สัพพัญญุตญาณนิทเทส
[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1154
สัพพัญุตญาณนิทเทส
๗๒ - ๗๓. อรรถกถาสัพพัญญุตณาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1154
สัพพัญญุตญาณนิทเทส
[๒๘๖] สัพพัญญุตญาณของพระตถาคตเป็นไฉน?
ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งปวง มิได้มีส่วนเหลือ ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้ธรรมส่วนอนาคตทั้งหมด... รู้ธรรมส่วนอดีตทั้งหมด... รู้ธรรมส่วนปัจจุบันทั้งหมด... รู้จักษุและรูปทั้งหมดว่าอย่างนี้... รู้หูและเสียง ฯลฯ จมูกและกลิ่น ลิ้นและรส กายและโผฏฐัพพะ ใจและธรรมารมณ์ทั้งหมดว่าอย่างนี้ ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น.
[๒๘๗] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตา ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตาแห่งรูป ตลอดทั้งหมด... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็นอนัตตาแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณตลอดทั้งหมด... รู้สภาพไม่เที่ยง สภาพเป็นทุกข์ สภาพเป็น อนัตตาแห่งจักษุ ฯลฯ แห่งชราและมรณะ ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1155
[๒๘๘] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพธรรมที่ควรรู้ยิ่งด้วยอภิญญาทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น... รู้สภาพที่ควรกำหนดรู้ด้วยปริญญา... รู้สภาพที่ควรละด้วยปหานะ... รู้สภาพที่ควรเจริญด้วยภาวนา... รู้สภาพที่ควรทำให้แจ้งด้วยสัจฉิกิริยาตลอดทั้งหมด... รู้ สภาพที่เป็นกองแห่งขันธ์ตลอดทั้งหมด... รู้สภาพที่ทรงไว้แห่งธาตุตลอดทั้งหมด... รู้สภาพเป็นที่ต่อแห่งอายตนะตลอดทั้งหมด... รู้สภาพที่ปัจจัยปรุงแต่งแห่งสังขตธรรมตลอดทั้งหมด... รู้สภาพที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่งแห่งอสังขตธรรมตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น.
[๒๘๙] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้กุศลธรรมตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น... รู้อกุศลธรรม อัพยากตธรรม กามาวจรธรรม รูปาวจรธรรม อรูปาวจรธรรม โลกุตรธรรมตลอดทั้งหมด... รู้สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ สภาพเป็นเหตุเกิดแห่งสมุทัย สภาพที่ดับแห่งนิโรธ สภาพเป็นทางแห่งมรรค ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่เครื่องกั้น.
[๒๙๐] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา ตลอดทั้งหมด ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1156
รู้สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในนิรุตติแห่งนิรุตติปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในปฏิภาณแห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา ตลอดทั้งหมด... รู้อินทริยปโรปริยัตตญาณ รู้ญาณในฉันทะอันมานอน และกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย รู้ยมกปาฏิหาริยญาณ รู้มหากรุณาสมาปัตติญาณ ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น.
[๒๙๑] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า รู้อารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้ฟัง ที่ได้ทราบ ที่ได้รู้แจ้ง ที่ได้ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แห่งหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ตลอดทั้งหมด ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น.
บทธรรมที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้ว ไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง บทธรรมน้อยหนึ่งที่ควรรู้ พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้ว ไม่มี พระตถาคตทรงทราบยิ่งซึ่งธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง เพราะเหตุนั้น พระตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ - ผู้ทรงเห็นทั่ว.
[๒๙๒] คำว่า สมนฺตจกฺขุ ความว่า ชื่อว่าสมันตจักษุ เพราะอรรถว่ากระไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1157
พระพุทธญาณ ๑๔ คือ ญาณในทุกข์ ๑ ญาณในทุกขสมุทัย ๑ ญาณในทุกขนิโรธ ๑ ญาณในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ๑ ญาณในอรรถปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในธรรมปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในนิรุตติปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในปฏิภาณปฏิสัมภิทา ๑ ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ๑ ญาณในฉันทะเป็นที่มานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย ๑ ญาณในยมกปาฏิหาริย์ ๑ ญาณในมหากรุณาสมาบัติ ๑ สัพพัญญุตญาณ ๑ อนาวรณญาณ ๑ บรรดาพระพุทธญาณ ๑๔ ประการนี้ พระญาณ ๘ ข้างต้น เป็นญาณทั่วไปด้วยพระสาวก พระญาณ ๖ ไม่ทั่วไปด้วยพระสาวก.
[๒๙๓] ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ พระตถาคตทรงทราบแล้วตลอดทั้งหมด ที่มิได้ทรงทราบไม่มี ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์ พระตถาคตทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วย พระปัญญาที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี... สภาพเป็นเหตุเกิดแห่งสมุทัย สภาพเป็นที่ดับแห่งนิโรธ สภาพเป็นทางแห่งมรรค สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในอรรถแห่งอรรถปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในธรรมแห่งธรรมปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในนิรุตติแห่งนิรุตติปฏิสัมภิทา สภาพปัญญาอันแตกฉานดีในปฏิภาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1158
แห่งปฏิภาณปฏิสัมภิทา พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี... ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ ญาณในฉันทะอันมานอนและกิเลสอันนอนเนื่องของสัตว์ทั้งหลาย ญาณในยมกปาฏิหาริย์ ญาณในมหากรุณาสมาบัติ พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องด้วยพระปัญญาไม่มี... ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า อารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้ฟัง ที่ได้ทราบ ที่ได้รู้แจ้ง ที่ได้ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก แห่งหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ. พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้ แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี.
ชื่อว่า อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ไม่มีเครื่องกั้นในญาณนั้น.
บทธรรมที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้วไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง บทธรรมน้อยหนึ่งที่ควรรู้ พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้วไม่มี พระตถาคตทรงทราบยิ่ง ซึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1159
ธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง เพราะเหตุนั้น พระตถาคตจึงเป็นพระสมันตจักษุ.
จบ ญาณกถา
๗๒ - ๗๓. อรรถกถาสัพพัญญุตณาณนิทเทส
๒๘๖ - ๒๙๓] พึงทราบวินิจฉัยในสัพพัญญุตญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
พระสารีบุตรเถระถามว่า พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคต เป็นไฉน? แล้วแสดงอนาวรณญาณ - ญาณไม่มีสิ่งปิดกั้น กับด้วยพระสัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละ เพราะมีคติเสมอกันด้วยอนาวรณญาณนั้น.
จริงอยู่ อนาวรณญาณมิได้มีต่างหากจากธรรมดา. เพราะญาณนี้ญาณเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวเป็น ๒ อย่าง ดุจประเภทแห่งอาการสัทธินทรีย์และสัทธาพละเป็นต้น. พระสัพพัญญุตญาณนั่นแหละ ท่านกล่าวว่า อนาวรณะ เพราะไม่มีเครื่องปิดกั้น เพราะอันธรรมไรๆ หรือบุคคลไม่สามารถจะทำการปิดกั้นได้ เพราะธรรมทั้งปวงเนื่องด้วยการคำนึง. แต่ผู้อื่นแม้คำนึงก็รู้ไม่ได้. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า ชื่อว่า สัพพัญญุตญาณ เพราะเป็นไปในอารมณ์ทั้งปวง ดุจมโน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1160
วิญญาณ. สัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละเป็นอนาวรณญาณ เพราะไม่มีอะไรขัดขวางในอารมณ์ทั้งหลาย ดุจวชิราวุธของพระอินทร์. พระสัพพัญญุตญาณปฏิเสธความเป็นสัพพัญญูตามลำดับ. อนาวรณญาณปฏิเสธความเป็นสัพพัญญูคราวเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบัณฑิตกล่าวว่า พระสัพพัญญู เพราะการได้พระสัพพัญญุตญาณ มิใช่การได้สัพพัญญูตามลำดับ. บัณฑิตกล่าวว่า พระสัพพัญญู เพราะการได้อนาวรณญาณ มิใช่การได้สัพพัญญูคราวเดียว.
บทว่า สพฺพํ ในบทนี้ว่า สพฺพํ สงฺขตมสงฺขตํ อนวเสสํ ชานาติ - พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้สังขตธรรมและอสังขตธรรมทั้งปวง ไม่มีส่วนเหลือ เป็นบทถือเอาความไม่มีส่วนเหลือของธรรมทั้งปวงโดยชาติ.
บทว่า อนวเสสํ - ไม่มีส่วนเหลือ เป็นบทถือเอาความไม่มีส่วนเหลือแห่งธรรมอย่างหนึ่งๆ ด้วยสามารถอาการทั้งปวง.
บทว่า สงฺขตมสงฺขตํ เป็นบทแสดงประเภท ๒ อย่าง. เพราะสังขตะเป็นประเภทหนึ่ง. อสังขตะเป็นประเภทหนึ่ง. ขันธบัญจกเป็นสังขตะ เพราะอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง. นิพพานเป็นอสังขตะ เพราะไม่ปรุงแต่งอย่างนั้น. ย่อมรู้สังขตะไม่มีส่วนเหลือโดยอาการมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเป็นต้น. ย่อมรู้อสังขตะไม่มีส่วนเหลือโดยอาการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1161
มีสุญญตนิมิตและอัปปณิหิตนิมิตเป็นต้น. ชื่อว่า อนวเสสํ เพราะไม่มีสังขตะและอสังขตะเหลือ. บัญญัติแม้หลายประเภทย่อมเข้ากับฝ่ายอสังขตะ เพราะปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง. จริงอยู่ พระสัพพัญญุตญาณย่อมรู้บัญญัติแม้ทั้งปวงโดยประการไม่น้อย.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพํ เป็นบทถือเอาธรรมทั้งหมด. บทว่า อนวเสสํ เป็นบทถือเอาไม่มีอาศัย.
บทว่า ตตฺถ อาวรณํ นตฺถิ - ไม่มีเครื่องปิดกั้นในญาณนั้น ความว่า เครื่องปิดกั้นพระสัพพัญญุตญาณไม่มี เพราะไม่มีเครื่องปิดกั้นของในสังขตะและอสังขตะอันไม่มีส่วนเหลือนั้น. เพราะฉะนั้น พระสัพพัญญุตญาณนั้นนั่นแหละ จึงชื่อว่า อนาวรณญาณ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระ เพื่อจะแสดงโดยประเภทแห่งอารมณ์หลายอย่างจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อตีตํ - ธรรมส่วนอดีต.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อตีตํ อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนํ - ท่านแสดงโดยประเภทของกาล.
บทมีอาทิว่า จกฺขุญฺเจว รูปาจ - ท่านแสดงโดยประเภทแห่งอารมณ์และวัตถุ.
บทว่า เอวํ ตํ สพฺพํ - รู้ธรรมทั้งหมดนั้นอย่างนี้ เป็นบทถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือของจักษุและรูปเหล่านั้น. ในบทที่เหลือก็อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1162
บทว่า ยาวตา ตลอดทั้งหมด เป็นบทถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือ
บทมีอาทิว่า อนิจจฏฺํ - มีสภาพไม่เที่ยง ท่านแสดงโดยประเภทแห่งสามัญลักษณะ.
บทว่า อนิจฺจฏฺํ คือ มีอาการไม่เที่ยง. ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้.
บทมีอาทิว่า รูปสฺส ท่านแสดงโดยประเภทแห่งขันธ์.
บทว่า จกฺขุสฺส ฯลฯ ชรามรณสฺส พึงประกอบโดยนัยแห่งไปยาลที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
ในบทมีอาทิว่า อภิญฺาย - ด้วยอภิญญา ได้แก่ ญาณดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
บทว่า อภิญฺฏฺํ คือ สภาพที่ควรรู้ยิ่ง. ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้.
บทมีอาทิว่า ขนฺธานํ ขนฺธฏฺํ รู้สภาพที่เป็นเองแห่งขันธ์ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ
บทมีอาทิว่า กุสเล ธมฺเม - กุศลธรรมทั้งหลาย คือ เป็นประเภทด้วยสามารถแห่ง กุสลัตติกะ - หมวด ๓ แห่งกุศล.
บทมีอาทิว่า กามวจเร ธมฺเม - กามาวจรธรรมเป็นประเภท ด้วยสามารถแห่งธรรมเป็นไปในภูมิ ๔. แม้ในปาฐะเป็นพหุวจนะว่า สพฺเพ ชานาติ ย่อมรู้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นปาฐะดี. แต่เพราะตกไปในกระแสแห่งเอกวจนะในคัมภีร์ ท่านจึงเขียนด้วยเอกวจนะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1163
บทมีอาทิว่า ทุกฺขสฺส เป็นประเภทแห่งอารมณ์แห่งพุทธญาณ ๑๔ อย่าง.
บทมีอาทิว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺเต าณํ - อินทริยปโรปริยัตตญาณ หากถามว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวฌาน ๔ ไม่กล่าวพระสัพพัญญุตญาณ. ตอบว่า เพราะฌาน ๔ ที่ท่านกล่าวเป็นสัพพัญญุตญาณ. เมื่อกล่าวสัพพัญญุตญาณโดยประเภทแห่งอารมณ์ ก็ไม่ควรกล่าวถึงญาณนั้น. อนึ่ง พระสัพพัญญุตญาณย่อมเป็นวิสัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั่นแหละ.
พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงภูมิแห่งพระสัพพัญญุตญาณ โดยนัยดังกล่าวแล้วในกาฬการามสูตร (๑) เป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยาวตา สเทวกสฺส โลกสฺส - แห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลกตลอดทั้งหมด.
ในบทเหล่านั้น พึงทราบความดังต่อไปนี้ โลกพร้อมทั้งเทวดา ชื่อว่า สเทวกสฺส. พร้อมทั้งมาร ชื่อว่า สมารกสฺส. พร้อมทั้งพรหม ชื่อว่า สพฺรหฺมกสฺส. พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ชื่อว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา. หมู่สัตว์พร้อมด้วยเทวดาและมนุษย์ ชื่อว่า สเทวมนุสฺสาย.
บทว่า ปชา นี้เป็นคำกล่าวโดยปริยายของสัตวโลก เพราะเป็นผู้เกิดแล้ว.
๑. องฺ จตุกฺก. ๒๑/๒๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1164
ในบทนั้นพึงทราบการถือเอาถามวจรเทพ ๕ ด้วยคำว่า พร้อมทั้งเทวโลก. ถือเอากามาวจรเทพที่ ๖ ด้วยคำว่า พร้อมทั้งมารโลก. ถือเอาพวกพรหมมีพรหมกายิกาเป็นต้น ด้วยคำว่า พร้อมทั้งพรหมโลก. ถือเอาสมณพราหมณ์ผู้เป็นข้าศึกศัตรูของศาสนา และถือเอาสมณพราหมณ์ผู้สงบ ผู้ลอยบาปแล้ว ด้วยคำว่า พร้อมทั้งสมณพราหมณ์. ถือเอาสัตวโลก ด้วยคำว่า ปชา. ถือเอาสมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือ ด้วยคำว่า พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์.
ในนิทเทสนี้ พึงทราบว่า ท่านถือเอาโอกาสโลกด้วย ๓ บท. สัตวโลกด้วยสามารถหมู่สัตว์ด้วย ๒ บท. พึงทราบนัยอื่นต่อไป. ถือเอาอรูปาวจรโลก ด้วย สเทวก ศัพท์. ถือเอาฉกามาวจรเทวโลก ด้วย สมารก ศัพท์. ถือเอารูปาวจรพรหมโลก ด้วย สพฺรหฺมก ศัพท์. ถือเอามนุษยโลก หรือสัตวโลกที่เหลือพร้อมด้วยบริษัท ๔ หรือสมมติเทพ ด้วย สสฺสมณพฺราหฺมณ ศัพท์เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง ในนิทเทสนี้ ท่านยังความเป็น คือ ความรู้ มีอารมณ์ที่ได้เห็นแห่งสัตวโลกทั้งหมดให้สำเร็จ โดยกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ ด้วยคำว่า สเทวกะ. แต่นั้นพระสารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัยของชนทั้งหลายที่จะพึงมีปัญหาว่า มารมีอานุภาพมาก เป็นใหญ่ในฉกามาวจรเทพ เป็นผู้มีอำนาจ. ย่อมรู้อารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น ของมารนั้นหรือ จึงกล่าวว่า สมารกสฺส - พร้อมทั้งมารโลก. พระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1165
สารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัยของชนทั้งหลายที่จะพึงมีความสงสัยว่า พรหมมีอานุภาพมาก ย่อมแผ่แสงสว่างในหนึ่งพันจักรวาล ด้วย ๑ องคุลี. ย่อมแผ่แสงสว่างในหมื่นจักรวาล ด้วย ๒ องคุลี ฯลฯ ๑๐ องคุลี และย่อมเสวยสุขในฌานสมาบัติอย่างเยี่ยม. ย่อมรู้อารมณ์ที่ได้เห็นเป็นต้น ของพรหมนั้นหรือ จึงกล่าวว่า สพฺรหฺมกสฺส - พร้อมทั้งพรหมโลก.
แต่นั้นพระสารีบุตรเถระ เมื่อจะกำจัดความสงสัยของชนทั้งหลายที่จะพึงมีปัญหาว่า สมณพราหมณ์เป็นอันมากเป็นศัตรูของศาสนา จะรู้อารมณ์ที่เห็นเป็นต้น ของสมณพราหมณ์เหล่านั้นหรือ จึงกล่าวว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย หมู่สัตว์พร้อมด้วยสมณพราหมณ์. พระสารีบุตรเถระครั้นประกาศความเป็น คือ การรู้อารมณ์ที่เห็นแล้ว เป็นต้น อย่างอุกฤษฏ์อย่างนี้ แล้วจึงประกาศความเป็น คือ การรู้อารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น ของสัตวโลกที่เหลือด้วยกำหนดอย่างอุกฤษฏ์ อาศัยสมมติเทพและมนุษย์ที่เหลือ. นี้เป็นลำดับอนุสนธิในนิทเทสนี้.
ส่วนพระโบราณาจารย์กล่าวว่า บทว่า สเทวกสฺส คือ โลกที่เหลือพร้อมด้วยเทวโลก. บทว่า สมารกสฺส คือ โลกที่เหลือพร้อมด้วยมารโลก. บทว่า สพฺรหฺมกสฺส คือ โลกที่เหลือพร้อมด้วยพรหมโลก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1166
เพื่อเพิ่มสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดในภพ ๓ แม้ทั้งหมดอย่างนี้เข้าใน ๓ บทด้วยอาการ ๓ แล้วถือเอาโดยอาการ ๒ อีก พระสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย แห่งหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์. เป็นอันท่านถือเอาไตรธาตุนั่นแหละโดยอาการนั้นๆ ด้วยบท ๕ บท ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทิฏฺํ - อารมณ์ที่เห็นแล้ว ได้แก่ รูปายตนะ.
บทว่า สุตํ - อารมณ์ที่ได้ฟังแล้ว ได้แก่ สัททายตนะ.
บทว่า มุตํ - อารมณ์ที่ทราบแล้ว ได้แก่ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ เพราะถึงแล้วจึงถือเอาได้.
บทว่า วิญฺาตํ - อารมณ์ที่ได้รู้แล้ว ได้แก่ ธรรมารมณ์มีสุขทุกข์เป็นต้น.
บทว่า ปตฺตํ - อารมณ์ที่ได้ถึงแล้ว ได้แก่ อารมณ์ที่ถึงแล้ว เพราะแสวงหาก็ตาม ไม่แสวงหาก็ตาม.
บทว่า ปริเยสิตํ - อารมณ์ที่แสวงหาแล้ว ได้แก่ อารมณ์ที่แสวงหาแล้ว ถึงก็ตาม ไม่ถึงก็ตาม.
บทว่า อนุวิจริตํ มนสา คือ อารมณ์ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ. พระสารีบุตรเถระแสดงบทนี้ด้วยบทนี้ว่า สพฺพํ ชานาติ - รู้อารมณ์ทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1167
รูปารมณ์ใดมีอาทิว่า นีลํ ปีตํ (๑) - เขียวเหลือง มาสู่คลองในจักษุทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ในโลกธาตุ อันหาประมาณมิได้ พระสัพพุตญาณของพระตถาคตย่อมรู้รูปารมณ์ทั้งปวงนั้นว่า สัตว์นี้เห็นรูปารมณ์ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วเป็นผู้ดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง เกิดแล้ว ดังนี้.
สัททารมณ์มีอาทิว่า เภริสทฺโท มุทิงฺคสทฺโท (๒) - เสียงกลอง เสียงตะโพน มาสู่คลองในโสตทวาร, คันธารมณ์มีอาทิว่า มูลคนฺโธ ตจคนฺโธ (๓) - กลิ่นที่ราก กลิ่นที่เปลือก มาสู่คลองในฆานทวาร, รสารมณ์มีอาทิว่า มูลรโส ขนฺธรโส (๔) - รสที่ราก รสที่ลำต้น มาสู่คลอง ในชิวหาทวาร, โผฏฐัพพารมณ์มี ๓ ประเภท คือ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ มีอาทิว่า กกฺขฬํ มุทุกํ (๕) - แข็งอ่อน มาสู่คลองในกายทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้โนโลกธาตุ หาประมาณมิได้. พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตก็ย่อมรู้อารมณ์นั้นทั้งหมดว่า สัตว์นี้ถูกต้องโผฏฐัพพารมณ์ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง ดังนี้ เหมือนกัน.
อนึ่ง ธรรมารมณ์ใดมีประเภทเป็นสุขและทุกข์เป็นต้น มาสู่คลองในมโนทวารของโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ ในโลกธาตุ หาประมาณ
๑. อภิ. สํ. ๓๔/๕๒๑.
๒. อภิ. สํ. ๓๔/๕๒๒.
๓. อภิ. สํ. ๓๔/๕๒๓.
๔. อภิ. สํ. ๓๔/๕๒๔.
๕. อภิ. สํ. ๓๔/๕๔๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1168
มิได้. พระสัพพัญญุตญาณของพระตถาคตย่อมรู้ธรรมารมณ์นั้นทั้งหมด ว่าสัตว์นี้รู้ธรรมารมณ์ชื่อนี้ในขณะนี้แล้วดีใจ เสียใจ หรือเป็นกลาง ดังนี้.
อนึ่ง มหาชนนี้แม้แสวงหาแล้วมิได้บรรลุก็มี. แม้แสวงหาแล้วบรรลุก็มี. แม้ไม่แสวงหาแล้วไม่บรรลุก็มี. แม้ไม่แสวงหาแล้วบรรลุก็มี ชื่อว่าการไม่บรรลุทั้งหมดมิได้มีด้วยสัพพัญญุตญาณแก่พระตถาคต.
พระสารีบุตรเถระกล่าวคาถามีอาทิว่า น ตสฺส เพื่อให้ความเป็นพระสัพพัญญุตญาณสำเร็จโดยปริยายอื่นอีก.
ในบทเหล่านั้นบทว่า น ตสฺส อทฺทิฏฺมิธตฺถิ กิญฺจิ- บทธรรมไรๆ ที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้วไม่มีในโลกนี้ ความว่า บทธรรมไรๆ แม้เพียงเล็กน้อยที่พระตถาคตนั้นมิได้ทรงเห็นแล้วด้วยปัญญาจักษุมิได้มีในโลกอันเป็นไตรธาตุนี้ หรือในปัจจุบันกาลนี้.
บทว่า อตฺถิ นี้เป็นบทอาขยาต เป็นไปในปัจจุบันกาล. ด้วยบทนี้ พระสารีบุตรเถระแสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวงในปัจจุบันกาล อนึ่ง ในบทนี้ ท่านใช้ ธ อักษร เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา.
บทว่า อโถ ในบทนี้ว่า อโถ อวิญฺาตํ เป็นนิบาต บอกเนื้อความต่างๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1169
บทว่า อวิญฺาตํ คือ ธรรมไรๆ ที่พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้วในอดีตกาล. ตกปาฐะว่า นาโหสิ ไป. ในการถือเอา อตฺถิ ศัพท์ เป็นอัพยยศัพท์ แม้ตกปาฐะไปก็ใช้ได้. ด้วยบทนี้ พระสารีบุตรเถระแสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวง อันเป็นอดีตกาล.
บทว่า อชานิตพฺพํ - ธรรมที่ไม่ควรรู้ คือ ธรรมที่ไม่ควรรู้อันเป็นอนาคตกาล จักไม่มี หรือไม่มี. ด้วยบทนี้ พระสารีบุตรเถระแสดงความที่พระตถาคตทรงรู้ธรรมทั้งปวงอันเป็นอนาคตกาล. อ อักษร ในบทนี้เป็นเพียงกิริยาวิเสสนะ ของ ชานนะ คือ ความรู้.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพํ อภิญฺาสิ ยทตฺถิ เนยฺยํ - พระตถาคตทรงทราบยิ่ง ธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง ดังต่อไปนี้. พระตถาคตทรงทราบยิ่ง คือ ทรงรู้ ทรงแทงตลอดธรรมทั้งปวงเป็นเครื่องนำไป คือ ความรู้ใน ๓ กาล หรือพ้นจากกาล ด้วยพระสัพพุตญาณอันยิ่ง.
การถือ ๓ กาลและพ้นจากกาล ด้วย อตฺถิ ศัพท์ ในบทนี้. พึงทราบว่า อตฺถิ เป็นอัพยยศัพท์.
บทว่า ตถาคโต เตน สมนฺตจกฺขุ - ด้วยเหตุนั้นพระตถาคตจึงเป็นพระสมันจักษุ ความว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ เพราะมีญาณจักษุเป็นไปแล้วโดยรอบ คือ โดยประการทั้งปวง เพราะไม่มีที่ติดขัดโดยกาลและโดยโอกาส. ด้วยเหตุตามที่กล่าวแล้วนั้น พระตถาคตจึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1170
เป็นพระสมันตจักษุ. ท่านอธิบายว่า เป็นพระสัพพัญญู. ด้วยบุคลาธิฏฐานเทศนาแห่งคาถานี้ จึงสำเร็จเป็นพระสัพพัญญุตญาณ.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงพระสัพพัญญุตญาณ โดยวิสัยแห่งพระพุทธญาณ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สมนฺตจกฺขูติ เกนฏฺเน สมนฺตจกฺขุ บทว่า สมนฺตจกฺขุ ความว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ เพราะอรรถว่ากระไร? ความแห่งคาถาในบทนั้นว่า ชื่อว่า สมันตจักษุ ในบทที่ท่านกล่าวว่า สมนฺตจกฺขุ เพราะอรรถว่ากระไร? พระสารีบุตรเถระกล่าวอรรถแห่งบทนั้นด้วยบทมีอาทิว่า ยาวตา ทุกฺขสฺส ทุกฺขฏฺโ ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า มีสภาพทนได้ยากแห่งทุกข์. จริงอยู่ สมันตจักษุ คือ พระสัพพัญญุตญาณ. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสไว้ว่า พระสัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันตจักษุ. เมื่อกล่าวถึงอรรถแห่งพระสัพพญัญุตญาณนั้น เป็นอันกล่าวถึงอรรถแห่งสมันตจักษุนั้นเอง. ญาณของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ชื่อว่า พุทธญาณ.
แม้บทมีอาทิว่า ทุกฺเข าณํ - ญาณในทุกข์ ก็ย่อมเป็นไปแด่พระมีพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยอาการทั้งปวง, เป็นไปแก่สาวกนอกนี้ เพียงเอกเทสเท่านั้น. อนึ่ง บทว่า สาวกสาธารณานิ - ทั่วไปแก่พระสาวก ท่านกล่าวหมายถึงความมีอยู่แม้โดยเอกเทสคือบางส่วน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1171
บทว่า สพฺโพ าโต คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบทั้งหมดด้วยพระญาณ. พระสารีบุตรเถระทำให้แจ้งโดยปฏิเสธอรรถที่ท่านกล่าวว่า อฺฺาโต ทุกฺขฏฺโ นตฺถิ - สภาพแห่งทุกข์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงทราบไม่มี.
บทว่า สพฺโพ ทิฏฺโ - ทรงเห็นแล้วทั้งหมด คือ มิใช่เพียงทรงรู้อย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำดุจรู้ด้วยจักษุอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ วิทิโต - ทรงรู้แจ้งทั้งหมด คือ มิใช่เพียงทรงเห็นอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำให้ปรากฏอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งแล้วทั้งหมด คือ มิ ใช่เพียงทรงรู้แจ้งอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงทำให้ประจักษ์ด้วยการได้พระญาณในญาณนั้นอีกด้วย.
บทว่า สพฺโพ ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องแล้วทั้งหมด คือ มิได้ทรงทำให้แจ้งอย่างเดียวเท่านั้น ที่แท้ทรงถูกต้องด้วยอำนาจทรงประพฤติตามชอบใจบ่อยๆ.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า าโต คือ ทรงรู้ด้วยลักษณะของสภาวธรรม.
บทว่า ทิฏฺโ - ทรงเห็นด้วยสามัญลักษณะ.
บทว่า วิทิโต - ทรงรู้แจ้งด้วยรส.
บทว่า สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งด้วยอาการปรากฏ.
บทว่า ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องด้วยเหตุใกล้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 1172
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า าโต - ทรงรู้ด้วยความเกิดขึ้นแห่งญาณ.
บทว่า ทิฏฺโ - ทรงเห็นด้วยความเกิดขึ้นแห่งจักษุ.
บทว่า วิทิโต - ทรงรู้แจ้งด้วยความเกิดขึ้นแห่งปัญญา.
บทว่า สจฺฉิกโต - ทรงทำให้แจ้งด้วยความเกิดขึ้นแห่งวิชชา.
บทว่า ผสฺสิโต - ทรงถูกต้องด้วยความเกิดขึ้นแห่งแสงสว่าง.
พึงทราบความพิสดารโดยนัยมีอาทิว่า สภาพที่ทนได้ยากแห่งทุกข์. ทรงเห็นทั้งหมด. สภาพที่ทนได้ยากมิได้ทรงเห็นไม่มี และโดยนัยมีอาทิว่า ที่เที่ยวตามหาด้วยใจแห่งโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ ทรงทราบแล้วทั้งหมดที่ไม่ทรงทราบไม่มี. ท่านกล่าวคาถาอีกด้วยสรุปคาถาที่กล่าวไว้ครั้งแรก เมื่อสรุปคาถานั้นแล้วเป็นอันสรุปญาณด้วย.
จม อรรถกาสัพพัญญุตญาณนิทเทส
อรรถกถาญาณกถา
อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า สัทธัมมปกาสินี จบ