย ละ สละคืนกามเสียแล้ว เป็นผู้ปราศจาก สละ สำรอก ปล่อย ละ สละคืนราคะเสียแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับแล้ว เย็นแล้ว เสวยสุข มีตนเป็นดุจพรหมอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้ไม่เพ่งในกามทั้งหลาย.
ว่าด้วยเครื่องร้อยรัด ๔ อย่าง
[๔๒๔] ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัด ในคำว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น คือ กิเลสเครื่องร้อยรัด ๔ อย่าง ได้แก่ กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย คือ อภิชฌา พยาบาท สีลัพพตปรามาส อิทังสัจจาภินิเวส (ความถือมั่นว่าสิ่งนี้จริง) ความกำหนัดในทิฏฐิของตน. ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย คืออภิชฌา ความอาฆาต ความไม่ยินดี ในวาทะของชนเหล่าอื่น. ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย คือพยาบาท. ความยึดถือศีลหรือพรต หรือศีลและพรต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 52
ของตน. ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย คือสีลัพพตปรามาส ทิฏฐิของตน. ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย คืออิทังสัจจาภินิเวส. คำว่า นั้น ได้แก่ พระอรหันตขีณาสพ. คำว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น ความว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มี คือมิได้มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ คือเป็นกิเลสอันบุคคลนั้นละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น.
ว่าด้วยตัณหามีชื่อต่างๆ
[๔๒๕] คำว่า บุคคลนั้นได้ข้ามตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกาแล้ว ความว่า ตัณหาเรียกว่า วิสัตติกา ได้แก่ ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล. คำว่า วิสัตติกา ความว่า เพราะอรรถว่าอะไร ตัณหาจึงชื่อว่า วิสัตติกา. เพราะอรรถว่า ซ่านไป เพราะอรรถว่า แผ่ไป เพราะอรรถว่า แล่นไป เพราะอรรถว่า ไม่สม่ำเสมอ เพราะอรรถว่า ครอบงำ เพราะอรรถว่า สะท้อนไป เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้พูดผิด เพราะอรรถว่า มีมูลรากเป็นพิษ เพราะอรรถว่า มีผลเป็นพิษ เพราะอรรถว่า มีเครื่องบริโภคเป็นพิษ ตัณหาจึงชื่อว่า วิสัตติกา.
อีกอย่างหนึ่ง ตัณหานั้นแผ่ไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส ฯลฯ แล่นไป ซ่านไป ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้น ตัณหา จึงชื่อว่า วิสัตติกา. คำว่า บุคคลนั้นได้ข้ามตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกาแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 53
ความว่า บุคคลนั้น ได้ข้าม ข้ามขึ้น ข้ามพ้น ล่วงเลย เป็นไป ล่วงตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกานี้แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้นได้ ข้ามตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกาแล้ว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า
เรากล่าวบุคคลนั้น ผู้ไม่เพ่ง ในกามทั้งหลายว่า เป็นผู้เข้าไปสงบกิเลส เป็นเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นได้ข้ามตัณหา อันชื่อว่า วิสัตติกาแล้ว.
[๔๒๖] บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ ในบุคคลนั้น.
ว่าด้วยบุตรเป็นต้น
[๔๒๗] ศัพท์ว่า น ในคำว่า บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เป็นปฏิเสธ, คำว่า นั้น คือ พระอรหันตขีณาสพ. ชื่อว่า บุตร ได้แก่บุตร ๔ จำพวก คือ บุตรเกิดแต่ตน ๑ บุตรเกิดในเขต ๑ บุตรที่เขาให้ ๑ บุตรที่เกิดในสำนัก ๑. คำว่า ปศุสัตว์ คือ แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา. คำว่า ไร่นา คือ ไร่ข้าวสาลี ไร่ข้าวเจ้า ไร่ถั่วราชมาษ ไร่ข้าวเหนียว ไร่ข้าวละมาน ไร่งา. คำว่า ที่ดิน คือ ที่เรือน ที่ฉาง ที่หน้าเรือน ที่หลังเรือน ที่สวน ที่อยู่. คำว่า บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น คือ ความยึดถือบุตร ความยึดถือปศุสัตว์ ความยึดถือไร่นา ความยึดถือที่ดิน ย่อมไม่มี มิได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 54
มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้แก่บุคคลนั้น คือ เป็นสภาพอันบุคคลนั้น ละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น.
ว่าด้วยทิฏฐิ
[๘๒๘] สัสสตทิฏฐิ ชื่อว่า อัตตา ในคำว่า อัตตทิฏฐิ ก็ดี นิรัตตทิฏฐิ ก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ในบุคคลนั้น ดังนี้ ย่อมไม่มี. อุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่า นิรัตตา ย่อมไม่มี สิ่งที่ยึดถือ ชื่อว่า อัตตา ย่อมไม่มี สิ่งที่พึงปล่อยวาง ชื่อว่า นิรัตตา ย่อมไม่มี. สิ่งที่ยึดถือย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึงปล่อยวางก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น สิ่งที่พึงปล่อยวางย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึงยึดถือก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ก้าวล่วง ความถือ และปล่อยวางแล้ว ล่วงเลยความเจริญ และความเสื่อมแล้ว บุคคลนั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่ ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ในบุคคลนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ในบุคคลนั้น.
[๔๒๙] พวกปุถุชนทั้งพวกสมณะ และพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด โทษนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะวาทะทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 55
[๔๓๐] คำว่า ปุถุชน ในคำว่า พวกปุถุชนทั้งพวกสมณะ และพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด ความว่า เพราะอรรถว่า กระไร จึงชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ให้กิเลสหนาเกิด เพราะอรรถว่า เป็นผู้มีสักกายทิฏฐิ อันยังไม่กำจัดมาก เพราะอรรถว่า เป็นผู้เลือกหน้าศาสดามาก เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันคติทั้งปวงร้อยไว้มาก เพราะอรรถว่า ย่อมปรุงแต่งด้วยอภิสังขารต่างๆ มาก เพราะอรรถว่า ย่อมลอยไป เพราะห้วงกิเลสต่างๆ มาก เพราะอรรถว่า ย่อมเดือดร้อนเพราะกิเลส เป็น เหตุให้เร่าร้อนต่างๆ มาก เพราะอรรถว่า เป็นผู้กำหนัดยินดี ชอบใจ หลงใหล ติดใจ เกาะเกี่ยว พัวพันมาก ในกามคุณ ๕ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันนิวรณ์ ๕ ร้อยรัด ปกคลุม ปิดบัง หุ้มห่อไว้มาก จึงชื่อว่า ปุถุชน. คนพวกใดพวกหนึ่งผู้เข้าถึง ถึงพร้อม ด้วยการบวชภายนอกศาสนานี้ ชื่อว่า สมณะ. คนพวกใดพวกหนึ่ง ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้เจริญ ชื่อว่า พราหมณ์. คำว่า พวกปุถุชนทั้งพวกสมณะ และพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด ความว่า พวกปุถุชนพึงกล่าวโดยราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อุทธัจจะ วิจิกิจฉาใด และพึงกล่าวโดยอนุสัยใดว่า เป็นผู้กำหนัด ขัดเคือง หลงใหล ผูกพัน ถือมั่น ถึงความฟุ้งซ่าน ถึงความไม่แน่นอน หรือถึงโดยเรี่ยวแรง กิเลสเครื่องปรุงแต่งเหล่านั้น อันบุคคลนั้นละแล้ว เพราะเป็นผู้ละกิเลส เครื่องปรุงแต่งได้แล้ว พวกปุถุชน พึงกล่าวถึงคติโดยเหตุใดว่า บุคคลนั้นเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน เกิดในเปรตวิสัย เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นสัตว์มีรูป เป็นสัตว์ไม่มีรูป เป็นสัญญีสัตว์ เป็นอสัญญีสัตว์ เป็นเนวสัญญีนาสัญญีสัตว์ บุคคลนั้นไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีการณะที่เป็นเครื่องกล่าว คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 56
บอก พูด แสดง แถลง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พวกปุถุชนทั้งพวกสมณะ และพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด.
ว่าด้วยพระอรหันต์ ไม่มีโทษห้อมล้อม
[๔๓๑] คำว่า นั้น ในคำว่า โทษนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลนั้น ได้แก่ พระอรหันตขีณาสพ. ชื่อว่าความห้อมล้อม ได้แก่ ความห้อมล้อม ๒ อย่าง คือ ความห้อมล้อมแห่งตัณหา ๑ ความห้อมล้อมแห่งทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ข้อว่า ความห้อมล้อมแห่งตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความห้อมล้อมแห่งทิฏฐิ. บุคคลนั้น ละความห้อมล้อมแห่งตัณหา สละคืนความห้อมล้อมแห่งทิฏฐิ เสียแล้ว เพราะเป็นผู้ละความห้อมล้อมแห่งตัณหา สละคืนความห้อมล้อมแห่งทิฏฐิเสียแล้ว จึงไม่ทำตัณหา และทิฏฐิออกหน้า คือ เป็นผู้ไม่มีตัณหาเป็นธงชัย ไม่มีตัณหาเป็นธงยอด ไม่มีตัณหาเป็นใหญ่ ไม่มีทิฏฐิเป็นธงชัย ไม่มีทิฏฐิเป็นธงยอด ไม่มีทิฏฐิเป็นใหญ่ ไม่เป็นผู้อันตัณหา หรือทิฏฐิห้อมล้อมเที่ยวไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โทษนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลนั้น.
[๔๓๒] คำว่า ตสฺมา ในคำว่า เพราะฉะนั้น บุคคลนั้น ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะวาทะทั้งหลาย ความว่า เพราะเหตุนั้น เพราะการณะนั้น เพราะเหตุนั้น เพราะปัจจัยนั้น เพราะนิทานนั้น บุคคลนั้น ย่อมไม่หวั่นไหว คือ ไม่โยกโคลง ไม่เอน ไม่เอียง ไม่สะท้าน ไม่สะเทือน ในเพราะวาทะ ในเพราะอุปวาทะทั้งหลาย คือ เพราะความนินทา ติเตียน ความไม่สรรเสริญ ไม่ยกย่องคุณความดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะว่าวาทะทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 57
พวกปุถุชนทั้งพวกสมณะ และพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด โทษนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะวาทะทั้งหลาย.
[๔๓๓] บุคคลนั้นเป็นมุนี ปราศจากความกำหนัด ไม่ตระหนี่ ย่อมไม่กล่าว ในความเป็นผู้สูงกว่าเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้เสมอเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้ต่ำกว่าเขา เป็นผู้ไม่มีความกำหนัด ย่อมไม่ถึงความกำหนัด.
[๔๓๔] ตัณหาเรียกว่า ความกำหนัด ในคำว่า ปราศจากความกำหนัด ไม่ตระหนี่ ได้แก่ ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความกำหนัดนั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ปราศจากความกำหนัด. บุคคลนั้นไม่กำหนัด ไม่ยินดี ไม่หลง ไม่ติดใจ เป็น ผู้ที่มีความกำหนัดปราศไป กำจัด คลายออก ปล่อย สละคืนแล้ว ในรูป ฯลฯ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง เป็นผู้หายหิว ดับแล้ว เย็นแล้ว เป็นผู้มีตนเป็นดังพรหมเสวยสุขอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปราศจากความกำหนัด.
ชื่อว่า ความตระหนี่ ในคำว่า ไม่ตระหนี่ ได้แก่ ความตระหนี่ ๕ ประการ คือ ความตระหนี่อาวาส ความตระหนี่สกุล ความตระหนี่ลาภ ความตระหนี่วรรณะ ความตระหนี่ธรรม ความตระหนี่ ฯลฯ ความหวงไว้ นี้เรียกว่า ความตระหนี่. ความตระหนี่นั้น อันบุคคลใดละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 58
บุคคลนั้น เรียกว่า ไม่ตระหนี่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปราศจากความกำหนัด ไม่ตระหนี่.
[๔๓๕] คำว่า มุนี ในคำว่า บุคคลนั้นเป็นมุนี ย่อมไม่กล่าว ในความเป็นผู้สูงกว่าเขา ไม่กล่าว ในความเป็นผู้เสมอเขา ไม่กล่าว ในความเป็นผู้ต่ำกว่าเขา ความว่า ญาณเรียกว่า โมนะ ฯลฯ ก้าวล่วงธรรม เป็นเครื่องข้อง และตัณหาเพียงดังข่าย บุคคลนั้นชื่อว่า มุนี บุคคลผู้เป็นมุนี ย่อมไม่กล่าว คือ ไม่บอก ไม่พูด ไม่แสดง ไม่แถลงว่า เราเป็นผู้ดีกว่าเขาบ้าง เราเป็นผู้เสมอเขาบ้าง เราเป็นผู้เลวกว่าเขาบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลนั้นเป็นมุนี ย่อมไม่กล่าวในความเป็นผู้สูงกว่าเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้เสมอเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้ต่ำกว่าเขา.
ว่าด้วยความกำหนด ๒ อย่าง
[๔๓๖] ชื่อว่า ความกำหนด ในคำว่า เป็นผู้ไม่มีความกำหนด ย่อมไม่ถึงความกำหนด ได้แก่ ความกำหนด ๒ อย่าง คือ ความกำหนดด้วยตัณหา ๑ ความกำหนดด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความกำหนดด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความกำหนดด้วยทิฏฐิ. บุคคลนั้นละความกำหนด ด้วยตัณหา สละคืนความกำหนดด้วยทิฏฐิเสียแล้ว เพราะเป็นผู้ละความกำหนดด้วยตัณหา สละความกำหนดด้วยทิฏฐิ จึงย่อมไม่ถึง คือ ย่อมไม่เข้าถึง ไม่เข้าไปถึง ไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ซึ่งความกำหนดด้วยทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมไม่ถึงความกำหนด.
ชื่อว่า ความกำหนด ในคำว่า เป็นผู้ไม่มีความกำหนด ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 59
ความกำหนด ๒ อย่าง คือ ความกำหนดด้วยตัณหา ๑ ความกำหนดด้วยทิฏฐิ ๑ ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความกำหนดด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่า ความกำหนด ด้วยทิฏฐิ บุคคลนั้นละความกำหนดด้วยตัณหา สละคืน ความกำหนดด้วยทิฏฐิแล้ว เพราะเป็นผู้ละความกำหนดด้วยตัณหา สละคืนความกำหนดด้วยทิฏฐิ จึงย่อมไม่กำหนดด้วยตัณหา หรือความกำหนดด้วยทิฏฐิ คือ ไม่ให้เกิด ไม่ให้เกิดพร้อม ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีความกำหนด ย่อมไม่ถึงความกำหนด เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
บุคคลนั้นเป็นมุนี ปราศจากความกำหนัด ไม่ตระหนี่ ย่อมไม่กล่าวในความเป็นผู้สูงกว่าเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้เสมอเขา ไม่กล่าวในความเป็นผู้ต่ำกว่าเขา เป็นผู้ไม่มีความกำหนด ย่อมไม่ถึงความกำหนด.
[๔๓๓] ผู้ใดไม่มีความถือว่า ของตนในโลก เมื่อสิ่งที่ถือว่า ของตนไม่มี ย่อมไม่เศร้าโศก และไม่ถึงความลำเอียง ในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นแลเรียกว่า ผู้สงบ.
ว่าด้วยผู้ไม่ความยึดถือ
[๔๓๘] คำว่า ผู้ใด ในคำว่า ผู้ใดไม่มีความถือว่าของตนในโลก คือ พระอรหันตขีณาสพ. คำว่า ไม่มีความถือว่าของตน คือ ผู้ใดไม่มีความถือ ความยึดมั่น ความถือมั่น ความติดใจ ความน้อมใจถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 60
ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อะไรๆ ว่า นี้ของเรา หรือว่า นี้ของคนเหล่าอื่น ฯลฯ เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ว่า ผู้ใดไม่มีความถือว่า ของตนในโลก.
ว่าด้วยผู้ไม่เศร้าโศก
[๔๓๙] คำว่า เมื่อสิ่งที่ถือว่าของตนไม่มี ย่อมไม่เศร้าโศก ความว่า ไม่เศร้าโศกถึงวัตถุที่แปรปรวนไปแล้ว หรือเมื่อวัตถุแปรปรวนไปแล้ว ไม่เศร้าโศกถึง คือ ไม่เศร้าโศกถึง ไม่ลำบากใจ ไม่คร่ำครวญ ไม่ทุบอกร่ำไร ไม่ถึงความหลงใหลว่า จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจของเรา แปรปรวนไปแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะของเรา แปรปรวนไปแล้ว สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเรา แปรปรวนไปแล้ว มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง บุตร ธิดา มิตร พวกพ้อง ญาติสาโลหิตของเรา แปรปรวนไปแล้ว แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่มี.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดเป็นผู้อันความไม่ยินดี คือ ทุกขเวทนาถูกต้อง ครอบงำ กลุ้มรุม ประกอบแล้ว ย่อมไม่เศร้าโศกถึง ไม่ลำบากใจ ไม่ คร่ำครวญ ไม่ทุบอกร่ำไร ไม่ถึงความหลงใหล คือ เป็นผู้อันโรคจักษุ โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่หู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 61
โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู. โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคหูด โรคละลอก โรคคุดทะราด โรคอาเจียนโลหิต โรคน้ำดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธสันนิบาต อาพาธเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ความสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานถูกต้อง ครอบงำ กลุ้มรุม ประกอบเข้า ย่อมไม่เศร้าโศกถึง ไม่ลำบากใจ ไม่คร่ำครวญ ไม่ทุบอกร่ำไร ไม่ถึงความหลงใหล แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า ย่อมไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ไม่มี.
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อวัตถุไม่มีอยู่ คือ ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ ย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่คร่ำครวญ ไม่ทุบอกร่ำไร ไม่ถึงความหลงใหลว่า โอ สิ่งนั้นของเราหนอ สิ่งนั้นไม่มีแก่เราหนอ สิ่งนั้นควรมีแก่เราหนอ เราไม่ได้สิ่งนั้นหนอ แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ ดังนี้ จึงชื่อว่า เมื่อ สิ่งที่ถือว่าของตนไม่มี ย่อมไม่เศร้าโศกถึง.
ว่าด้วยผู้ไม่ลำเอียง
[๔๔๐] คำว่า และย่อมไม่มีความลำเอียง ในธรรมทั้งหลาย ความว่า ไม่ถึงฉันทาคติ ไม่ถึงโทสาคติ ไม่ถึงโมหาคติ ไม่ถึงภยาคติ ไม่ถึงด้วยสามารถแห่งราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อุทธจัจะ วิจิกิจฉา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 62
อนุสัยไม่ดำเนินออก เลื่อน เคลื่อนไปด้วยธรรมทั้งหลาย อันทำให้เป็นพวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ถึงความลำเอียง ในธรรมทั้งหลาย.
ว่าด้วยผู้สงบ
[๔๔๑] คำว่า บุคคลนั้นแล เรียกว่า ผู้สงบ ความว่า ผู้นั้น เราเรียก คือ บอก พูด แสดง แถลงว่า ผู้สงบ เข้าไปสงบ เข้าไปสงบ พิเศษ ดับ ระงับแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ผู้นั้นแล เรียกว่า ผู้สงบ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ผู้ใดไม่มีความถือว่าของตนในโลก เมื่อสิ่งที่ถือว่า ของตนไม่มีอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศกถึง และไม่ถึงความลำเอียง ในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นแลเรียกว่า ผู้สงบ.
จบปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 63
สัทธัมมปัชโชติกา
อรรถกถาขุททกนิกาย มหานิทเทส
ภาคที่ ๒
อรรถกถาปุราเภทสุตตนิทเทสที่ ๑๐
พึงทราบวินิจฉัย ในปุราเภทสุตตนิเทสที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
พึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยเหมือนกันแห่งสัตว์นี้ว่า กถํทสฺสี บุคคลมีความเห็นอย่างไร ดังนี้ เป็นต้น และสูตรอื่นจากสูตรนี้อีก ๕ สูตร คือ กลหวิวาทสูตร ๑ จูฬวิยูหสูตร ๑ มหาวิยูหสูตร ๑ ตุวฏกสูตร ๑ อัตตทัณฑสูตร ๑ แต่โดยต่างกันพึงทราบ ดังต่อไปนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงธรรม ให้เป็นที่สบายของเทวดา ที่เป็นราคจริตในมหาสมัยนั้น ทรงให้พระพุทธนิมิต ตรัสถามปัญหา กะพระองค์แล้ว จึงได้ตรัส สัมมาปริพพชานียสูตร ขึ้นด้วยประการใด ในมหาสมัยนี้ ก็ด้วยประการนั้นเหมือนกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ จิตของทวยเทพ ผู้มีจิตเกิดขึ้นว่า ก่อนกายแตก ควรจะทำอะไรหนอ เพื่อทรงอนุเคราะห์ทวยเทพเหล่านั้น จึงทรงพาพระพุทธนิมิต พร้อมด้วยภิกษุบริวาร ๒,๕๐๐ รูปมาทางอากาศ แล้วทรงให้พระพุทธนิมิต ทูลถามพระองค์ จึงได้ตรัสพระสูตรนี้. ตรัสไว้อย่างไร. ตรัสไว้ดังต่อไปนี้ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ใหญ่ยิ่ง เป็นสัตว์ผู้วิเศษ รูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง อารมณ์ที่ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้แสวงหา ได้เที่ยวตามไปด้วยใจของโลก พร้อมด้วยเทวโลกด้วยตนเอง บรรดารูปารมณ์ที่จำแนกออกไป โดยมีสีเขียว เป็นต้น รูปารมณ์ไรๆ หรือบรรดาสัททารมณ์ ที่จำแนกออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 64
ไป โดยมีเสียงกลองเป็นต้น อารมณ์มีสัททารมณ์เป็นต้นไรๆ มิได้มีในที่ไหนๆ คือไม่มาสู่คลอง ในห้วงพระญาณ ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นเลย. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เทวดา และมนุษย์ ได้เห็น ได้ฟัง ได้รู้ ได้รู้แจ้ง ได้ถึง ได้เที่ยวตามไป ด้วยใจของโลก พร้อมด้วยเทวโลก เราย่อมรู้สิ่งนั้น เราได้รู้ทั่วถึงสิ่งนั้นดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงกระทำทวยเทพเหล่านั้นทั้งหมด ให้เป็น ๒ ส่วน โดยเป็นภัพพะ (ควร) และอภัพพะ (ไม่ควร). สัตว์ทั้งหลายที่กล่าวไว้ โดยนัยมีอาทิว่า สัตว์ทั้งหลายประกอบด้วยเครื่องกั้น คือ กรรม ชื่อว่า อภัพพะ. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มิได้ทรงเหลียวแลสัตว์เหล่านั้น แม้อยู่ในที่เดียวกัน. ส่วนสัตว์ตรงกันข้าม ชื่อว่า ภัพพะ. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เสด็จไปสงเคราะห์สัตว์เหล่านั้น แม้อยู่ไกล. ในที่ประชุมเทวดานั้น เทวดาเหล่าใด เป็นอภัพพะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละ เทวดาเหล่านั้น ทรงสำรวจเทวดา พวกที่เป็นภัพพะ ครั้นทรงสำรวจแล้ว ได้ทรงทำให้เป็น ๖ ส่วน ตามจริต คือ พวกที่เป็นราคจริตประมาณเท่านี้ พวกที่เป็นโทสจริตเป็นต้น ประมาณเท่านี้. ต่อแต่นั้น พระองค์ทรงใคร่ครวญถึง พระธรรมเทศนา เป็นที่สบายของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงกำหนดเทศนาไว้ว่า เราจักแสดง สัมมาปริพพาชนียสูตร แก่เทวดาจำพวกราคจริต จักแสดงกลหวิวาทสูตร แก่เทวดาจำพวกโทสจริต จักแสดงมหาวิยูหสูตร แก่เทวดาจำพวกโมหจริต จักแสดงจูฬวิยูหสูตร แก่เทวดาจำพวกวิตกจริต จักแสดงตุวฏกสูตร แก่เทวดาจำพวกศรัทธาจริต จักแสดงปุราเภทสูตร แก่เทวดาจำพวกพุทธิจริต แล้วทรงคำนึงถึงบริษัทนั้นต่อไปว่า บริษัทจะพึงรู้ โดยอัตตัชฌาสัย (อัธยาศัยของตน) โดยปรัชฌาสัย (อัธยาศัยของผู้อื่น) โดยอัตถุปัตติกะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 65
(เรื่องราวที่เกิดขึ้น) หรือโดยปุจฉาวสะ (อำนาจของคำถาม) หนอ. ครั้นพระองค์ทรงทราบว่า บริษัทจะพึงรู้ได้ ด้วยอำนาจคำถาม จึงทรงดำริว่า จะมีใครบ้างไหมหนอ ที่สามารถจะกำหนดอัธยาศัย ของเทวดาทั้งหลาย แล้วถามปัญหาตามจริต ทรงเห็นว่า บรรดาภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปเหล่านั้น แม้แต่รูปเดียวก็ไม่สามารถ. แล้วจึงทรงหวนระลึกถึง พระอสีติมหาสาวก และพระอัครสาวกทั้งสอง ทรงเห็นว่า แม้ท่านเหล่านั้น ก็ไม่สามารถ จึงทรงดำริต่อไปว่า หากเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเล่า จะสามารถหรือไม่หนอ ทรงทราบว่า แม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถ จึงหวนระลึกถึงท้าวสักกะ และท้าวสุยามะ เป็นต้น องค์ใดองค์หนึ่งจะพึงสามารถบ้าง หากท้าวสักกะ และท้าวสุยามะองค์ใดองค์หนึ่ง สามารถก็จะให้ถาม พระองค์จะแก้ด้วยพระองค์เอง. แต่ท่านเหล่านั้น ก็ไม่มีใครสามารถ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า พระพุทธเจ้าเช่นเราเท่านั้น พึงสามารถ แต่ยังมีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ในที่ไหนอีกบ้างไหม. พระองค์จึงแผ่พระญาณ อันหาที่สุดมิได้ ไปในโลกธาตุอันไม่มีที่สุด ตรวจดูโลก มิได้ทรงเห็นพระพุทธเจ้าองค์อื่นเลย ข้อที่พระองค์มิได้ทรงเห็น ผู้เสมอด้วยพระองค์ในบัดนี้ ไม่น่าอัศจรรย์เลย แม้ในที่พระองค์ประสูติ ก็มิได้ทรงเห็นผู้เสมอ ด้วยพระองค์ ตามนัยดังกล่าวแล้ว ในอรรถกถาพรหมชาลสูตร จึงได้ทรงบันลือสีหนาท แม้ในธรรมที่ใครๆ ให้เป็นไปไม่ได้ว่า อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เราเป็นผู้เลิศแห่งโลกดังนี้. ครั้นพระองค์มิได้ทรง เห็นผู้อื่นเสมอ ด้วยพระองค์อย่างนี้ จึงทรงดำริว่า หากเราถามแล้ว ตอบด้วยตนเอง เทวดาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถจะรู้แจ้งแทงตลอดได้ ก็เมื่อพระพุทธเจ้าองค์อื่นถาม และเมื่อเราตอบจักน่าอัศจรรย์กว่า และเทวดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 66
ทั้งหลาย ก็จักสามารถรู้แจ้งแทงตลอดได้ เพราะฉะนั้น เราจักเนรมิตพระพุทธนิมิต แล้วทรงเข้าฌาน มีอภิญญาเป็นบาท ทรงกระทำบริกรรม ด้วยกามาวจรจิตว่า การถือบาตร และจีวร การดู การเหลียว การคู้ การเหยียด จงเหมือนเราเถิด. แล้วทรงอธิษฐาน ด้วยรูปาวจรจิตว่า ขอพระพุทธนิมิต จงมา ดุจแหวกมณฑลพระจันทร์ ซึ่งโผล่ขึ้น จากการล้อมของภูเขายุคนธร ด้านทิศปราจีนเถิด. หมู่เทพเห็นดังนั้น จึงกล่าวว่า ดูโน่นท่านทั้งหลาย พระจันทร์โผล่ขึ้นอีกดวงแล้ว. พอใกล้เข้ามาหมู่เทพ ละพระจันทร์กล่าวว่า ไม่ใช่พระจันทร์ พระอาทิตย์ขึ้น พอใกล้เข้ามาอีกไม่ใช่พระอาทิตย์ เป็นเทพวิมานองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามาไม่ใช่เทพวิมาน เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามาอีกไม่ใช่เทพบุตร เป็นมหาพรหมองค์หนึ่ง พอใกล้เข้ามาอีกไม่ใช่มหาพรหม เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งเสด็จมา ดังนี้. บรรดาทวยเทพเหล่านั้น เทพที่เป็นปุถุชนคิดกันว่า การประชุมเทวดานี้ จักมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว หรือมีถึงสององค์. พวกเทพที่เป็นอริยะคิดกันว่า โลกธาตุหนึ่งมิได้มี พระพุทธเจ้าถึงสองพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้า คงจะทรงเนรมิต พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ให้คล้ายพระองค์เป็นแน่.
ลำดับนั้น เมื่อหมู่เทพกำลังดูอยู่นั้นเอง พระพุทธนิมิตเสด็จมาถึง มิได้ไหว้พระทศพล ทำเสมอๆ กัน ในที่เฉพาะพระพักตร์แล้ว ประทับนั่ง ณ อาสนะที่เนรมิตไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระมหาปุริสุลักษณะ ๓๒ แม้พระพุทธนิมิตก็มี ๓๒ เหมือนกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉัพพรรณรังสี ซ่านออกจากพระวรกาย แม้พระพุทธนิมิตก็เหมือนกัน. พระรัศมีในพระวรกาย ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมกระทบในพระวรกาย ของพระพุทธนิมิต. พระรัศมีของพระพุทธนิมิต ก็ย่อมกระทบในพระวรกายของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 67
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระรัศมีเหล่านั้น พุ่งออกจากพระวรกาย ของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ จรดถึงภวัคคพรหม กลับจากภวัคคพรหม จรดลงบนที่สุดขม่อม ของทวยเทพ แล้วประดิษฐาน ณ ขอบปากจักรวาล. ห้องจักรวาลทั้งสิ้น ไพโรจน์ดุจเรือนเจดีย์ ที่ผูกด้วยไม้จันทัน โค้งทำด้วยทองคำ. ทวยเทพในหมื่นจักรวาล รวมกันในจักรวาลเดียว เข้าไปยืนอยู่ระหว่างห้องพระรัศมี ของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์.
พระพุทธนิมิต พอประทับนั่งเท่านั้น เมื่อจะทูลถามถึง อธิปัญญา เป็นต้น จึงตรัสคาถาโดยนัยมีอาทิว่า กถํทสฺสี กถํสีโล อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ความว่า บุคคลมีความเห็นอย่างไร มีศีลอย่างไร อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถานั้นก่อน. พระพุทธนิมิตนั้น ถามถึงอธิปัญญาว่า บุคคลมีความเห็นอย่างไร ถามถึงอธิศีลว่า มีศีลอย่างไร ถามถึงอธิจิตว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว. บทที่เหลือชัดเจนดีแล้ว. เพื่อความแจ่มแจ้งในปัญหา ที่พระพุทธนิมิตถาม เป็นต้น ท่านกล่าวได้ในปิฎก (๑) ว่าดังนี้.
บุคคลสอบถามอยู่ ย่อมเข้าถึงธรรม อันเป็นกุศลประกอบด้วยประโยชน์ ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่เกิด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงกล่าวถึงบุคคลนั้น เป็นไฉน.
บุคคลมีสงสารสิ้นไปแล้ว ยังไม่คลายความกำหนัด ยังไม่เป็นพระเสกขะ ยังไม่เห็นธรรม ยังไม่เป็นพระขีณาสพ ยังทรงร่างกายไว้ในที่สุด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงกล่าวถึงบุคคลนั้น เป็นไฉน.
๑. อรรถกถาว่า ไม่มีในพระไตรปิฎก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 68
บุคคลเป็นผู้ไม่พร้อมด้วยทุกขสัจจะ ไม่พร้อมด้วยมรรคสัจจะ จะดับจากสมุทยสัจจะ ทั้งใกล้ไกลได้แต่ไหน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงกล่าวถึง บุคคลนั้น เป็นไฉน.
จิตนั้นไม่มีเหตุ ไม่อาศัยรูป มีปัจจัยไม่ใช่อสังขตะ มีอสังขตะเป็นอารมณ์ ไม่ใช่รูป พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงกล่าวถึงบุคคลนั้น เป็นไฉน.
ในคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึง พระพุทธนิมิต. คาถาที่ ๒ กล่าวหมายถึง พระโพธิสัตว์ผู้มีภพสุดท้าย. คาถาที่ ๓ กล่าวหมายถึง ท่านผู้ตั้งอยู่ในอรหัตผล. คาถาที่ ๔ พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึง จิตตฺ (๑) สมังคี อันเป็นปุเรจาริก (เที่ยวไปในก่อน) ในมโนทวารแห่งการพิจารณาถึงนิพพาน ในอรูปภพ.
บทว่า กีทิเสน ทสฺสเนน คือด้วยการเห็นเช่นไร. บทว่า กึสณฺิเตน ด้วยความดำรงอยู่อย่างไร คือด้วยการเห็นคล้ายกันอย่างไร. บทว่า กึปกาเรน ด้วยประการอย่างไร คือด้วยวิธีอย่างไร. บทว่า กึปฏิภาเคน ด้วยส่วนเปรียบอย่างไร คือด้วยอาการอย่างไร. บทว่า ยํ ปุจฺฉามิ ได้แก่ ข้าพระองค์ถามถึงบุคคลใด ขอจงตรัสพยากรณ์ถึงบุคคลนั้น แก่ข้าพระองค์. บทว่า ยาจามิ คือขอให้บอก. บทว่า อชฺเฌสามิ คือขอให้ตรัสบอก. บทว่า ปสาเทมิ ขอให้ประสาท คือขอยังความโสมนัสให้เกิด ในพระสันดานของพระองค์. บทว่า พฺรูหิ ตรัสเล่าเป็นบท ยกหัวข้อของบทไขความ. บทว่า อาจิกฺข บอก คือกล่าวด้วยอำนาจแห่งธรรม ที่ควรแสดง. บทว่า เหเสหิ แสดง คือชี้ให้เห็น. บทว่า ปญฺาเปหิ แถลง คือให้รู้ ท่านกล่าวว่า ตั้งอัปปนา (ความแนบแน่น)
๑. ได้แก่ มโนทวารวัชชนจิต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 69
ไว้ด้วยหัวข้อ คือญาณ จึงแถลงให้รู้. บทว่า ปฏฺเปหิ แต่งตั้ง คือบัญญัติ อธิบายว่า ให้เป็นไป. หรือขอจงตั้งไว้ด้วยหัวข้อ คือญาณ. บทว่า วิวร เปิดเผย คือขอจงทำให้เปิดเผย อธิบายว่า เปิดเผยแล้วจึงแสดง. บทว่า วิภช จำแนก ความว่า ชี้แจงด้วยการจำแนกแสดง. บทว่า อุตฺตานีกโรหิ ทำให้ตื้น คือขอจงทำให้ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อาจิกฺข เป็นรากเหง้าของบททั้งหลาย ๖ บท มีเทศนา เป็นต้น. ท่านกล่าวบท ๖ บท มีเทศนา เป็นต้น เพื่อเปิดเผยความนั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า เทเสหิ ความว่า ขอพระองค์จงแสดง โดยยกหัวข้อก่อนโดยสังเขป เพื่ออุคฆติตัญญู (เพียงยกหัวขึ้น ก็รู้ทันที). จริงอยู่บุคคลผู้เป็นอุคฆติตัญญู ย่อมรู้แจ้งแทงตลอดธรรม ที่ท่านกล่าวโดยย่อ และรู้ครั้งแรก. บทว่า ปญฺาเปหิ ความว่า ขอพระองค์จงทรงแถลง ด้วยการขยายความแห่งบท ที่ย่อไว้ก่อน โดยพิสดาร เมื่อ วิปจิตัญญู (รู้ต่อเมื่อขยายความในหัวข้อออกไป) ผู้มีปัญญาด้วยใจ ยินดีต่อธรรมเหล่านั้น. บทว่า ปฏฺเปหิ ความว่า ขอพระองค์จงทรงแต่งตั้ง ด้วยการขยายความ จำแนกข้อความที่ขยาย ให้กว้างขวางออกไปอีก. บทว่า วิวร ความว่า ขอพระองค์จงทรงเปิดเผยถ้อยคำแห่งบท ที่ขยายนั้นบ่อยๆ. บทว่า วิภช ความว่า ขอพระองค์จงทรงจำแนก ด้วยการอธิบาย จำแนกข้อความที่ตรัสไว้แล้วบ่อยๆ. บทว่า อุตฺตานีกโรหิ ความว่า ขอพระองค์จงทรงทำให้ตื้น ด้วยตรัสข้อที่เปิดเผยแล้ว ให้พิสดาร และด้วยตรัสข้อที่พิสดาร ด้วยการชี้แจง. เทศนานี้ เพื่อรู้แจ้งแทงตลอดของเนยยบุคคล (บุคคลผู้ควรแนะนำสั่งสอนได้). ก็ในการตอบปัญหาพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้ทรงแก้อธิปัญญา เป็นต้น โดยสรุปเมื่อจะทรงแสดงถึง การสงบกิเลส ที่ท่านกล่าวว่า เป็นผู้เข้าไปสงบโดยสภาวะ มีอธิปัญญา เป็นต้น โดยอนุโลม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 70
แก่อัธยาศัยของเทวดาต่างๆ จึงได้ตรัสคาถา มีคาถาอาทิว่า วีตตณฺโห ผู้ปราศจากตัณหา ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้น พึงทราบการเชื่อมคาถานี้ว่า ตํ พฺรูมิ อุปสนฺโต เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้เข้าถึงความสงบแล้ว ดังนี้ แห่ง ๘ คาถาตอนต้น. แต่นั้นพึงทราบนัยการพิจารณาบทตามลำดับ ด้วยบทหลังทั้งหมดนี้ว่า สเว สนฺโตติ วุจฺจติ ผู้นั้นแลเรากล่าวว่า เป็นผู้สงบ ดังนี้ แห่งคาถาทั้งหลายอื่น.
บทว่า วีตตณฺโห ปุรา เภทา ก่อนแต่กายแตกพระอรหันต์ เป็นผู้ปราศจากตัณหา คือพระอรหันต์ละตัณหา ได้ก่อนแต่กายแตกแล้ว. บทว่า ปุพฺพมนฺตมนิสฺสิโต คือผู้ไม่อาศัยส่วนเบื้องต้น มีกาลในอดีตเป็นต้น. บทว่า เวมชฺเฌ นูปสงฺเขยฺโย อันใครๆ นับไม่ได้ในส่วนกลาง คืออันใครๆ นับไม่ได้โดยนัยมีอาทิว่า พระอรหันต์ยินดีแล้ว ในกาลอันเป็นปัจจุบัน. บทว่า ตสฺส นตฺถิ ปุเรกฺขตํ การทำไว้ในเบื้องหน้ามิได้มี แก่พระอรหันต์นั้น คือพระอรหันต์นั้น มิได้มีแม้การทำไว้ในเบื้องหน้า ในกาลอันเป็นอนาคต เพราะไม่มีการทำไว้เบื้องหน้าทั้งสอง พึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้เข้าไปสงบแล้ว ดังนี้.
บทว่า ปุรา กายสฺส เภทา ก่อนแต่กายแตก คือก่อนแต่กรชกาย (ร่างกาย) แตกนั่นเอง. บทว่า อตฺตภาวสฺส ได้แก่ อัตตภาพทั้งสิ้น. บทว่า กเฬวรสฺส นิกฺเขปา ก่อนแต่ทิ้งซากศพ คือตั้งสรีระไว้.
บทว่า ชีวิตินฺทฺริยสฺส อุปจฺเฉทา ก่อนแต่ขาดชีวิตินทรีย์ คือก่อนแต่ขาดชีวิตินทรีย์ ๒ อย่าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 71
บทว่า ปุพฺพนฺโต วุจฺจติ อตีโต อทฺธา อดีตกาลท่านเรียกว่า ส่วนเบื้องต้น คือ อดีตกาลอันเป็นส่วนเบื้องต้น ท่านกล่าวว่า กาลล่วงไปแล้ว. บทว่า อตีตํ อทฺธานํ อารพฺภ พระอรหันต์ปรารภถึงอดีตกาล คือละตัณหาได้ เพราะอาศัยอดีตกาล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงถึง ภัทเทกรัตตปริยาย (ปริยาย ว่าด้วยราตรีเดียวเจริญ) แม้อื่นอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า อถวา อีกอย่างหนึ่ง ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวรูโป อโหสึ เราได้มีรูปอย่างนั้น คือเราได้มีรูปอย่างนั้น โดยเป็นรูปที่น่าพอใจอย่างนี้ว่า แม้จะดำก็ได้มีสีเหมือนแก้วมณีสีคราม. ในอดีตกาล เราได้มีเวทนาอย่างนี้ ด้วยอำนาจสุขเวทนา โสมนัสเวทนา อันเป็นกุศล เราได้มีสัญญาอย่างนี้ ได้มีสังขารอย่างนี้ ได้มีวิญญาณอย่างนี้ ด้วยอำนาจสัญญาเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยเวทนานั้น นั่นเอง. ในบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทึ สมนฺนาเนติ ไม่เป็นไปตามความเพลิดเพลิน คือพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่เป็นไปตามความอยากในรูป เป็นต้นเหล่านั้น หรือทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยความอยากนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง มหากัจจานภัทเทกรัตตปริยาย โดยปริยายอื่นอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า อถวา อิติ เม จกฺขุํ อโหสิ อีกอย่างหนึ่ง เราได้มีจักษุดังนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า จกฺขุํ ได้แก่ จักษุประสาท. บทว่า รูปา ได้แก่ รูปอันมีสมุฏฐาน ๔. โดยนัยนี้ พึงทราบแม้อายตนะที่เหลือ. บทว่า วิญฺาณํ ได้แก่ วิญญาณอันเป็นที่อาศัย. บทว่า น ตหภินนฺทติ ไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น คือไม่เพลินจักษุ และรูปนั้น ด้วยอำนาจตัณหา และทิฏฐิ. บทว่า มโน ในบทนี้ ว่า อิติ เม มโน อโหสิ อิติ ธมฺมา เราได้มีใจดังนี้ มีธรรมารมณ์ดังนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 72
เป็นภวังคจิต. บทว่า ธมฺมา ได้แก่ ธรรมารมณ์อันเป็นไปในภูมิ ๓. บทว่า หสิตลปิตกีฬิตานิ ได้แก่ หัวเราะเจรจาเล่น คือหัวเราะจนเห็นฟัน เจรจาพร่ำเพรื่อ และเล่นกายกรรม เป็นต้น. บทว่า น ตทสฺสาเทติ คือพระอรหันต์ย่อมไม่พอใจการหัวเราะ เป็นต้นเหล่านั้น. บทว่า น ตํ นิกาเมติ ไม่ชอบใจการหัวเราะ เป็นต้นนั้น คือไม่ทำความใคร่. บทว่า น เตน จ วิตฺตึ อาปชฺชติ คือพระอรหันต์ไม่ถึงความปลื้มใจ คือความยินดีด้วยการหัวเราะ เป็นต้นนั้น.
บทว่า ตํ ตํ ปจฺจยํ ปฏิจฺจ อุปฺปนฺโน เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยนั้นๆ คือ ปัจจุบัน. บทว่า รตฺโตติ นูปสงฺเขยฺโย คืออันใครๆ นับไม่ได้ว่า เป็นผู้กำหนัดด้วยความยินดี. แม้ในตอนต่อๆ ไปก็มีนัยนี้เหมือนกัน. พึงทราบความเป็นไปตามความเพลิน อันได้แก่ ความเป็นไปด้วยตัณหา และทิฏฐิ ด้วยอำนาจรูปที่ประณีต และน่าพึงพอใจ เป็นต้น แม้ในบทมีอาทิว่า เอวํรูโป สิยา พึงเป็นผู้มีอย่างนี้เป็นรูปดังนี้. บทว่า น ปณิทหติ คือไม่ตั้งอยู่ด้วยอำนาจความปรารถนา. บทว่า อปฺปณิธานปจฺจยา เพราะเหตุไม่ตั้งใจไว้ คือเพราะเหตุไม่ตั้งความปรารถนาไว้.
บทว่า อสนฺตาสี ผู้ไม่สะดุ้ง คือไม่สะดุ้งเพราะไม่ได้นั้นๆ. บทว่า อวิกตฺถี ผู้ไม่โอ้อวด คือมีปกติไม่โอ้อวดด้วยศีล เป็นต้น. บทว่า อกุกฺกุจฺโจ ไม่มีความคะนอง คือเว้นจากความคะนองมือเป็นต้น. บทว่า มนฺตภาณี พูดด้วยปัญญา คือกำหนดด้วยปัญญาก่อน แล้วจึงกล่าว. บทว่า อนุทฺธโต ไม่ฟุ้งซ่าน คือเว้นจากการฟุ้งซ่าน. บทว่า สเว วาจายโต สำรวมวาจา คือสำรวมระวังการพูด เป็นผู้กล่าววาจา เว้นจากโทษ ๔ ประการ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 73
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้ไม่โกรธในคำว่า ผู้ไม่โกรธ คือเว้นจากความโกรธ ก็แต่ว่าความโกรธควรกล่าวก่อน ที่จะกล่าวคำใด. บทว่า โกโธ ตาว วตฺตพฺโพ ได้แก่ ควรกล่าวความโกรธก่อน. บทว่า ทสหากาเรหิ โกโธ ชายติ ความโกรธย่อมเกิดด้วยอาการ ๑๐ อย่าง. บทว่า อนตฺถํ เม อจริ เขาได้ประพฤติสิ่งไม่เป็นประโยชน์แก่เรา คือได้กระทำความไม่เจริญให้แก่เรา. พึงทราบความในทุกบทโดยทำนองนี้. อีกอย่างหนึ่ง ความโกรธย่อมเกิดในที่ไม่ใช่ฐานะ คือไม่ใช่เหตุที่ควรโกรธ เพราะบางคน ฝนตกมากก็โกรธ ฝนไม่ตกเลยก็โกรธ พระอาทิตย์ร้อนไปก็โกรธ ไม่ร้อนก็โกรธ เมื่อลมพัดก็โกรธ ไม่พัดก็โกรธ ไม่สามารถจะกวาดใบไม้ที่ต้นโพธิ์ได้ก็โกรธ ไม่สามารถจะห่มจีวรได้ก็โกรธลม สะดุดหกล้มก็โกรธตอ ท่านกล่าวว่า ความอาฆาตย่อมเกิด ในที่อันไม่ใช่ฐานะ หมายถึงข้อนี้. ความต่างแห่งกรรมบถย่อมมีได้ เพราะเกิดขึ้นปรารภสัตว์ทั้งหลาย ในฐานะ ๙ อย่าง ในหนหลังนั้น. แต่ความอาฆาต ในที่ไม่ใช่ฐานะ เกิดในสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่กระทำความต่างแห่งกรรมบถ. จิตปองร้าย เพราะจิตเกิดอาฆาต. ความมุ่งร้ายมีกำลังกว่า. ความขัดเคืองด้วย อำนาจความเบียดเบียน. ความขุ่นเคืองเพราะโกรธตอบ. ความเคืองด้วยอำนาจความโกรธ. บทว่า ความเคืองทั่ว ความเคืองเสมอ เพิ่มด้วยอำนาจของอุปสัค. ความชังด้วยอำนาจการประทุษร้าย. บทว่า ความชังทั่ว ความชังเสมอ เพิ่มด้วยอำนาจของอุปสัค. ความที่จิตเห็นผิด อาการเห็นผิด อาการเปลี่ยนแปลง ชื่อว่า ความพยาบาทแห่งจิต. ชื่อว่า ความประทุษร้ายทางใจ เพราะใจเกิดประทุษร้าย. ความโกรธด้วยอำนาจความเคือง. กิริยาที่โกรธมีอาการเคือง. ความเป็นผู้โกรธ คือความเป็นผู้เคือง. ความชังเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 74
ความประทุษร้าย. อาการชัง คือกิริยาที่ชัง. ความเป็นผู้ชัง คือความเป็นผู้ประทุษร้าย. ความพยาบาท คือความปองร้ายเพราะละภาวะเดิม. อาการปองร้าย คือกิริยาที่พยาบาท. ความพิโรธเพราะความมุ่งร้าย. ความพิโรธตอบ เพราะความมุ่งร้ายบ่อยๆ. บทนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจของอาการพิโรธ และอาการพิโรธตอบ. คนกระด้างดุร้าย ท่านกล่าวว่า ความเป็นผู้ดุร้าย ความเป็นผู้ดุร้าย ชื่อว่า จัณฑิกกะ. ชื่อว่า เป็นผู้เพาะวาจาชั่ว เพราะไม่เป็นผู้เพาะวาจาดี การพูดชั่วยังไม่บริบูรณ์ทีเดียว. จริงอยู่ ในเวลาโกรธย่อมไม่มีคำพูดที่บริบูรณ์. แม้บทว่า วาจาบริบูรณ์จะมีแก่ใครๆ ก็ไม่เป็นประมาณ. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่า อัสสุโรปะ เพราะเพาะน้ำตา ด้วยอรรถว่า ให้เกิดน้ำตา. นั่นไม่ใช่เหตุ เพราะแม้ดีใจก็เกิดน้ำตาได้. ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต เพราะไม่มีใจแช่มชื่น โดยตรงกันข้ามกับมีใจแช่มชื่น ดังได้กล่าวไว้ในหนหลัง. ก็เพราะความไม่แช่มชื่นแห่งจิตนั้น ย่อมมีแก่จิตเท่านั้น ไม่มีแก่สัตว์ ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า จิตฺตสฺส แห่งจิต. บทว่า อธิมตฺตปริตฺตตา เวทิตพฺพา ควรรู้ความโกรธมาก โกรธน้อย คือความมาก และความน้อย อธิบายว่า ความโกรธมีกำลังมาก และมีกำลังอ่อน. บทว่า กิญฺจิ กาเล คือบางครั้ง. ปาฐะว่า กิญฺจิ กาลํ บางเวลาบ้าง. บทว่า จิตฺตาวิลกรณมตฺโต โหติ คือความโกรธเป็นเพียงทำจิตให้ขุ่นมัว. อธิบายว่า เป็นเพียงทำจิตให้เศร้าหมอง. ปาฐะว่า จิตฺตปิฬากรณมตฺโต เป็นเพียงกระทำการบีบคั้นจิตบ้าง. นั้นไม่ดี. อธิบายว่า เป็นเพียงทำจิตนั้นให้ลำบาก. บทว่า น จ ตาว มุขกุลานวิกุลาโน โหติ แต่ยังไม่ถึงให้หน้าเง้าหน้างอก็มี คือไม่ถึงทำหน้าเบี้ยวหน้าบูดก็มี. บทว่า น จ ตาว หนุสญฺโจปโน โหติ ความโกรธไม่ถึงทำให้คางสั่นก็มี คือไม่ถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 75
ทำให้คางสั่นไปมาก็มี. บทว่า น จ ตาว ผรุสวาจํ นิจฺฉารโณ โหติ ความโกรธยังไม่ให้เปล่งผรุสวาจาก็มี คือความโกรธยังไม่ถึงออกภายนอก ด้วยการเปล่งผรุสวาจา ตัดจุดสำคัญของร่างกายของคนอื่น. บทว่า น จ ตาว ทิสาวิทิสํ อนุวิโลกโน โหติ ความโกรธไม่ถึงให้เหลียวดูทิศต่างๆ ก็มี คือไม่ถึงให้เหลียวดูทิศน้อยบ่อยๆ เพื่อหาท่อนไม้ เป็นต้น เพื่อเงื้อตีคนอื่น. บทว่า น จ ตาว ทณฺฑสตฺถปรามสโน โหติ ความโกรธ ยังไม่ถึงจับท่อนไม้ และศัสตราก็มี คือไม่ถึงจับท่อนไม้ และศัสตรามีคมข้างเดียว เป็นต้น เพื่อความอาฆาต. บทว่า น จ ตาว ทณฺฑสตฺถํ อพฺภุกฺกิรโณ โหติ ความโกรธยังไม่ถึงเงื้อท่อนไม้ และศัสตราก็มี คือไม่ถึงเงื้อท่อนไม้ และศัสตราประหาร ดังที่กล่าวไว้แล้วก็มี. บทว่า น จ ตาว ทณฺฑสตฺถํ อภินิปาตโน โหติ ความโกรธยังไม่ถึงให้ท่อนไม้และศัสตราถูกต้องก็มี คือยังไม่ถึงขว้างท่อนไม้ และศัสตรา ๒ อย่าง เพื่อประหารคนอื่น. บทว่า น จ ตาว ฉิทฺทวิฉิทฺหกรโณ โหติ ความโกรธยังไม่ถึงทำให้เป็นแผลใหญ่ก็มี คือไม่ทำให้ร่างกายคนอื่น แยกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยการขว้างท่อนไม้ และศัสตรา เป็นต้น และไม่ทำให้เป็นแผล โดยอาการหลายอย่าง. ปาฐะว่า ฉินฺหวิฉินฺทกรโณ ก็มีบ้าง. บทว่า น จ ตาว สมฺภญฺชนปลิภญฺชโน โหติ ความโกรธยังไม่ถึงทำให้กระดูกหักก็มี คือยังไม่ถึงทำให้ร่างกายขาดเป็นจุณวิจุณไป. บทว่า น จ ตาว องฺคมงฺคาปกฑฺฒโน โหติ ความโกรธยังไม่ถึงทำให้อวัยวะน้อยใหญ่หลุดไปก็มี คือยังไม่ถึงทำให้อวัยวะน้อยใหญ่แหลกละเอียดไป. บทว่า น จ ตาว ชีวิตา ปนาสโน โหติ ความโกรธยังไม่ถึงให้ชีวิตดับก็มี คือยังไม่ถึงให้ชีวิตินทรีย์ดับ. บทว่า น จ ตาว สพฺพงฺคปริจฺจาคาย สณฺิโต โ หติ ความโกรธ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 76
ไม่ถึงเสียสละชีวิตของตนให้หมดไปก็มี คือยังไม่ถึง เพื่อให้ชีวิตทั้งหมดของผู้อื่นพินาศ หรือชีวิตของตนพินาศ. ข้อนี้ท่านอธิบายว่า เมื่อใดดำรงอยู่ เพื่อฆ่าผู้อื่นแล้วจึงฆ่าตน เมื่อนั้นชื่อว่า สละอวัยวะให้หมด. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
บุคคลฆ่าความโกรธเสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก ดูก่อนพราหมณ์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ทรงสรรเสริญการฆ่าความโกรธ อันมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน เพราะว่าบุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว ย่อมไม่เศร้าโศก.
บทว่า ยโต แปลว่า เมื่อใด. บทว่า ปรปุคฺคลํ ฆาเตตฺวา ความโกรธให้ฆ่าบุคคลอื่น คือทำบุคคลอื่นให้พินาศ. บทว่า อตฺตานํ ฆาเตติ ความโกรธให้ฆ่าตน คือยังตนให้ตาย. บทว่า ปรมุสฺสาหคโต ความโกรธเป็นไปรุนแรงอย่างหนัก คือถึงความมีกำลังอย่างยิ่ง. บทว่า ปรมเวปุลฺลปฺปตฺโต คือถึงความเป็นของมากอย่างยิ่ง. บทว่า โกธสฺส ปหีนตฺตา เพราะละความโกรธได้เเล้ว คือละความโกรธมีประการดังกล่าวแล้ว ได้ด้วยอนาคามิมรรค. บทว่า โกธวตฺถุสฺส ปริญฺาตตฺตา เพราะกำหนดรู้วัตถุแห่งความโกรธ คือเพราะกำหนดรู้วัตถุ อันได้แก่ สิ่งน่ารัก ไม่น่ารัก และสิ่งอันไม่ใช่ฐานะ อันเป็นที่ตั้งเป็นเหตุแห่งความโกรธ ด้วยญาตปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการรู้) ติรณปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา). บทว่า โกธเหตุสฺส อุปจฺฉินฺนตฺตา เพราะตัดเหตุแห่งความโกรธเสีย คือเพราะตัดจิตตุปบาท อันสหรคตด้วยโทมนัส อันเป็นเหตุให้ความโกรธเกิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 77
บทว่า ตาสี เป็นผู้สะดุ้ง คือมีความกลัวเป็นปกติ. บทว่า อุตฺตาสี เป็นผู้หวาดเสียว คือมีความกลัวอย่างยิ่งเป็นปกติ. บทว่า ปริตฺตาสี เป็นผู้สยดสยอง คือมีความกลัวเป็นปกติโดยรอบ. บทว่า ภายติ ย่อมกลัว คือย่อมถึงความกลัว. บทว่า สนฺตาสํ อาปชฺชติ ย่อมถึงความสะดุ้ง คือย่อมถึงความผิดรูป. บทว่า กตฺถี โหติ เป็นผู้อวด คือมีปกติกล่าวคุณของคน. บทว่า วิกตฺถี เป็นผู้โอ้อวด คือเป็นผู้มีปกติกล่าวคุณ โดยประการต่างๆ หลายอย่าง. บทว่า ชาติยา วา ถึงพร้อมด้วยชาติบ้าง คือถึงพร้อมด้วยชาติ มีความเป็นกษัตริย์ เป็นต้น. บทว่า โคตฺเตน วา ด้วยโคตรบ้าง คือโคตรชั้นอุกฤษฏ์ มีโคตมโคตร เป็นต้น. บทว่า โกลปุตฺ ติเกน วา ด้วยเป็นบุตรแห่งตระกูลบ้าง คือด้วยความเป็นผู้มีตระกูลใหญ่. บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย วา ด้วยความเป็นผู้มีรูปงามบ้าง คือด้วยความเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ ด้วยผิวพรรณ. สรีระท่านเรียกว่า โปกขระ อธิบายว่า เพราะมีรูปงามสมบูรณ์ ด้วยผิวพรรณแห่งสรีระนั้น. บทว่า ธเนน วา เป็นอาทิ มีความง่ายทั้งนั้น.
บทว่า กุกฺกุจฺจํ ความรำคาญ เป็นบทแสดงหัวข้อของบทขยาย. ในบทนั้น การทำที่น่าเกลียดชื่อว่า กุกฺกตํ. ความเป็นแห่งการกระทำ อันน่าเกลียดนั้น ชื่อว่า กุกกุจจะ. ความน่าเกลียดนั้นพึงเห็นว่า มีความเดือดร้อนในภายหลัง เป็นลักษณะมีการเศร้าโศกถึงสิ่งที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำ เป็นรส มีความเดือดร้อน เป็นปัจจุปัฏฐานะ (ความปรากฏ) มีการกระทำ และไม่กระทำ เป็นปทัฏฐานดุจความเป็นทาส. บทว่า หตฺถกุกฺกุจฺจมฺปิ ความรำคาญมือบ้าง คือทำความน่าเกลียดด้วยมือ ชื่อว่า กุกฺกตํ. ความเป็นแห่งความน่าเกลียดด้วยมือนั้น ชื่อว่า หัตถกุกกุจจะ แม้ในความทำความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 78
รำคาญด้วยเท้า เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺิตา ความสำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร คือเคี้ยวกินเนื้อหมีว่าเป็นเนื้อสุกร บริโภคโภชนะอันเป็นอกัปปิยะว่าเป็นโภชนะอันเป็นกัปปิยะ บริโภคในเวลาวิกาลด้วยสำคัญว่าเป็นกาล ดื่มน้ำที่เป็นอกัปปิยะว่าเป็นน้ำกัปปิยะ นี้ชื่อว่า ความสำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร. บทว่า กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺิตา ความสำคัญในสิ่งควรว่าไม่ควร คือเคี้ยวกินเนื้อสุกรว่าเป็นเนื้อหมี เคี้ยวกินเนื้อมฤคว่าเป็นเนื้อเสือเหลือง บริโภคโภชนะที่เป็นกัปปิยะว่าเป็นโภชนะที่เป็นอกัปปิยะ บริโภคในกาลสำคัญว่าเป็นในเวลาวิกาล ดื่มน้ำที่เป็นกัปปิยะว่าเป็นอกัปปิยะ นี้ชื่อว่า สำคัญในสิ่งควรว่าไม่ควร. บทว่า อวชฺเช วชฺชสญฺิตา คือ ความสำคัญในสิ่งไม่มีโทษว่ามีโทษ. บทว่า วชฺเช วชฺชสญฺิตา คือ ความสำคัญในสิ่งมีโทษว่าไม่มีโทษ. บทว่า กุกฺกุจฺจายนา ความรำคาญ คืออาการแห่งความรำคาญ. บทว่า กุกฺกุจฺจายิตฺตฺตํ กิริยาที่รำคาญ คือความเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ. บทว่า เจตโส วิปฺปฏิสาโร ความเดือดร้อนจิต คือจิตผิดรูป จิตพล่าน. บทว่า มโนวิเลโข คือ ความกลุ้มใจ. บทว่า กตตฺตา จ อกตตฺตา จ เพราะทำ และเพราะไม่ทำ คือเพราะทำกายทุจริต เป็นต้น และเพราะไม่ทำกายสุจริต เป็นต้น. บทว่า กตํ เม กายทุจฺจริตํ เราทำกายทุจริต คือเราทำความประพฤติทุจริตทางกาย เพราะความเน่าของกิเลสทางกาย. บทว่า อกตํ เม กายสุจริตํ เราไม่ทำกายสุจริต คือเราไม่ทำความประพฤติสุจริตทางกาย. แม้ในวจีทุจริต และวจีสุจริต เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า จิตฺตสฺส แห่งจิต คือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล. บทว่า อุทฺธจฺจํ ฟุ้งซ่าน. บทว่า อวูปสโม คือ ไม่สงบ. บทว่า เจตโส วิกฺเขโป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 79
ได้แก่ จิตกวัดแกว่ง. บทว่า ภนฺตตฺตํ จิตฺตสฺส ความที่จิตหมุนไป คือความที่จิตหมุนไป ดุจยานหมุนไป และโคหมุนไป เป็นต้น. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าว ความดิ้นรนในอารมณ์เดียว นั่นแล. จริงอยู่ ความฟุ้งซ่าน ย่อมดิ้นรนไปในอารมณ์เดียว ความสงสัย ย่อมดิ้นรนไปในอารมณ์ต่างๆ บทว่า อิทํ วุจฺจติ อุทฺธจฺจํ นี้ท่านเรียกว่า ความฟุ้งซ่าน.
บทว่า มุสา ในบทว่า มุสวาทํ ปหาย ละมุสาวาท นี้เป็นวจีประโยค หรือกายประโยค อันหักเสียซึ่งประโยชน์ ของผู้มุ่งจะกล่าวให้ผิด. เจตนาอันมีกายประโยค หรือวจีประโยคเป็นที่ตั้งของผู้พูด เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด โดยความประสงค์จะพูดให้ผิด ชื่อว่า มุสาวาท. อีกนัยหนึ่ง. บทว่า มุสา คือ เป็นวัตถุที่ไม่จริง ไม่แท้. บทว่า วาโท คือการให้เขารู้วัตถุนั้น โดยความเป็นจริง โดยความแท้. อนึ่ง โดยลักษณะเจตนา อันจะให้เขารู้อย่างนั้น ตั้งขึ้นแก่ผู้ประสงค์จะให้ผู้อื่นรู้วัตถุ อันไม่เป็นจริงโดยความเป็นจริง ก็ชื่อว่า มุสาวาท. ซึ่งมุสาวาทนั้น. บทว่า ปหาย ละมุสาวาทนั้น คือละความเป็นผู้ทุศีล อันได้แก่ เจตนาจะพูดเท็จนี้เสีย. บทว่า ปฏิวิรโต เว้นขาด คืองดเว้นจากความเป็นผู้ทุศีลนั้น ตั้งแต่เวลาละได้แล้ว. พึงทราบความในบททั้งหลาย เห็นปานนี้ แม้อื่นโดยนัยนี้ว่า แม้ความคิดว่า จักล่วงก็ยังไม่มี จะกล่าวไปทำไม ถึงธรรมอันควรรู้ด้วยจักษุ โสตะ และกายเล่า. ชื่อว่า สจฺจวาที เพราะพูดจริง. ชื่อว่า สจฺจสนฺโธ ดำรงคำสัตย์ เพราะสืบทอดคำสัตย์ไว้ ด้วยความจริง อธิบายว่า ไม่พูดเท็จในระหว่างๆ. เพราะคนใดบางครั้งพูดเท็จ บางครั้งพูดจริง คำสัตย์ของบุคคลนั้น ไม่สืบต่อด้วยความสัตย์ เพราะเขาพูดเท็จในระหว่าง เพราะฉะนั้น คนนั้นได้ชื่อว่า ไม่ดำรงคำสัตย์. บุคคลนี้ไม่พูดเท็จ แม้เพราะเหตุความเป็นอยู่ ย่อมดำรงความสัตย์ไว้ ด้วยความสัตย์เหมือน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 80
กัน ก็ชื่อว่า เป็นผู้ดำรงคำสัตย์, บทว่า เถโต คือมั่นคง. อธิบายว่า มีถ้อยคำมั่นคง, บุคคลคนหนึ่งเป็นผู้มีถ้อยคำไม่มั่นคง ดุจสีย้อมผ้า ดุจหลักปักที่กองแกลบ และดุจฟักวางบนหลังม้า ฉะนั้น คนหนึ่งมีถ้อยคำมั่นคง ดุจรอยจารึกบนแผ่นหิน และดุจเสาเขื่อน ฉะนั้น. แม้จะเอาดาบตัดศีรษะก็ ไม่ยอมพูดเป็นคำสอง. บุคคลนี้ท่านเรียกว่า ผู้มีวาจามั่นคง. บทว่า ปจฺจยิโก คือเชื่อถือได้ อธิบายว่า มั่นอยู่ในคำสัตย์. จริงอยู่ คนบางคนเชื่อถือไม่ได้ เมื่อเขากล่าวว่า คนโน้นพูดเรื่องอะไร ก็พูดว่า พวกท่านอย่าเชื่อคำของเขาเลย. คนหนึ่งเชื่อถือได้ เมื่อเขากล่าวว่า คนโน้นพูดเรื่องอะไรก็พูดว่า ผิว่า คนนั้นพูดถือเป็นประมาณได้ ไม่ต้องสอบสวน นี้ต้องเป็นอย่างนั้น ดังนี้ บุคคลนี้ท่านกล่าวว่า เป็นบุคคลเชื่อถือได้. บทว่า อวิสํวาทโก โลกสฺส ไม่พูดให้เคลื่อนคลาดแก่โลก อธิบายว่า ไม่พูดให้ชาวโลกเข้าใจผิด เพราะเป็นผู้กล่าวคำสัตย์นั้น. พึงทราบความในบท มีอาทิว่า ปิสุณาวาจํ ปหาย ละปิสุณาวาจา ดังต่อไปนี้ วาจาที่บุคคลพูดทำให้เขารักตน ทำความส่อเสียดแก่ผู้อื่น ชื่อว่า ปิสุณาวาจา. วาจาที่ทำความหยาบให้ตนบ้าง ให้ผู้อื่นบ้าง แม้วาจาเองก็หยาบ ไม่เพราะหู ไม่สุขใจ ชื่อว่า ผรุสวาจา. บุคคลผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ ไม่มีประโยชน์ ชื่อว่า สัมผัปปลาปะ. แม้เจตนาใด อันเป็นเหตุแห่งคำพูดเหล่านั้น ย่อมได้ชื่อว่า ปิสุณาวาจา เป็นต้นเหมือนกัน เจตนานั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้. บทว่า อิเมสํ เภทาย เพื่อทำลายคนหมู่นี้ คือ เพื่อทำลายผู้ที่ฟัง ในสำนักของผู้ที่กล่าววาจาแต่สำนักนี้. บทว่า ภินฺนานํ วา สนฺธาตา สมานคนที่แตกกัน คือเมื่อมิตรสองคน หรือผู้ที่ร่วมอุปัชฌาย์กัน เป็นต้น แตกกันด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เข้าไปหาคนๆ หนึ่ง แล้วกล่าวคำมีอาทิว่า การแตกกันนี้ ไม่สมควรแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 81
ท่านทั้งหลายผู้เกิดในตระกูล เช่น ผู้เป็นพหูสูตอย่างนี้ ชื่อว่า ทำความสมาน. บทว่า อนุปฺปทาตา ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกัน คือส่งเสริมคนที่สมานกัน. อธิบายว่า เห็นคนสองคนพร้อมเพรียงกัน แล้วกล่าวคำ มีอาทิว่า นี้สมควรแก่พวกท่าน ผู้เกิดในตระกูลเห็นปานนี้ ประกอบด้วยคุณเห็นปานนี้ แล้วทำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น. ชื่อว่า สมคฺคาราโม เพราะมีความพร้อมเพรียงเป็นที่มายินดี. อธิบายว่า ความพร้อมเพรียงไม่มีในที่ใด ไม่ควรแม้จะอยู่ในที่นั้น. บาลีว่า สมคฺคราโม ดังนี้บ้าง. ความอย่างเดียวกัน. บทว่า สมคฺครโต คือยินดีในบุคคลผู้พร้อมเพรียงกัน อธิบายว่า ละบุคคลเหล่านั้นแล้ว ไม่ปรารถนาจะไปในที่อื่น. ชื่อว่า สมคฺคนนฺที เพราะเห็นก็ดี ฟังก็ดี ซึ่งบุคคลผู้พร้อมเพรียงกัน ย่อมยินดี. บทว่า สมคฺคกรณึ วาจํ ภาสิตา กล่าววาจาทำให้เขาพร้อมเพรียงกัน คือกล่าววาจา ที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน อันแสดงถึงคุณของความสามัคคี มิใช่นอกเหนือไป. เจตนาหยาบโดยส่วนเดียว ยังกายประโยค และวจีประโยคให้ตั้งขึ้น ตัดความรักของบุคคลอื่น ชื่อว่า ผรุสวาจา. บทว่า เนลา กล่าววาจาที่ไม่มีโทษ โทษท่านเรียกว่า เอลา. ชื่อว่า เนลา เพราะวาจาไม่มีโทษ. ดุจ เนลา ที่ท่านกล่าวไว้ในคาถานี้ว่า เนลงฺโค เสตปจฺฉาโท ไม่มีโทษ (บริสุทธิ์) คลุมด้วยผ้าขาว. บทว่า กณฺณสุขา ไพเราะโสต คือวาจาสบายหู เพราะไพเราะด้วยพยัญชนะ ไม่เกิดแสลงหู ดุจเข็มแทงหู. ชื่อว่า เปมนิยา เพราะไม่เกิดความโกรธ ให้เกิดความรักไปทั่วกาย เพราะไพเราะด้วยอรรถ บทว่า หทยงฺคมา วาจาหยั่งลงถึงหทัย. ชื่อว่า หทยงฺคมา เพราะไม่มีอะไรกระทบ ไปถึงหทัยเข้าไปสู่จิตโดยสะดวก. ชื่อว่า โปรี เพราะเป็นคำของชาวเมือง บริบูรณ์ด้วยคุณ. อนึ่ง ชื่อว่า โปรี เพราะเป็นเด็กดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 82
ดุจนารีผู้เจริญในบุรี. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า โปรี เพราะเป็นวาจาของชาวเมือง. อธิบายว่า เป็นคำพูดของชาวเมือง. จริงอยู่ ชาวเมืองเป็นผู้พูดเหมาะสม ย่อมเรียกคนปูนบิดาว่า บิดา คนปูนพี่ว่า พี่. ชื่อว่า พหุชนกนฺตา เพราะคำพูดเห็นปานนี้ ย่อมเป็นที่พอใจของชนหมู่มาก. ชื่อว่า พหุชนมนาปา เพราะเป็นที่ชอบใจของชนหมู่มาก ทำความงดงามให้แก่ใจ ด้วยเป็นวาจาที่พอใจ. อกุศลเจตนา อันยังกายประโยค และวจีประโยค ให้ตั้งขึ้นด้วย ให้รู้ความไม่มีประโยชน์ ชื่อว่า สัมผัปปลาปะ. ชื่อว่า กาลวาที เพราะพูดถูกกาลอันควร. อธิบายว่า พูดตามกำหนดกาลที่ควรพูด. ชื่อว่า ภูตวาที เพราะพูดจริงแท้ตามความจริง. ชื่อว่า อตฺถวาที เพราะพูดอิงประโยชน์ ปัจจุบันและประโยชน์ในภายหน้า. ชื่อว่า ธมฺมวาที เพราะพูดอิงโลกุตตรธรรม ๙. ชื่อว่า วินยวาที เพราะพูดอิงสังวรวินัย (การสำรวม) และปหานวินัย (การละ). ชื่อว่า นิธานวตี เพราะมีวาจาเป็นหลักฐาน ที่ท่านเรียกว่า นิธาน. อธิบายว่า กล่าวคำพูดอันควรจำไว้ในหทัย. บทว่า กาเลน โดยกาลอันควร คือแม้เมื่อจะกล่าววาจาเห็นปานนี้ ก็ไม่กล่าวในกาลอันไม่ควรว่า เราจักกล่าววาจาอันมีหลักฐาน. แต่กล่าวในกาลอันควร. บทว่า สาปเทสํ มีที่อ้างอิง อธิบายว่า พร้อมด้วยอุปมา พร้อมด้วยเหตุ. บทว่า ปริยนฺตวตึ มีส่วนสุด อธิบายว่า แสดงหัวข้อแล้วกล่าวไป ตามที่หัวข้อของวาจานั้นปรากฏ. บทว่า อตฺถสญฺหิตํ ประกอบด้วยประโยชน์ คือกล่าววาจา ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะประกอบด้วยอรรถ ที่ผู้นั้นกล่าว สมบูรณ์ด้วยอรรถ อันผู้กล่าวจำแนกไว้หลายนัย สามารถถือเอาได้. อธิบายว่า มิใช่ยกบทอื่น แล้วกล่าวบทอื่น. บทว่า จตุทฺโทสาปคตํ วาจํ ภาสติ กล่าววาจาปราศจากโทษ ๔ คือกล่าววาจาปราศจากโทษ ๔ มีมุสาวาท เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 83
บทว่า ทฺวตฺตึสาย ติรจฺฉานกถาย คือไม่ประกอบด้วยดิรัจฉานกถา ๓๒ ประการ ของสัตว์ผู้พ้นจากสวรรค์. บทว่า ทส กถาวตฺถูนิ กถาวัตถุ ๑๐ ประการ คือเหตุอันเป็นวัตถุแห่งกถา อาศัยวิวัฏฏะ (นิพพาน) ๑๐ ประการ มีความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย เป็นต้น. บทว่า อปฺปิจฺโฉ มีความปรารถนาน้อย ในบทว่า อปฺปิจฺฉกถํ นี้ ได้แก่ เว้นความปรารถนา ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความอยาก. อันที่จริงพยัญชนะ ในบทว่า อปฺปิจฺโฉ นี้ ดูเหมือนจะยังมีพยัญชนะเหลืออยู่. แต่อรรถไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย. เพราะพระขีณาสพ ไม่มีความปรารถนาแม้แต่น้อย. อีกอย่างหนึ่ง ในความปรารถนานี้ พึงทราบประเภทดังนี้ คือความปรารถนาลาภคนอื่นเพื่อตน ความปรารถนาลามก ความปรารถนาใหญ่ ความปรารถนาน้อย. ในประเภทความปรารถนาเหล่านั้น พึงทราบดังนี้ ความปรารถนาลาภของผู้อื่น เพราะไม่อิ่มในลาภของตน ชื่อว่า ปรารถนาลาภคนอื่นเพื่อตน. ผู้ประกอบด้วยความปรารถนาลาภคนอื่นเพื่อตนนั้น แม้ขนมสุกในภาชนะหนึ่ง ที่เขาใส่บาตรของตน ก็ปรากฏเหมือนยังไม่สุกดี และเหมือนเล็กน้อย. วันรุ่งขึ้นเขาใส่บาตรของผู้อื่น ก็ปรากฏเหมือนสุกดีแล้ว และเหมือนมาก. ความสรรเสริญในคุณอันไม่มี และความไม่รู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่ามี ความปรารถนาลามก. ความปรารถนาลามกนั้น มาแล้วโดยนัยมีอาทิว่า คนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธาปรารถนาว่า ขอให้ชนรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศรัทธา. บุคคลผู้ประกอบด้วยความปรารถนาลาภนั้น ย่อมตั้งอยู่ในความหลอกลวง. ความสรรเสริญคุณอันมีอยู่ และความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณ ในการรับ ชื่อว่า มีความปรารถนาใหญ่. แม้ความปรารถนาใหญ่นั้น ก็มาแล้วโดยนัยนี้ว่า คนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ชน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 84
จงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศีล ดังนี้ บุคคลผู้ประกอบด้วยความปรารถนาใหญ่นั้น เป็นผู้ไม่อิ่มด้วยท่อนผ้า, แม้มารดาผู้ให้กำเนิด ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้ง ความคิดของเขาได้. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
กองไฟ มหาสมุทร และบุคคลผู้มีความปรารถนาใหญ่ ชนทั้งหลายให้ปัจจัย จนเต็มเกวียน แม้ทั้ง ๓ ประเภทนั้น ก็หาอิ่มไม่.
ส่วนความเป็นผู้ปิดบังคุณอันมีอยู่ และรู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่า มีความปรารถนาน้อย. บุคคลผู้ประกอบด้วยความปรารถนาน้อยนั้น เพราะประสงค์จะปกปิดคุณ แม้ที่มีอยู่ในตน ถึงมีศรัทธา ก็ไม่ปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศรัทธา ถึงมีศีล เป็นผู้สงัด เป็นพหูสูต เป็นผู้ปรารภความเพียร เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมาธิ เป็นผู้มีปัญญาเป็นพระขีณาสพ ก็ไม่ปรารถนาว่า ชนจงรู้จักเราว่า เป็นพระขีณาสพ เหมือนพระมัชฌันติกเถระ ฉะนั้น. ก็แลภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างนี้ ย่อมยังลาภ ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้ถาวร ยังจิตของทายกให้ยินดี. มนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสแล้ว ในวัตรของภิกษุนั้น ย่อมถวายมาก โดยอาการที่ภิกษุนั้น เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย จึงรับแต่น้อย.
ยังมีความปรารถนาน้อยอื่นอีก ๔ อย่าง คือปรารถนาน้อยในปัจจัย ปรารถนาน้อยในธุดงค์ ปรารถนาน้อยในปริยัติ ปรารถนาน้อยในอธิคม (ความสำเร็จ, การบรรลุ). ใน ๔ อย่างนั้น ความปรารถนาน้อย ในปัจจัย ๔ ชื่อว่า ปรารถนาน้อยในปัจจัย. ภิกษุใดรู้กำลังของทายก รู้กำลังของไทยธรรม รู้กำลังของตน ผิว่า ไทยธรรมมีมาก ทายกประสงค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 85
จะให้น้อยย่อมรับแต่น้อยด้วยกำลังของทายก. ไทยธรรมมีน้อย ทายกประสงค์จะให้มาก ย่อมรับแต่น้อย ด้วยกำลังของไทยธรรม. แม้ไทยธรรมก็มีมาก แม้ทายกก็ประสงค์จะให้มาก รู้กำลังของตน ย่อมรับพอประมาณเท่านั้น. ไม่ประสงค์จะให้รู้ว่า การสมาทานธุดงค์มีอยู่ในตน ภิกษุนั้น ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในธุดงค์. ส่วนภิกษุใดไม่ประสงค์จะให้รู้ว่า ตนเป็นพหูสุต ภิกษุนี้ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในปริยัติ. ส่วนภิกษุใดได้เป็นพระโสดาบัน เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ปรารถนาจะให้รู้ว่า ตนเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น ภิกษุนี้ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อยในอธิคม. ส่วนพระขีณาสพ ละความปรารถนาลาภคนอื่นเพื่อตน ความปรารถนาลามก ความปรารถนาใหญ่ได้แล้ว ชื่อว่า เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยความปรารถนาน้อย ด้วยความบริสุทธิ์ คือไม่โลภอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความปรารถนา โดยประการทั้งปวง. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงโทษ ในธรรมเหล่านั้นว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ คือความปรารถนาลาภคนอื่นเพื่อตน ความปรารถนาลามก ความปรารถนาใหญ่ควรละเสีย ทรงแสดงว่า ควรประพฤติสมาทาน ความเป็นผู้ปรารถนาน้อยเห็นปานนี้ ชื่อว่าตรัส อปฺปิจฺฉกถา ความปรารถนาน้อย.
เราจักแสดงอรรถที่ต่างกัน ในบทเป็นต้นว่า สนฺตุฏฺิกถํ กล่าวถึง สันโดษ. แต่พึงทราบการประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้ว นั่นแล. บทว่า สนฺตุฏฺิกถํ คือกถาอิงความยินดีปัจจัย ตามมีตามได้. ก็สันโดษนั้นมี ๑๒ อย่าง. ๑๒ อย่างนั้นอย่างไร. คือสันโดษในจีวรมี ๓ อย่าง คือยถาลาภสันโดษ ๑ ยถาพลสันโดษ ๑ ยถาสารุปปสันโดษ ๑. แม้ในบิณฑบาตเป็นต้นก็เหมือนกัน. จะพรรณนาถึงประเภทของสันโดษนั้นต่อไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 86
ภิกษุในศาสนานี้ได้จีวรดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ภิกษุนั้นใช้สอยจีวรนั้นเท่านั้น ไม่ปรารถนาอย่างอื่น แม้ได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยินดีตามได้ในจีวรของภิกษุนั้น (ยถาลาภสันโดษ). อนึ่ง ภิกษุใดปกติมีกำลังน้อย หรือถูกอาพาธ และชราครอบงำ ห่มจีวรหนักย่อมลำบาก ภิกษุนั้นแลกเปลี่ยน จีวรนั้นกับภิกษุที่ชอบกัน แล้วใช้สอยจีวรผืนที่เบา เป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามกำลังในจีวรของภิกษุนั้น (ยถาพลสันโดษ). ภิกษุรูปอื่นได้ ปัจจัยประณีต ภิกษุนั้นได้จีวรมีค่ามาก มีจีวรผ้าไหม เป็นต้น ผืนใดผืนหนึ่ง หรือจีวรหลายผืนแล้วถวาย ว่าผืนนี้สมควรแก่พระเถระผู้บวชนาน ผืนนี้สมควรแก่ท่านผู้เป็นพหูสูต ผืนนี้สมควรแก่ภิกษุอาพาธ ผืนนี้สมควรแก่ภิกษุผู้มีลาภน้อย ดังนี้ แล้วเลือกจีวรเก่าๆ ของภิกษุเหล่านั้น หรือจีวรที่เปื้อนจากกองหยากเยื่อ เป็นต้น เอาจีวรเหล่านั้นใช้เป็นสังฆาฏิ ย่อมเป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามความสมควรในจีวรของภิกษุนั้น (ยถาสารุปปสันโดษ).
ส่วนภิกษุในศาสนานี้ ได้บิณฑบาตเศร้าหมองก็ตาม ประณีตก็ตาม ภิกษุนั้นยังชีวิตให้เป็นไป ด้วยบิณฑบาตนั้นเท่านั้น ไม่ปรารถนาอย่างอื่น แม้ได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยินดีตามได้ในบิณฑบาตของภิกษุนั้น. อนึ่ง ภิกษุใดได้บิณฑบาตอันแสลง หรือผิดสำแดงของตน ฉันบิณฑบาตนั้นแล้ว ไม่สบาย ภิกษุนั้นถวายบิณฑบาตนั้น แก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แล้วฉันโภชนะเป็นที่สบาย จากมือของภิกษุนั้นแล้ว บำเพ็ญสมณธรรม ย่อมเป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามกำลังในบิณฑบาตของภิกษุนั้น. ภิกษุรูปอื่นได้บิณฑบาต อันประณีตมาก ภิกษุนั้นถวายแก่ภิกษุผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย ผู้อาพาธ เหมือนถวายจีวรนั้น หรือเที่ยวบิณฑบาต แล้วฉันอาหารสำรวม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 87
ที่เหลือของภิกษุเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามสมควร ในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.
อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ได้เสนาสนะที่ชอบใจก็ตาม ไม่ชอบใจก็ตาม ภิกษุนั้นไม่เกิดโสมนัส ไม่เกิดขุ่นข้อง ด้วยเสนาสนะนั้น ย่อมยินดีตามได้ แม้โดยที่สุด เครื่องลาดทำด้วยหญ้า. นี้ชื่อว่า ยินดีตามได้ ในเสนาสนะของภิกษุนั้น. อนึ่งภิกษุใดได้เสนาสนะ อันทำลายสุขภาพก็ตาม ทำให้เจ็บป่วยก็ตาม เมื่ออยู่ในเสนาสนะใดไม่สบาย ภิกษุนั้นให้เสนาสนะนั้น แก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แม้อยู่ในเสนาสนะ อันเป็นที่สบายในสำนักของภิกษุนั้น ก็เป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามกำลัง ในเสนาสนะของภิกษุนั้น ภิกษุรูปอื่นมีบุญมาก ได้เสนาสนะอันประณีตมาก มีถ้ำ มณฑป และเรือนยอด เป็นต้น ภิกษุนั้นถวายแก่ภิกษุผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย ผู้อาพาธ เหมือนถวายจีวรเหล่านั้นแล้ว แม้จะอยู่ในที่ไหนๆ ก็ย่อมเป็นผู้สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยินดีตามสมควร ในเสนาสนะของภิกษุนั้น. แม้ภิกษุใดสำเหนียกอยู่ว่า ชื่อว่า เสนาสนะดีเกินไป เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อภิกษุนั่ง ณ เสนาสนะนั้น ย่อมถูกความหลับครอบงำ ย่อมก้าวลงสู่ความง่วงเหงาหาวนอน ความวิตกลามก ย่อมปรากฏแก่ภิกษุ ผู้ถูกความหลับเข้าครอบงำ แล้วตื่นขึ้นอีก แล้วไม่รับเสนาสนะเช่นนั้นแม้มาถึงแล้ว ภิกษุนั้นปฏิเสธเสนาสนะนั้นแล้ว แม้อยู่ในกลางแจ้ง และโคนต้นไม้ เป็นต้น ก็เป็นผู้สันโดษ. แม้นี้ก็ชื่อว่า ยินดีตามสมควร ในเสนาสนะของภิกษุนั้น.
อนึ่ง ภิกษุได้เภสัชเศร้าหมองก็ตาม ภิกษุนั้นได้เภสัชใด ยินดีด้วยเภสัชนั้น เท่านั้น ไม่ปรารถนาอย่างอื่น แม้ได้ก็ไม่รับ. นี้ชื่อว่า ยินดีตาม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 88
ได้ในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น. อนึ่ง ภิกษุใดต้องการน้ำมัน แต่ได้น้ำอ้อย ภิกษุนั้นถวายน้ำอ้อยนั้น แก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แล้วรับน้ำมันจากมือของภิกษุนั้น หรือแสวงหาอย่างอื่น แม้เอาน้ำมัน และน้ำอ้อยเหล่านั้นทำเภสัช ก็เป็นผู้สันโดษเหมือนกัน. นี้ชื่อว่า ยินดีตามกำลังในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น. ภิกษุรูปอื่น มีบุญมากได้เภสัชอันประณีต มีน้ำมัน และน้ำอ้อย เป็นต้น ภิกษุนั้นถวายแก่ภิกษุผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย ผู้อาพาธ เหมือนถวายจีวรนั้นแล้ว แม้ยังชีวิตของภิกษุเหล่านั้น รูปใดๆ ที่มาแล้วๆ ให้เป็นไป ก็เป็นผู้สันโดษเหมือนกัน. อนึ่งภิกษุใด อันภิกษุตั้งของหวาน ๔ อย่าง ไว้ในภาชนะเดียวกัน แล้วกล่าวว่า พระคุณเจ้าจงรับสมอดองด้วยน้ำมูตร ในภายในภาชนะหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าปรารถนาเถิด หากโรคของภิกษุนั้น สงบด้วยขนานใดขนานหนึ่งในยาเหล่านั้น ห้ามของหวาน ๔ ด้วยคิดว่า ชื่อว่า สมอดองด้วยน้ำมูตร อันพระพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงสรรเสริญ แล้วเอาสมอดองด้วยน้ำมูตรทำเภสัช ย่อมเป็นผู้สันโดษอย่างยิ่งทีเดียว. นี้ชื่อว่า ยินดีตามสมควรในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น. บรรดาสันโดษแต่ละ ๓ อย่าง ในปัจจัยทั้งหลาย เฉพาะอย่างเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า ยถาสารุปปสันโดษ (ยินดีตามสมควร) เป็นเลิศ. พระอรหันต์เป็นผู้สันโดษ ด้วยสันโดษแม้ ๓ อย่างเหล่านั้น ในปัจจัยอย่างหนึ่งๆ.
บทว่า ปวิเวกกถํ ได้แก่ กถาเกี่ยวกับความวิเวก จริงอยู่ ความวิเวกมี ๓ อย่าง คือ กายวิเวก๑ จิตตวิเวก๑ อุปธิวิเวก (กิเลส) ๑. ในความวิเวก ๓ อย่างนั้น รูปหนึ่งเดิน รูปหนึ่งยืน รูปหนึ่งนั่ง รูปหนึ่งนอน รูปหนึ่งเข้าไปบิณฑบาต รูปหนึ่งก้าวไป รูปหนึ่งเดินจงกรม รูปหนึ่งเที่ยวไป รูปหนึ่งอยู่ นี้ชื่อว่า กายวิเวก (สงัดกาย). สมาบัติ ๘ ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 89
จิตตวิเวก (สงัดจิต). นิพพานชื่อว่า อุปธิวิเวก (สงัดจากกิเลส). สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า กายวิเวกของผู้มีกายตั้งอยู่ในความสงัด จิตตวิเวกของ ผู้ยินดีในเนกขัมมะแล้ว อุปธิวิเวกของบุคคลผู้ไม่มีอุปธิ ผู้มีจิตบริสุทธิ์ ถึงความผ่องแผ้วอย่างยิ่ง ถึงนิพพานแล้วดังนี้.
สังสัคคะ (ความเกี่ยวข้อง) ในบทว่า อสํสคฺคกถํ (กถาเรื่องการไม่เกี่ยวข้องกัน) นี้มีอยู่ ๕ อย่าง คือ สวนสังสัคคะ (เกี่ยวข้องด้วยการฟัง) ๑ ทัสสนสังสัคคะ (เกี่ยวข้องด้วยการเห็น) ๑ สมุลลปนสังสัคคะ (เกี่ยวข้องด้วยการสนทนา) ๑ สัมโภคสังสัคคะ (เกี่ยวข้องด้วยการบริโภคร่วมกัน) ๑ กายสังสัคคะ (เกี่ยวข้องทางกาย) ๑.
ในสังสัคคะ ๕ อย่างนั้น ภิกษุในศาสนานี้ได้ฟังมาว่า ที่บ้าน หรือนิคมโน้นมีหญิง หรือหญิงวัยรุ่น มีรูปสวย น่าดู น่ารัก ประกอบด้วยผิวพรรณงามยิ่งนัก ภิกษุนั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ตกหลุมรัก ไม่สามารถจะประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้ หมดกำลังที่จะเล่าเรียน เวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว เพราะเหตุนั้น ราคะจึงเกิดด้วยวิถีแห่งโสตวิญญาณของภิกษุนั้น ผู้ฟังซึ่งสมบัติมีรูป เป็นต้น ที่คนอื่นบอกอย่างนี้ หรือฟังเสียงแม้หัวเราะ และรำพันด้วยตนเอง ชื่อว่า สวนสังสัคคะ.
ภิกษุในศาสนานี้ไม่ได้ฟัง แต่เห็นเองซึ่งหญิง หรือหญิงวัยรุ่น รูปสวย น่าดู น่ารัก ประกอบด้วยผิวพรรณงามยิ่งนัก ภิกษุนั้นเห็นเข้าแล้ว ตกหลุมรัก ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้ หมดกำลังที่จะเล่าเรียน เวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว เพราะเหตุนั้น ราคะจึงเกิดด้วยวิถีแห่งจักขุวิญญาณของภิกษุ ผู้แลดูรูป อันเป็นข้าศึกอย่างนี้ ชื่อว่า ทัสสนสังสัคคะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 90
อนึ่ง ราคะเกิดด้วยการสนทนาปราศรัยกันและกัน ชื่อว่า สมุลลปนสังสัคคะ.
ราคะเกิดด้วยภิกษุรับของของภิกษุณี หรือภิกษุณีรับของของภิกษุ แล้วบริโภคร่วมกัน ชื่อว่า สัมโภคสังสัคคะ.
อนึ่ง ราคะเกิดด้วยการจับมือ เป็นต้น ชื่อว่า กายสังสัคคะ.
พระอรหันต์ ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ๔ ด้วยสังสัคคะ ๕ เหล่านี้ พ้นจากการยึดถือ และพ้นจากการเกี่ยวข้อง กล่าวสรรเสริญคุณของการไม่เกี่ยวข้อง ชื่อว่ากล่าว อสังสัคคกถา.
ในบทว่า วีริยารมฺภกถา กถาปรารภความเพียรนี้ มีความว่า ภิกษุใดเป็นผู้ประคองความเพียรไว้ เป็นผู้มีความเพียรทางกาย และทางจิตบริบูรณ์ ในเวลาเดิน ก็ไม่ให้กิเลสเกิด ในเวลายืน ติดตามไปจนถึงเวลานั่ง นอน ก็ไม่ให้กิเลสเกิด ประพฤติดุจจับบีบงูเห่าด้วยมนต์ และดุจเหยียบคอศัตรู กล่าวสรรเสริญคุณ ของผู้ปรารภความเพียรเช่นนั้น ชื่อว่ากล่าว วีริยารัมภกถา.
บทว่า สีลํ ในบทว่า สีลกถํ กถาว่าด้วยศีลนี้ ได้แก่ จตุปาริสุทธศีล. บทว่า สมาธิ ได้แก่ สมาบัติ ๘ อันมีวิปัสสนาเป็นบาท. บทว่า ปญฺา ได้แก่ ญาณอันเป็นโลกิยะ และโลกุตตระ. บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ วิมุตติอันเป็นอรหัตผล. บทว่า วิมุตฺติาณทสฺสนํ ได้แก่ ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ อย่าง. เมื่อจะประกาศคุณของศีล เป็นต้น ชื่อว่า กล่าวกถาเรื่องศีล เป็นต้น. บทมีอาทิว่า สติปฏฺานกถํ อันเป็นบทสุดท้ายของบทว่า สงฺคชาลมติจฺจ โส มุนิ ก้าวล่วงธรรมเครื่องข้อง และตัณหา เพียงดังว่าตาข่าย บุคคลนั้นชื่อว่า เป็นมุนี พึงทราบโดยทำนองดังกล่าวแล้ว ในบทก่อนๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 91
บทว่า นิราสตฺตี บุคคลผู้ไม่มีตัณหาเครื่องเกี่ยวข้อง คือไม่มีตัณหา. บทว่า วิเวกทสฺสี ผสฺเสสุ ผู้มีปกติเห็นวิเวกในผัสสะทั้งหลาย ได้แก่ เห็นวิเวกในความเป็นตน เป็นต้น ในจักษุสัมผัสเป็นต้น อันเป็นปัจจุบัน. บทว่า ทิฏฺีสุ จ น นิยฺยติ และไม่ถูกนำไปในเพราะทิฏฐิทั้งหลาย ได้แก่ ไม่ถูกนำไปในเพราะทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง ในทิฏฐิ ๖๒.
บทว่า วิปริณตํ วา วติถุํ น โสจติ ไม่เศร้าโศกถึงวัตถุที่แปรปรวน คือละภาวะเดิมแล้ว ย่อมไม่ถึงความเศร้าโศกในวัตถุไรๆ ที่เสื่อมไป. บทว่า วิปริณตสฺมึ วา คือเมื่อวัตถุแปรปรวนไปแล้ว. บทว่า จกฺขุสมฺผสฺโส ได้แก่ ผัสสะเกิดพร้อมกับจักขุวิญญาณ ทำจักษุให้เป็นวัตถุ ชื่อว่า จักขุสัมผัส. แม้ในผัสสะที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. อนึ่งในบทนี้ ผัสสะที่มีในก่อน ก็มีจักขุประสาทเป็นต้น เป็นวัตถุทั้งนั้น. มโนสัมผัส มีหทยะเป็นวัตถุก็มี ไม่มีวัตถุก็มี ทั้งหมดเป็นผัสสะ เป็นไปในภูมิ ๔. บทว่า อธิวจนสมฺผสฺโส คือเป็นชื่อของสัมผัสนั้น โดยปริยาย. เพราะอรูปขันธ์ ๓ อย่าง หมุนไปตามข้างหลังเอง ย่อมทำชื่อของสัมผัส ที่เกิดพร้อมกับตนว่า อธิวจนสัมผัส. บทว่า ปฏิฆสมฺผสฺโส ปฏิฆสัมผัสโดยนิปริยาย สัมผัสเป็นไปในปัญจทวาร ชื่อ ปฏิฆสัมผัส สัมผัสเป็นไปในมโนทวาร ชื่อว่า อธิวจนสัมผัส. บทว่า สุขเวทนีโย ผสฺโส ได้แก่ ผัสสะอันเกิดขึ้นเกื้อกูลแก่สุขเวทนา. แม้ในสัมผัสทั้ง ๒ นอกจากนี้ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า กุสโล ผสฺโส ผัสสะอันเป็นกุศล ได้แก่ ผัสสะอันเกิดพร้อมกับกุศลจิต ๒๑. บทว่า อกุสโล ผัสสะเป็นอกุศล ได้แก่ ผัสสะอันเกิดพร้อมกับอกุสลจิต ๑๒. บทว่า อุพฺยากโต ผัสสะอันเป็นอัพยากฤต ได้แก่ ผัสสะอันเกิดพร้อมกับอัพยากตจิต ๕๖. บทว่า กามารจโร ผัสสะอันเป็นกามาวจร ได้แก่ ผัสสะอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 92
เกิดพร้อมกับกามาวจรจิต ๕๔. บทว่า รูปาวจโร ผัสสะอันเป็นรูปาวจร ได้แก่ ผัสสะอันเกิดพร้อมกับรูปาวจรจิต ๑๕ มีกุศลจิต เป็นต้น. บทว่า อรูปาวจโร ผัสสะอันเป็นอรูปาวจร ได้แก่ ผัสสะที่สัมปยุตด้วยอรูปาวจรจิต ๑๒ ด้วยอำนาจแห่งกุศลจิต และอัพยากตจิต. บทว่า สุญฺโต ผัสสะอัน เป็นสุญญตะ ได้แก่ มรรคอันเกิดขึ้นแก่ผู้เห็นแจ้ง ด้วยอำนาจแห่งอนัตตานุปัสสนา ชื่อว่า สุญญตะ ความเป็นของสูญ. ผัสสะอันเกิดพร้อมกับมรรคนั้น ชื่อว่า สุญญตผัสสะ. แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในบทว่า อนิมิตฺโต ผัสสะอันเป็นอนิมิตตะนี้ ได้แก่ มรรคอันเกิดขึ้นแก่ผู้เห็นแจ้ง ด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา ชื่อว่า อนิมิตตะ (หานิมิตมิได้). บทว่า อปฺปณิหิโต ผัสสะอันเป็นอัปปณิหิตะ (ไม่มีที่ตั้ง) ได้แก่ มรรคอันเกิดขึ้นแก่ผู้เห็นแจ้ง ด้วยอำนาจทุกขานุปัสสนา ชื่อว่า อัปปณิหิตะ. บทว่า โลกิโย ผัสสะอันเป็นโลกิยะ คือวัฏฏะ ท่านเรียกว่าโลก เพราะอรรถว่า เสื่อมโทรมแตกสลายไป ธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ เป็นโลกิยะ เพราะประกอบอยู่ในโลก ด้วยความนับเนื่องกันในวัฏฏะนั้น. บทว่า โลกุตฺตโร ผัสสะ อันเป็นโลกุตตระ ได้แก่ ผัสสะ ชื่อว่า โลกุตตระ เพราะข้ามพ้นไปจากโลก. ผัสสะอันเป็นโลกุตตระ เพราะไม่นับเนื่องในโลก. บทว่า อตฺเตน วา คือ จากความเป็นคนบ้าง. บทว่า อตฺตนิเยน วา คือจากธรรมที่เนื่องในตนบ้าง.
บทว่า ปฏิลีโน บุคคลเป็นผู้หลีกเร้น คือปราศจากอกุศลธรรมนั้น เพราะละราคะเป็นต้นได้. บทว่า อกุหโก ไม่หลอกลวง คือไม่ทำให้พิศวง ด้วยวัตถุเป็นเครื่องหลอกลวง ๓ อย่าง. บทว่า อปิหาลุ คือมีปกติไม่ทะเยอทะยาน. ท่านอธิบายว่า เว้นจากความปรารถนา และความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 93
อยาก. บทว่า อมจฺฉรี ไม่ตระหนี่ คือเว้นจากความตระหนี่ ๕ อย่าง. บทว่า อปฺปคพฺโภ ผู้ไม่คะนอง คือเว้นจากความเป็นผู้คะนองกาย เป็นต้น. บทว่า อเชคุจฺโฉ ไม่เป็นที่รังเกียจ คือไม่น่ารังเกียจ ชื่นตา ชื่นใจ เพราะสมบูรณ์ด้วยศีล เป็นต้น.
บทว่า เปสุเณยฺเย จ โน ยุโต ไม่ประกอบในความเป็นผู้มีวาจาส่อเสียด คือไม่ประกอบในความส่อเสียด อันควรนำเข้าไปด้วยอาการ ๒ อย่าง.
บทว่า ราคสฺส ปหีนตฺตา เพราะละเสียซึ่งราคะ คือเพราะละราคกิเลสได้ด้วยอรหัตมรรค. บทว่า อสฺมิมาโน ปหีโน โหติ เป็นผู้ละความถือตัวว่าเป็นเรา คือละความหยิ่ง และความถือตัวว่า เป็นเราได้ โดยเด็ดขาด. บทว่า ตีณิ กุหนวตฺถูนิ วัตถุแห่งความหลอกลวง ๓ อย่าง คือเหตุให้เกิดความพิศวง ๓ อย่าง. ในบทมีอาทิว่า ปจฺจยปฏิเสวนสงฺขาตํ กุหนวตฺถุํ เรื่องความหลอกลวงกล่าวด้วยการเสพปัจจัย มีความว่า เมื่อภิกษุได้รับนิมนต์ด้วยจีวร เป็นต้น ทั้งมีความต้องการจีวรนั้นเหมือนกัน อาศัยความปรารถนาลามก และรู้ว่าคหบดีเหล่านั้น มีศรัทธาตั้งมั่นด้วยดีในตน เพราะการปฏิเสธ เมื่อคหบดีเหล่านั้นคิดว่า น่าอัศจรรย์ใจ พระคุณเจ้ามีความปรารถนาน้อย ไม่ปรารถนาจะรับอะไรๆ อีก พึงเป็นสิ่งที่เราได้ดีแล้วหนอ หากพระคุณเจ้าจะพึงรับอะไรๆ แม้มีประมาณน้อย ดังนี้ แสดงความประสงค์จะอนุเคราะห์เขาแล้ว ตั้งแต่นั้นมา ก็ทำให้พิศวงด้วยการรับ อันเป็นเหตุให้เขา นำของเข้าไปถวายเป็นเกวียนๆ. พึงทราบว่า นี้คือเรื่องหลอกลวง กล่าวด้วยการเสพปัจจัย. อนึ่ง เมื่อภิกษุมีความปรารถนาลามก ทำให้พิศวงด้วยอิริยาบถ อันแสดงความประสงค์จะยกย่อง พึงทราบว่า นี้คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 94
เรื่องการหลอกลวงอาศัยอิริยาบถ. อนึ่ง เมื่อภิกษุมีความปรารถนาลามก ทำให้พิศวงด้วยอาการนั้นๆ โดยการกล่าวแสดงถึง การบรรลุอุตริมนุสธรรม พึงทราบว่า นี้คือเรื่องหลอกลวง กล่าวด้วยการพูดเลียบเคียง.
ในบทว่า เรื่องการหลอกลวง กล่าวด้วยการเสพปัจจัยเป็นไฉน นี้พึงทราบว่า ได้แก่ การหลอกลวง กล่าวด้วยการเสพปัจจัย คือกล่าวอย่างนี้ว่า การซ่องเสพปัจจัย. บทว่า อิธ คหปติกา ภิกฺขุํ นิมนฺเตนติ คือคหบดีในโลกนี้ ย่อมนิมนต์ภิกษุ. ปาฐะอย่างนี้เหมือนกัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า นิมนฺเตนฺติ บ้าง วทนฺติ บ้าง. บทว่า จีวรํ ปจฺจกฺขาติ บอกคืนจีวร คือปฏิเสธจีวร. บทว่า เอตํ สารุปฺปํ ยํ สมโณ ข้อนั้นเป็นการสมควรแก่สมณะ คือข้อนี้สมณะ ทำการทรงจีวรไว้เป็นการสมควร คือเหมาะสม. บทว่า ปาปณิกา วา นนฺตกานิ ผ้าเก่าจากตลาด คือผ้าขี้ริ้ว เว้นผ้าใหม่อันตกอยู่ที่ประตูตลาด. บทว่า อุจฺจินิตฺวา คือเก็บเอามา. บทว่า อุญฺฉาจริยาย คือด้วยการเที่ยวไปเพื่อภิกษา. บทว่า ปิณฺฑิยาโลเปน ได้แก่ ข้าวทำเป็นก้อนได้มา. บทว่า ปูติมุตฺเตน วา ด้วยน้ำมูตรเน่า คือน้ำมูตรโค. บทว่า โอสธํ กเรยฺย คือพึงทำเป็นยา. บทว่า ตทุปาทาย คือตั้งแต่นั้นมา. บทว่า ธุตวาโท มีวาทะกำจัดกิเลส คือกล่าวคุณแห่งธุดงค์. บทว่า ภิยฺโย ภิยฺโย นิมนฺเตนฺติ ยิ่งนิมนต์ คือนิมนต์บ่อยๆ. บทว่า สมฺมุขีภาวา คือเพราะประจวบกัน. อธิบายว่า เพราะความมีอยู่. บทว่า ปสวติ คือย่อมได้. สามารถจะทำโดยประจวบด้วยศรัทธา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สทฺธาย สมฺมุขีภาวา เพราะประจวบด้วยศรัทธาเป็นอาทิ. ไทยธรรมหาได้ง่าย แต่ทักขิไณยบุคคล และศรัทธาหาได้ยาก. เพราะศรัทธาของปุถุชน ไม่มั่นคง เปลี่ยนไปทุกๆ ย่างก้าว. ด้วยเหตุนั้นแล แม้พระอัคร-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 95
สาวกเช่นกับพระมหาโมคคัลลานะ ยังไม่สามารถเป็นผู้รับรองปุถุชนนั้นได้ จึงกล่าวว่า ดูก่อนผู้อาวุโส พระมหาโมคคัลลานะไม่สามารถรับรอง ธรรม ๒ อย่าง คือโภคะ และชีวิตของท่านได้ แต่จะรับรองท่านได้ด้วยศรัทธา. บทว่า ปุญฺเน ในบทว่า เอวํ ตุมฺเห ปุญฺเน ปริหีนา ภวิสฺสถ ท่านทั้งหลายจักเป็นผู้เสื่อมจากบุญ ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นตติยาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งปัญจมีวิภัตติ. คือท่านจักเป็นผู้เสื่อมจากบุญ คือหันหลังให้บุญ. บทว่า ภากุฏิกา หน้าสยิ้ว คือทำหน้าสยิ้ว ด้วยการเห็นหน้ายู่ยี่. อธิบายว่า มีหน้าเบี้ยวบูด. ชื่อว่า ภากุฏิกะ เพราะมีหน้าสยิ้ว. ความเป็นผู้มีหน้าสยิ้ว ชื่อว่า ภากุฏิกะ บทว่า กุหนา ความหลอกลวง คือความพิศวง. กิริยาที่หลอกลวง ชื่อว่า กุหายนา. ความเป็นผู้หลอกลวง ชื่อว่า กุหิตัตตะ.
บทว่า ปาปิจฺโฉ มีความปรารถนาลามก คือใคร่จะแสดงคุณที่ไม่มีอยู่. บทว่า อิจฺฉาปกโต คือถูกความปรารถนาครอบงำ. บทว่า สมฺภาวนาธิปฺปาโย มีความประสงค์ในการยกย่อง คือมีอัธยาศัยถือตัวจัด. บทว่า คมนํ สณฺเปติ สำรวมการเดิน คือระมัดระวังการเดิน มีการก้าวไป เป็นต้น. อธิบายว่า ทำความน่าเลื่อมใส. แม้ในบทนอกนี้ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ปณิธาย คจฺฉติ ตั้งสติเดิน คือตั้งใจเดิน. แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สนาหิโต วิย คจฺฉติ ทำเหมือนภิกษุมีสมาธิเดิน คือทำเหมือนภิกษุได้อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาปาถกชฺฌายีว โหติ ทำเหมือนภิกษุ ที่เจริญอาปาถกฌาน (เจริญฌานต่อหน้าพวกมนุษย์) คือแสดงความเป็นผู้สงบ ทำเป็นเหมือน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 96
เข้าฌานต่อหน้าพวกมนุษย์ที่เดินมา. บทว่า อิริยาปถสฺส ได้แก่ อิริยาบถ ๔. บทว่า อาปนา การตั้งใจ คือจงใจไว้แต่ต้น หรือตั้งใจไว้โดยเอื้อเฟื้อ บทว่า ปนา คือการตั้งใจ. บทว่า สณฺปนา ทำเป็นตั้งใจ อธิบายว่า ทำความน่าเลื่อมใส. บทว่า อริยธมฺมสนฺนิสิตํ กล่าววาจาอิงอริยธรรม คือเนื่องด้วยโลกุตตรธรรม. บทว่า กุญฺจิกํ คือลูกกุญแจสำหรับเปิด. บทว่า มิตฺตา คือมีความเยื่อใย. บทว่า สนฺทิฏฺา คือเพียงเห็นกัน. บทว่า สนฺภตฺตา คือเป็นมิตรสนิทกันมาก. บทว่า อุทฺทณฺโฑ ได้แก่ เรือนที่พักหลังหนึ่ง. บทว่า โกรชิกโกรชิโก คือทำหน้าบูดเบี้ยว. อธิบายว่า หน้านิ่วยิ่งนัก. ปาฐะว่า โกรชโก ก็มี. บทว่า ภากุฏิกภากุฏิโก ทำหน้าสยิ้วบูดเบี้ยว คือทำหน้าสยิ้วเป็นปกติ เหลือเกิน บทว่า กุหกกุหโก หลอกลวง คือทำให้พิศวงยิ่งนัก. บทว่า ลปกลปโก ปลิ้นปล้อนตลบตะแลง คือช่างพูดเกินไป. บทว่า มุขสมฺภาวิโต อันผู้อื่นสรรเสริญ คือผู้อื่นสรรเสริญด้วยปากของตน. อาจารย์บางท่านกล่าวว่า อปฺปิตจิตฺโต คือไม่หนำใจ. บทว่า สนฺตานํ มีอยู่ คือมีอยู่เพราะสืบเนื่องด้วยกิเลส. บทว่า สมาปตฺตีนํ สมาบัติ คือธรรมที่ควรบรรลุ บทว่า คมฺภีรํ ลึกซึ้ง คือที่พึ่งขาดหายไป. บทว่า คุฬฺหํ ลับ คือยากที่จะให้เห็นได้. บทว่า นิปุณํ คือสุขุม. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ ปิดบัง คืออธิบายให้รู้แจ้งแทงตลอดได้ยาก ด้วยอรรถแห่งบท. บทว่า โลกุตฺตรํ คือแสดงถึงโลกุตตรธรรม. บทว่า สุญฺตาปฏิสญฺญุตํ คือปฏิสังยุตด้วยนิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โลกุตฺตรสุญฺตาปฏิสญฺญุตํ ได้แก่ ปฏิสังยุตด้วยนิพพานอันเป็นโลกุตตรธรรม.
บทว่า กายิกํ ปคพฺภิยํ ความคะนองทางกาย คือเป็นไปทางกาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 97
ชื่อว่า กายิกะ. แม้ความคะนองเป็นไปทางวาจา และเป็นไปทางจิต ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อจิตฺติการกโต ไม่ทำความเคารพ คือเว้นจากความนับถือมาก. บทว่า อนุปาหนานํ จงฺกมนฺตานํ เมื่อภิกษุผู้เป็นเถระ เดินไม่สวมรองเท้า คืออยู่ในที่ใกล้ภิกษุผู้เป็นเถระ ผู้เดินไม่สวมรองเท้า หรือบทนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอนาทระ คือแปลว่า เมื่อ. บทว่า สอุปาหโน คือเดินสวมรองเท้า. บทว่า นีเจ จงฺกเม จงฺกมนฺตานํ เมื่อภิกษุผู้เป็นเถระ เดินในที่จงกรมต่ำ คือเมื่อภิกษุผู้เป็นเถระ เดินจงกรมในพื้นที่ที่มิได้ทำการกำหนดไว้ เดินจงกรมในที่จงกรมซึ่งกำหนดไว้ เกลี่ยทรายทำที่เกาะ แม้ต่ำ. บทว่า อุจฺเจ จงฺกเม จงฺกมติ เดินในที่จงกรมสูง คือในที่จงกรมสูง ล้อมด้วยเวทีก่ออิฐ. หากล้อมด้วยกำแพงประกอบด้วยซุ้มประตู ก็ย่อมควรเพื่อเดิน ในที่จงกรมเช่นนั้น ซึ่งปกปิดไว้ด้วยดี ในระหว่างภูเขา ระหว่างป่า และระหว่างพุ่มไม้. แม้ในที่ไม่ปกปิดละอุปจารเสียก็ควร. บท ว่า ฆฏยนฺโตปิ ติฏฺติ ยืนเบียดบ้าง คือยืนใกล้เกินไป. บทว่า ปุรโตปิติฏฺติ คือยืนบังหน้าบ้าง. บทว่า ิตโกปิ ภณติ ยืนทื่อพูดบ้าง คือพูดไม่ก้มเหมือนตอไม้. บทว่า พาหาวิกฺเขปโก แกว่งแขน คือแกว่งแขนไปข้างโน้นข้างนี้พูด. บทว่า อนุปขชฺช นั่งแทรกแซง คือเข้าไปยังที่ที่ พระเถระทั้งหลายนั่ง. บทว่า นเวปิ ภิกฺขู อาสเนน ปฏิพาหติ นั่งกีดกันอาสนะพวกภิกษุนวกะบ้าง คือไม่นั่งบนอาสนะที่ถึงตนแล้ว เข้าไปแทรกข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง ชื่อว่า กีดกันอาสนะ. บทว่า อนาปุจฺฉาปิ กฏฺํ ปกฺขิปติ ไม่บอกก่อนแล้วใส่ฟืนบ้าง คือไม่บอกไม่ขอความยินยอม แล้วใส่ฟืนในไฟบ้าง. บทว่า ทฺวารํ ปิทหติ ปิดประตู คือปิดเรือนไฟ. บทว่า โอตรติ หยั่งลง คือเข้าไปยังท่าน้ำ บทว่า นหายติ อาบน้ำ คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 98
ชำระร่างกาย. บทว่า อุตฺตรติ ขึ้น คือขึ้นฝั่งจากท่าน้ำ. บทว่า โวกฺกมฺมาปิ คือเดินเลยหน้าบ้าง. บทว่า โอวรกานิ ห้องเล็ก คือห้องนอน ที่เขาตกแต่งเป็นห้อง. บทว่า คุฬฺหานิ คือปิดบัง. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนานิ ปกปิด คือมีอย่างอื่นบังไว้. บทว่า อนชฺฌิฏฺโ วา ไม่ได้เชื้อเชิญ คือพระเถระมิได้ขอร้อง และเชื้อเชิญว่า ท่านจงฟังธรรมเถิดดังนี้.
บทว่า ปาปธมฺโม มีบาปธรรม คือมีธรรมลามก. บทว่า อสุจิสงฺกสฺสรสมาจาโร มีความประพฤติไม่สะอาด ที่พึงระลึกด้วยความระแวง คือชื่อว่า มีความประพฤติไม่สะอาด ที่พึงระลึกด้วยความระแวง เพราะมีความประพฤติ คือมีการประกอบที่ผู้อื่น พึงระลึกด้วยความระแวง ผู้เป็นคนทุศีล ดังนี้. บทว่า ปฏิจฺฉนฺนกมฺมนฺโต มีการงานอันปกปิด คือมีการงานทางกาย และวาจาอันปกปิด. บทว่า อสฺสมโณ คือมิใช่สมณะ. บทว่า สมณปฏิญฺโ คือปฏิญาณว่า เราเป็นสมณะ. บทว่า อพฺรหฺมจารี คือเว้นจากการประพฤติอันประเสริฐ. บทว่า พฺรหฺมจารีปฏิญฺโ ปฏิญาณว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ คือตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว. บทว่า อนฺโตปูติ เน่าใน คือถึงความเป็นผู้เน่าใน เพราะเว้นจากกุศลธรรมในภายใน. บทว่า อวสฺสุโต คือชุ่มอยู่ด้วยราคะ. บทว่า กสมฺพุชาโต คือมีสภาพเป็นหยากเยื่อ.
ในบทว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร นี้พึงทราบความต่อไปนี้ ภิกษุมีความเคารพ มีความยำเกรง ถึงพร้อมด้วยหิริ และโอตตัปปะ นุ่งเรียบร้อย ห่มเรียบร้อย ก้าว ถอย มอง เหลียว คู้ เหยียด น่าเลื่อมใส ทอดตา ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภค ประกอบความเพียรเนืองๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 99
ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ มักน้อยสันโดษ ปรารภความเพียร ทำความเคารพ ในอภิสมาจาริกวัตร มากไปด้วยความยำเกรงครู นี้ท่านเรียกว่า อาจาระ. พึงทราบอาจาระเพียงเท่านี้ก่อน. ส่วนโคจรมี ๓ อย่าง คือ อุปนิสสยโคจร (โคจรอันเป็นอุปนิสัย) ๑ อารักขโคจร (โคจรอันควรรักษาไว้) ๑ อุปนิพันธโคจร (โคจรอันเข้าไปผูกพัน) ๑.
ในโคจร ๓ อย่างนั้น อุปนิสสยโคจรเป็นอย่างไร. ภิกษุประกอบ ด้วยคุณคือกถาวัตถุ ๑๐ มีมิตรดี เข้าไปอาศัยมิตรดี ย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังมิได้เคยฟัง ย่อมทำสิ่งที่ฟังแล้วให้เเจ่มแจ้ง ข้ามความสงสัย ทำความเห็นให้ตรง ทำจิตให้ผ่องใส เมื่อศึกษาตามย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา นี้ชื่อว่า อุปนิสสยโคจร. อารักขโคจรเป็นอย่างไร. ภิกษุในศาสนานี้ เข้าไปในระหว่างเรือนแล้ว เดินไปตามถนน ทอดตา มองดูเพียงชั่วแอก สำรวมเป็นอย่างดีเดินไป ไม่มองดูช้าง ม้า รถ คนเดินทาง สตรี บุรุษ ไม่แหงนดู ไม่ก้มดู ไม่จ้องทิศน้อยใหญ่เดินไป นี้ชื่อว่า อารักขโคจร. อุปนิพันธโคจรเป็นอย่างไร. สติปัฏฐาน ๔ จิตเข้าไปผูกพันไว้ในสติปัฏฐานข้อใด. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โคจรเป็นของตน เป็นของบิดา เป็นวิสัยคืออะไร คือสติปัฏฐาน ๔ นี้ ชื่อว่า อุปนิพันธโคจร. ภิกษุเข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบแล้ว ด้วยอาจาระนี้ และด้วยโคจรนี้ ด้วยประการฉะนี้แหละ ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียก อาจารโคจรสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมแล้ว ด้วยอาจาระ และโคจร. บทว่า อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี เห็นภัยในโทษทั้งหลาย มีประมาณน้อย คือมีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย อันมีประเภทเป็นต้นว่า การต้องอาบัติโดยไม่เจตนา เสขิยะวัตร และจิตตุปบาทอันเป็นอกุศล มีประมาณน้อย. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 100
สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย คือ ถือเอาโดยชอบศึกษาสิกขาบทที่ควรศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งในสิกขาบททั้งหลาย. อนึ่ง ในบทว่า ปาฏิโมกฺขสํวรสํวุ โต สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ นี้ ท่านแสดงถึงศีล คือการสำรวมในพระปาติโมกข์ด้วยเทศนาอันเป็น บุคลาธิษฐาน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้. พึงทราบบททั้งปวงมีอาทิว่า อาจารโคจรสมฺปนฺโน ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงการปฏิบัติ ของผู้ปฏิบัติที่มีศีลสมบูรณ์แล้ว.
บทว่า สาติเยสุ อนสิสาวี บุคคลผู้ไม่มีความยินดีในวัตถุเป็นที่น่ายินดี คือเว้นจากความชมเชยด้วยตัณหา ในกามคุณทั้งหลาย อันเป็นวัตถุที่น่ายินดี. บทว่า สณฺโห ผู้ละเอียด คือประกอบด้วยกายกรรม เป็นต้น อันละเอียด. บทว่า ปฏิภาณวา มีปฏิภาณ คือประกอบด้วยปริยัติ ปริปุจฉา (การสอบกาม) อธิคม (การบรรลุ) และปฏิภาณ. บทว่า น สทฺโธ ไม่มีศรัทธา คือไม่เชื่อถึงธรรมที่บรรลุเองของใครๆ. บทว่า น วิรชฺชติ ไม่คลายกำหนัด คือไม่คลายกำหนัดในบัดนี้ เพราะความกำหนัดคลายไปแล้ว เพราะความสิ้นไป.
บทว่า เยสํ เอสา สาติยา ความยินดีนั้น ของบุคคลเหล่าใด ได้แก่ ความปรารถนาในกามคุณ มีวัตถุน่ายินดีของบุคคลเหล่าใด. บทว่า ตณฺหา อปฺปหีนา ตัณหาอันสัมปยุตด้วยความชมเชย อันบุคคลยังละไม่ได้ ด้วยอรหัตมรรค. บทว่า เตสํ จกฺขุโต รูปตณฺหา สวติ ชนเหล่านั้น ก็มีรูปตัณหาไหลหลั่งไปทางจักษุ คือตัณหามีรูปเป็นอารมณ์ สัมปยุตด้วยชวนวิถีจิต อันเป็นไปแล้ว ย่อมเกิดจากจักขุทวารของชนเหล่านั้น. บทว่า ปสวติ ไหลไป คือโดยภูมิตัณหาย่อมไหลไปถึงภวัคคพรหม โดยธรรมย่อมไหลไปถึงโคตรภู. บทว่า สนฺทติ หลั่งไหล คือไหลไปสู่ปากเบื้องต่ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 101
ดุจกระแสน้ำ. บทว่า ปวตฺตติ ย่อมเป็นไป คือเป็นไปด้วยเกิดขึ้นบ่อยๆ. แม้ในทวารที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ตัณหาเป็นอันละแล้วด้วยดี ด้วยอรหัตมรรคโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้วในธรรมฝ่ายขาว รูปตัณหาย่อมไม่ไหลไปทางจักษุของชนเหล่านั้น.
บทว่า สณฺเหน กายกมฺเมน สมนฺนาคโต เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมอันละเอียด คือเป็นผู้พร้อมเพรียง เป็นอันเดียวกันด้วยกายกรรม อันอ่อนโยนไม่หยาบ. แม้ในวจีกรรม เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในบททั้งหลายมีอาทิว่า สณฺเหหิ สติปฏฺาเนหิ ความว่า สติปัฏฐานเป็นต้น เป็นธรรมเจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระ ปัญญาอันได้แก่ ปฏิภาณ ๓ สอบสวนถึงอรรถอันได้เล่าเรียนมา เป็นต้น สามารถทำการสังเกตการทำให้แจ้ง การกำหนดด้วยการบรรลุโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรมมีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า มีปฏิภาณ. บทว่า ตสฺส ปริยตฺตึ นิสฺสาย ปฏิภายติ ญาณของ บุคคลนั้นย่อมแจ่มแจ้ง เพราะอาศัยปริยัติ คือญาณของบุคคลนั้นที่ได้เรียน มาแน่นแฟ้น แจ่มแจ้ง เป็นญาณปรากฏอยู่เฉพาะหน้า. บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺานา สติปัฏฐาน ๔ คือท่านกล่าวโพธิปักขิยธรรม ๓๗ โดยเจือปนกันทั้งโลกิยะ และโลกุตตระ. พึงทราบว่า ท่านกล่าวปฏิสัมภิทา ๔ ด้วย โลกุตตระอันเกิดจากมรรคผล และอภิญญา ๖ ด้วยสามารถอันมีในที่สุด แห่งวิโมกข์. ในบทเหล่านั้น บทว่า จตสฺโส ปฏิสมฺภิทาโย ได้แก่ ประเภทของญาณ ๔. บทว่า ฉ อภิญฺา ได้แก่ อภิญญา ๖ อันยิ่ง มีอิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) เป็นต้น มีอาสวักขยะ (การสิ้นอาสวะ) เป็นที่สุด. บทว่า ตสฺส คือของบุคคล. พึงเชื่อมว่า อตฺโถ ปฏิภายติ อรรถก็แจ่มแจ้ง. บทว่า อตฺโถ เป็นผลอันเกิดแต่เหตุโดยสังเขป. เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 102
บุคคลย่อมถึง ย่อมบรรลุอรรถนั้นด้วยแล่นไปตามเหตุ ฉะนั้น ท่านจึง กล่าวว่า อตฺโถ ผล. แต่โดยประเภทธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ คือปัจจยุปบัน (ผล) อย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ นิพพาน ๑ อรรถแห่งภาษิต ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ พึงทราบว่า อรรถะ. เมื่อพิจารณาถึงอรรถนั้น เป็นอันรู้ชัดอรรถนั้นโดยประเภท. บทว่า ธมฺโม เป็นปัจจัย (เหตุ) โดยสังเขป. เพราะปัจจัยนั้นย่อมจัดการสืบทอดให้เป็นไป และให้ถึงอรรถนั้นๆ ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ธรรมะ. แต่โดยประเภทธรรม ๕ อย่างเหล่านี้ คือธรรม ที่ให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ เหตุ ๑ อริยมรรค ๑ ภาษิตที่เป็นกุศล ๑ ที่เป็นอกุศล ๑ พึงทราบว่า ธรรมะ. เมื่อพิจารณาธรรมนั้น เป็นอันรู้ชัดธรรมนั้นโดยประเภท, การใช้ภาษาตามสภาวะ การออกเสียง การพูด อันใดในอรรถ และในธรรมนั้น เมื่อบุคคลนั้น การทำเสียงในการใช้ภาษา ตามสภาวะ ให้เป็นการพูดการกล่าวการเปล่งเสียง ในการพูด ในการกล่าว ในการเปล่งเสียงให้เป็นอารมณ์แล้วพิจารณา ก็เป็นอันรู้ชัดการใช้ภาษานั้น. พึงทราบความในบทต่อไปนี้ บทว่า อตฺเถ าเต อตฺโถ ปฏิภายติ เมื่อรู้อรรถ อรรถก็แจ่มแจ้ง คือเมื่ออรรถอันมีประเภทดังที่ นำเสียงของบุคคลนั้น มากล่าวแล้วปรากฏอรรถ มีประเภทดังกล่าวแล้ว ก็แจ่มแจ้งแก่บุคคลนั้น ชื่อว่า เป็นผู้มุ่งต่อญาณ. บทว่า ธมฺเม าเต ธมฺโม ปฏิภายติ เมื่อรู้ธรรม ธรรมก็แจ่มแจ้ง คือเมื่อธรรมมีประเภท ดังกล่าวแล้วปรากฏ ธรรมมีประเภทดังกล่าวแล้วก็แจ่มแจ้ง. บทว่า นิรุตฺติยา าตาย นิรุตฺติ ปฏิภายติ เมื่อรู้นิรุตติ นิรุตติก็แจ่มแจ้ง คือเมื่อนิรุตติมีประเภทดังกล่าวแล้วปรากฏ นิรุตติมีประเภทดังกล่าวแล้ว ก็แจ่มแจ้ง. บทว่า อิเมสุ ตีสุ าเณสุ าํ ญาณในญาณ ๓ เหล่านี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 103
คือเมื่อบุคคลทำญาณทั้งหมด ในญาณ ๓ เหล่านั้น คืออรรถธรรม และนิรุตติ ให้เป็นอารมณ์แล้วพิจารณา ญาณอันมีประเภทในญาณ ๓ เหล่านั้น หรือญาณอันมีความพิสดาร ด้วยโคจรกิจเป็นต้น ในญาณ ๓ เหล่านั้น ดังที่กล่าวแล้ว ชื่อว่า ปฏิสัมภิทาญาณ. บทว่า อิมาย ปฏิภาณปฏิสมฺภิทาย ด้วยปฏิภาณปฏิสัมภิทานี้ ท่านกล่าวสรุปว่า บุคคลเข้าไปถึงปัญญากว้างขวางดังกล่าวแล้วนี้ บุคคลนั้นท่านเรียกว่า ผู้มีปฏิภาณ. พระพุทธพจน์ ชื่อว่า ปริยัติ ในบทว่า ยสฺส ปริยตฺติ นตฺถิ ผู้ใดไม่มีปริยัติ ดังนี้. จริงอยู่ ความแตกฉาน ความฉลาด ย่อมมีแก่บุคคลผู้เรียนปริยัตินั้น ปริยัติเห็นปานนั้นไม่มีแก่บุคคลใด. บทแห่งคัณฐี (ประมวลคำศัพท์) บทแห่งอรรถ คำวินิจฉัยในบาลี และอรรถกถา เป็นต้น ชื่อว่า ปริปุจฉา ในบทว่า ปริปุจฺฉา นตฺถิ ไม่มีปริปุจฉา (การตรวจสอบ). ความแตกฉาน ความฉลาด ย่อมมีแก่บุคคลผู้กล่าวอรรถ ในบาลีที่ได้เรียนมา เป็นต้น. การบรรลุพระอรหัต ชื่อว่า อธิคมะ ในบทว่า อธิคโม นตฺถิ ไม่มีอธิคม. จริงอยู่ ความแตกฉาน ความฉลาด ย่อมมีแก่ผู้บรรลุพระอรหัต. สมบัติ ๓ อย่างดังกล่าวแล้ว ไม่มีแก่บุคคลใด ญาณอะไรเล่าจักปรากฏแก่บุคคลนั้น คือญาณอันถึงความเป็นประเภท จักปรากฏแก่บุคคลนั้น ด้วยเหตุอะไร.
บทว่า สามํ คือตนเอง. บทว่า สยมภิญฺาตํ ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยตนเอง คือรู้ด้วยญาณนั้น ด้วยตนเอง. บทว่า อตฺตปจฺจกฺขํ ธมฺมํ ธรรมอันประจักษ์ด้วยตนเอง คือตนเห็นเอง. บทว่า น กสฺสจิ สทฺหหติ ไม่เชื่อใครๆ คือไม่เชื่อผู้อื่น คือไม่ไปด้วยศรัทธา เพราะประจักษ์ด้วยตนเอง. ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารทั้งหลาย มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ด้วยเห็นปัจจยาการ ๑๒. ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 104
อวิชฺขานิโรธา เพราะดับอวิชชาหมายถึง การกลับไปแห่งสังสารวัฏ. ท่านกล่าวว่า อิทํ ทุกฺขํ นี้เป็นทุกข์ เป็นต้น ด้วยเห็นอริยสัจ. ท่านกล่าวว่า อิเม อาสวา อาสวะเหล่านี้ เป็นต้น โดยปริยายอย่างอื่นด้วยอำนาจกิเลส ด้วยอำนาจการเห็นสัจธรรม. ท่านกล่าวว่า อิเม ธมฺมา อภิญฺเยฺยา ธรรมเหล่านี้ ควรรู้ยิ่ง เป็นต้น ด้วยอำนาจการเห็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ที่ควรกำหนดรู้ ที่ควรละ และที่ควรทำให้แจ้ง. ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า ฉนฺนํ ผสฺสายตนานํ ผัสสายตนะ ๖ ด้วยอำนาจการเห็น การเกิดการดับคุณโทษ และอุบาย เครื่องสลัดออกไปแห่งสฬายตนะ ๖ ขันธ์ทั้งหลาย ท่านกล่าวด้วย อำนาจการเห็น มีอาทิอย่างนี้ ความเกิด และความเสื่อมแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ โดยอาการ ๒๕ อย่าง ความพอใจด้วยอำนาจฉันทราคะ ในขันธ์เหล่านั้น ความปรวนแปร และโทษของขันธ์เหล่านั้น นิพพาน อันได้แก่ การสลัดออกไป ความเกิดมีอวิชชา เป็นต้น แห่งมหาภูตรูป ๔ และความดับในนิโรธ มีอวิชชา เป็นต้น. พึงทราบธรรมเหล่านี้ โดยนัยที่กล่าวแล้วในที่นั้นๆ. บทว่า อมฺโคตธํ หยั่งลงสู่อมตะ ชื่อว่า อมตะ เพราะไม่มีความตาย อันได้แก่ มรณะ. ชื่อว่า อมตะ คือเป็นยาบ้าง เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส. ชื่อว่า อมโตคธํ เพราะน้อมไปในอมตะนั้น. บทว่า อมตปรายนํ มี อมตะเป็นเบื้องหน้า คือมีอมตะ ดังกล่าวแล้ว เป็นเบื้องหน้า เป็นที่ไป เป็นทางไป เป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อมตปรายนํ. บทว่า อมตปริโยสานํ มีอมตะเป็นที่สุด คือมีอมตะนั้น เป็นที่สุด เพราะสิ้นสุดสังสารวัฏแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อมตปริโยสานํ.
บทว่า ลาภกมฺยา น สิกฺขติ บุคคลไม่ศึกษาเพราะอยากได้ลาภ คือไม่ศึกษาในพระสูตร เป็นต้น เพราะปรารถนาลาภ. บทว่า อวิรุทฺโธ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 105
จ ตณฺหาย รเสสุ นานุคิชฺฌติ ไม่มีการทำร้าย และไม่ติดในรสแห่ง ตัณหา คือเป็นผู้ไม่มีวิโรธ เพราะไม่มีความโกรธ และไม่ถึงความอยาก ในรสอันเป็นรากเหง้าแห่งตัณหา เป็นต้น.
บทว่า เกน นุ โข เพราะอะไรหนอ คือความเป็นผู้ตกไปในความคิดถึงเหตุ เพื่อจะได้ลาภ คือในการแสวงหาความริษยา. บทว่า ลาภาภินิพฺพตฺติยา เพราะความเกิดขึ้นแห่งลาภ คือเพราะความเกิดขึ้นแห่ง ปัจจัย ๔ ด้วยความวิเศษ. บทว่า ลาภํ ปริปาเจนฺโต คือ เจริญงอกงาม ในปัจจัย. บทว่า อตฺตทมตฺถาย เพื่อฝึกตน คือเพื่อฝึกตนด้วยปัญญา อันสัมปยุตด้วยวิปัสสนา. บทว่า อตฺตสมตฺถาย เพื่อสงบตน คือเพื่อความตั้งมั่นแห่งตนด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยสมาธิ. บทว่า อตฺตปรินิพฺพาปนตฺถาย เพื่อให้ตนปรินิพพาน คือเพื่อให้ตนปรินิพพาน ด้วยอนุปาทาปรินิพพานของตน ด้วยญาณแม้สองอย่าง. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อนิพพานด้วยอนุปาทาปรินิพพาน. บทว่า อปฺปิจฺฉญฺเว นิสฺสาย เพราะอาศัยความปรารถนาน้อย. ความปรารถนาน้อย ในบทนี้มี ๔ อย่าง คือ ความปรารถนาน้อยในปัจจัย ๑ ความปรารถนาน้อยในอธิคม ๑ ความปรารถนาน้อยในปริยัติ ๑ ความปรารถนาน้อยในธุดงค์ ๑. ความต่างกันแห่งความปรารถนาน้อยเหล่านั้น มีพิสดารแล้วในหนหลัง. ติดแน่นอยู่กับความปรารถนาน้อยนั้น. บทว่า สนฺตุฏฺิเยว ความสันโดษ คือติดแน่นอยู่กับความสันโดษ ๓ อย่างใน ปัจจัย ๔. ความแจ่มแจ้งแห่งสันโดษเหล่านั้น มีพิสดารแล้วในหนหลัง. บทว่า สลฺเลขญฺเว ได้แก่ ความขัดเกลากิเลส. บทว่า อิทมตฺถิตญฺเว ความเป็นผู้มีความต้องการด้วยกุศลนี้ คือความที่บุคคลนั้น มีความต้องการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 106
ด้วยกุศลธรรมเหล่านี้ จึงชื่อว่า อิทมตฺถิตา อาศัยติดแน่นอยู่กับความ เป็นผู้มีความต้องการด้วยกุศลนี้ นั่นแล.
บทว่า รโส รส เป็นบทยกขึ้นแสดงถึงบทไขความ. บทว่า มูลรโส มีรสที่ราก คือมีรสเกิดขึ้น เพราะอาศัยรากอย่างใดอย่างหนึ่ง. แม้ในรสเกิดที่ลำต้น ก็มีนัยนี้แล. บทว่า อมฺพิลํ รสเปรี้ยว มีรสเปรี้ยวของเปรียง เป็นต้น. บทว่า มธุรํ มีรสหวาน คือมีนมโค และเนยใส เป็นต้น มีรสหวานโดยส่วนเดียว. แต่น้ำผึ้งผสมกับรสฝาดเก็บไว้นานก็เฝื่อนได้. น้ำอ้อยผสมกับรสเค็มเก็บไว้นาน ก็มีรสปร่าได้. ส่วนเนยใส เก็บไว้นาน แม้ละสี และกลิ่นก็ไม่เสียรส เพราะฉะนั้น เนยใสนั้น จึงมีรสหวานส่วนเดียว. บทว่า ติตฺตกํ รสขม ได้แก่ ใบสะเดา เป็นต้น. บทว่า กฏุกํ รสเผ็ด ได้แก่ ขิง และพริกไทยเป็นต้น. บทว่า โลณิกํ รสเค็ม ได้แก่ เกลือสินเธาว์ เป็นต้น. บทว่า ขาริกํ รสปร่า ได้แก่ มะอึก และหน่อไม้ เป็นต้น. บทว่า ลมฺพิลํ (๑) รสเฝื่อน ได้แก่ พุทรา มะขวิด และใบโลท เป็นต้น. บทว่า กสาวํ รสฝาด ได้แก่ สมอไทย เป็นต้น. รสแม้ทั้งหมดเหล่านั้น ท่านก็กล่าวไว้โดยเป็นวัตถุ. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงรสอันมีรสนั้นๆ เป็นวัตถุ โดยชื่อ มีรสเปรี้ยว เป็นต้น. บทว่า สาทุ รสอร่อย คือรสที่ชอบ. บทว่า อสาทุ รสไม่อร่อย คือรสที่ไม่ชอบ. แม้ด้วยสองบทนี้ ก็เป็นอันมุ่งหมายถึงรสแม้ทั้งหมด. บทว่า สีตํ คือ มีรสเย็น. บทว่า อุณฺหํ คือมีรสร้อน. รสนี้แม้จะต่างกันโดยประเภทมีรสที่ราก เป็นต้น อย่างนี้ก็ไม่ต่างกันโดยลักษณะ เป็นต้น. รสทั้งหมดนี้ มีการกระทบที่ลิ้นเป็นลักษณะ ความรู้สึกที่ลิ้นเป็นรส มีรสนั้นนั่นแล เป็นอาหาร เป็นเครื่องปรากฏ. บทว่า เต ชิวฺหคฺเคน รสคฺคานิ คือสมณพราหมณ์เหล่านั้น เที่ยว
๑. ม. ลมฺพิกํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 107
แสวงหารสอันเลิศ ด้วยปลายชิวหาประสาท. บทว่า ปริเยสนฺตา คือเที่ยวแสวงหา. บทว่า อาหิณฺฑนฺติ คือเที่ยวไปในที่นั้นๆ. บทว่า เต อมฺพิลํ ลภิตฺวา อนนฺพิลํ ปริเยสนฺติ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ได้รสเปรี้ยว ก็แสวงหารสไม่เปรี้ยว คือได้รสเปรี้ยวมีเปรียง เป็นต้น ก็แสวงหารสไม่ เปรี้ยว. เปลี่ยนไปแล้วๆ เล่าๆ อยู่ทั้งหมดอย่างนี้. บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส อาหารํ อาหาเรติ ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้วจึงฉันอาหาร คือรู้ด้วยปัญญา เป็นเครื่องพิจารณาแล้ว จึงฉันโดยอุบายแยบคาย.
บัดนี้ เพื่อทรงแสดงอุบายอันแยบคาย จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เนว ทวาย ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า เน หวาย คือไม่ฉันเพื่อเล่น. ในบทนั้น นักฟ้อน นักกระโดด เป็นต้น ชื่อว่า บริโภค เพื่อประโยชน์ในการละเล่น. จริงอยู่ การละเล่นอันได้แก่ การฟ้อน การขับร้อง นักกลอน นักโศลก ของผู้บริโภคอาหารใด ย่อมประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้น ชนเหล่านั้น แสวงหาอาหารนั้นบริโภค โดยไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม. แต่ภิกษุนี้มิได้ฉันอย่างนั้น. บทว่า น มทาย ไม่ฉันเพื่อเมา คือไม่ฉันเพื่อความเจริญแห่งความเมา ด้วยความถือตัว และความเมาแห่งบุรุษ. ในบทนั้น พระราชามหาอำมาตย์ของพระราชา ชื่อว่า บริโภคเพื่อความเมา. เพราะพระราชา และมหาอำมาตย์เหล่านั้น บริโภคอาหารประณีต มีอาหารที่มีรสกลมกล่อม เป็นต้น เพื่อต้องการความเจริญแห่งความเมา ด้วยความถือตัว และความเมาแห่งบุรุษ. แต่ภิกษุนี้ไม่ฉันอย่างนั้น. บทว่า น มณฺฑนาย คือไม่ฉันเพื่อตกแต่งร่างกาย. ในบทนั้น สตรีที่อาศัยรูปเลี้ยงชีพ และชาววัง จึงดื่ม เนยใส และน้ำอ้อย เป็นต้น บริโภคอาหารละเอียดอ่อน และนุ่ม ด้วยหวังว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 108
ข้อนิ้วมือของเราจักเรียบ ผิวพรรณในร่างกายจักผ่องใสด้วยอาหารอย่างนี้. แต่ภิกษุนี้ไม่ฉันอย่างนั้น. บทว่า น วิภูสนาย ไม่ฉันเพื่อประดับ คือไม่ ฉันเพื่อประดับเนื้อในร่างกาย. ในบทนั้น นักมวยอาชีพ นักมวยปล้ำและ คนใช้กำลังเป็นต้น ย่อมให้ร่างกายอิ่มเอิบด้วยเนื้อและปลาเป็นต้น อัน ละเอียดอ่อนด้วยหวังว่า เนื้อของเราจะบริบูรณ์ เพื่อทนต่อการชกต่อยดังนี้. แต่ภิกษุนี้ไม่ฉันเพื่อประดับแต่งเนื้อในร่างกายอย่างนั้น. บทว่า ยาวเทว เป็นการแสดงข้อกำหนดนิยมถึงประโยชน์ของการฉันอาหาร. บทว่า อิมสฺส กายสฺส ิติยา ฉันเพื่อดำรงกายนี้ คือฉันเพื่อดำรงกรชกายอันมีมหาภูตรูป ๔ นี้. อธิบายว่า นี้เป็นประโยชน์ในการฉันของภิกษุนั้น. บทว่า ยาปนาย เพื่อให้ร่างกายเป็นไป คือฉันเพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป. บทว่า วิหึสุปรติยา เพื่อกำจัดความลำบาก คือความหิวเกิดขึ้นเพราะเหตุที่ไม่บริโภค ชื่อว่า ความลำบาก ฉันเพื่อสงบความลำบากนั้น. พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย เพื่อ อนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ คือสิกขา ๓. คำสอนทั้งสิ้น ชื่อว่าพรหมจรรย์ ฉันเพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์นั้น. บทว่า อิติ เป็นคำไขของอุบาย แยบคาย ได้แก่ด้วยอุบายนี้. บทว่า ปุราณญฺจ เจทนํ ปฏิหงฺขามิ เราจักบำบัดเวทนาเก่าเสีย เวทนาเกิดเพราะเหตุไม่ฉัน ชื่อว่าเวทนาเก่า ฉันด้วยตั้งใจว่า เราจักบำบัดเวทนาเก่านั้นเสีย ดังนี้. บทว่า นวญฺจ เวทนํ น อุปฺปาเทสฺสามิ เราจักไม่ยังเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น เวทนาเกิด ขึ้น เพราะเหตุฉันมากเกินไป ชื่อว่าเวทนาใหม่ ฉันด้วยตั้งใจว่า เรา จักไม่ยังเวทนาใหม่นั้นให้เกิดขึ้นดังนี้. เวทนาเกิดขึ้นเพราะเหตุฉันแล้ว ชื่อว่าเวทนาใหม่ ฉันเพื่อเวทนาใหม่ที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น. บทว่า ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ การดำเนินไปจักมีแก่เรา คือชีวิตของเราจัก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 109
ดำเนินต่อไปได้. ในบทว่า อนวชฺชตา จ ความไม่มีโทษนี้ ได้แก่ มีโทษ และไม่มีโทษ. ในบทนั้น การแสวงหาไม่เป็นธรรม การรับไม่เป็นธรรม การบริโภคไม่เป็นธรรม นี้ชื่อว่ามีโทษ. การแสวงหาโดยธรรม รับโดย ธรรม พิจารณาแล้วบริโภค ชื่อว่าไม่มีโทษ. ภิกษุบางรูปทำสิ่งไม่มีโทษ ให้เป็นสิ่งมีโทษฉันเสียเกินพอดี เพราะนึกว่าไหนๆ เราก็ได้มาแล้ว ไม่สามารถจะให้อาหารนั้นย่อยได้ ย่อมลำบากด้วยต้องขึ้น และท้องเดิน เป็นต้น. ภิกษุทั้งหลายในวิหารทั้งสิ้น ขวนขวายในการเยียวยารักษา และแสวงหายาให้แก่ภิกษุนั้น เมื่อถูกถามว่า เป็นอะไรเล่า ก็บอกว่า ภิกษุรูปโน้นท้องขึ้น ย่อมนินทาติเตียนว่า ภิกษุรูปนี้ปกติก็เป็นอย่างนี้ ตลอดเวลา ช่างไม่รู้จักประมาณท้องของตนเสียบ้างเลย. ภิกษุนี้ชื่อว่า กระทำสิ่งไม่มีโทษ ให้เป็นสิ่งมีโทษ. ภิกษุไม่ทำอย่างนั้น ฉันด้วยคิดว่า ความไม่มีโทษจักมีแก่เรา. แม้ในบทว่า ผาสุวิหาโร จ ความอยู่สบายนี้ ก็มีทั้งอยู่สบาย และมีทั้งอยู่ไม่สบาย. ในบทนั้น การบริโภคของพราหมณ์ ๕ คนเหล่านี้คือ อาหรหัตถกะ ๑ อลังสาฏกะ ๑ ตัดรวัฏฏกะ ๑ กากมาสกะ ๑ ภุตตวมิตกะ ๑ ชื่อว่าอยู่ไม่สบาย. ในพราหมณ์ ๕ คนเหล่านั้น พราหมณ์ ชื่อว่าอาหรหัตถกะ บริโภคมากไม่สามารถจะลุกขึ้นตามธรรมดาของตนได้ พูดว่า ช่วยฉุดมือที. พราหมณ์ชื่อว่าอลังสาฏกะ เพราะค่าที่ตนมีท้องพลุ้ย เกินไป แม้ลุกขึ้นได้ก็ไม่อาจนุ่งผ้าสาฏกได้. พราหมณ์ชื่อว่าตัตรวัฏฏกะ ไม่สามารถจะลุกขึ้นได้กลิ้งไปในที่นั้นๆ นั่นเอง. พราหมณ์ชื่อว่ากากมาสกะ บริโภคจนล้นปากโดยที่กาสามารถจิกกินได้. พราหมณ์ชื่อว่าภุตตวมิตกะ ไม่อาจให้อาหารอยู่ในปากได้คายเสียในที่นั้นๆ เอง. ภิกษุไม่กระทำอย่าง นี้ ฉันด้วยคิดว่า ความอยู่สบายจักมีแก่เรา. ความเป็นผู้มีท้องเหลือจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 110
อาหารสี่ห้าคำ ชื่อว่าอยู่สบาย. อิริยาบถ ๔ ของผู้บริโภคพอดีๆ แล้ว ดื่มน้ำย่อมเป็นไปด้วยความสุข. เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จึงกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
บริโภคเหลือไว้สี่ห้าคำแล้วพึงดื่มน้ำ เป็นความเพียง พอสำหรับอยู่สบาย ของภิกษุผู้ทำความเพียร.
อนึ่ง พึงประมวลองค์ทั้งหลายไว้ในที่นี้. ไม่ฉันเพื่อเล่นเป็นองค์หนึ่ง ไม่ฉันเพื่อเมาเป็นองค์หนึ่ง ไม่ฉันเพื่อตกแต่งเป็นองค์หนึ่ง ไม่ฉันเพื่อ ประดับเป็นองค์หนึ่ง ฉันเพื่อดำรงกายนี้ เพื่อให้ร่างกายนี้เป็นไปเป็น องค์หนึ่ง ฉันเพื่อกำจัดความลำบากเป็นองค์หนึ่ง ฉันเพื่ออนุเคราะห์ แก่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้นเป็นองค์หนึ่ง ด้วยมนสิการว่า เราจัก บำบัดเวทนาเก่าเสีย จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นเป็นองค์หนึ่ง ความ ดำเนินไปจักมีแก่เราเป็นองค์หนึ่ง. ในบทว่า อนวชฺชตา จ ผาสุวิหาโร จ ความไม่มีโทษ ความอยู่สบายนี้เป็นอานิสงส์ของการฉัน. พระมหาสิวเถระ กล่าวไว้ว่า องค์สี่ที่ห้ามควรอยู่ข้างล่าง ควรประมวลองค์แปดไว้ข้างบน. ในองค์แปดนั้น ฉันเพื่อดำรงกายนี้เป็นองค์หนึ่ง ฉันเพื่อให้ร่างกาย เป็นไปเป็นองค์หนึ่ง ฉันเพื่อกำจัดความลำบากเป็นองค์หนึ่ง ฉัน เพื่ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์เป็นองค์หนึ่ง ด้วยมนสิการว่า เราจัก บำบัดเวทนาเก่าเป็นองค์หนึ่ง เราจักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นเป็นองค์ หนึ่ง ความดำเนินไปจักมีแก่เราเป็นองค์หนึ่ง ความไม่มีโทษเป็นองค์ หนึ่ง. ความอยู่สบายเป็นอานิสงส์ของการฉัน. ภิกษุฉันอาหารประกอบ ด้วยองค์ ๘ อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 111
บทว่า อุเปกฺขโก มีอุเบกขา คือเป็นผู้ประกอบด้วยฉฬังคุเบกขา. บทว่า สโต มีสติ ได้แก่ประกอบด้วยสติในกายานุปัสสนาเป็นต้น.
อะไรชื่อว่าธรรม คืออุเบกขามีองค์ ๖ ในบทว่า อุเปกฺขโกติ ฉฬงฺคุเปกฺขา สมนฺนาคโต นี้ คือญาณเป็นต้น. เมื่อกล่าวว่า ญาณ ก็ได้แก่กิริยาญาณสัมปยุต ๔. เมื่อกล่าวว่ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองๆ ก็ได้แก่มหาจิต ๘ ดวง. เมื่อกล่าวว่า ไม่มีกำหนัดและขัดเคือง ก็ได้แก่ จิต ๑๐ ดวง. โสมนัส ได้แก่อาเสวนะ. บทว่า จกฺขุนา รูปํ ทิสฺวา เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว คือเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ สามารถเห็นรูปที่ได้ ด้วยสิ่งที่ชื่อว่าจักษุโดยเหตุ. แต่โบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า จักษุย่อม ไม่เห็นรูปเพราะไม่มี แม้จิตก็ย่อมไม่เห็นรูป เพราะไม่มีจักษุ แต่ย่อม เห็นได้ด้วยจิตอัน มีประสาทเป็นวัตถุกระทบอารมณ์ทางทวาร ก็ในฐานะ เช่นนี้ ชื่อว่าเป็นการกล่าวรวมกัน ดุจในประโยคมีอาทิว่า บุรุษยิงด้วยธนู ดังนี้ เพราะฉะนั้น ความในบทนี้จึงมีว่า เห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณดังนี้ บทว่า เนว สุมโน โหติ ไม่ดีใจ คือไม่มีโสมนัสด้วยเกิดโลภะ ด้วยเกิด ฉันทราคะ. บทว่า น ทุมฺมโน ไม่เสียใจ คือไม่มีจิตประทุษร้าย ด้วยเกิด ปฏิฆะ. บทว่า อุเปกฺขโก โหติ วางเฉย คือเห็นเพียงเกิด. เป็นผู้ไม่ตกไป ในฝักฝ่ายทำอิริยาบถให้ปกติ. บทว่า สโต สมฺปชาโน คือ มีสติสมบูรณ์ ด้วยญาณ. บทว่า มนาปํ นาภิคิชฺฌติ ไม่ติดใจ คือไม่อยากไม่ปรารถนา อารมณ์ที่น่าปรารถนาอันเจริญใจ. บทว่า นาภิหํสติ คือ ไม่ยินดี. บทว่า น ราคํ ชเนติ ไม่ให้ราคะเกิด คือไม่เกิดความกำหนัดในอารมณ์ที่น่า ปรารถนานั้น. บทว่า ตสฺส ิโตว กาโย โหติ กายของบุคคลนั้นก็ตั้งอยู่ คือกายมีจักษุเป็นต้นของพระขีณาสพนั้นก็ตั้งอยู่ คือไม่หวั่นไหว เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 112
เว้นจากความหวั่นไหวได้. บทว่า อมนาปํ ไม่ชอบใจ ได้แก่ อารมณ์ที่ ไม่น่าปรารถนา. บทว่า น มงกุ โหต ไม่เป็นผู้เก้อ คือไม่เสียใจ. บทว่า อปฺปติฏฺิตจิตฺโต ไม่โกรธ คือไม่มีใจตั้งอยู่ด้วยความโกรธ. บทว่า อาลีนนนโส คือ ไม่หดหู่. บทว่า อพฺยาปนฺนเจตโส ไม่พยาบาท คือมี จิตเว้นจากพยาบาท. บทว่า รชนีเย น รชฺชติ ไม่กำหนัดในอารมณ์เป็น ที่ตั้งแห่งความกำหนัด คือไม่เกิดราคะในวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด. บทว่า โทสนีเย น ทุสฺสติ ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง คือไม่เกิดโทสะในวัตถุอันทำให้เกิดโทสะ. บทว่า โมหนีเย น มุยฺหติ ไม่หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง คือไม่ให้โมหะเกิดในวัตถุเป็นที่ ตั้งแห่งโมหะ. บทว่า โกปนีเย น กุปฺปติ ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้ง แห่งความขัดเคือง คือไม่หวั่นไหวในวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความโกรธ. บทว่า มทนีเย น มชฺชติ ไม่มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา คือไม่ จมลงในวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา. บทว่า กิเลสนีเย น กิลิสฺสติ ไม่เศร้าหมอง คือไม่เข้าไปเดือดร้อนในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเข้าไป เดือดร้อน. บทว่า ทิฏฺเ ทิฏฺมตฺโต เป็นเพียงแต่เห็นในรูปที่เห็น คือ เป็นเพียงแต่เห็นในรูปารมณ์ด้วยจักขุวิญญาณ. บทว่า สุเต สุตมตฺโต เป็นแต่เพียงได้ยินในเสียงที่ได้ยินในสัททายตนะด้วยโสตวิญญาณ. บทว่า มุเต มุตมตฺโต เป็นเพียงแต่ทราบในสิ่งที่ทราบ คือเป็นเพียงแต่ยึดถือใน สิ่งที่ถึงแล้วยึดถือไว้ด้วยฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ และกายวิญญาณ. บทว่า วิญฺาเต วิญฺาตมตฺโต เป็นแต่เพียงรู้แจ้งในธรรมารมณ์ที่รู้แจ้ง คือเป็นแต่เพียงรู้ในธรรมารมณ์ที่รู้ด้วยมโนวิญญาณ. บทว่า ทิฏฺเ น ลิมฺปติ ไม่ติดในรูปที่เห็น คือไม่ติดในรูปารมณ์ ที่เห็นแล้วด้วยจักขุ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 113
วิญญาณ ด้วยการติดด้วยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า ทิฏฺเ อนุปโย ไม่มี ตัณหาในรูปที่เห็น คือไม่มีตัณหาในรูปารมณ์นั้นเอง. บทว่า อนปาโย ได้แก่ ไม่มีจิตประทุษร้าย. บทว่า สํริชฺชติ ย่อมปรากฏ คือย่อมเข้าไป ได้. บทว่า ปสฺสติ คือ แลดู. บทว่า ฉนฺทราโค ความกำหนัดด้วย ความพอใจ คือความเยื่อใย. บทว่า รูปารามํ ชอบรูปารมณ์ ชื่อว่า รูปารามะ เพราะมีรูปเป็นที่ชอบ. บทว่า รูปรตํ คือ ยินดีในรูป. บทว่า รูปสมฺมุทิตํ คือ ชื่นชมในรูป.
บทว่า ทนฺตํ นยนฺติ สมิตึ ชนทั้งหลายย่อมนำพาหนะที่ฝึกแล้วไปสู่ ที่ประชุม คือชนทั้งหลายเมื่อไปท่ามกลางมหาชนในสวน สนามกีฬาเป็นต้น ย่อมเทียมโคหรือม้าที่ฝึกดีแล้วที่ยาน แล้วนำไป. บทว่า ราชา ความว่า แม้พระราชาเมื่อจะเสด็จไปสู่ที่เช่นนั้น ก็ทรงขึ้นพาหนะที่ฝึกดีแล้วนั่นแล.
บทว่า มนนุสฺเสสุ ความว่า บุคคลผู้ฝึกฝนแล้วด้วยอริยมรรค ๔ หมดพยศเป็นผู้ประเสริฐสุดแม้ในหมู่มนุษย์. บทว่า โยติวากฺยํ อดกลั้น ด้วยคำที่ล่วงเกิน ความว่า บุคคลใดอดกลั้น ไม่โต้ตอบ ไม่เดือดร้อน ต่อคำพูดล่วงเกินเห็นปานนั้น แม้เขาพูดอยู่บ่อยๆ บุคคลเห็นปานนี้ ฝึกฝนดีแล้วชื่อว่าผู้ประเสริฐที่สุด. บทว่า อสฺสตรา ม้าอัสดร คือม้าที่เกิด จากแม่ม้า พ่อลา. บทว่า อาชานียา ม้าอาชาไนย คือม้าสามารถรู้ เหตุการณ์ที่สารถีฝึกม้าให้ทำได้เร็วพลัน. บทว่า สินฺธวา ได้แก่ ม้าที่ เกิดในแคว้นสินธพ. บทว่า มหานาคา ช้างใหญ่ คือช้างชาติกุญชร. บทว่า อตฺตทนฺโต บุคคลผู้ฝึกตนแล้ว อธิบายว่า ม้าอัสดรก็ดี ม้าสินธพก็ดี ช้างชาติกุชรก็ดี ที่เขาฝึกแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐ ที่เขาไม่ฝึกก็เป็นสัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 114
ไม่ประเสริฐ แต่บุคคลใดฝึกตนดีแล้ว เพราะฝึกตนด้วยธรรมคือมรรค ๔ หมดพยศ บุคคลนี้เป็นผู้ประเสริฐกว่านั้น คือยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหมดเหล่านั้น.
บทว่า น หิ เอเตหิ ยาเนหิ อันเป็นทิศที่ไม่เคยไปด้วยยานเหล่านั้น ความว่า บุคคลใดๆ ไม่พึงไปสู่ทิศ คือนิพพานที่เรียกว่า อคตะ เพราะ เป็นทิศไม่เคยไปแม้แต่ฝันด้วยยานมียานช้างเป็นต้น เหมือนบุคคลผู้ฝึกตน แล้วมีตนฝึกด้วยการฝึกอินทรีย์ในเบื้องต้น มีตนฝึกดีแล้วด้วยอริยมรรคภาวนาในเบื้องปลาย หมดพยศ มีปัญญา ย่อมไปสู่ทิศที่ไม่เคยไป คือถึง ภูมิที่ฝึกตนแล้ว (พระอรหันต์) เพราะฉะนั้นการฝึกตนนั้นแลจึงประเสริฐ. บทว่า วิธาสุ น วิกมฺปนฺติ ไม่หวั่นไหวในมานะทั้งหลาย คือไม่หวั่น ไหวในมานะมีอาทิว่า เราเป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้ที่ประเสริฐ. บทว่า วิปฺปมุตฺตา ปุนพฺภวา เป็นผู้พ้นขาดแล้วจากภพใหม่ คือเป็นผู้พ้น ด้วยดีแล้วจากการเกิดบ่อยๆ โดยการถือปฏิสนธิในภพใหม่. บทว่า ทนฺตภูมิ อนุปฺปตฺตา เป็นผู้บรรลุถึงภูมิที่ฝึกแล้ว คือบรรลุถึงภูมิคือ อรหัตตผล อันเป็นที่ฝึกโดยส่วนเดียว. บทว่า เต โลเก วิชิตาวิโน พระอรหันต์เหล่านั้นเป็นผู้ชนะแล้วในโลก คือพระอรหันต์เหล่านั้นเป็นผู้ ชื่อว่ามีชัยชนะอย่างวิเศษในสัตวโลก.
ก็เพราะผู้มีอินทรีย์อบรมแล้ว ไม่มีภัย ไม่ผิดปกติ ชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตน แล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงตรัสคาถาว่า ยสฺสินฺทฺริยานิ ดังนี้เป็นต้น. บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ผู้ใดยกอินทรีย์ หกมีจักขุนทรีย์เป็นต้นขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ มีลักษณะที่ไม่เที่ยงเป็นต้น ด้วยโคจรภาวนา (การเจริญอารมณ์) แล้วให้ยึดถือสติและสัมปชัญญะ ด้วยวาสนาภาวนา (บุญหรือบาปที่อบรมมา) แล้วจึงอบรมอินทรีย์เหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 115
ทั้งภายนอกอย่างนี้ ด้วยโคจรภาวนาในภายใน. บทว่า สพฺพโลเก ใน โลกทั้งปวง อธิบายว่า บุคคลรู้แจ้งแทงตลอดโลกนี้ และโลกอื่น คือ ขันธโลกอันสืบต่อจากโลกของตนและคนอื่น อย่างนี้ว่า ความบกพร่อง หรือมีความบกพร่องของอินทรีย์ทั้งหลายในที่ใดๆ อบรมอินทรีย์ในที่นั้นๆ ด้วยการไม่เพ่งเล็งเป็นต้น แล้วประสงค์จะตาย ตายอย่างผู้ฝึกตนแล้วหวัง จะตาย รอคอยเวลาสิ้นชีวิต ไม่กลัวต่อความตาย. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เราไม่กลัวความตาย เราไม่มีความใคร่ในชีวิต เรา ไม่หวังมรณะ ไม่หวังชีวิต เรารอคอยความตาย เหมือน ลูกจ้างรอรับของไม่มีพิษฉะนั้น.
บทว่า ภาวิโต ส ทนฺโต คือ ผู้นั้นมีอินทรีย์อบรมแล้วฝึกตนแล้ว. บทว่า นิสฺสยา นิสัย คือตัณหานิสัยและทิฏฐินิสัย. บทว่า ตฺวา ธมฺมํ รู้ธรรม คือรู้ธรรมโดยอาการทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า อนิสฺสิโต คือ อันนิสัยสองอย่างนั้นไม่อาศัยแล้วอย่างนี้. ท่านแสดงไว้ว่า ไม่มีนิสัย คือตัณหาและทิฏฐินอกจากรู้ธรรม. บทว่า ภวาย วิภวาย วา ในภพ หรือในความปราศจากภพ คือ สัสสตทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ. การขยายความแห่งคาถานี้ง่าย.
บทว่า ตํ พฺรูมิ อุปสนฺโต เรากล่าวบุคคลนั้นว่า เป็นผู้เข้าไปสงบ คือเรากล่าวบุคคลนั้นดังที่กล่าวไว้แล้วในคาถาหนึ่งๆ ว่า เป็นผู้สงบ. บทว่า อตริ โส วิสตฺติกํ บุคคลนั้นข้ามตัณหาอันชื่อว่า วิสัตติกา คือ ได้ข้ามตัณหาใหญ่อันชื่อว่า วิสัตติกา เพราะมีความอยากเป็นต้นนี้ได้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 116
บทว่า อตฺตโน ทิฏฺิยา ราโค อภิชฺฌากายคนฺโถ ความกำหนัด ในทิฏฐิของตน ชื่อว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกายคืออภิชฌา ความว่า ความกำหนัด กล่าวคือความยินดีในทิฏฐิที่คนยึดถือ ชื่อว่า กายคันถะ (กิเลสเครื่องร้อยรัดทางกาย) คืออภิชฌา. บทว่า ปรวาเทสุ อาฆาโต อปฺปจฺจโย ความอาฆาต ความไม่ยินดีในวาทะของคนอื่น คือความโกรธ และอาการแสดงความไม่ยินดีในวาทะและการโต้วาทะของคนเหล่าอื่น ชื่อ ว่า กายคันถะ คือพยาบาท. บทว่า อตฺตโน สีลํ วา วตํ วา ศีลหรือ พรตของตน คือ ศีลอันได้แก่การเว้นจากเมถุนที่ตนยึดถือไว้ หรือพรต มีการประพฤติพรตเยี่ยงโคเป็นต้น. บทว่า สีลพฺพตํ วา หรือศีลและ พรตทั้งสองนั้น. บทว่า ปรามาโส การยึดถือ คือยึดถือจากอื่นด้วยคำ มีอาทิว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีด้วยสิ่งนี้. บทว่า อตฺตโน ทิฏฺิ อิทํ- สจฺจาภินิเวโส กายคนฺโถ ทิฏฐิของตน คือความถือมั่นว่าสิ่งนี้จริง ถือทิฏฐิที่คนยึดถือ ชื่อว่า กายคันถะ คือความยึดถือโดยไม่แยบยลว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเป็นโมฆะ ชื่อว่ากายคันถะ คือถือมั่นว่าสิ่งนี้จริง. บทว่า คนฺถา ตสฺส น วิชฺชนฺติ กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ย่อมไม่ มีแก่บุคคลนั้น ได้แก่ทิฏฐิคันถะทั้งสองย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพนั้นด้วย โสดาปัตติมรรค. พยาปาทกายคันถะ ย่อมไม่มีด้วยอนาคามิมรรค. อภิชฌากายคันถะ ย่อมไม่มีด้วยอรหัตตมรรค.
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงสรรเสริญผู้เข้าไปสงบนั้น จึง ตรัสคำมีอาทิว่า น ตสฺส ปุตฺตา บุตรทั้งหลายย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตา ได้แก่ บุตร ๔ จำพวก มีบุตรเกิดแต่ตน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 117
เป็นต้น. อนึ่ง ในบทนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงกำหนดบุตรโดยชื่อว่า บุตรเป็นต้น. ก็บุตรเหล่านั้นย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น อธิบายว่า เพราะไม่มี บุตรเหล่านั้น บุตรเป็นต้นจึงไม่มี.
บทว่า อตฺตา ความว่า สัสสตทิฏฐิที่ถือว่า อัตตามีอยู่ย่อมไม่มี. บทว่า นิรตฺตา ความว่า อุจเฉททิฏฐิที่ถือว่าขาดสูญ. บทว่า คหิตํ นตฺถิ ความว่า สิ่งที่ควรยึดถือย่อมไม่มี. บทว่า มุญฺจิตพฺพํ นตฺถิ ความว่า สิ่งที่ควร ปล่อยวางย่อมไม่มี. บทว่า ยสฺส นตฺถิ คหิตํ ได้แก่ สิ่งที่ยึดถือด้วย อำนาจตัณหา และทิฏฐิ ย่อมไม่มีแก่บุคคลใด. บทว่า ตสฺส นตฺถิ มุญฺจิตพฺพํ สิ่งที่ควรปล่อยวางก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น. บทว่า คาหมุญฺจนํ สมติกฺกนฺโต ความว่า พระอรหันต์ก้าวล่วงความถือและปล่อยวางแล้ว. บทว่า วุฑฺฒิปริหานิวีติวตฺโต ความว่า พระอรหันต์ล่วงเลยความเจริญและ ความเสื่อมแล้ว.
บทว่า เยน นํ วชฺชุํ ปุถุชฺชนา อโถ สมณพฺราหฺมณา พวก ปุถุชนทั้งพวกสมณะและพราหมณ์ พึงกล่าวโดยโทษใด คือพวกปุถุชน แม้เทวดาและมนุษย์ทั้งหมดรวมทั้งสมณพราหมณ์ พึงกล่าวกะเขาว่า เขา เป็นผู้กำหนัดแล้วก็ดีเป็นผู้ประทุษร้ายแล้วก็ดี ด้วยโทษมีราคะเป็นต้นใด. บทว่า ตํ ตสฺส อปุรกฺขตํ โทษนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลนั้น คือโทษมี ราคะเป็นต้นนั้นไม่ห้อมล้อมบุคคลผู้เป็นพระอรหันต์นั้น. บทว่า ตสฺมา วาเทสุ เนญฺชติ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ในเพราะ วาทะทั้งหลาย คือไม่หวั่นไหวในเพราะคำพูดนินทา. บทว่า เนญฺชติ เป็นบทยกขึ้นแสดงบทขยายความ. บทว่า น อิญฺชติ คือ ไม่ทำความ หวั่นไหว. บทว่า น จลติ คือ ไม่น้อมไปในเพราะวาทะนั้น. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 118
น เวธติ ได้แก่ ไม่ดิ้นรน เพราะไม่สามารถจะให้หวั่นไหวได้. บทว่า น ปเวธติ คือ ไม่สะท้าน. บทว่า น สมฺปเวธติ คือ ไม่สะเทือน.
บทว่า น อุสฺเสสุ วทเต ไม่กล่าวในความเป็นผู้สูงกว่าเขา คือ ทำตนในความวิเศษไว้ภายใน แล้วไม่กล่าวดูหมิ่นว่า เราเป็นผู้วิเศษกว่า เขา. ในสองบทนอกนั้นก็มีนัยนี้.
บทว่า กปฺปนฺเนติ อกปฺปิโย คือ เป็นผู้ไม่มีความกำหนด ย่อมไม่ถึง ความกำหนดสองอย่าง. เพราะเหตุไร. เพราะท่านกล่าวไว้ว่า เป็นผู้ไม่มี ความกำหนด คือละความกำหนดได้แล้ว. การขยายความคาถานี้ง่าย. บทว่า สกํ ของตน คือยึดถือว่า ของเรา. บทว่า อสตา จ น โสจติ เมื่อสิ่งที่ถือว่า ของตนไม่มี ย่อมไม่เศร้าโศก คืออวิชชาและ มานะเป็นต้น ไม่มี ย่อมไม่เศร้าโศก. บทว่า ธมฺเมสุ จ น คจฺฉติ ไม่ถึงความลำเอียงในธรรมทั้งหลาย คือไม่ถึงความลำเอียงด้วยอำนาจ ฉันทาคติเป็นต้นในธรรมทั้งปวง. บทว่า สเว สนฺโตติ วุจฺจติ คือ บุคคล นั้นแลเป็นผู้สูงสุดกว่าคน เรียกว่า เป็นผู้สงบ. การขยายความคาถาแม้นี้ ก็ง่าย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัต. เมื่อจบเทศนา เทวดาเสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัต. การนับจำนวนพระโสดาบันเป็นต้นไม่มี.
จบอรรถกถาปุราเภทสุตตนิเทสที่ ๑๐