๓. อานาปานกถา ว่าด้วยเรื่องอานาปานสติ
[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 85
มหาวรรค
ว่าด้วยอานาปานสติ หน้า 139
อรรถกถาอานาปานสติกถา
อรรถกถาคณนวาร หน้า 139
อรรถกถาโสฬสญาณนิเทศ หน้า 142
อรรถกถาอุปกิเลสญาณนิเทศ หน้า 144
- ฉักกะที่ ๑ - ๓
อรรถกถาโวทานญาณนิเทศ หน้า 149
อรรถกถาสโตการิญาณนิเทศ หน้า 173
- อรรถกถาอานาปานสติมาติกา หน้า 173
- อรรถกถาทีฆอัสสาสปัสสาสนิเทศ หน้า 196
- อรรถกถาปฐมจตุกกนิเทศ หน้า 211
- อรรถกถาทุติยจตุกกนิเทศ หน้า 217
- อรรถกถาตติยจตุกกนิเทศ หน้า 219
- อรรถกถาจตุตถจตุกกนิเทศ หน้า 223
อรรถกถาญาณราสิฉักกนิเทศ หน้า 227
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 85
มหาวรรค
อานาปานกถา
ว่าด้วยเรื่องอานาปานสติ
[๓๖๒] เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ ญาณมากกว่า ๒๐๐ อันเนื่องมาแต่สมาธิย่อมเกิดขึ้น คือญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ ญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ ๘ ญาณในอุปกิเลส ๑๘ ญาณในโวทาน ๑๓ ญาณในความเป็นผู้ทำสติ (๑) ๓๒ ญาณด้วยสามารถสมาธิ ๒๔ ญาณด้วยสามารถวิปัสสนา ๗๒ นิพพิทาญาณ ๘ นิพพิทานุโลมญาณ ๘ นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ๘ ญาณในวิมุตติสุข ๒๑.
[๓๖๓] ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ และญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ ๘ เป็นไฉน.
กามฉันทะเป็นอันตรายแก่สมาธิ เนกขัมมะเป็นอุปการะแก่สมาธิ พยาบาทเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความไม่พยาบาทเป็นอุปการะแก่สมาธิ ถีนมิทธะเป็นอันตรายแก่สมาธิ อาโลกสัญญาเป็นอุปการะแก่สมาธิ อุทธัจจะเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นอุปการะแก่สมาธิ วิจิกิจฉาเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความกำหนดธรรมเป็นอุปการะแก่สมาธิ อวิชชาเป็นอันตรายแก่สมาธิ ญาณเป็นอุปการะแก่สมาธิ อรติเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความปราโมทย์เป็นอุปการะแก่สมาธิ อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงเป็นอันตรายแก่สมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงเป็นอุปการะแก่สมาธิ.
ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ และญาณในธรรมอันเป็นอุปการะ ๘ เหล่านั้น จิตอันสั่งสมสูงขึ้น (๒) และจิตสงบระงับ ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นธรรมอย่างเดียวและย่อมหมดจดจากนิวรณ์ ด้วยอาการ ๑๖ เหล่านี้.
(๑) พม่า. ญาณของผู้มีสติกระทำ.
(๒) แปลตามพม่าและตามนัยอรรถกถา. ของสยามเดิมว่า จิตอันฟุ้งซ่าน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 86
[๓๖๔] ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน.
เนกขัมมะ ความไม่พยาบาท อาโลกสัญญา ความไม่ฟุ้งซ่าน ความกำหนดธรรม ญาณ ความปราโมทย์ กุศลธรรมทั้งปวง แต่ละอย่างเป็นธรรมอย่างเดียว.
นิวรณ์นั้นเป็นไฉน กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา อวิชชา อรติ อกุศลธรรมทั้งปวง แต่ละอย่างเป็นนิวรณ์.
[๓๖๕] คำว่า นีวรณา (นิวรณ์) ความว่า ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่ากระไร ชื่อว่านิวรณ์เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก.
ธรรมเครื่องนำออกเป็นไฉน เนกขัมมะเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยเนกขัมมะนั้น กามฉันทะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลไม่รู้จักเนกขัมมะอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกกามฉันทะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น กามฉันทะ จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความไม่พยาบาทเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่พยาบาทนั้น ความพยาบาทเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลไม่รู้จักความไม่พยาบาทอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกความพยาบาทนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น พยาบาท จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก อาโลกสัญญาเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยอาโลกสัญญานั้น ถีนมิทธะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักอาโลกสัญญาอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกถีนมิทธะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น ถีนมิทธะ จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 87
ความไม่ฟุ้งซ่านเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความไม่ฟุ้งซ่านนั้น อุทธัจจะเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อุทธัจจะ จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก การกำหนดธรรมเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยการกำหนดธรรมนั้น วิจิกิจฉาเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักการกำหนดธรรมอันเป็นเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกวิจิกิจฉานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น วิจิกิจฉา จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก.
ญาณเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยญาณนั้น อวิชชาเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักญาณอันเป็นเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอวิชชานั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อวิชชา จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ความปราโมทย์เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยความปราโมทย์นั้น อรติเป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักความปราโมทย์อันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอรตินั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อรติ จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก กุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย และพระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออกด้วยกุศลกรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวงก็เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก และบุคคลย่อมไม่รู้จักกุศลธรรมอันเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ถูกอกุศลธรรมเหล่านั้นกั้นไว้ เพราะเหตุนั้น อกุศลธรรมแม้ทั้งปวง จึงชื่อว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 88
ก็แลเมื่อพระโยคาวจรผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์เหล่านั้น เจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะย่อมมีได้.
[๓๖๖] อุปกิเลส ๑๘ เป็นไฉน ย่อมเกิดขึ้น.
เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายใน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อบุคคลใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายนอก ย่อมเป็นอันตรายเเก่สมาธิ ความพอใจ คือความปรารถนาลมหายใจเข้า การเที่ยวไปด้วยตัณหา เป็นอันตรายแก่สมาธิ ความพอใจ คือความปรารถนาลมหายใจออก การเที่ยวไปด้วยตัณหา เป็นอันตรายแก่สมาธิ ความหลงในการได้ลมหายใจออกแห่งบุคคลผู้ถูกลมหายใจเข้าเข้าครอบงำ ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ ความหลงในการได้ลมหายใจเข้าแห่งบุคคลผู้ถูกลมหายใจออกเข้าครอบงำ ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ.
สติที่ไปตามลมหายใจเข้า ที่ไปตามลมหายใจออก ที่ฟุ้งซ่านในภายใน ที่ฟุ้งซ่านในภายนอก ความปรารถนาลมหายใจเข้าและความปรารถนาลมหายใจออก อุปกิเลส ๖ ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้าจิตของบุคคลผู้หวั่นไหว ย่อมเป็นเครื่องไม่ให้หลุดพ้นไป และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ ให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น ฉะนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 89
[๓๖๗] เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ เมื่อพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า นี้เป็นอันตรายแก่สมาธิ.
เมื่อคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า เมื่อคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดเเกว่งอยู่ที่นิมิต เมื่อคำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก เมื่อคำนึงถึงลมหายใจออก จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า อุปกิเลส ๖ ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น ถ้าจิตของบุคคลผู้หวั่นไหว ย่อมเป็นเครื่องไม่ให้หลุดพ้นไป และเป็นเหตุไม่ให้รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ ให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น ฉะนี้แล.
[๓๖๘] จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่ปรารถนาอนาคตารมณ์ ถึงความฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่หดหู่ ตกไปข้างฝ่ายเกียจคร้าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 90
จิตที่ถือจัด (ที่ใช้ความเพียรมากเกินไป) ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่น้อมเกินไป ตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ จิตที่ไม่น้อม ตกไปข้างฝ่ายพยาบาท ย่อมเป็นอันตรายแก่สมาธิ.
จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์ ที่ปรารถนาอนาคตารมณ์ จิตที่หดหู่ ที่ถือจัด ที่น้อมเกินไป ที่ไม่น้อม ย่อมไม่ตั้งมั่น อุปกิเลส ๖ ประการนี้ เป็นอันตรายแก่สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อุปกิเลสเหล่านั้น ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลผู้มีความดำริเศร้าหมอง ไม่รู้ชัดซึ่งอธิจิต ฉะนี้แล.
[๓๖๙] เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ (กระสับกระส่าย) หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายใน เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตถึงความฟุ้งซ่าน ณ ภายนอก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจเข้า เพราะความเที่ยวไปด้วยตัณหา กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความปรารถนา เพราะความพอใจลมหายใจออก เพราะความเที่ยวไปด้วยตัณหา กายและจิตย่อมมีความปรารถนา หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่พระโยคาวจรผู้ถูกลมหายใจเข้าครอบงำ เป็นผู้หลงใหลในการได้ลมหายใจออก กายและจิตมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่พระโยคาวจรถูกลมหายใจออกครอบงำ เป็นผู้หลงใหลในการได้ลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่พระโยคาวจรผู้คำนึงถึงนิมิต จิตกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่พระโยคาวจรผู้คำนึงถึงลมหายใจเข้า จิตกวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 91
กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงนิมิต กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงลมหายใจออก กวัดแกว่งอยู่ที่นิมิต กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงลมหายใจเข้า กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจออก กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะความที่จิตของพระโยคาวจรคำนึงถึงลมหายใจออก กวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตแล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายความฟุ้งซ่าน กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตหวังถึงอนาคตารมณ์ ถึงความกวัดแกว่ง กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตหดหู่ ตกไปข้างฝ่ายเกียจคร้าน กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะถือตัว (ใช้ความเพียรมากเกินไป) ตกไปข้างฝ่ายอุทธัจจะ กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตน้อมเกินไป ตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด กายและจิตย่อมมีความปรารภ หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิตไม่น้อมไป ตกไปข้างฝ่ายพยาบาท.
ผู้ใดไม่บำเพ็ญ ไม่เจริญอานาปานสติให้สมบูรณ์ กายและจิตของผู้นั้นย่อมหวั่นไหว ดิ้นรน ผู้ใดบำเพ็ญ เจริญอานาปานสติดี กายและจิตของผู้นั้น ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่ดิ้นรน ฉะนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 92
ก็แลเมื่อพระโยคาวจรผู้มีจิตหมดจดจากนิวรณ์เหล่านั้น เจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะย่อมมีได้ อุปกิเลส ๑๘ เหล่านี้ย่อมเกิดขึ้น.
[๓๗๐] ญาณในโวทาน ๑๓ เป็นไฉน.
จิตแล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน พระโยคาวจรเว้นจิตนั้นเสีย ย่อมตั้งมั่นจิตนั้นไว้ในฐานะหนึ่ง จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตจำนงหวังอนาคตารมณ์ ถึงความกวัดแกว่ง พระโยคาวจรเว้นจิตนั้นเสีย น้อมจิตนั้นไปในฐานะนั้นแล จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตหดหู่ ตกไปข้างฝ่ายความเกียจคร้าน พระโยคาวจรประคองจิตนั้นไว้แล้ว ละความเกียจคร้าน จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตถือจัด (ใช้ความเพียรมากเกินไป) ตกไปข้างฝ่ายอุทธัจจะ พระโยคาวจรข่มจิตนั้นเสีย แล้วละอุทธัจจะ จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตน้อมเกินไป ตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด พระโยคาวจรเป็นผู้รู้ทันจิตนั้น ละความกำหนัดเสีย จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตไม่น้อมไป ตกไปข้างฝ่ายความพยาบาท พระโยคาวจรเป็นผู้รู้ทันจิตนั้น ละความพยาบาทเสีย จิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านแม้ด้วยอาการอย่างนี้ จิตบริสุทธิ์ขาวผ่องด้วยฐานะ ๖ ประการนี้ ย่อมถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว.
[๓๗๑] ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน.
ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งสมถนิมิต ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งลักษณะความเสื่อม ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งนิโรธ ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทานของบุคคลผู้น้อมใจไปในจาคะทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 93
ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งสมถนิมิตของบุคคลผู้หมั่นประกอบในอธิจิตทั้งหลาย ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งลักษณะความเสื่อมของบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลาย และความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งนิโรธของพระอริยบุคคลทั้งหลาย จิตที่ถึงความเป็นธรรมอย่างเดียวโดยฐานะ ๔ เหล่านี้ ย่อมเป็นจิตที่มีปฏิปทาวิสุทธิผ่องใส เจริญงอกงามด้วยอุเบกขา และถึงความร่าเริงด้วยญาณ.
[๓๗๒] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน.
[๓๗๓] ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งเบื้องต้นเท่าไร.
ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ คือจิตหมดจดจากอันตรายแห่งเบื้องต้น (ปฐมฌาน) นั้น จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะเป็นจิตหมดจด จิตแล่นไปในสมถนิมิตนั้น เพราะเป็นจิตที่ดำเนินไปแล้ว จิตหมดจดจากอันตราย ๑ จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะเป็นจิตอันหมดจด ๑ จิตแล่นไปในสมถนิมิต เพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว ๑ ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ ประการเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมฌานเป็นฌานมีความงามในเบื้องต้น และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 94
[๓๗๔] ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งท่ามกลางเท่าไร.
ลักษณะแห่งท่ามกลาง ๓ คือจิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ ๑ จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ ๑ จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ ๑ ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลางแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งปฐมฌาน ๓ ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมฌานเป็นฌานมีความงามในท่ามกลาง และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
[๓๗๕] ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งที่สุดเท่าไร.
ลักษณะแห่งที่สุด ๔ คือความร่าเริงด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในปฐมฌานนั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ ๑ ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งปฐมฌาน ลักษณะแห่งที่สุด ๔ ประการเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฐมฌานมีความงามในที่สุด และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[๓๗๖] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งทุติยฌาณ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 95
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งทุติยฌาน ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิจาร ปีติ ฯ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[๓๗๗] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งตติยฌาน ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยปีติ สุข ฯ และถึงพร้อม ด้วยปัญญา.
[๓๗๘] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งจตุตถฌาน ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยอุเบกขา การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[๓๗๙] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยอุเบกขา การอธิษฐานจิต ฯ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
[๓๘๐] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอนิจจานุปัสสนา ฯลฯ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง อย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการ ถึงพร้อมด้วยวิจาร ฯ และถึงพร้อมด้วยปัญญา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 96
อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปัสสนา นิพพิทานุปัสสนา วิราคานุปัสสนา นิโรธานุปัสสนา ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ขยานุปัสสนา วยานุปัสสนา วิปริณามานุปัสสนา อนิมิตตานุปัสสนา อัปปณิหิตานุปัสสนา สุญญตานุปัสสนา อธิปัญญา ธรรมวิปัสสนา ยถาภูตญาณทัสนะ อาทีนวานุปัสสนา ปฎิสังขานุปัสสนา วิวัฏฏนานุปัสสนา โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค ฯลฯ
[๓๘๑] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค.
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค.
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งเบื้องต้นเท่าไร.
ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ ประการ คือจิตหมดจดจากอันตรายแห่งอรหัตมรรคนั้น จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะเป็นจิตหมดจด จิตแล่นไปในสมถนิมิตนั้น เพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว.
จิตหมดจดจากอันตราย ๑ จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตหมดจด ๑ จิตแล่นไปในสมถนิมิตนั้นเพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว ๑ ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรมมีความงามในเบื้องต้น และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
[๓๘๒] ความพอกพูนอุเบกขาเป็นท่ามกลางแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งท่ามกลางเท่าไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 97
ลักษณะแห่งท่ามกลาง ๓ ประการ คือจิตหมดจดวางเฉยอยู่ ๑ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ ๑ จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ ๑ เพราะเหตุที่จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรมมีความงามในท่ามกลาง และถึงพร้อมด้วยลักษณะ.
[๓๘๓] ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งที่สุดเท่าไร.
ลักษณะแห่งที่สุด ๔ ประการ คือความร่าเริงด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอรหัตมรรคนั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑ ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งที่สุด ๔ ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรมมีความงามในที่สุดและถึงพร้อมด้วยลักษณะ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และพร้อมด้วยปัญญา.
[๓๘๓] นิมิต ลมอัสสาสะและลมปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะ (พระโยคาวจร) ไม่รู้ธรรม ๓ ประการ จึงไม่ได้ภาวนา นิมิต ลมอัสสาสะและลมปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะรู้ธรรม ๓ ประการ จึงจะได้ภาวนา ฉะนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 98
ธรรม ๓ ประการนี้ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เป็นธรรมไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน จิตปรากฏเป็นประธาน (ความเพียรปรากฏ) จิตให้ประโยค (* ปโยคะหรือโยคะ คือการประกอบไว้ ถึงพร้อมด้วยการประกอบความเพียร เป็นได้ทั้งกุศลหรืออกุศล) สำเร็จและบรรลุผลวิเศษอย่างไร.
เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ บุรุษเอาเลื่อยเลื่อยต้นไม้นั้น สติของบุรุษย่อมเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถแห่งฟันเลื่อยซึ่งถูกที่ต้นไม้ บุรุษนั้นไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุผลวิเศษ ความเนื่องกันเป็นนิมิต เหมือนต้นไม้ที่เขาวางไว้ ณ ภาคพื้นที่เรียบ ลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนฟันเลื่อย ภิกษุนั่งตั้งสติไว้มั่นที่ปลายจมูกหรือที่ริมฝีปาก ไม่ได้ใส่ใจถึงลมอัสสาสปัสสาสะเข้าหรือออก ลมอัสสาสปัสสาสะเข้าหรือออกจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ เหมือนบุรุษตั้งสติไว้ด้วยสามารถฟันเลื่อยอันถูกที่ต้นไม้ เขาไม่ได้ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป ฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไปจะไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตปรากฏเป็นประธาน จิตให้ประโยคสำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ ฉะนั้น.
[๓๘๕] ประธานเป็นไฉน.
แม้กาย แม้จิตของภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมควรแก่การงาน นี้เป็นประธาน.
ประโยค (ปโยคะ) เป็นไฉน.
ภิกษุผู้ปรารภความเพียร ย่อมละอุปกิเลสได้ วิตกย่อมสงบไป นี้เป็นประโยค.
ผลวิเศษเป็นไฉน.
ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมถึงความพินาศไป นี้เป็นผลวิเศษ.
ก็ธรรม ๓ ประการนี้ ย่อมไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวอย่างนี้ และธรรม ๓ ประการนี้ ไม่ปรากฏก็หามิได้ จิตไม่ถึงความฟุ้งซ่าน ปรากฏเป็นประธาน ยังประโยคให้สำเร็จ และบรรลุถึงผลวิเศษ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 99
[๓๘๖] ภิกษุใด เจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ดีแล้ว อบรมแล้วตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ภิกษุนั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ฉะนั้น.
ลมอัสสาสะ ชื่อว่า อานะ ไม่ใช่ลมปัสสาสะ ลมปัสสาสะ ชื่อว่า อปานะ ไม่ใช่ลมอัสสาสะ สติเข้าไปตั้งอยู่ด้วยสามารถลมอัสสาสปัสสาสะ ย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจเข้าและผู้หายใจออก.
คำว่า ปริปุณฺณา ความว่า บริบูรณ์ ด้วยอรรถว่า ถือเอารอบ ด้วยอรรถว่า รวมไว้ ด้วยอรรถว่า เต็มรอบ.
ภาวนา ในคำว่า สุภาวิตา (เจริญดีแล้ว) มี ๔ คือภาวนา ด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอานาปานสตินั้น ไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลาย มีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่า นำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ ๑ อรรถแห่งภาวนา ๔ ประการนี้ เป็นอรรถอันภิกษุนั้นทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง น้อมไป อบรมแล้ว ปรารภเสมอดีแล้ว.
คำว่า ยานีกตา (ทำให้เป็นดังยาน) ความว่า ภิกษุนั้นจำนงหวังในธรรมใดๆ ย่อมเป็นผู้ถึงความชำนาญ ถึงกำลัง ถึงความแกล้วกล้า ในธรรมนั้นๆ ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้น เป็นธรรมเนื่องด้วยความคำนึง เนื่องด้วยความหวัง เนื่องด้วยมนสิการ เนื่องด้วยจิตตุปบาท เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทำให้เป็นดังยาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 100
คำว่า วตฺถุกตา (ทำให้เป็นที่ตั้ง) ความว่า จิตย่อมมั่นคงดีในวัตถุใดๆ สติย่อมปรากฏดีในวัตถุนั้นๆ ก็หรือว่า สติย่อมปรากฏดีในวัตถุใดๆ จิตย่อมมั่นคงดีในวัตถุนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทำให้เป็นที่ตั้ง.
คำว่า อนฺฏฺิตา (น้อมไป) ความว่า จิตน้อมไปด้วยอาการใดๆ สติก็หมุนไปตาม (คุมอยู่) ด้วยอาการนั้นๆ ก็หรือว่า สติหมุนไปด้วยอาการใดๆ จิตก็น้อมไปด้วยอาการนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า น้อมไป.
คำว่า ปริจิตา ความว่า อบรม ด้วยอรรถว่า ถือเอารอบ ด้วยอรรถว่า รวมไว้ ด้วยอรรถว่า เต็มรอบ ภิกษุกำหนดถือเอาด้วยสติ ย่อมชนะอกุศลธรรมอันลามกได้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อบรม.
คำว่า สุสมารทฺธา (ปรารภดีแล้ว) ความว่า ธรรม ๔ อย่างภิกษุปรารภดีแล้ว คือปรารภดีด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอานาปานสตินั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่า อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ เพราะเพิกถอนกิเลสทั้งหลายซึ่งเป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้น ๑.
คำว่า สุสมํ (ดีแล้ว) ความว่า ความเสมอก็มี ความเสมอดีก็มี.
ความเสมอเป็นไฉน กุศลทั้งหลายอันไม่มีโทษเกิดในธรรมนั้นเป็นฝักใฝ่แห่งความตรัสรู้ นี้เป็นความเสมอ.
ความเสมอดีเป็นไฉน ความดับอารมณ์แห่งธรรมเหล่านั้นเป็นนิพพาน นี้เป็นความเสมอดี.
ก็ความเสมอและความเสมอดีนี้ ดังนี้ ภิกษุนั้นรู้แล้ว เห็นแล้ว ทราบแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว ถูกต้องแล้วด้วยปัญญา ความเพียร ภิกษุนั้นปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน สติตั้งมั่น ไม่หลงลืม กายสงบ ปรารภแล้ว จิตเป็นสมาธิมีอารมณ์เดียว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปรารภแล้วเสมอดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 101
คำว่า อนุปุพฺพํ ปริจิตา (อบรมแล้วตามลำดับ) ความว่า ภิกษุนั้นอบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ก็อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ก็อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ก็อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ ฯลฯ อบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ก็อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ อบรมอานาปานสติข้างต้นๆ ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ก็อบรมอานาปานสติข้างหลังๆ ตามลำดับ อานาปานสติมีวัตถุ ๑๖ แม้ทั้งปวงอาศัยกัน ภิกษุนั้นอบรมแล้วและอบรมตามลำดับแล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อบรมแล้วตามลำดับ.
คำว่า ยถา (ตามที่) ความว่า อรรถแห่งยถาศัพท์มี ๑๐ คือความฝึกตน ๑ ความสงบตน ๑ ความยังตนให้ปรินิพพาน ๑ ความรู้ยิ่ง ๑ ความกำหนดรู้ ๑ ความละ ๑ ความเจริญ ๑ ความทำให้แจ้ง ๑ ความตรัสรู้สัจจะ ๑ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ ๑.
คำว่า พุทฺโธ (พระพุทธเจ้า) ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดเป็นสยัมภู ไม่มีอาจารย์ ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายเองในธรรมทั้งหลายที่ไม่เคยได้สดับมาแต่กาลก่อน ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้นและทรงถึงความเป็นผู้มีความชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย.
คำว่า พุทฺโธ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พุทธะ เพราะอรรถว่ากระไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 102
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พุทธะ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย เพราะอรรถว่า ทรงสอนให้หมู่สัตว์ตรัสรู้ เพราะความเป็นพระสัพพัญญู เพราะความที่พระองค์ทรงเห็นธรรมทั้งปวง เพราะความที่พระองค์มีเนยยบทไม่เป็นอย่างอื่น (เพราะพระองค์ไม่มีผู้อื่นแนะนำให้ตรัสรู้) เพราะความเป็นผู้มีพระสติไพบูลย์ เพราะนับว่าพระองค์สิ้นอาสวะ เพราะนับว่าพระองค์ไม่มีอุปกิเลส เพราะอรรถว่า ทรงปราศจากราคะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า ทรงปราศจากโทสะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า ทรงปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า พระองค์ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว เพราะอรรถว่า พระองค์เสด็จไปแล้วสู่หนทางที่ไปแห่งบุคคลผู้เดียว เพราะอรรถว่า ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณพระองค์เดียว เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งความไม่มีปัญญา เพราะทรงได้ซึ่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้.
พระนามว่า พุทฺโธ นี้ พระมารดา พระบิดา พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิต สมณะพราหมณ์ เทวดา มิได้แต่งตั้งให้เลย พระนามว่า พุทฺโธ นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม คือพระนามที่เกิดในที่สุดแห่งอรหัตผล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว พระนามว่า พุทฺโธ นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เกิดขึ้นพร้อมกับการทรงได้สัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์.
คำว่า ทรงแสดงแล้ว ความว่า ความฝึกตน มียถาศัพท์เป็นอรรถ เหมือนบุคคลเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ฝึกตนแล้ว ชื่อว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ความสงบตน ชื่อว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ความยังตนให้ปรินิพพาน ชื่อว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ฯลฯ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ มียถาศัพท์เป็นอรรถ เหมือนบุคคลเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธแล้ว ชื่อว่า ตามที่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงแล้ว ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 103
คำว่า โลโก ได้แก่ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก วิปัตติภวโลก วิปัตติสัมภวโลก สัมปัตติภวโลก สัมปัตติสัมภวโลก โลก ๑ คือสัตว์ทั้งปวง ตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ โลก ๑๘ คือธาตุ ๑๘.
คำว่า ย่อมให้สว่างไสว ความว่า ภิกษุนั้นย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว แจ่มใส เพราะเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งความฝึกตน ความสงบตน ความยังตนให้ปรินิพพาน ฯลฯ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ ซึ่งมียถาศัพท์เป็นอรรถทุกประการ.
คำว่า เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ความว่า กิเลสเหมือนหมอก อริยญาณเหมือนดวงจันทร์ ภิกษุเหมือนจันทเทพบุตร ภิกษุพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสวเปล่งปลั่งและไพโรจน์ เหมือนดวงจันทร์พ้นจากหมอก พ้นจากควันและธุลีในแผ่นดิน พ้นจากฝ่ามือราหู ยังโอกาสโลกให้สว่างไสวเปล่งปลั่งและไพโรจน์ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอก ญาณในโวทาน ๑๓ ประการนี้.
จบภาณวาร
[๓๘๗] ญาณในความทำสติ ๓๒ เป็นไฉน.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ภิกษุนั้นเป็นผู้มีสติหายใจเข้า เป็นผู้มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ว่าหายใจออกสั้น ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง (๑) หายใจเข้า
(๑) ในฉบับ มมร. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๑ เป็น จักเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 104
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักทำจิตให้บันเทิงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักทำจิตให้บันเทิงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตไว้หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตไว้หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความคลายกำหนัดหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความดับหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความดับหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก.
[๓๘๘] คำว่า อิธ (ในธรรมวินัยนี้) ความว่า ในทิฏฐินี้ ในความอดทนนี้ ในความชอบใจนี้ ในเขตนี้ ในธรรมนี้ ในวินัยนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในปาพจน์นี้ ในพรหมจรรย์นี้ ในสัตถุศาสน์นี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ในธรรมวินัยนี้.
คำว่า ภิกฺขุ ความว่า ภิกษุเป็นกัลยาณปุถุชนก็ตาม เป็นพระเสขะก็ตาม เป็นพระอรหันต์ผู้มีธรรมไม่กำเริบก็ตาม.
คำว่า อรญฺํ (ป่า) ความว่า สถานที่ทุกแห่งนอกเสาเขื่อนไป สถานที่นั้น ชื่อว่า ป่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 105
คำว่า รุกฺขมูลํ (* โคนไม้) ความว่า อาสนะของภิกษุซึ่งจัดไว้ที่โคนไม้นั้น คือเตียง ตั่ง ฟูก เสื่อ ท่อนหนัง เครื่องลาดทำด้วยหญ้า เครื่องลาดทำด้วยใบไม้ หรือเครื่องลาดทำด้วยฟาง ภิกษุเดิน ยืน นั่ง หรือนอนที่อาสนะนั้น.
คำว่า สุญฺํ (ว่าง) ความว่า เป็นสถานที่ไม่เกลื่อนกล่นด้วยใครๆ เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม.
คำว่า อาคารํ (เรือน) คือวิหาร โรงมีหลังคาครึ่งหนึ่ง ปราสาท เรือนโล้น ถ้ำ.
คำว่า นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา (นั่งคู้บัลลังก์) ความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง คือกายเป็นกายอันภิกษุนั้นตั้งวางไว้ตรง.
ศัพท์ว่า ปริ ในคำว่า ปริมุขํ สติํ อุปฏฺเปตฺวา มีความกำหนด ถือเอาเป็นอรรถ ศัพท์ว่า มุขํ มีความนำออกเป็นอรรถ ศัพท์ว่า สต ิ มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตั้งสติไว้เฉพาะหน้า.
[๓๘๙] คำว่า เป็นผู้มีสติหายใจเข้า ความว่า ภิกษุอมรมสติโดยอาการ ๓๒ คือภิกษุเป็นผู้ตั้งสติมั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ชื่อว่า เป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่น เพราะรู้ความที่มีจิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ชื่อว่า เป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 106
ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ฯ เป็นผู้ตั้งสติไว้มั่นเพราะรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก ชื่อว่า เป็นผู้อบรมสติด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น.
[๓๙๐] ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ว่าหายใจออกยาว อย่างไร.
ภิกษุเมื่อหายใจเข้ายาว ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจออกยาว ย่อมหายใจออกในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาว ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ฉันทะย่อมเกิดแก่ภิกษุ ผู้เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาว หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ความปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้ายาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับยาว เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว จิตของภิกษุผู้เมื่อหายใจเข้าหายใจออกยาวละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับยาว ย่อมหลีกออกจากการหายใจเข้าใจออกยาว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 107
อุเบกขาย่อมตั้งอยู่ กาย คือลมหายใจเข้าลมหายใจเข้ายาวด้วยอาการ ๙ อย่างนี้ ย่อมปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย ภิกษุพิจารณาเห็นกายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเห็นกายในกาย.
[๓๙๑] คำว่า อนุปสฺสติ (พิจารณาเห็น) ความว่า ภิกษุพิจารณาเห็นกายนั้นอย่างไร.
พิจารณาโดยความไม่เที่ยง ไม่พิจารณาโดยความเที่ยง พิจารณาโดยความเป็นทุกข์ ไม่พิจารณาโดยความเป็นสุข พิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ไม่พิจารณาโดยความเป็นอัตตา ย่อมเบื่อหน่าย ไม่ยินดี ย่อมคลายกำหนัด ไม่กำหนัด ย่อมให้ราคะดับไป ไม่ให้เกิด ย่อมสละคืน ไม่ยึดถือ เมื่อพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาได้ เมื่อพิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ย่อมละอัตตสัญญาได้ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความยินดีได้ เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละราคะได้ เมื่อให้ราคะดับ ย่อมละสมุทัยได้ เมื่อสละคืน ย่อมละความยึดถือได้ ภิกษุพิจารณากายนั้น อย่างนี้.
[๓๙๒] ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ คือภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมทั้งหลายไม่ล่วงเกินกันและความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว เวทนาจึงปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 108
ปรากฏถึงความดับไป สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป.
[๓๙๓] เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา ย่อมปรากฏด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะตัณหาเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะกรรมเกิด เวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด แม้เมื่อเห็นลักษณะแห่งความเกิด ความเกิดแห่งเวทนาก็ย่อมปรากฏ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความดับไปแห่งเวทนา ย่อมปรากฏด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับ เวทนาจึงดับ เพราะตัณหาดับ เวทนาจึงดับ เพราะกรรมดับ เวทนาจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความแปรปรวน ความดับไปเเห่งเวทนาก็ย่อมปรากฏ ความดับไปแห่งเวทนาย่อมปรากฏอย่างนี้ เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 109
[๓๙๔] สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับ อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ย่อมปรากฏด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิดสัญญาจึงเกิด ฯ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ ฯ ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความดับไปแห่งสัญญา ย่อมปรากฏด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับ สัญญาจึงดับ ฯ ความดับไปแห่งสัญญาย่อมปรากฏอย่างนี้ สัญญาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.
[๓๙๕] วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความเกิดขึ้นแห่งวิตก ย่อมปรากฏด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยเกิดว่า เพราะอวิชชาเกิด วิตกจึงเกิด เพราะตัณหาเกิด วิตกจึงเกิด เพราะกรรมเกิด วิตกจึงเกิด แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความเกิด ความเกิดขึ้นแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ ความเกิดขึ้นแห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างไร.
เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไปย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็นทุกข์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 110
ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความเป็นภัยย่อมปรากฏ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ความเข้าไปตั้งอยู่โดยความว่างเปล่าย่อมปรากฏ ความเข้าไปตั้งอยู่แห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างนี้.
ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏ อย่างไร.
ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏ ด้วยอรรถว่า เพราะปัจจัยดับว่า เพราะอวิชชาดับ วิตกจึงดับ เพราะตัณหาดับ วิตกจึงดับ เพราะกรรมดับ วิตกจึงดับ เพราะสัญญาดับ วิตกจึงดับ แม้เมื่อพิจารณาเห็นลักษณะความแปรปรวน ความดับไปแห่งวิตกก็ย่อมปรากฏ ความดับไปแห่งวิตกย่อมปรากฏอย่างนี้ วิตกย่อมปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป อย่างนี้.
[๓๙๖] บุคคลรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว ย่อมให้อินทรีย์ทั้งหลายประชุมลง รู้จักโคจรและแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ ฯลฯ ย่อมให้ธรรมทั้งหลาย ประชุมกัน รู้จักโคจรและแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
คำว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า บุคคลย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง อย่างไร.
บุคคลย่อมยังสัทธินทรีย์ให้ประชุมลง ด้วยความน้อมใจเชื่อ ยังวิริยินทรีย์ให้ประชุมลง ด้วยความประคองไว้ ยังสตินทรีย์ให้ประชุมลง ด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังสมาธินทรีย์ให้ประชุมลง ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังปัญญินทรีย์ให้ประชุมลง ด้วยความเห็น บุคคลนี้ยังอินทรีย์เหล่านี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 111
คำว่า รู้จักโคจร ความว่า รู้จักอารมณ์แห่งบุคคลนั้นว่าเป็นโคจรแห่งบุคคลนั้น รู้จักโคจรแห่งบุคคลนั้นว่าเป็นอารมณ์แห่งบุคคลนั้น คำว่า รู้จัก ได้แก่ บุคคล คือปัญญาเป็นตัวรู้.
คำว่า สงบ ความว่า อารมณ์ปรากฏเป็นความสงบ จิตไม่ฟุ้งซ่านเป็นความสงบ จิตตั้งมั่นเป็นความสงบ จิตผ่องแผ้วเป็นความสงบ.
คำว่า ประโยชน์ ความว่า ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์ ธรรมอันมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ ธรรมอันประเสริฐเป็นประโยชน์.
คำว่า แทงตลอด ความว่า แทงตลอดความที่อารมณ์ปรากฏ แทงตลอดความที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน แทงตลอดความที่จิตตั้งมั่น แทงตลอดความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๓๙๗] คำว่า ย่อมให้พละทั้งหลายประชุมลง ความว่า ย่อมให้พละทั้งหลายประชุมลง อย่างไร.
บุคคลย่อมยังสัทธาพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในความไม่มีศรัทธา ยังวิริยพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในความเกียจคร้าน ยังสติพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในความประมาท ยังสมาธิพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในอุทธัจจะ ยังปัญญาพละให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหวไปในอวิชชา บุคคลนี้ย่อมยังพละเหล่านี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังพละทั้งหลายให้ประชุมลง.
คำว่า รู้จักโคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 112
[๓๙๘] คำว่า ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า บุคคลย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลงได้อย่างไร.
บุคคลย่อมยังสติสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความเลือกเฟ้น ยังวิริยสัมโพขฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความประคองไว้ ยังปีติสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความแผ่ซ่านไป ยังปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความสงบ ยังสมาธิสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังอุเบกขาสัมโพชฌงค์ให้ประชุมลงด้วยความวางเฉย บุคคลนี้ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลง.
คำว่า รู้จักโคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๓๙๙] คำว่า ย่อมยังมรรคให้ประชุมลง ความว่า บุคคลย่อมยังมรรคให้ประชุมลง อย่างไร.
บุคคลย่อมยังสัมมาทิฏฐิให้ประชุมลงด้วยความเห็น ยังสัมมาสังกัปปะให้ประชุมลงด้วยความยกขึ้นสู่อารมณ์ ยังสัมมาวาจาให้ประชุมลงด้วยความกำหนด ยังสัมมากัมมันตะให้ประชุมลงด้วยความที่เกิดขึ้นดี ยังสัมมาอาชีวะให้ประชุมลงด้วยความผ่องแผ้ว ยังสัมมาวายามะให้ประชุมลงด้วยความประคองไว้ ยังสัมมาสติให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังสัมมาสมาธิให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน บุคคลนี้ย่อมยังมรรคนี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังมรรคให้ประชุมลง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 113
คำว่า รู้จักโคจร ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๐๐] คำว่า ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า บุคคลย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง อย่างไร.
บุคคลย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลงด้วยความเป็นใหญ่ ยังพละทั้งหลายให้ประชุมลงด้วยความไม่หวั่นไหว ยังโพชฌงค์ทั้งหลายให้ประชุมลงด้วยความเป็นธรรมเครื่องนำออก ยังมรรคให้ประชุมลงด้วยความเป็นเหตุ ยังสติปัฏฐานให้ประชุมลงด้วยความเข้าไปตั้งไว้ ยังสัมมัปปธานให้ประชุมลงด้วยความเริ่มตั้ง ยังอิทธิบาทให้ประชุมลงด้วยความให้สำเร็จ ยังสัจจะให้ประชุมลงด้วยความถ่องแท้ ยังสมถะให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังวิปัสสนาให้ประชุมลงด้วยความพิจารณาเห็น ยังสมถะและวิปัสสนาให้ประชุมลงด้วยความมีกิจเป็นอันเดียวกัน ยังธรรมเป็นคู่กันให้ประชุมลงด้วยความไม่ล่วงเกินกัน ยังสีลวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความสำรวม ยังจิตวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ยังทิฏฐิวิสุทธิให้ประชุมลงด้วยความเห็น ยังวิโมกข์ให้ประชุมลงด้วยควานหลุดพ้น ยังวิชชาให้ประชุมลงด้วยความแทงตลอด ยังวิมุตติให้ประชุมลงด้วยความสละรอบ ยังญาณในความสิ้นไปให้ประชุมลงด้วยความตัดขาด ยังญาณในความไม่เกิดขึ้นให้ประชุมลงด้วยความเห็นเฉพาะ ยังฉันทะให้ประชุม ลงด้วยความเป็นมูลเหตุ ยังมนสิการให้ประชุมลงด้วยความเป็นสมุฏฐาน ยังผัสสะให้ประชุมลงด้วยความประสบ ยังเวทนาให้ประชุมลงด้วยความรู้สึก ยังสมาธิให้ประชุมลงด้วยความเป็นประธาน ยังสติให้ประชุมลงด้วยความเป็นใหญ่ ยังสติสัมปชัญญะให้ประชุมลงด้วยความเป็นธรรมที่ยิ่งกว่านั้น ยังวิมุตติให้ประชุมลงด้วยความเป็นสาระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 114
ยังนิพพานอันหยั่งลงในอมตะให้ประชุมลงด้วยความเป็นที่สุด บุคคลนี้ย่อมยังธรรมเหล่านั้นให้ประชุมลงในอารมณ์นี้ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง.
คำว่า รู้จักโคจร ความว่า รู้จักอารมณ์แห่งธรรมนั้นว่าเป็นโคจรแห่งธรรมนั้น รู้จักโคจรแห่งธรรมนั้นว่าเป็นอารมณ์แห่งธรรมนั้น คำว่า รู้จัก ได้แก่ ธรรม คือปัญญาเป็นความรู้.
คำว่า สงบ ความว่า อารมณ์ปรากฏเป็นความสงบ จิตไม่ฟุ้งซ่านเป็นความสงบ จิตตั้งมั่นเป็นความสงบ จิตผ่องแผ้วเป็นความสงบ.
คำว่า ประโยชน์ ความว่า ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์ ธรรมอันมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ ธรรมอันประเสริฐเป็นประโยชน์.
คำว่า แทงตลอด ความว่า แทงตลอดความที่อารมณ์ปรากฏ แทงตลอดความที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน แทงตลอดความที่จิตตั้งมั่น แทงตลอดความที่จิตผ่องแผ้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๐๑] บุคคลเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่า หายใจเข้าสั้น เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ว่า หายใจออกสั้น อย่างไร.
บุคคลเมื่อหายใจเข้าสั้น ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจออกสั้น ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้น ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย ฉันทะย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้น หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจออกสั้นละเอียด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 115
กว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะนับได้นิดหน่อย ความปราโมทย์ย่อมเกิดแก่ภิกษุผู้หายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถฉันทะ หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจออกในขณะที่นับได้นิดหน่อย เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ ย่อมหายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย จิตของภิกษุ ผู้เมื่อหายใจเข้าหายใจออกสั้นละเอียดกว่านั้นด้วยสามารถความปราโมทย์ หายใจเข้าบ้างหายใจออกบ้างในขณะที่นับได้นิดหน่อย ย่อมหลีกไปจากลมอัสสาสปัสสาสะสั้น อุเบกขาย่อมตั้งอยู่ กาย คือลมหายใจเข้าหายใจออกสั้นด้วยอาการ ๙ เหล่านี้ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ มิใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลพิจารณากายนั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณากายในกาย.
[๔๐๒] คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า บุคคลย่อมพิจารณากายนั้นอย่างไร พิจารณากายนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าและลมหายใจออกสั้น เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ฯลฯ บุคคลรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกสั้น ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 116
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และย่อมแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๐๓] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจออก อย่างไร.
กาย ในคำว่า กาโย มี ๒ คือนามกาย ๑ รูปกาย ๑.
นามกาย เป็นไฉน.
เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนามกายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย.
รูปกาย เป็นไฉน.
มหาภูตรูป ๔ รูป รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ลมอัสสาสปัสสาสะ นิมิต และท่านกล่าวว่า กายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย.
[๔๐๔] กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ อย่างไร.
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น กายเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ฯ เมื่อคำนึงถึงกายเหล่านั้นย่อมปรากฏเมื่อรู้ ฯ เมื่อเห็น ฯ เมื่อพิจารณา ฯ เมื่ออธิษฐานจิต ฯ เมื่อน้อมใจเชื่อด้วยศรัทธา ฯ เมื่อประคองความเพียร ฯ เมื่อตั้งสติไว้มั่น ฯ เมื่อตั้งจิตมั่น ฯ เมื่อรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ฯ เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ ฯ เมื่อละธรรมที่ควรละ ฯ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ ฯ เมื่อทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ กายเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 117
กาย คือความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณากายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเห็นกายในกาย.
[๔๐๕] คำว่า ย่อมพิจารณา ฯลฯ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า เห็น ความระวัง (สำรวม) ในสีลวิสุทธินั้นเป็นอธิสีลสิกขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้นเป็นอธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธินั้นเป็นอธิปัญญาสิกขา บุคคลคำนึงถึงสิกขา ๓ ประการนี้ ศึกษาอยู่ รู้ศึกษา เห็นศึกษา พิจารณาศึกษา อธิษฐานศึกษา น้อมใจเชื่อด้วยศรัทธาศึกษา ประคองความเพียรศึกษา ดำรงสติไว้มั่นศึกษา ตั้งจิตมั่นศึกษา รู้ชัดด้วยปัญญาศึกษา รู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งศึกษา กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ศึกษา ละธรรมที่ควรละศึกษา เจริญธรรมที่ควรเจริญศึกษา ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งศึกษา เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออก เวทนาย่อมเกิดปรากฏ ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออก ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ฯลฯ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๐๖] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก อย่างไร.
กายสังขารเป็นไฉน.
ลมหายใจเข้ายาวเป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร ลมหายใจออกยาวเป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 118
บุคคลระงับ คือดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น ศึกษาอยู่ ลมหายใจเข้าสั้น ลมหายใจออกสั้น ลมที่บุคคลรู้แจ้งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า เป็นไปทางกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกายเป็นกายสังขาร บุคคลระงับ คือดับ สงบกายสังขารเหล่านั้น ศึกษาอยู่ ความอ่อนไป ความน้อมไป ความเอนไป ความโอนไป ความหวั่นไหว ความดิ้นรน ความโยก ความโคลงแห่งกายมีอยู่ เพราะกายสังขารเห็นปานใด บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร หายใจออก ความไม่อ่อนไป ความไม่น้อมไป ความไม่เอนไป ความไม่โอนไป ความไม่หวั่นไหว ความไม่ดิ้นรน ความไม่โยก ความไม่โคลงแห่งกายมีอยู่ เพราะกายสังขารเห็นปานใด บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขารที่ละเอียดสุขุม หายใจเข้า ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขารที่ละเอียดสุขุม หายใจออก ได้ทราบมาดังนี้ว่า บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร หายใจออก เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลมก็ไม่ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสะก็ไม่ปรากฏ อานาปานสติก็ไม่ปรากฏ อานาปานสติสมาธิก็ไม่ปรากฏ และบัณฑิตทั้งหลายแม้จะเข้าแม้จะออกสมาบัตินั้นก็หามิได้ ได้ทราบมาดังนี้ว่า บุคคลศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ศึกษาอยู่ว่า จักระงับกายสังขาร หายใจออก เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลมก็ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสะก็ปรากฏ อานาปานสติก็ปรากฏ อานาปานสติสมาธิก็ปรากฏ และบัณฑิตทั้งหลายย่อมเข้าและย่อมออกสมาบัตินั้น ข้อนั้นเหมือนอะไร เหมือนเมื่อบุคคลตีกังสดาลเสียงดังย่อมเป็นไปก่อนตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งเสียงดัง เมื่อเสียงดังค่อยลง ต่อมาเสียงค่อยก็เป็นไปภายหลังตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งเสียงค่อย และเมื่อเสียงค่อยดับลง ต่อมาจิตย่อมเป็นไปในภายหลังแม้เพราะนิมิตแห่งเสียงค่อยเป็นอารมณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 119
ข้อนี้ก็เหมือนกันฉะนั้น ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่หยาบ ย่อมเป็นไปก่อนตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่หยาบ เมื่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่หยาบเบาลง ต่อมาลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียดย่อมเป็นไปในภายหลังตามที่หมาย นึก ทรงจำด้วยดีซึ่งนิมิตแห่งลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียด และเมื่อลมหายใจเข้าและลมหายใจออกที่ละเอียดเบาลงอีก ต่อมาจิตย่อมไม่ถึงความฟุ้งซ่านในภายหลัง แม้เพราะความที่นิมิตแห่งลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่ละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความได้ลมก็ปรากฏ ลมอัสสาสปัสสาสก็ปรากฏ อานาปานสติก็ปรากฏ อานาปานสติสมาธิก็ปรากฏ และบัณฑิตทั้งหลายย่อมเข้าและออกสมาบัตินั้นๆ กาย คือความที่บุคคลระงับกายสังขารหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ กายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณากายนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเห็นกายในกาย.
[๔๐๗] คำว่า พิจารณา ความว่า บุคคลย่อมพิจารณากายนั้น อย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณากายนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้ระงับกายสังขารระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตวิสุทธิด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ทิฏฐิวิสุทธิด้วยอรรถว่า เห็น ความระวังในศีลวิสุทธินั้น เป็นอธิศีลสิกขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้น เป็นอธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธินั้น เป็นอธิปัญญาสิกขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 120
บุคคลเมื่อคำนึงถึงสิกขา ๓ ประการนี้ ศึกษาอยู่ ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งศึกษาอยู่ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้าหายใจออก เวทนาย่อมปรากฏเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้าหายใจออก ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ฯลฯ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
อนุปัสสนาญาณ (ญาณในการพิจารณา) ๘ อุปัฏฐานานุสติ (อนุสสติที่ปรากฏ) ๘ และ สุตันติกวัตถุ (เรื่องอันมีมาในพระสูตร) ในการพิจารณากายในกาย ๔.
จบภาณวาร
[๔๐๘] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติ หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งปีติหายใจออก อย่างไร.
ปีติเป็นไฉน.
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น ปีติและปราโมทย์ คือความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความรื่นเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต ความดีใจ ปีตินี้ย่อมปรากฏ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 121
ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น ปีตินั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถลมหายใจออกสั้น ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจออก ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับกายสังขารหายใจออก สติย่อมตั้งมั่น ปีติย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อคำนึงถึงปีตินั้นย่อมปรากฏ เมื่อรู้ ฯ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อน้อมใจไปด้วยศรัทธา เมื่อประคองความเพียร เมื่อเข้าไปตั้งสติไว้ เมื่อจิตตั้งมั่น เมื่อรู้ชัดด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้ เมื่อละธรรมที่ควรละ เมื่อเจริญธรรมที่ควรเจริญ เมื่อทำให้แจ้งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ปีตินั้นย่อมปรากฏเวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้ง ปีติหายใจเข้าหายใจออกอย่างนี้นั้นปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนานั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.
คำว่า พิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาความนั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิด้วยอรรถว่า ความรู้แจ้งปีติระวัง (สำรวม) ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 122
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งปีติหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๐๙] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งสุขหายใจออก อย่างไร.
สุข ในคำว่า สุขํ มี ๒ คือกายิกสุข ๑ เจตสิกสุข ๑.
กายิกสุข เป็นไฉน.
ความสำราญทางกาย ความสุขที่ได้เสวยทางกาย สุขเวทนาซึ่งเป็นความสำราญเกิดในกายสัมผัสนี้ เป็นกายิกสุข.
เจตสิกสุข เป็นไฉน.
ความสุขทางจิต ความสุขที่ได้เสวยเป็นความสำราญเกิดแต่เจโตสัมผัส สุขเวทนาซึ่งเป็นความสำราญเกิดแต่เจโตสัมผัสนี้ เป็นเจตสิกสุข.
สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างไร.
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏ ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏ สุขเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างนี้.
เวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏสติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนานั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 123
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนาอย่างไร ย่อมพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมพิจารณาเวทนานั้น อย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า รู้แจ้งสุขระวังลมหายใจออกลมหายใจเข้า ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นอรรถ.
[๔๑๐] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตตสังขารหายใจออก อย่างไร.
จิตตสังขาร เป็นไฉน.
สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร ฯลฯ สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งสุขหายใจออก เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร นี้เป็นจิตตสังขาร.
จิตตสังขารเหล่านั้น ย่อมปรากฏอย่างไร.
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น จิตตสังขารเหล่านี้ย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น จิตตสังขารเหล่านั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 124
ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง จิตตสังขารเหล่านั้นย่อมปรากฏ จิตตสังขารเหล่านั้นย่อมปรากฏอย่างนี้.
เวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้าหายใจออก ปรากฏสติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาเวทนานั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.
คำว่า พิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างไร ย่อมพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ฯลฯ.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า รู้แจ้งจิตตสังขารระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๑๑] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขารหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักระงับจิตตสังขารหายใจออก อย่างไร.
จิตตสังขาร เป็นไฉน.
สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร บุคคลระงับ คือดับ สงบจิตตสังขารเหล่านั้นศึกษาอยู่ สัญญาและเวทนา ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร บุคคลระงับ คือดับ สงบจิตตสังขารเหล่านั้นศึกษาอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 125
สัญญาและเวทนาด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขารหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขารหายใจออก เป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร บุคคลระงับ คือดับ สงบจิตตสังขารเหล่านั้นศึกษาอยู่ เวทนา ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ เวทนาปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลพิจารณาเวทนานั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย.คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาเวทนานั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้ระงับจิตตสังขารระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลรู้อยู่ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
อนุปัสสนาญาณ (ญาณในการพิจารณา) ๘ อุปัฏฐานานุสติ (อนุสสติที่ปรากฏ) ๘ สุตตันติกวัตถุ (เรื่องอันมีมาในพระสูตร) ในการพิจารณาเวทนาในเวทนา ๔.
จบภาณวาร
[๔๑๒] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักรู้แจ้งจิตหายใจออก อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 126
จิต นั้นเป็นไฉน.
วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว จิต คือมนะ มานัส หทัย ปัณฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น วิญญาณจิต ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ฯลฯ ด้วยสามารถความเป็นผู้ระงับจิตตสังขารหายใจเข้า จิต คือมนะ ฯ มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น นี้เป็นจิต.
จิต ปรากฏอย่างไร.
บุคคลเมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว สติย่อมตั้งมั่น จิตนั้นย่อมปรากฏด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น ฯลฯ เมื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง จิตนั้นย่อมปรากฏ จิตนั้นย่อมปรากฏอย่างนี้ วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ จิตปรากฏไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่าสติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาจิตอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความรู้แจ้งจิตระวังลมหายเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๑๓] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักให้จิตเบิกบานหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักให้จิตเบิกบานหายใจออก อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 127
ก็ความเบิกบานแห่งจิต เป็นไฉน.
เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว ความเบิกบานแห่งจิตย่อมเกิดขึ้น ความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต ความดีใจ ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว ความเบิกบานแห่งจิตย่อมเกิดขึ้น ความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต ความดีใจ ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจเข้า ด้วยสามารถความเป็นผู้รู้แจ้งจิตหายใจออก ความเบิกบานแห่งจิตย่อมเกิดขึ้น ความเบิกบาน ความบันเทิง ความหรรษา ความร่าเริงแห่งจิต ความปลื้มจิต ความดีใจ นี้เป็นความเบิกบานแห่งจิต วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบานหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ จิตปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบานระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ยังจิตให้เบิกบานหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 128
[๔๑๔] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักตั้งจิตมั่นหายใจออก อย่างไร.
ก็สมาธินทรีย์ เป็นไฉน.
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาว เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นหายใจออก เป็นสมาธิ ความตั้งอยู่ ความตั้งอยู่ดี ความตั้งมั่น ความไม่กวัดแกว่ง ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ความมีใจไม่กวัดแกว่ง ความสงบ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ วิญญาณจิต ด้วยความสามารถความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นหายใจเข้าหายใจออกนี้ปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ จิตปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาจิตนั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาจิตในจิต.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร? ฯลฯ ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้ตั้งจิตมั่นหายใจเข้า ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๑๕] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 129
บุคคลย่อมศึกษาว่า จักเปลื้องจิตจากราคะหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากราคะหายใจออก จักเปลื้องจิตจากโทสะหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากโทสะหายใจออก จักเปลื้องจิตจากโมหะหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากโมหะหายใจออก ฯลฯ จักเปลื้องจิตจากมานะ จักเปลื้องจิตจากทิฏฐิ จักเปลื้องจิตจากวิจิกิจฉา จักเปลื้องจิตจากถีนมิทธะ จักเปลื้องจิตจากอุทธัจจะ จักเปลื้องจิตจากความไม่ละอายบาป จักเปลื้องจิตจากความไม่สะดุ้งกลัวบาปหายใจเข้า จักเปลื้องจิตจากความไม่สะดุ้งกลัวบาปหายใจออก วิญญาณจิต ด้วยสามารถความเป็นผู้เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ ฯลฯ
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้เปลื้องจิตระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่มีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นอรรถ.
อนุปัสสนาญาณ ๔ อุปัฏฐานานุสติ ๘ สุตตันติกวัตถุในการพิจารณาจิตในจิต ๔.
[๔๑๖] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงหายใจออก อย่างไร.
คำว่า อนิจฺจํ ความว่า อะไรไม่เที่ยง เบญจขันธ์ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ากระไร ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นและเสื่อมไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 130
บุคคลเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อเห็นความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะเท่าไร.
บุคคลเมื่อเห็นความเกิดขึ้นแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ ๒๕ ฯลฯ เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ ย่อมเห็นลักษณะ ๕๐ นี้ บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในรูปหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในรูปหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความไม่เที่ยงในชราและมรณะหายใจออก.
ธรรมทั้งหลาย ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลพิจารณาธรรมเหล่านั้นด้วยสตินั้น ด้วย ญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยงระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความไม่เที่ยงหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 131
[๔๑๗] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจออก อย่างไร.
บุคคลเห็นโทษในรูปแล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความคลายกำหนัดในรูป น้อมใจไปด้วยศรัทธาและมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคล้ายกำหนัดในรูปหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดในรูปหายใจออก บุคคลเห็นโทษในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นผู้เกิดฉันทะในความคลายกำหนัดในชราและมรณะ และมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดในชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความคลายกำหนัดในชราและมรณะหายใจออก ธรรมทั้งหลาย ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น อย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัดระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 132
[๔๑๘] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับหายใจออก อย่างไร.
บุคคลเห็นโทษในรูปแล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความดับในรูป น้อมใจไปด้วยศรัทธาและมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในรูปหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในรูปหายใจออก เห็นโทษในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะแล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความดับในชราและมรณะ น้อมใจไปด้วยศรัทธาและมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจออก.
[๔๑๙] โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร อวิชชาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการ ๕ อวิชชาย่อมดับด้วยอาการ ๘.
โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน.
โทษในอวิชชาย่อมมี ด้วยอรรถว่า ไม่เที่ยง ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นทุกข์ ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นอนัตตา ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุให้เดือดร้อน ๑ ด้วยอรรถว่า แปรปรวน ๑ โทษในอวิชชาย่อมมีด้วยอาการ ๕ เหล่านี้.
อวิชชาย่อมดับไปด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
อวิชชาย่อมดับด้วยนิทาน (ต้นเหตุ) ดับ ๑ ด้วยสมุทัยดับ ๑ ด้วยชาติดับ ๑ ด้วยอาหารดับ ๑ ด้วยเหตุดับ ๑ ด้วยปัจจัยดับ ๑ ด้วยญาณเกิดขึ้น ๑ ด้วยนิโรธปรากฏ ๑ อวิชชาย่อมดับด้วยอาการ ๘ เหล่านี้.
บุคคลเห็นโทษในอวิชชาด้วยอาการ ๕ เหล่านี้แล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความดับแห่งอวิชชาด้วยอาการ ๘ เหล่านี้ น้อมใจไปด้วยศรัทธาและมีจิตตั้งมั่นดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 133
ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับแห่งอวิชชาหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับแห่งอวิชชาหายใจออก.
[๔๒๐] โทษในสังขารย่อมมีด้วยอาการเท่าไร สังขารย่อมดับด้วยอาการเท่าไร ฯลฯ โทษในวิญญาณย่อมมีด้วยอาการเท่าไร วิญญาณย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในนามรูปย่อมมีด้วยอาการเท่าไร นามรูปย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในสฬายตนะย่อมมีด้วยอาการเท่าไร สฬายตนะย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในผัสสะย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ผัสสะย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในเวทนาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร เวทนาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในตัณหาย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ตัณหาย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในอุปาทานย่อมมีด้วยอาการเท่าไร อุปาทานย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในภพย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ภพย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในชาติย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ชาติย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการเท่าไร ชราและมรณะย่อมดับด้วยอาการเท่าไร โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการ ๕ ชราและมรณะย่อมดับด้วยอาการ ๘.
โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการ ๕ เป็นไฉน.
โทษในชราและมรณะย่อมมี ด้วยอรรถว่า ไม่เที่ยง ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นทุกข์ ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นอนัตตา ๑ ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุให้เดือดร้อน ๑ ด้วยอรรถว่า แปรปรวน ๑ โทษในชราและมรณะย่อมมีด้วยอาการ ๕ เหล่านี้.
ชราและมรณะย่อมดับด้วยอาการ ๘ เป็นไฉน.
ชราและมรณะย่อมดับด้วยนิทานดับ ๑ ด้วยสมุทัย ๑ ด้วยชาติดับ ๑ ด้วยภพดับ ๑ ด้วยเหตุดับ ๑ ด้วยปัจจัยดับ ๑ ด้วยญาณเกิด ๑ ด้วยนิโรธเกิดขึ้น ๑ ชรามรณะย่อมดับด้วยอาการ ๘ เหล่านี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 134
บุคคลเห็นโทษด้วยชราและมรณะในอาการ ๕ เหล่านี้แล้ว เป็นผู้เกิดฉันทะในความดับแห่งชราและมรณะด้วยอาการ ๘ เหล่านี้ น้อมใจไปด้วยศรัทธาและมีจิตตั้งมั่นดี ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความดับในชราและมรณะหายใจออก ธรรมทั้งหลาย ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความดับหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมทั้งหลายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ฯลฯ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรคว่า ความเป็นผู้พิจารณาความดับระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความดับหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
[๔๒๑] บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนหายใจออก อย่างไร.
ความสละคืนมี ๒ อย่าง คือความสละคืนด้วยการบริจาค ๑ ความสละคืนด้วยความแล่นไป ๑ จิต (คิด) สละรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสละคืนด้วยการบริจาค จิตแล่นไปในนิพพานอันเป็นที่ดับรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 135
ความสละคืนด้วยการแล่นไป บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในรูปหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในรูปหายใจออก จิต (คิด) สละเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสละคืนด้วยการบริจาค จิตแล่นไปในนิพพานอันเป็นที่ดับชราและมรณะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความสละคืนด้วยการแล่นไป บุคคลย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในชราและมรณะหายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักพิจารณาความสละคืนในชราและมรณะหายใจออก ธรรมทั้งหลาย ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนหายใจเข้าหายใจออกปรากฏ สติเป็นอนุปัสสนาญาณ ธรรมทั้งหลายปรากฏ ไม่ใช่สติ สติปรากฏด้วย เป็นตัวสติด้วย บุคคลย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นด้วยสตินั้น ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย.
คำว่า ย่อมพิจารณา ความว่า ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างไร ย่อมพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ไม่พิจารณาโดยความเที่ยง ฯลฯ ย่อมสละคืน ไม่ถือมั่น เมื่อพิจารณาโดยความไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้ ฯลฯ เมื่อสละคืนย่อมสละความถือมั่นได้ ย่อมพิจารณาธรรมเหล่านั้นอย่างนี้.
ภาวนา ในคำว่า ภาวนา มี ๔ คือ ภาวนา ด้วยอรรถว่า ธรรมทั้งหลายอันเกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ฯลฯ ภาวนา ด้วยอรรถว่า เป็นที่เสพ สีลวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่านทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า เห็นความสำรวมในสีลวิสุทธินั้น เป็นอธิสีลสิกขา ความไม่ฟุ้งซ่านในจิตวิสุทธินั้น เป็นอธิจิตสิกขา ความเห็นในทิฏฐิวิสุทธินั้น เป็นอธิปัญญาสิกขา บุคคลเมื่อคำนึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 136
ถึงสิกขา ๓ ประการนี้ ศึกษาอยู่ เมื่อรู้ศึกษาอยู่ ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนหายใจเข้าหายใจออก เวทนาปรากฏเกิดขึ้น ปรากฏตั้งอยู่ ปรากฏถึงความดับไป ฯลฯ เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนหายใจเข้าหายใจออก ฯลฯ บุคคลเมื่อรู้ ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลงย่อมรู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์ ย่อมยังพละทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อมยังมรรคให้ประชุมลง ย่อมยังธรรมทั้งหลายให้ประชุมลง ย่อมรู้จักโคจร และแทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์.
คำว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง ความว่า ย่อมยังอินทรีย์ทั้งหลายให้ประชุมลง อย่างไร.
ย่อมยังสัทธินทรีย์ด้วยอรรถว่า น้อมใจเชื่อให้ประชุมลง ฯลฯ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า และแทงตลอดธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์.
อนุปัสสนาญาณ ๘ อุปัฏฐานานุสติ ๘ สุตตันติกวัตถุ ในการพิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย ๔ ญาณในความเป็นผู้ทำสติ ๓๒ นี้.
[๔๒๒] ญาณด้วยสามารถแห่งสมาธิ ๒๔ เป็นไฉน.
ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาวเป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถลมหายใจออกยาวเป็นสมาธิ ฯลฯ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้เปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออกเป็นสมาธิ ญาณด้วยสามารถของสมาธิ ๒๔ เหล่านี้.
ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒ เป็นไฉน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 137
วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นของไม่เที่ยง วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจเข้ายาว โดยความเป็นอนัตตา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจออกยาว โดยความเป็นของไม่เที่ยง วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจออกยาว โดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาลมหายใจออกยาวโดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้เปลื้องจิตพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก โดยความเป็นของไม่เที่ยง วิปัสสนาด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้เปลื้องจิตพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก โดยความเป็นทุกข์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้เปลื้องจิตพิจารณาลมหายใจเข้าหายใจออก โดยความเป็นอนัตตา ญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒ เหล่านี้.
นิพพิทาญาณ ๘ เป็นไฉน.
ญาณ ชื่อว่า นิพพิทาญาณ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาหายใจเข้า โดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาลมหายใจออก โดยความเป็นของไม่เที่ยง รู้เห็นตามความเป็นจริง ฯลฯ ญาณ ชื่อว่า นิพพิทาญาณ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องให้บุคคลพิจารณาความสละคืนลมหายใจเข้า รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องให้บุคคลผู้พิจารณาความสละคืนลมหายใจออก รู้เห็นตามความเป็นจริง นิพพิทาญาณ ๘ เหล่านี้.
นิพพิทานุโลมญาณ ๘ เป็นไฉน.
ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจเข้า โดยความเป็นของไม่เที่ยง ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจออก โดยความเป็นของไม่เที่ยง ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ ฯลฯ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาสละคืนลมหายใจเข้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 138
ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาความสละคืนลมหายใจออก ปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เป็นนิพพิทานุโลมญาณ นิพพิทานุโลมญาณ ๘ เหล่านี้.
นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ๘ เป็นไฉน.
ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจเข้า โดยความเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่ เป็นนิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ปัญญาในความเป็นผู้พิจารณาลมหายใจออก โดยความเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่ เป็นนิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ฯลฯ นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ๘ เหล่านี้.
ญาณในวิมุตติสุข ๒๑ เป็นไฉน.
ญาณในวิมุตติสุขย่อมเกิดขึ้น เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งสักกายทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค ฯ เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งวิจิกิจฉาด้วยโสดาปัตติมรรค ฯ เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งสีลัพพตปรามาส ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัยด้วยโสดาปัตติมรรค ฯ เพราะละ เพราะตัดขาด ซึ่งกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ด้วยสกทาคามิมรรค ฯ เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งกามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ด้วยอนาคามิมรรค ญาณในวิมุตติสุขย่อมเกิดขึ้น เพราะละ เพราะตัดขาดซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา มานานุสัย ภวราคานุสัยและอวิชชานุสัย ด้วยอรหัตมรรค ญาณในวิมุตติสุข ๒๑ เหล่านี้ เมื่อบุคคลเจริญสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันมีวัตถุ ๑๖ ญาณ ๒๐๐ เหล่านี้ อันสัมปยุตด้วยสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น.
จบอานาปานกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 139
อานาปานสติกถา ในมหาวรรค
๑. อรรถกถาคณนวาร
บัดนี้ ถึงลำดับที่จะพรรณนาความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งอานาปานสติกถา ที่ท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งทิฏฐิกถา.
จริงอยู่ อานาปานสติกถานี้ เป็นสมาธิภาวนาอันทำได้ง่ายเพื่อตรัสรู้ ตามความเป็นจริง แห่งโทษของทิฏฐิที่กล่าวไว้ดีแล้วในทิฏฐิกถา แห่งจิตบริสุทธิ์ด้วยดีด้วยการชำระมลทินแห่งมิจฉาทิฏฐิ อนึ่ง ในสมาธิภาวนาทั้งปวง อานาปานสติกถานี้ ท่านกล่าวไว้ในลำดับแห่งทิฏฐิกถาว่า เป็นสมาธิภาวนาและเป็นประธาน เพราะตรัสรู้ตามความเป็นจริงแห่งจิตตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธินี้ ณ โพธิมูล ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งปวง พึงทราบวินิจฉัยในอานาปานสติกถานั้นดังต่อไปนี้.
บทว่า โสฬสวตฺถุกํ อนาปานสฺสติสมาธิํ ภาวยโต สมาธิกานิ เทฺว าณสตานิ อุปฺปชฺชนฺติ เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติ มีวัตถุ ๑๖ ญาณ (มากกว่า) ๒๐๐ อันเนื่องมาแต่สมาธิย่อมเกิดขึ้น เป็นการยกขึ้นแสดงจำนวนญาณ.
บทมีอาทิว่า อฏฺ ปริปนฺเถ าณานิ ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ เป็นการชี้แจงจำนวนญาณ.
บทต้นว่า กตมานิ อฏฺ ปริปนฺเถ าณานิ ญาณในธรรมอันเป็นอันตราย ๘ เป็นไฉน.
บทสุดท้ายว่า อิมานิ เอกวีสติ วิมุตฺติสุเข าณานิ ญาณในวิมุตติสุข ๒๑ เหล่านี้ เป็นการชี้แจงความพิสดารของญาณทั้งปวง พึงทราบการกำหนดบาลีก่อนอย่างนี้ว่า บทมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 140
อาทิว่า โสฬสวตฺถุกํ อานาปานสฺสติสมาธิํ ภาวยโต เมื่อพระโยคาวจรเจริญสมาธิอันปฏิสังยุตด้วยอานาปานสติ มีวัตถุ ๑๖ เป็นบทสรุปในที่สุด.
พึงทราบวินิจฉัยในการยกแสดงจำนวนในการนับจำนวนว่า อานาปานสติสมาธิ มีวัตถุ ๑๖ ก่อนดังต่อไปนี้ ชื่อว่า โสฬสวตฺถุโก เพราะมีวัตถุเป็นที่ตั้ง คือมีอารมณ์ ๑๖ ด้วยสามารถแห่งจตุกกะ อย่างละ ๔ เหล่านี้ คือลมหายใจยาว สั้น กำหนดรู้กองลมทั้งปวง สงบกายสังขาร ชื่อว่า กายานุปัสสนาจตุกกะ ๑ กำหนดรู้ปีติ สุข จิตสังขาร สงบจิตสังขาร ชื่อว่า เวทนานุปัสสนาจตุกกะ ๑ กำหนดรู้จิต จิตยินดียิ่ง จิตตั้งมั่น จิตพ้น ชื่อว่า จิตตานุปัสสนาจตุกกะ ๑ พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความคลายกำหนัด การดับทุกข์ การสละ ชื่อว่า ธัมมานุปัสสนาจตุกกะ ๑ อานาปานสติสมาธิ มีวัตถุ ๑๖ นั้น ก็ในบทนี้ ลบวิภัตติด้วยวิธีของสมาส.
บทว่า อานํ ได้แก่ ลมหายใจเข้าในภายใน.
บทว่า อปานํ ได้แก่ ลมหายใจออกในภายนอก.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวโดยตรงกันข้าม เพราะหายใจออกท่านกล่าวว่า อปานะ เพราะปราศจากการหายใจเข้า แต่ในนิเทศท่านกล่าวว่า อาปาน เพราะเพ่งถึงทีฆะ นา อักษร เมื่อมี อานาปาน นั้น ชื่อว่า อานาปานสติ อานาปานสตินี้ เป็นชื่อของสติกำหนดอัสสาสะ ปัสสาสะ (ลมหายใจเข้าและหายใจออก) สมาธิประกอบด้วยอานาปานสติ หรือสมาธิในอานาปานสติ ชื่อว่า อานาปานสติสมาธิ.
บทว่า ภาวยโต (เมื่อพระโยคาวจรเจริญ) คือเจริญนิพเพธภาคิยธรรม (ธรรมเป็นส่วนแห่งการแทงตลอด).
บทว่า สมาธิกานิ (มากกว่า) อันเนื่องมาแต่สมาธิ คือเป็นไปกับด้วยความยิ่ง ความว่า มีความยิ่งเกิน ในบทว่า สมาธิกานิ นี้ ม อักษรเป็นบทสนธิ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สํ อธิกานิ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 141
ความว่า ญาณ ๒๐๐ ด้วย ยิ่งด้วย ข้อนั้นไม่ถูก เพราะญาณ ๒๐๐ เหล่านี้ ก็จะเกินไป ๒๐.
บทว่า ปริปนฺเถ าณานิ ญาณในธรรมเป็นอันตราย คือญาณอันเป็นไปเพราะทำอันตรายให้เป็นอารมณ์ อนึ่ง ญาณในธรรมเป็นอุปการะในอุปกิเลส.
บทว่า โวทาเน าณานิ ญาณในโวทาน (ความผ่องแผ้ว) ความว่า ชื่อว่า โวทาน เพราะจิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์ด้วยญาณนั้น ควรกล่าวว่า โวทานาณานิ ท่านกล่าวว่า โวทาเน าณานิ ญาณในโวทานดุจในบทมีอาทิว่า สุตมเย าณํ ญาณในสุตมยปัญญา ชื่อว่า สโตการี เพราะมีสติสัมปชัญญะทำ ญาณของผู้มีสติทำนั้น สโตการีสุ าณานิ (ญาณในความเป็นผู้ทำสติ).
บทว่า นิพฺพิทาาณานิ คือญาณอันเป็นนิพพิทา (เบื่อหน่าย).
บทว่า นิพฺพิทานุโลเม าณานิ คือญาณเกื้อกูลนิพพิทา ปาฐะว่า นิพฺพิทานุโลมิาณานิ ก็มี ความว่า ชื่อว่า นิพพิทานุโลมี เพราะมีญาณเกื้อกูลแก่นิพพิทา.
บทว่า นิพฺพิทาปฏิปฺปสฺสทฺธิาณานิ (นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ) คือญาณในความสงบระงับนิพพิทา.
บทว่า วิมุตฺติสุเข าณานิ คือญาณสัมปยุตด้วยวิมุตติสุข.
ด้วยบทมีอาทิว่า กตมานิ อฏฺ (๘) เป็นไฉน ท่านแสดงถึงญาณร่วมกันในธรรมอันตรายและในธรรมเป็นอุปการะเหล่านั้น เพราะญาณในธรรมเป็นอันตราย และในธรรมเป็นอุปการะเป็นคู่ตรงกันข้ามและเป็นข้าศึกกัน.
บทมีอาทิว่า กามจฺฉนฺทเนกฺขมฺมา (กามฉันทะและเนกขัมมะ) มีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง.
อนึ่ง บทว่า อุปการํ เป็นนปุงสกลิงค์ โดยเป็นลิงควิปลาส.
บทว่า สพฺเพปิ อกุสลา ธมฺมา อกุศลธรรมแม้ทั้งปวง คืออกุศลธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เหลือดังกล่าวแล้ว อนึ่ง กุศลธรรมทั้งปวงเป็นฝ่ายแห่งการแทงตลอดแม้ทั้งปวง ก็เหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 142
บทว่า ปริปนฺโถ และ อุปการํ เป็นเอกวจนะ เพราะเพ่งถึงบทนั้นๆ นั่นเอง.
พระสารีบุตรเถระ ครั้นถามถึงญาณในธรรมเป็นอันตราย และญาณในธรรมเป็นอุปการะนี้แล้ว แก้อารมณ์แห่งญาณเหล่านั้น แล้วแสดงสรุปญาณอันมีญาณนั้นเป็นอารมณ์ว่า เป็นอันแก้ญาณเหล่านั้นด้วยธรรมเป็นปริปันถะ (อันตราย) และอุปการะเหล่านั้นแล้ว แม้ในบทมีอาทิว่า ญาณในอุปกิเลสก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
จบอรรถกถาคณนวาร
๒. อรรถกถาโสฬสญาณนิเทศ
บทว่า โสฬสหิ อากาเรหิ ด้วยอาการ ๑๖ เหล่านั้น คือด้วยส่วนแห่งญาณ ๑๖ ดังได้กล่าวแล้วโดยเป็นฝ่ายทั้งสอง.
บทว่า อุทุปิตจิตฺตํ สมุทุปิตจิตฺตํ (จิตอันสั่งสมสูงขึ้นและจิตสงบระงับ) ความว่า ในอุปจารภูมิจิตสะสมไว้เบื้องบน สะสมไว้เบื้องบนโดยชอบ ทำการสะสมสูงขึ้นๆ ทำการสะสมสูงขึ้นๆ โดยชอบ.
ปาฐะว่า อุทุชิตํ จิตตํ สุมุทุชิตํ บ้าง ความว่า จิตชนะเพราะความสูงขึ้น หรือชนะด้วยญาณอันทำความสูงขึ้น ชื่อว่า อุทุชิตะ.
บทว่า สุมุทุชิตํ คือชนะเพราะความสูงขึ้นโดยสมำเสมอ หรือชนะด้วยญาณอันทำความสูงขึ้น เป็นอันปฏิเสธความไม่เสมอ ในบทนี้ว่า สมา (สมะ) เสมอ (เป็นการปฏิเสธความไม่สม่ำเสมอ).
ในปาฐะนี้มีอุปสรรค ๒ ตัว คือ อุ. ทุ. ปาฐะว่า อุรูชิตํ จิตฺตํ สมฺมารูชิตํ บ้าง แม้ในปาฐะนี้ก็มีความว่าชนะแล้วเหมือนกัน อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อุรู อรู นี้ เป็นเพียงนิบาตเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 143
ในอรรถกถาวีโณปมสูตร ท่านกล่าวความว่า ตชฺชิตํ และ สุตชฺชิตํ คือคุกคามแล้ว คุกคามด้วยดีแล้ว ความนั้นไม่สมควรในที่นี้.
บทว่า เอกตฺเต สนฺติฏฺติ ย่อมดำรงอยู่ในความเป็นธรรมอย่างเดียว คือย่อมตั้งอยู่ในความเป็นธรรมอย่างเดียวในอุปจารภูมิ โดยไม่มีความฟุ้งซ่านในอารมณ์ต่างๆ.
ในบทนี้ว่า นิยฺยานาวรณฏฺเน นีวรณา ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องกั้นธรรมเครื่องนำออก ท่านกล่าวว่า แม้อรติ (ความไม่ยินดี) แม้อกุศลทั้งปวง ก็ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องกั้น.
บทว่า นิยฺยานาวรณฏฺเน ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องปิดทางมาแห่งธรรมเครื่องนำออก ปาฐะว่า นิยฺยานาวารณฏฺเน บ้าง ความว่า ชื่อว่า นิวรณ์ เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องห้ามธรรมเครื่องนำออก.
บทว่า เนกฺขมฺมํ อริยานํ นิยฺยานํ เนกขัมมะเป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย คือที่ตั้งแห่งมรรค ชื่อว่า เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลายด้วยผลูปจาร (เข้าถึงผล) เพราะเป็นเหตุแห่งอริยมรรค กล่าวคือ เป็นธรรมเครื่องนำออกของพระอริยเจ้าทั้งหลาย (ผู้ดำรงอยู่ในมรรค) พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมนำออก คือเข้าถึงในขณะแห่งมรรคด้วยผลูปจารนั้น (ด้วยเนกขัมมะนั้น) เป็นเหตุ ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า นิยฺยานํ คือมรรค (* มรรค ชื่อว่า นิยยานิกธรรม ธรรมที่นำสัตว์ออกจากทุกข์) ข้อนั้นไม่ถูก เพราะในที่นี้ ท่านประสงค์เอาอุปจาร และเพราะไม่มีอาโลกสัญญาและกุศลธรรมทั้งปวงในขณะแห่งมรรค.
บทว่า นิวุตตฺตา (เพราะเป็นผู้กั้นไว้) เพราะถูกอกุศลธรรมกั้นไว้ คือปกปิดไว้.
บทว่า นปฺปชานาติ ย่อมไม่รู้ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งบุคคล.
บทว่า วิสุทฺธิจิตฺตสฺส (ผู้มีจิตหมดจด) ผู้มีจิตบริสุทธิ์ ได้แก่ ในอุปจารภูมินั่นเอง.
บทว่า ขณิกสโมธานา ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะ ความว่า ชื่อว่า ขณิกะ เพราะมีขณะ เพราะเกิดขึ้นในขณะจิต ในขณะจิต ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 144
อุปกิเลส การตั้งมั่น การประชุม การรวบรวมจิตเป็นไปชั่วขณะ (การเกี่ยวพันกันแห่งธรรมที่มีในขณะ) ชื่อว่า ขณิกสโมธาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความที่จิตตั้งมั่นเป็นไปชั่วขณะ ท่านอธิบายไว้ว่า อุปกิเลสทั้งหลายเมื่อเกิด ย่อมเกิดด้วยการเกี่ยวเนื่องกันชั่วขณะ ด้วยการสืบต่อกันมาชั่วขณะ คือไม่เกิดด้วยอำนาจแห่งขณะจิตดวงหนึ่ง.
จบอรรถกถาโสฬสญาณนิเทศ
๓. อรรถกถาอุปกิเลสญาณนิเทศ
ปฐมฉักกะ (ฉักกะที่๑)
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมฉักกะดังต่อไปนี้.
บทว่า อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของลมหายใจเข้า คือปลายจมูกหรือนิมิตปากเป็นเบื้องต้นของลมเข้าในภายใน หัวใจเป็นท่ามกลาง มีนาภี (สะดือ) เป็นที่สุด เมื่อพระโยคาวจรใช้สติไปตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้านั้น จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายใน โดยไปตามความต่างกันแห่งที่ตั้ง จิตถึงความฟุ้งซ่านในภายในนั้น เป็นอันตรายแก่สมาธิ เพราะไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์เดียว.
บทว่า ปสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของลมหายใจออก คือสะดือเป็นเบื้องต้นของลมออกไปในภายนอก หัวใจเป็นท่ามกลาง ปลายจมูกหรือนิมิตปากหรืออากาศภายนอกเป็นที่สุด ในที่นี้ พึงทราบการประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 145
บทว่า อสฺสาสปฏิกงฺขณา นิกนฺติ ตณฺหาจริยา (ความเที่ยวไปแห่งตัณหา คือความพอใจที่ปรารถนาลมหายใจเข้า) ความว่า การกำหนดว่า กรรมฐานเนื่องด้วยลมจมูก แล้วพอใจ คือปรารถนาลมหายใจเข้าอันหยาบๆ ความเป็นไปด้วยตัณหา เมื่อมีความเป็นไปแห่งตัณหา ชื่อว่า เป็นอันตรายแก่สมาธิ เพราะไม่ดำรงอยู่ในอารมณ์เดียว.
บทว่า ปสฺสาสปฏิกงฺขณา นิกนฺติ (ความพอใจที่ปรารถนาลมหายใจออก) ความว่า ความพอใจ คือความปรารถนาลมหายใจออก ซึ่งเป็นไปก่อนลมหายใจเข้า บทที่เหลือพึงประกอบตามนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า อสฺสาเสนาภิตุนฺนสฺส (แห่งบุคคลผู้ถูกลมหายใจเข้าครอบงำ) ความว่า เมื่อลมหายใจเข้ายาวเกินไป หรือสั้นเกินไป ถูกลมหายใจเข้าเสียดแทงเบียดเบียน เพราะมีความลำบากแห่งกายและจิตอันมีลมหายใจเข้าเป็นมูล.
บทว่า ปสฺสาสปฏิลาเภ มุจฺฉนา (ความหลงในการได้ลมหายใจออก) คือเพราะถูกลมหายใจเข้าบีบคั้น ผู้มีความสำคัญในความพอใจในลมหายใจออก ปรารถนาลมหายใจออก ยินดีในการได้ลมหายใจออกนั้น แม้ในลมหายใจออกเป็นมูลก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าว เพื่อพรรณนาตามความดังที่ได้กล่าวแล้วดังต่อไปนี้.
บทว่า อนุคจฺฉนา คือไปตาม.
บทว่า สติ คือสติอันเป็นเหตุฟุ้งซ่านในภายในและภายนอก.
ชื่อว่า วิกฺเขโป เพราะจิตฟุ้งซ่านด้วยลมหายใจนั้น.
ความฟุ้งซ่านในภายใน ชื่อว่า อชฺฌตฺตวิกเขโป.
ความปรารถนาความฟุ้งซ่านในภายในนั้น ชื่อว่า อชฺฌตฺตวิเขปากงฺขณา ท่านอธิบายว่า ความปรารถนาลมหายใจเข้าอันฟุ้งซ่านในภายใน ด้วยอำนาจการไม่กระทำไว้ในใจโดยชอบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 146
พึงทราบความปรารถนาความฟุ้งซ่านในภายนอกโดยนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า เยหิ (เป็นเหตุ) คือด้วยอุปกิเลสเหล่าใด.
บทว่า วิกมฺปมานสฺส (ผู้หวั่นไหว) คือผู้ฟุ้งซ่าน ถึงความฟุ้งซ่าน.
บทว่า โน เจ จิตฺตํ วิมุจฺจติ (ให้จิตไม่หลุดพ้นไปได้) คือจิตไม่น้อมไปในอารมณ์อันเป็นอัสสาสปัสสาสะ และไม่หลุดพ้นจากธรรมเป็นข้าศึก พึงทราบการเชื่อมความว่า เป็นเหตุให้จิตไม่หลุดพ้นและให้ถึงความเชื่อต่อผู้อื่น.
บทว่า วิโมกฺขํ อปฺปชานนฺตา (ไม่รู้ชัดซึ่งวิโมกข์) คือผู้นั้นหรือผู้อื่นไม่รู้ชัดซึ่งวิโมกข์ (* ความพ้น) อันน้อมไปในอารมณ์และซึ่งวิโมกข์อันเป็นความพ้นจากธรรมเป็นข้าศึก อย่างนี้.
บทว่า ปรปตฺติยา (ย่อมเชื่อต่อผู้อื่น) คือมีคนอื่นเป็นปัจจัย เชื่อคนอื่น ไม่มีญาณที่ประจักษ์แก่ตน เมื่อควรกล่าวว่า ปรปฺปจฺจยิกา ท่านกล่าว ปรปตฺติยา ความก็อย่างเดียวกัน นั่นแหละ.
จบปฐมฉักกะ
ทุติยฉักกะ (ฉักกะที่ ๒)
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยฉักกะดังต่อไปนี้.
บทว่า นิมิตฺตํ (นิมิต) ได้แก่ ที่สัมผัสแห่งลมหายใจเข้าและหายใจออก เพราะอัสสาสปัสสาสะกระทบดั้งจมูกของผู้มีจมูกยาว กระทบริมฝีปากบนของผู้มีจมูกสั้น ถ้าพระโยคาวจรนี้คำนึงถึงนิมิตนั้น จิตของพระโยคาวจรผู้คำนึงถึงนิมิตนั้น ย่อมกวัดแกว่งอยู่ที่ลมหายใจเข้า คือไม่ตั้งอยู่ได้ เมื่อจิตของพระโยคาวจรนั้นไม่ตั้งอยู่ ความกวัดแกว่งนั้นเป็นอันตรายของสมาธิ เพราะไม่มีสมาธิ หากว่าคำนึงถึงอัสสาสะอย่างเดียว จิตของพระโยคาวจรนั้นย่อมนำมาซึ่งความฟุ้งซ่านด้วยการเข้าไปในภายใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 147
จิตไม่ตั้งอยู่ในนิมิต เพราะฉะนั้น จิตย่อมกวัดแกว่งในนิมิต โดยนัยนี้พึงทำการประกอบแม้ในบทที่เหลือ.
บทว่า วิกมฺปติ (กวัดแกว่ง) ในคาถาทั้งหลาย ได้แก่ ความฟุ้งซ่าน คือถึงความฟุ้งซ่าน.
จบทุติยฉักกะ
ตติยฉักกะ (ฉักกะที่ ๓)
พึงทราบวินิจฉัยในตติยฉักกะดังต่อไปนี้.
บทว่า อตีตานุธาวนํ จิตฺตํ (จิตที่แล่นไปตามอตีตารมณ์) คือจิตที่ไปตามอัสสาสะ หรือปัสสาสะอันล่วงเลยที่สัมผัสไป.
บทว่า วิกฺเขปานุปติตํ (ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน) คือไปตามด้วยความฟุ้งซ่าน หรือตกไป คือไปตามความฟุ้งซ่านเอง.
บทว่า อนาคตปฏิกงฺขณํ จิตฺตํ (จิตที่ปรารถนาอนาคตารมณ์) คือจิตที่ปรารถนา คือหวังอัสสาสะหรือปัสสาสะอันยังไม่ถึงที่สัมผัส.
บทว่า วิกมฺปิตํ (หวั่นไหว) คือหวั่นไหวด้วยความฟุ้งซ่านอันไม่ตั้งอยู่ในอัสสาสะและปัสสาสะนั้น.
บทว่า ลีนํ (จิตหดหู่) คือจิตท้อแท้ด้วยความเพียรอันย่อหย่อนเกินไปเป็นต้น.
บทว่า โกสชฺชานุปติตํ (จิตตกไปข้างฝ่ายเกียจคร้าน) คือไปตามความเกียจคร้าน.
บทว่า อติปคฺคหตํ (จิตที่ประคองไว้จัด) คือจิตที่มีความอุตสาหะจัด ด้วยปรารภความเพียรจัด.
บทว่า อุทฺธจฺจานุปติตํ (จิตตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน) คือไปตามความฟุ้งซ่าน.
บทว่า อภินตํ (จิตที่น้อมเกินไป) คือจิตที่น้อมไปยิ่ง คือติดอยู่ในวัตถุแห่งอัสสาสะทั้งหลาย.
บทว่า อปนตํ (จิตที่ไม่น้อมไป) คือจิตถอยกลับในวัตถุแห่งความไม่ยินดี หรือจิตปราศจากวัตถุแห่งความยินดีนั้น หรือยังไม่ปราศจากไป ความว่า ไม่ปราศจากไปจากวัตถุนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 148
บทว่า ราคานุปติตํ (จิตตกไปข้างฝ่ายความกำหนัด) คือเมื่อพระโยคาวจรกำหนดไว้ในใจถึงอัสสาสปัสสาสนิมิต ความกำหนัดตกไปในปีติและสุข หรือในวัตถุที่รื่นเริง รำพัน (พูดคุย) และการเล่นหัวในก่อน.
บทว่า พฺยาปาทานุปติตํ (จิตตกไปข้างฝ่ายพยาบาท) คือเมื่อพระโยคาวจรมีจิตไม่ยินดีในการกำหนดไว้ในใจ ความพยาบาทย่อมตกไปตามอำนาจแห่งความโทมนัสที่เกิดขึ้นแล้ว หรือในอาฆาตวัตถุ (วัตถุแห่งความอาฆาต) ที่ประพฤติมาในกาลก่อน.
บทว่า น สมาธิยติ (ย่อมไม่ตั้งมั่น) ในคาถาทั้งหลาย ได้แก่ จิตไม่ตั้งมั่น.
บทว่า อธิจิตฺตํ (อธิจิต) คือสมาธิอันยิ่ง ท่านแสดงโดยจิตเป็นประธาน.
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงอุปกิเลส ๑๘ ด้วยฉักกะ ๓ แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงโทษแห่งอุปกิเลสเหล่านั้นโดยให้สำเร็จความเป็นอันตรายแก่สมาธิ จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า อสฺสาสาทิมชฺฌปริโยสานํ (เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า) ดังนี้อีก ความว่า เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดแห่งลมหายใจเข้า.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กาโยปิ จิตฺตมฺปิ สารทฺธา จ โหนฺติ (กายและจิตย่อมกระสับกระส่าย) กายและจิตย่อมมีความปรารภ ความว่า แม้รูปกาย ด้วยอำนาจเเห่งรูปอันมีความฟุ้งซ่านเป็นสมุฏฐาน แม้จิต ด้วยอำนาจแห่งความฟุ้งซ่านเป็นการสืบต่อ (สันตติ) ย่อมเป็นอันยุ่งยากด้วยความลำบากและมีความกระวนกระวาย โดยความอ่อน (เบา) กว่านั้น ก็ตื่นเต้นหวั่นไหว ( อิญฺชิตา ) โดยความอ่อนกว่านั้นก็ดิ้นรนวุ่นวาย ย่อมมีความยุ่งยาก มีกำลังบ้าง ปานกลางบ้าง อ่อนบ้าง ท่านอธิบายว่า ไม่สามารถจะไม่ให้ยุ่งยาก (กำเริบ) ได้.
บทว่า จิตฺตํ วิกมฺปิตตฺตาปิ (เพราะจิตกวัดแกว่ง) คือเพราะจิตหวั่นไหว.
บทว่า ปริปุณฺณา อภาวิตา (ไม่เจริญให้บริบูรณ์) ในคาถาทั้งหลาย คือไม่เจริญเหมือนอย่างที่บำเพ็ญไว้ (ไม่เจริญโดยประการที่ให้บริบูรณ์).
บทว่า อิญฺชิโต (หวั่นไหว) ได้แก่ หวั่นไหวแรง.
บทว่า ผนฺทิโต (ดิ้นรน) คือหวั่นไหวอย่างอ่อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 149
เพราะความที่นิวรณ์ทั้งหลายในเบื้องต่ำไม่มีลำดับ (เพราะความที่นิวรณ์ทั้งหลายในข้อก่อนไม่มีเรื่องอื่นแทรก คือว่าติดต่อกัน) ท่านจึงแสดงด้วยอัจจันตสมีปะ (ใกล้ที่สุด) ด้วยบทมีอาทิว่า ก็และด้วยนิวรณ์ทั้งหลายเหล่านี้.
แต่ในที่นี้ เพราะนิวรณ์ทั้งหลายมีลำดับในบทสรุป ท่านจึงแสดงเป็นปรัมมุขา (ลับหลัง) ด้วยบทมีอาทิว่า ก็และด้วยนิวรณ์ทั้งหลายเหล่านั้น (เตหิ จ ปน นีวรเณหิ).
จบฉักกะที่ ๓
จบอรรถกถาอุปกิเลสญาณนิเทศ
๔. อรรถกถาโวทานญาณนิเทศ
บทว่า โวทาเน าณานิ (ญาณในโวทาน) คือญาณบริสุทธิ์.
บทว่า ตํ วิวชฺชยิตฺวา (เว้นจิตนั้นเสีย) พึงเชื่อมความว่า เว้นจิตแล่นไปตามอตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน ดังกล่าวแล้วในก่อนเสีย.
บทว่า เอกฏฺาเน สมาทหติ (ย่อมตั้งมั่นจิตไว้ในฐานะหนึ่ง) คือตั้งมั่นไว้เสมอในที่สัมผัสแห่งอัสสาสะและปัสสาสะ.
บทว่า ตตฺเถว อธิโมกฺเขติ (น้อมจิตไปในฐานะนั้นแล) เมื่อท่านกล่าวว่า เอกฏฺาเน (ในฐานะหนึ่ง) พระโยคาวจรย่อมทำความตกลง (ตั้งมั่นลง) ในที่สัมผัสแห่งอัสสาสะและปัสสาสะ.
บทว่า ปคฺคณฺหิตฺวา (ประคองจิตไว้แล้ว) คือประคองจิตไว้ด้วยเจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์.
บทว่า วินิคฺคณฺหิตฺวา (ข่มจิตนั้นเสีย) คือข่มจิตไว้ด้วยการเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์.
อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ประคองจิตไว้ด้วยสตินทรีย์และวิริยินทรีย์ ข่มจิตไว้ด้วยสตินทรีย์และสมาธินทรีย์ ก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 150
บทว่า สมฺปชาโน หุตฺวา (เป็นผู้รู้ทัน) พระโยคาวจรรู้ทันจิตนั้น คือรู้ทันด้วยอสุภภาวนาเป็นต้น อีกอย่างหนึ่งรู้ทันด้วยเมตตาภาวนาเป็นต้น พึงทราบความเชื่อมว่า พระโยคาวจรย่อมละราคะและพยาบาทที่จิตตกตามไป ความว่า เมื่อรู้ทันว่า จิตนั้นเป็นเช่นนี้ ย่อมละราคะและพยาบาทโดยธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อราคะและพยาบาทนั้น.
บทว่า ปริสุทฺธํ (บริสุทธิ์) คือไม่มีอุปกิเลส.
บทว่า ปริโยทาตํ (ขาวผ่อง) คือประภัสสร.
บทว่า เอกตฺตคตํ โหติ (จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว) คือ เมื่อพระโยคาวจรถึงความวิเศษนั้นๆ จิตนั้นๆ ก็ย่อมถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว.
บทว่า กตเม เต เอกตฺตา (ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้นเป็นไฉน) พระสารีบุตรเถระเมื่อถามความเป็นธรรมอย่างเดียว แม้ประกอบและยังไม่ประกอบ ย่อมถามรวมกัน.
บทว่า ทานโวสฺสคฺคุปฏฺาเนกตฺตํ (ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน) คือการบริจาค การสละทานอันเป็นทานวัตถุ ชื่อว่า ทานูปสคฺโค (ทานูปสัคคะ) ได้แก่ เจตนาบริจาคทานวัตถุ การเข้าไปตั้งความปรากฏแห่งทานนั้นด้วยทำให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่า ทานูปสคฺคุปฏฺานํ (ทานูปสัคคุปัฏฐาน) ความปรากฏแห่งการบริจาคทาน อีกอย่างหนึ่งความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน ชื่อว่า ทานุปสคฺคุปฏฺาเนกตฺตํ (ทานุปสัคคุปัฏฐาเนกัตตะ) ปาฐะว่า ทานโวสฺสคฺคุปฏฺาเนกตฺตํ ดีกว่า ความอย่างเดียวกัน.
ด้วยบทนี้ท่านกล่าวจาคานุสติสมาธิด้วยการยกบทขึ้น อนึ่ง แม้ท่านกล่าวจาคานุสติสมาธินั้น ด้วยการยกบท ก็เป็นอุปนิสสยปัจจัยแห่งความเป็นธรรมอย่างเดียวกัน แม้ ๓ อย่างนอกนี้ เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าวไว้ในที่นี้ว่า ท่านชี้แจงไว้แล้วดังนี้ จริงอยู่ แม้นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ยังกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่จำพรรษาในทิศทั้งหลายในศาสนานี้ จักมาสู่กรุงสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระมีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 151
จักทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อนี้ มรณภาพแล้ว ภิกษุนั้นจักมีคติอย่างไร อภิสัมปรายภพ (ภพที่เป็นไปในเบื้องหน้า) จักเป็นอย่างไร ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงพยากรณ์ถึงคติและสัมปรายภพนั้นในโสดาปัตติผลก็ดี ในสกคาทามิผลก็ดี ในอนาคามิผลก็ดี ในอรหัตผลก็ดี หม่อมฉันเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้ว จักถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย พระคุณเจ้ารูปนั้นเคยมากรุงสาวัตถีหรือหนอ หากภิกษุทั้งหลายจักกล่าวแก่หม่อมฉันว่า ภิกษุรูปนั้นเคยมากรุงสาวัตถี หม่อมฉันจักตัดสินใจถวายวัสสิกสาฏก อาคันตุกภัตร คมิกภัตร คิลานภัตร คิลานุปัฏฐากภัตร คิลานเภสัช หรือธุวยาคู (ข้าวยาคูเป็นประจำ) ให้พระคุณเจ้ารูปนั้นบริโภคโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงดังนั้น จักเกิดความปราโมทย์ เมื่อปราโมทย์แล้ว จักเกิดปีติ เมื่อมีใจปีติ กายจักสงบ เมื่อกายสงบ จักเสวยสุข เมื่อมีสุข จิตจักตั้งมั่น อินทรียภาวนา พลภาวนา โพชฌงคภาวนานั้น จักมีแก่หม่อมฉัน อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าในความเป็นธรรมอย่างเดียวทั้งหลาย ท่านกล่าวถึงธรรมที่หนึ่งด้วยอุปจารสมาธิ ธรรมที่สองด้วยอัปปนาสมาธิ ธรรมที่สามด้วยวิปัสสนาสมาธิ ธรรมที่สี่ด้วยมรรคและผล นิมิตแห่งสมถะ ชื่อว่า สมถนิมิต.
ลักษณะอันเป็นความเสื่อมความทำลาย ชื่อว่า วยลักษณะ (วยลกฺขณํ).
บทว่า นิโรโธ (นิโรธ) คือนิพพาน บทที่เหลือ พึงประกอบตามนัยที่กล่าวแล้วใน ๓ บทเหล่านี้.
บทว่า จาคธิมุตฺตานํ (ของบุคคลผู้น้อมใจไปในจาคะ) คือน้อมไปในทาน.
บทว่า อธิจิตฺตํ ได้แก่ สมาธิอันเป็นบาทแห่งวิปัสสนา.
บทว่า วิปสฺสกานํ (ของบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลาย) คือของผู้เห็นแจ้งสังขารด้วยอนุปัสสนา ๓ ตั้งแต่ภังคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความดับสังขาร).
บทว่า อริยปุคฺคลานํ (ของพระอริยบุคคลทั้งหลาย) คือพระอริยบุคคล ๘ ความเป็นธรรมอย่างเดียว ๓ มีธรรมที่ ๒ เป็นต้น ย่อมประกอบด้วยอานาปานสติและด้วยกรรมฐานที่เหลือ.
บทว่า จตูหิ าเนหิ (โดยฐานะ ๔) คือด้วยเหตุทั้งหลาย ๔ (โดยเหตุ ๔) บทที่ยกขึ้นว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 152
จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว เป็นจิตแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ เป็นจิตเจริญงอกงามด้วยอุเบกขา และเป็นจิตร่าเริงด้วยญาณ ดังนี้ ด้วยอำนาจแห่งสมาธิ วิปัสสนา มรรคและผล เป็นคำอุเทศ บทขยายความอันเป็นเบื้องต้นแห่งคำถามเพราะใคร่จะทำเพื่อความพิสดารแห่งบทที่ยกขึ้นเหล่านั้นมีอาทิว่า อะไรเป็นเบื้องต้นแห่งปฐมฌาน เป็นคำนิเทศ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปทาวิสุทฺธิปสนฺนญฺเจว (ย่อมเป็นจิตที่มีปฏิปทาวิสุทธิผ่องใส) คือปฏิปทานั่นเอง ชื่อว่า วิสุทธิ เพราะชำระมลทิน คือนิวรณ์ จิตแล่นไป คือเข้าไปสู่ปฏิปทาวิสุทธินั้น.
บทว่า อุเปกฺขานุพฺรูหิตญฺจ คือเจริญงอกงามด้วยอุเบกขา คือความเป็นกลางนั้น.
บทว่า าเณน จ สมฺปหํสิตํ (ร่าเริงด้วยญาณ) คือร่าเริง ผ่องแผ้ว บริสุทธิ์ ด้วยญาณอันขาวผ่อง.
อาจารย์พวกหนึ่งพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า อุปจาระพร้อมทั้งองค์ประกอบ ชื่อว่า ปฏิปทาวิสุทธิ อัปปนา ชื่อว่า การเจริญงอกงามด้วยอุเบกขา ปัจจเวกขณะ ชื่อว่า ความร่าเริง.
อนึ่ง เพราะท่านกล่าวบทมีอาทิว่า จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว เป็นจิตแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ ฉะนั้นพึงทราบปฏิปทาวิสุทธิด้วยการมาแห่งอัปปนาภายใน การเจริญงอกงามด้วยอุเบกขาด้วยกิจแห่งอุเบกขา คือความเป็นกลางนั้น การร่าเริงด้วยการสำเร็จกิจแห่งญาณอันขาวผ่องด้วยสำเร็จความไม่ล่วงเกินกันแห่งธรรมทั้งหลาย.
เป็นอย่างไร ก็ในวาระใด อัปปนาเกิดขึ้นในวาระนั้น จิตย่อมบริสุทธิ์จากหมู่กิเลส คือนิวรณ์ อันเป็นอันตรายแก่ฌานนั้นในวาระที่อัปปนาเกิด เพราะจิตบริสุทธิ์ จิตปราศจากเครื่องกีดกันย่อมดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง อัปปนาสมาธินั่นเองที่เป็นไปสม่ำเสมอ ชื่อว่า สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง (มชฺฌิมํ สมถนิมิตฺตํ).
แต่ปุริมจิต (จิตดวงก่อน) ในลำดับแห่งอัปปนาสมาธินั้นเข้าถึงความเป็นของแท้ (เข้าถึงความเป็นเหมือนอย่างนั้น) โดยนัยแห่งความปรวนแปรสันตติอย่างเดียว ชื่อว่า ย่อมดำเนินไป สู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะดำเนินไปอย่างนี้ จิตจึงชื่อว่า แล่นไปในสมถนิมิตนั้น โดยเข้าถึงความเป็นเหมือนอย่างนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 153
พึงทราบปฏิปทาวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งปฏิปทา) อันสำเร็จอาการมีอยู่ในปุริมจิต (จิตดวงก่อน) อย่างนี้ก่อน ด้วยอำนาจแห่งการมาในขณะปฐมฌานเกิดนั่นเอง.
อนึ่ง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว ไม่ทำความขวนขวายในการชำระจิต เพราะไม่มีสิ่งที่ควรชำระอีก ชื่อว่า จิตหมดจดวางเฉยอยู่ (เพ่งเฉยจิตที่หมดจด) วิสุทธํ จิตตํ อชฺฌุเปกฺขติ.
เมื่อดำเนินสู่สมถะด้วยการเข้าถึงความเป็นสมถะแล้ว ไม่ทำความขวนขวายในการสมาทานอีก ชื่อว่า จิตดำเนินสู่สมถะวางเฉยอยู่ (เพ่งเฉยจิตที่ดำเนินไปสู่สมถะ) สมถปฏิปนฺนํ อชฺฌุเปกฺขติ.
เพราะดำเนินสู่สมถะเมื่อจิตละความเกี่ยวข้องด้วยกิเลส แล้วปรากฏด้วยความเป็นธรรมอย่างเดียว ไม่ทำความขวนขวายในการปรากฏแห่งความเป็นธรรมอย่างเดียวอีก ชื่อว่า จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ เอกตฺตุปฏฺฐานํ อชฺฌุเปกฺขติ.
พึงทราบความพอกพูนอุเบกขา ด้วยอำนาจกิจของความวางเฉยเป็นกลาง (ตัตรมัชฌัตตุเบกขา) นั้น.
ธรรมเทียมคู่ คือสมาธิและปัญญา เหล่าใดเกิดแล้วในจิตนั้น อันพอกพูนด้วยอุเบกขาอย่างนี้ เมื่อยังไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ได้เป็นไปแล้ว อินทรีย์ มีสัทธินทรีย์เป็นต้นเหล่าใด มีรสอันเดียวกันด้วยรส คือวิมุตติ เพราะพ้นจากกิเลสต่างๆ เป็นไปแล้ว พระโยคาวจรนั้นนำความเพียรใด อันเข้าถึงวิมุตตินั้น สมควรแก่ความเป็นรสเดียว ด้วยความเป็นไปแห่งอินทรีย์เหล่านั้น การเสพใดเป็นไปแล้วในขณะของพระโยคาวจรนั้น อาการเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่า สำเร็จแล้ว เพราะเห็นโทษและอานิสงส์นั้นๆ ในความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วด้วยญาณแล้วสำเร็จ เพราะเป็นจิตร่าเริง เป็นจิตผ่องใส ฉะนั้นพึงทราบว่า ความร่าเริง ด้วยอำนาจแห่งความสำเร็จกิจแห่งญาณอันขาวผ่อง ด้วยสำเร็จความไม่ล่วงเกินกันเป็นต้นแห่งธรรมทั้งหลาย ท่านอธิบายไว้ดังนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 154
ในบทนั้นมีความดังนี้ เพราะญาณปรากฏด้วยสามารถแห่งอุเบกขา สมดังที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า จิตประคองไว้แล้วอย่างนั้น ย่อมวางเฉยด้วยดี ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งอุเบกขา จิตย่อมหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ด้วยสามารถแห่งอุเขกขา ปัญญินทรีมีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งความหลุดพ้น ธรรมเหล่านั้น ย่อมมีกิจเป็นอันเดียวกัน เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้ว ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งภาวนา เพราะอรรถว่า เป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ความร่าเริง อันเป็นกิจของญาณเป็นที่สุด.
บทมีอาทิว่า เอวํติวตฺตคตํ (จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ) เป็นคำสรรเสริญจิตนั้น ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํติวตฺตคตํ ได้แก่ จิตถึงความเป็นไป ๓ อย่างด้วยสามารถแห่งความแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ ความพอกพูนอุเบกขาและความร่าเริงด้วยญาณ.
บทว่า วิตกฺกสมฺปนฺนํ (เป็นจิตถึงพร้อมด้วยวิตก) คือถึงความเป็นจิตงามด้วยวิตก เพราะปราศจากความกำเริบแห่งกิเลส.
บทว่า จิตฺตสฺส อธิฏฺานสมฺปนฺนํ (ถึงพร้อมด้วยการอธิษฐานแห่งจิต) คือจิตสมบูรณ์ไม่ย่อหย่อนด้วยการอธิษฐาน กล่าวคือ เป็นไปตามลำดับแห่งจิตในอารมณ์นั้นนั่นเอง ความเป็นไปแห่งฌาน ชื่อว่า อธิษฐาน ในเพราะความชำนาญแห่งอธิษฐาน ฉันใด แม้ในที่นี้ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ก็ชื่อว่า อธิษฐานจิตย่อมควร ฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น จิตย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น แต่เพราะกล่าวว่า สมาธิสมฺปนฺนํ (ถึงพร้อมด้วยสมาธิ) ไว้ต่างหาก จึงควรถือเอาตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล อีกอย่างหนึ่ง เพราะสงเคราะห์สมาธิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 155
เข้าไว้ในองค์ฌาน จึงกล่าวว่า จิตฺตสฺส อธิฏฺานสมฺปนฺนํ ด้วยสามารถแห่งหมวด ๕ ขององค์ฌาน.
บทว่า สมาธิสมฺปนฺนํ (ถึงพร้อมด้วยสมาธิ) ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งหมวด ๕ ของอินทรีย์ เพราะสงเคราะห์สมาธิเข้าไว้ในอินทรีย์.
แต่ในทุติยฌานเป็นต้น ท่านละบทที่ไม่มี แล้วกล่าวว่า ปีติสมฺปนฺนํ (ถึงพร้อมด้วยปีติ) ด้วยสามารถแห่งการได้ (ด้วยสามารถแห่งบทที่มีอยู่).
ในมหาวิปัสสนา ๑๘ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น วิตกเป็นต้น บริบูรณ์แล้ว เพราะมหาวิปัสสนาเหล่านั้นเป็นกามาวจร.
อนึ่ง เพราะในมหาวิปัสสนาเหล่านั้น ไม่มีอัปปนา จึงควรประกอบปฏิปทาวิสุทธิเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งสมาธิชั่วขณะ (ขณิกสมาธิ) ท่านกล่าววิตกเป็นต้น บริบูรณ์ด้วยสามารถการได้เพราะได้วิตกเป็นต้น ด้วยปฐมฌานิก (ผู้ได้ปฐมฌาน) ในมรรคทั้ง ๔ เพราะวิตกเป็นต้นในมรรคที่ประกอบด้วยทุติยฌานเป็นต้น ย่อมเสื่อม (หายไป) ดุจในฌานทั้งหลาย.
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านแสดงโวทานญาณ (ญาณบริสุทธิ์) ๑๓ โดยพิสดาร.
แสดงอย่างไร.
ท่านแสดงญาณ ๑๓ เหล่านี้ก็คือ ญาณทั้งหลาย ๖ สัมปยุตด้วยการตั้งมั่นในที่เดียวกัน ด้วยการน้อมไปในความตั้งมั่นนั้นเอง ด้วยการละความเกียจคร้าน ด้วยการละความฟุ้งซ่าน ด้วยการละราคะ ด้วยการละพยาบาท ญาณ ๔ สัมปยุตด้วยความเป็นธรรมอย่างเดียว ๔ และญาณ ๓ สัมปยุตด้วยปฏิปทาวิสุทธิ การพอกพูนอุเบกขาและความร่าเริง.
แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงความสำเร็จแห่งญาณเหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งการเจริญอานาปานสติสมาธิ ไม่สรุปญาณเหล่านั้น แล้วแสดงวิธีเจริญอานาปานสติสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นแห่งการท้วงโดยนัยมีอาทิว่า นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา (นิมิต ลมอัสสาสปัสสาสะ) แล้วแสดงสรุปญาณในที่สุด นิมิตในญาณนั้นท่านกล่าวไว้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 156
บทว่า อนารมฺมณาเมกจิตฺตสฺส คือไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว ในบทนี้ ม อักษร เป็นบทสนธิ ปาฐะว่า อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส บ้าง ความว่า ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว.
บทว่า ตโย ธมฺเม (ธรรม ๓ ประการ) คือธรรม ๓ ประการมีนิมิตเป็นต้น.
บทว่า ภาวนา ได้แก่ อานาปานสติสมาธิภาวนา.
บทว่า กถํ (อย่างไร) เป็นคำถามใคร่จะกล่าวความแห่งคาถาแก้ (บริหารคาถา คือคาถาที่กล่าวถึงการนำไปปฏิบัติอันเป็นคาถาที่ ๒) ดังกล่าวแล้วในลำดับแห่งคาถาท้วง (โจทนาคาถา คือคาถาที่เป็นโจทย์นำเรื่อง) ดังกล่าวแล้วครั้งแรก (ที่กล่าวไว้เป็นคาถาที่ ๑).
บทว่า น จิเม ตัดบทเป็น น จ อิเม ปาฐะว่า น จ เม ดังนี้บ้าง. ปาฐะนั้น เป็นปาฐะกำหนดบท.
พึงประกอบ กถํ ศัพท์ด้วยบทแม้ที่เหลือ ๕ อย่างนี้ว่า กถํ น จ อวิทิตา โหนฺติ กถํ น จ จิตฺตํ วิกฺเขปํ คจฺฉติ (เป็นธรรมไม่ปรากฏ ก็หามิได้อย่างไร และจิตไม่ถึงความฟุ้งซ่านอย่างไร) เป็นต้น.
บทว่า ปธานญฺจ ปญฺายติ (จิตปรากฏเป็นประธาน) ความเพียรปรากฏ คือความเพียรปรารภการเจริญอานาปานสติสมาธิปรากฏ เพราะว่าวีริยะท่านกล่าวว่าเป็น ปธาน เพราะเป็นเหตุเริ่มตั้ง.
บทว่า ปโยคญฺจ สาเธติ (จิตให้ประโยชน์สำเร็จ) ย่อมทำปโยคะให้สำเร็จ คือพระโยคาวจรยังฌานอันข่มนิวรณ์ให้สำเร็จ เพราะว่า ฌานท่านกล่าวว่า ปโยค เพราะประกอบด้วยการข่มนิวรณ์.
บทว่า วิเสสมธิคจฺฉติ (บรรลุผลวิเศษ) คือได้มรรคอันทำการละสังโยชน์ เพราะว่า มรรคท่านกล่าวว่า คุณวิเศษ วิเสส เพราะเป็นอานิสงส์แห่งสมถะและวิปัสสนา อนึ่ง เพราะมรรคเป็นประธานแห่งความวิเศษ จึงไม่ทำการควบบทด้วย จ.
บัดนี้ พระสตรีบุตรเถระยังความที่ถามนั้นให้สำเร็จด้วยอุปมา จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ รุกฺโข (เปรียบเหมือนต้นไม้) ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 157
บทนั้น (ข้ออุปมา) มีความดังต่อไปนี้ เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาทำพื้นที่ให้เรียบ เหมาะที่จะทำงานเพื่อเลื่อยด้วยเลื่อย เพื่อไม่ให้กลิ้งไปมา ในเวลาเอามีดถากและผ่า.
บทว่า กกเจน (เลื่อย) คือเลื่อยด้วยมือ.
บทว่า อาคเต (ที่มา) คือฟันเลื่อยที่เลื่อยต้นไม้มาสู่ส่วนใกล้ตน.
บทว่า คเต (ที่ไป) คือฟันเลื่อยที่เลื่อยต้นไม้ไปส่วนอื่น วา ศัพท์ เป็นสมุจจยัตถะ ลงในอรรถรวบรวม.
บทว่า น อวิทิตา โหนฺติ (ไม่ปรากฏก็หามิได้) คือฟันเลื่อยแม้ทั้งหมดที่บุรุษเลื่อยต้นไม้ แม้ไม่ถึงที่มองดู (ยังไม่ถึงตำแหน่งที่เพ่งมองอยู่) ก็ย่อมปรากฏ เพราะไม่ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป.
บทว่า ปธานํ เป็นประธาน (ความเพียร) คือความเพียรในการตัดต้นไม้.
บทว่า ปโยคํ (ปโยคะ) คือกิริยาที่ตัดต้นไม้.
บทว่า วิเสสมธิคจฺฉติ (ถึงความวิเศษ) ไม่มีด้วยอุปมา.
บทว่า อุปนิพนฺธนา นิมิตฺตํ (นิมิตที่เข้าไปผูกไว้) ความเนื่องกันเป็นนิมิต คือปลายจมูกก็ดี ริมฝีปากก็ดี เป็นนิมิต คือเป็นเหตุแห่งสติอันเนื่องกัน สติ ชื่อว่า อุปนิพนฺธา (ผูกพัน) เพราะเป็นเครื่องผูกจิตไว้ในอารมณ์.
บทว่า นาสิกคฺเค วา (ปลายจมูก) คือผู้มีจมูกยาวตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก.
บทว่า มุขนิมิตฺเต วา (ริมฝีปาก) คือผู้มีจมูกสั้นตั้งสติไว้ที่ริมฝีปากบน เพราะริมฝีปากบนเป็นนิมิตแห่งสติที่ปาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มุขนิมิตฺตํ ริมฝีปาก.
บทว่า อาคเต (เข้า) คือลมอัสสาสะปัสสาสะที่มาในภายในจากที่สัมผัส.
บทว่า คเต (ออก) คือลมอัสสาสปัสสาสะที่ไปภายนอกจากที่สัมผัส.
บทว่า น อวิทิตา โหนฺติ (จะไม่ปรากฏก็หามิได้) ลมอัสสาสปัสสาสะไม่ปรากฏก็หามิได้ คือลมอัสสาสปัสสาสะแม้ทั้งหมดเหล่านั้น ยังไม่ถึงที่สัมผัส ก็ย่อมปรากฏ เพราะไม่ใส่ใจถึงการมาการไปของลมอัสสาสปัสสาสะ.
บทว่า กมฺมนียํ โหติ (ย่อมควรแก่การงาน) คือทั้งกาย ทั้งจิต ย่อมควรแก่การงาน เหมาะแก่ภาวนากรรม สมควรแก่ภาวนากรรม ความเพียรนี้ ชื่อว่า ปธาน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงเหตุด้วยผล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 158
บทว่า อุปกฺกิเลสา ปหียนฺติ (ย่อมละอุปกิเลสได้) ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละอุปกิเลสได้ คือละนิวรณ์ได้ด้วยการข่มไว้.
บทว่า วิตกฺกา วูปสมนฺติ (วิตกย่อมสงบไป) คือวิตกเที่ยวไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่ตั้งมั่นแล้ว ย่อมถึงความสงบ ภิกษุปรารภความเพียรละอุปกิเลสได้ด้วยฌานใด วิตกทั้งหลายย่อมสงบด้วยฌานนั้น.
บทว่า อยํ ปโยโค (นี้เป็นปโยคะ) ท่านทำนิเทศเป็นปุงลิงค์ เพราะเพ่งถึงปโยคะ.
บทว่า สญฺโชนานิ ปหียนฺติ (ย่อมละสังโยชน์ได้) ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละสังโยชน์ได้ คือละสังโยชน์อันมรรคนั้นๆ ทำลายด้วยสมุจเฉทปหาน.
บทว่า อนุสยา พฺยาสนฺติ (อนุสัยย่อมถึงความพินาศ) คือเพราะอนุสัยที่ละได้แล้ว ไม่เกิดขึ้นอีก จึงชื่อว่า พยนฺตา เพราะที่สุดแห่งความเกิดขึ้นหรือที่สุดแห่งความเสื่อมไปแห่งอนุสัยเหล่านั้น ปราศจากไปแล้ว (ไปปราศแล้ว) ชื่อว่า พฺยนฺตีโหนฺติ (มีที่สุดหมดไป) เพราะไม่เสื่อมมาก่อน ย่อมมาเสื่อม ความว่า พินาศไป เพื่อแสดงว่า การละสังโยชน์ย่อมมีได้ด้วยการละอนุสัย มิใช่ด้วยอย่างอื่น ท่านจึงกล่าวถึง การละอนุสัย ความว่า ละสังโยชน์ได้ด้วยมรรคใด อนุสัยย่อมพินาศไปด้วยมรรคนั้น นี้เป็นคุณวิเศษ.
ในจตุกกะที่ ๔ ท่านกล่าวถึงอริยมรรคไว้ในที่นี้ เพราะแม้อริยมรรค ท่านก็ได้ชี้แจงไว้แล้ว แม้เมื่อไม่กล่าวถึงความไม่มีอารมณ์เป็นสองแห่งจิตดวงเดียว เพราะสำเร็จแล้ว ท่านจึงไม่แก้จิตดวงนั้น แล้วสรุปว่า ธรรม ๓ อย่างเหล่านั้น ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวอย่างนี้.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะสรรเสริญพระโยคาวจรผู้สำเร็จภาวนานั้น จึงกล่าวคาถาว่า อานาปานสฺสติ ยสฺส (ภิกษุใดอานาปานสติ) แล้วกล่าวนิเทศแห่งคาถานั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนั้นดังต่อไปนี้ ภิกษุใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ดีแล้ว อบรมแล้วตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนอะไร เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 159
พึงทราบความเชื่อมด้วยคาถาว่า พระโยคาวจรนั้น ยังโลกมีขันธโลกเป็นต้นนี้ ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกเป็นต้น ยังโอกาสโลกนี้ให้สว่างไสวฉะนั้น พึงทราบว่าในบทนี้ ท่านทำการลบอาทิศัพท์เพราะท่านกล่าวถึง แม้หมอกเป็นต้น ในนิเทศแห่งบทว่า อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
ในคาถานิเทศท่านกล่าวแปลกออกไป โดยปฏิเสธความนั้นว่า โน ปสฺสาโส โน อสฺสาโส ไม่ใช่ลมปัสสาสะ ไม่ใช่ลมอัสสาสะ.
บทว่า อุปฏฺานํ สติ (สติเข้าไปตั้งอยู่) ความว่า ชื่อว่า สติเข้าไปตั้งลมอัสสาสะนั้น เพราะความไม่หลง ลมปัสสาสะก็เหมือนกัน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านกล่าวความว่า สติในลมหายใจเข้าและหายใจออก ชื่อว่า อานาปานสติ.
บัดนี้ ท่านพระสารีบุตรประสงค์จะชี้แจงถึงบุคคลที่ท่านกล่าวว่า ยสฺส (ภิกษุ) ด้วยอำนาจแห่งสติเท่านั้น จึงกล่าวว่า สติย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจเข้าและผู้หายใจออก ความว่า ผู้ใดหายใจเข้า สติของผู้นั้นย่อมกำหนดลมอัสสาสะ ผู้ใดหายใจออก สติของผู้นั้นย่อมกำหนดลมปัสสาสะ.
บทว่า ปริปุณฺณา (ให้บริบูรณ์) คือให้บริบูรณ์ด้วยบรรลุอรหัตมรรค อันสืบมาจากฌาน วิปัสสนาและมรรค พระสารีบุตรเถระกล่าวคำมีอาทิว่า ปริคฺคหฏฺเน (ถือเอารอบ) ด้วยอรรถว่า ถือเอารอบ หมายถึงธรรม คือฌาน วิปัสสนาและมรรค เพราะธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ปริคฺคหา เพราะอันพระโยคาวจรนี้ถือเอารอบ ชื่อว่า ปุริปุณฺณา ด้วยอรรถว่า ถือเอารอบนั้น ชื่อว่า ปริปุณฺณา ด้วยอรรถว่า เป็นบริวาร เพราะจิตและเจตสิกทั้งปวงเป็นบริวารของกันและกัน ชื่อว่า ปริปุณฺณา ด้วยอรรถว่า บริบูรณ์ ด้วยความบริบูรณ์แห่งภาวนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 160
บทมีอาทิว่า จตสฺโส ภาวนา ภาวนา ๔ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งบทที่กล่าวแล้วว่า สุภาวิตา เจริญแล้ว ภาวนา ๔ ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
บทว่า ยานีกตา (ทำให้เป็นดังยาน) คือทำเช่นกับยานเทียมแล้ว.
บทว่า วตฺถุกตา (ทำให้เป็นที่ตั้ง) คือทำเช่นกับวัตถุ ด้วยอรรถว่า เป็นที่ตั้ง.
บทว่า อนุฏฺิตา (น้อมไป) คือปรากฏแล้ว.
บทว่า ปริจิตา (อบรม) คือเข้าไปสะสมไว้โดยรอบ.
บทว่า สุสมารทฺธา (ปรารภดีแล้ว) คือปรารภด้วยดี ทำด้วยดี.
บทว่า ยตฺถ ยตฺถ อากงฺขติ (ภิกษุจำนงหวังในธรรมใดๆ) คือหากภิกษุปรารถนาในฌานใดๆ ในวิปัสสนาใดๆ.
บทว่า ตตฺถ ตตฺถ (ในธรรมนั้นๆ) คือในฌานนั้นๆ ในวิปัสสนานั้นๆ.
บทว่า วสิปฺปตฺโต (เป็นผู้ถึงความชำนาญ) ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ชำนาญ คือความเป็นผู้มีวสีมาก.
บทว่า พลปฺปตฺโต (ถึงกำลัง) คือถึงกำลังสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺโต (ถึงความแกล้วกล้า) คือถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ความเป็นผู้ฉลาด.
บทว่า เต ธมฺมา (ธรนมเหล่านั้น) ได้แก่ ธรรม คือสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า อาวชฺชนปฏิพทฺธา (เป็นธรรมเนื่องด้วยความคำนึง) คือเพราะเนื่องด้วยความคำนึง ความว่า เพียงภิกษุนั้นคำนึงเท่านั้น ธรรมทั้งหลายย่อมถึงการประกอบพร้อมด้วยสันดานหรือด้วยญาณ.
บทว่า อากงฺขณปฏิพทฺธา (เนื่องด้วยความหวัง) คือเพราะเนื่องด้วยความชอบใจ ความว่า เพียงภิกษุชอบใจเท่านั้น ธรรมทั้งหลายย่อมถึงการประกอบพร้อมโดยนัยดังกล่าวแล้ว.
อนึ่ง มนสิการในบทว่า มนสิการปฏิพทฺธา (เนื่องด้วยมนสิการ) นี้เป็นจิตตุปบาทแห่งความคำนึง ท่านกล่าวเพื่อขยายความด้วยสามารถแห่งไวพจน์ของความหวัง.
บทว่า เตน วุจฺจติ ยานีกตา (เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทำให้เป็นดังยาน) อธิบายว่า ธรรมเหล่านั้นทำให้เป็นเช่นกับยาน เพราะทำแล้วอย่างนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 161
บทว่า ยสฺมิํ ยสฺมิํ วตฺถุสฺมิํ (ในวัตถุใดๆ) คือในวัตถุหนึ่งๆ ในวัตถุ ๑๖.
บทว่า สฺวาธิฏฺิตํ (มั่นคงดีแล้ว) คือตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า สุปติฏฺิตา (ปรากฏดีแล้ว) คือเข้าไปตั้งไว้ด้วยดี ท่านแสดงธรรม ๒ อย่างเหล่านั้น ประกอบด้วยอนุโลมปฏิโลมเพราะทำกิจของตนๆ ร่วมกันแห่งสติ อันมีจิตสัมปยุตเเล้ว.
บทว่า เตน วุจฺจติ วตฺถุกตา (ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทำให้เป็นที่ตั้ง) อธิบายว่า เพราะความเป็นอย่างนี้ ธรรมทั้งหลายจึงทำให้เป็นที่ตั้ง.
บทว่า เยน เยน จิตฺตํ อภินีหรติ (จิตน้อมไปด้วยอาการใดๆ) คือจิตนำออกจากความเป็นไปในก่อน แล้วน้อมเข้าไปในภาวนาวิเศษใดๆ.
บทว่า เตน เตน สติ อนุปริวตฺตติ (สติก็หมุนไปตามด้วยอาการนั้นๆ) คือสติช่วยเหลือในภาวนาวิเศษนั้นๆ หมุนไปตาม เพราะเป็นไปแต่ก่อน.
ในบทว่า เยน เตน (ในอาการใด ในอาการนั้น) นี้พึงทราบว่า เป็นสัตตมีวิภัตติ ดุจในประโยคมีอาทิว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด เข้าไปหา ณ ที่นั้นดังนี้.
บทว่า เตน วุจฺจติ อนุฏฺิตา (ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า น้อมไป) คือเพราะทำอย่างนั้นนั่นแล ท่านอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายไปตามภาวนานั้นๆ ตั้งอยู่ เพราะอานาปานสติเป็นประธานของสติ พึงทราบว่า ท่านทำการประกอบพร้อมกับสติในบทว่า วตฺถุกตา และ อนุฏฺิตา.
อนึ่ง เพราะสติอันภิกษุอบรมให้บริบูรณ์แล้ว เป็นอันงอกงามแล้ว ได้อาเสวนะแล้ว ฉะนั้น อรรถทั้ง ๓ ที่ท่านกล่าวไว้ในบทว่า ปริปุณฺณา (ให้บริบูรณ์) เป็นอันกล่าวแม้ในบทว่า ปริจิตา (อบรมแล้ว) ด้วย ท่านกล่าวอรรถที่ ๔ เป็นอรรถวิเศษ (ที่ต่างออกไป).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 162
ในบทเหล่านั้น บทว่า สติยา ปริคฺคณฺหนฺโต (ภิกษุกำหนดถือเอาด้วยสติ) คือพระโยคาวจรกำหนดถือเอาสิ่งที่ควรถือเอาด้วยสติอันสัมปยุตแล้วหรือเป็นบุพภาค (ส่วนเบื้องต้น).
บทว่า ชินาติ ปาปเก อกุสเล ธมฺเม (ภิกษุ ย่อมชนะอกุศลธรรมอันลามกได้) คือย่อมชนะ ย่อมครอบงำกิเลสอันลามก ด้วยการตัดขาด ธรรมเทศนานี้เป็นบุคลาธิษฐาน เพราะเมื่อธรรมทั้งหลายชนะ แม้บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมนั้น ก็ชื่อว่า ย่อมชนะด้วย อนึ่ง ธรรมเหล่านั้นไม่ละสติปรารภเพื่อจะชนะในขณะที่ยังเป็นไปของตน ท่านกล่าวว่า ชนะแล้ว เหมือนที่ท่านกล่าวว่า บุคคลปรารภเพื่อจะบริโภค ก็เป็นอันบริโภคแล้ว อนึ่ง พึงทราบลักษณะในบทนี้โดยอรรถแห่งศัพท์ (โดยคัมภีร์ศัพทศาสตร์).
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เมื่อควรจะกล่าวว่า ปริชิตา ท่านแปลง ช อักษรเป็น จ อักษรกล่าวว่า ปริจิตา ท่านทำโดยลักษณะของภาษา แปลง ท เป็น ต ในอรรถวิกัปว่า สมฺมา คโท อสฺสาติ สุคโต ชื่อว่า สุคต เพราะมีพระวาจาชอบ ฉันใด แม้ในบทนี้ก็พึงทราบ ฉันนั้น บทว่า ปริจิตา ในอรรถวิกัปนี้เป็นกัตตุสาธนะ ๓ บท (คำ) ก่อนเป็นกัมมสาธนะ.
บทว่า จตฺตาโร สุสมารทฺธา (ธรรม ๔ อย่างภิกษุปรารภดีแล้ว) ท่านอธิบายว่า ธรรม ๔ อย่างมีอรรถอันภิกษุปรารภดีแล้ว พึงเห็นว่าลบ อตฺถ ศัพท์ แม้อรรถแห่งบทว่า สุสมารทฺธา พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า สุสมารทฺธา ในที่นี้ หรือ สุสมารทฺธธมฺมา มีธรรมอันภิกษุปรารภดีแล้ว พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า จตฺตาโร โดยประเภทแห่งอรรถ มิใช่โดยประเภทแห่งธรรม อนึ่ง เพราะธรรมทั้งหลายอันภิกษุเจริญแล้ว เป็นอันชื่อว่า ปรารภดีแล้ว มิใช่ธรรมเหล่าอื่น ฉะนั้นท่านกล่าวอรรถแห่งความเจริญ ๓ อย่าง ไว้แม้ในที่นี้ แม้อรรถแห่งอาเสวนะ (การเสพ) ท่านก็กล่าวในอรรถแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 163
ความเจริญ ๓ อย่างที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่กล่าวอรรถแห่งธรรมนั้น เป็นอันกล่าวถึงอรรถแห่งกิเลสอันเป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้นที่ถอนแล้ว เพราะที่สุดแห่งการปรารภย่อมปรากฏโดยการถอนกิเลสอันเป็นข้าศึก ด้วยเหตุนั้น เป็นอันท่านกล่าวถึงอรรถอันถึงยอดแห่งธรรมที่ปรารภดีแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตปฺปจฺจนีกานํ (กิเลสอันเป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้น) คือกิเลสเป็นข้าศึกแก่ฌาน วิปัสสนาและมรรคเหล่านั้น.
บทว่า กิเลสานํ (แห่งกิเลสทั้งหลาย) คือแห่งกิเลสทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น และทิฏฐิทั้งหลายมีสักกายทิฏฐิอันสัมปยุตด้วยนิจจสัญญาเป็นต้น.
บทว่า สุสมุคฺฆาตตฺตา (เพราะเพิกถอนด้วยดี) คือเพราะถอนด้วยดี เพราะพินาศไปด้วยสามารถแห่งวิกขัมภนปหาณ ตทังคปหาณและสมุจเฉทปหาณ แต่ในคัมภีร์ทั้งหลาย พวกอาจารย์เขียนไว้ว่า สุสมคฺฆาตตฺตา บทนั้นไม่ดี.
พระสารีบุตรเถระเมื่อแสดงอรรถวิกัปแม้อื่นแห่งบทนั้นอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สุสมํ (ความเสมอดี).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ชาตา (กุสลธรรมทั้งหลายเกิดในธรรมนั้น) คือเกิดในภาวนาวิเศษอันถึงยอดนั้น.
บทว่า อนวชฺชา (ไม่มีโทษ) คือปราศจากโทษ คือกิเลส ด้วยการไม่เข้าถึงความที่กิเลสทั้งหลายเป็นอารมณ์.
บทว่า กุสลา ได้แก่ กุศลโดยกำเนิด.
บทว่า โพธิปกฺขิยา (เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้) คือชื่อว่า โพธิปกฺขิยา เพราะเป็นฝ่ายแห่งพระอริยเจ้า อันได้ชื่อว่า โพธิ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้.
บทว่า ปกฺเข ภวตฺตา (เพราะเป็นในฝ่าย) คือเพราะตั้งอยู่ในความเป็นอุปการะ อนึ่ง ธรรม ๓๗ เหล่านั้น คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 164
บทว่า อิทํ สมํ (นี้เป็นความเสมอ) คือชื่อว่า เสมอ เพราะธรรมชาติในขณะมรรคนี้ย่อมยัง กิเลสทั้งหลายให้สงบ คือให้พินาศไปด้วยการตัดขาด.
บทว่า นิโรโธ นิพฺพานํ (ความดับเป็นนิพพาน) คือชื่อว่า นิโรธ (ความดับ) เพราะดับทุกข์ ชื่อว่า นิพพาน เพราะไม่มีตัณหา กล่าวคือเครื่องร้อยรัด.
บทว่า อิทํ สุสมํ (นี้เป็นความเสมอดี) คือนิพพานนี้ ชื่อว่า เสมอดี เพราะเสมอด้วยดี เพราะปราศจากความไม่เสมอ คือสังขตธรรมทั้งปวง.
บทว่า อุภํ (รู้แล้ว) คือรู้เสมอ กล่าวคือโพธิปักขิยธรรมด้วยญาณเพราะไม่หลง รู้เสมอดี กล่าวคือนิพพานด้วยญาณโดยความเป็นอารมณ์ ทิฏฺฐํ (เห็นแล้ว) เห็นทั้งสองนั้นดุจเห็นด้วยตานั้นนั่นเอง.
บทว่า วิทิตํ (ทราบแล้ว) คือได้ทั้งสองอย่างนั้นด้วยเกิดขึ้นในสันดานและด้วยทำเป็นอารมณ์ สจฺฉิกตํ (ทำให้แจ้งแล้ว) และ ผสฺสิตํ (ถูกต้องแล้ว) ด้วยปัญญาดุจรู้แล้ว ประกาศ อรรถแห่งบทก่อนๆ ว่าไม่ย่อหย่อน ไม่หลงลืม ปรารภแล้ว มีอารมณ์เดียว ( อสลฺสีนํ อสมฺมุฏฺฐา อสารทฺโธ เอกคฺคํ ).
ในบทเหล่านั้น บทว่า อารทฺธํ (ปรารภแล้ว) คือปรารถนาแล้ว.
บทว่า อสลฺลีนํ (ไม่ย่อหย่อน) คือไม่ท้อถอย.
บทว่า อุปฏฺิตา (ปรากฏ) ตั้งมั่นแล้ว คือเข้าไปตั้งไว้แล้ว.
บทว่า อสมฺมุฏฺา (ไม่หลงลืม) คือไม่หายไป.
บทว่า ปสฺสทฺโธ (สงบแล้ว) คือดับแล้ว.
บทว่า อสารทฺโธ (ไม่ปั่นป่วน) คือไม่กระวนกระวาย (ปรารภแล้ว).
บทว่า สมาหิตํ (ตั้งมั่นแล้ว) คือตั้งไว้เสมอ (เป็นสมาธิ).
บทว่า เอกคฺคํ (มีอารมณ์เดียว) คือไม่ฟุ้งซ่าน.
บทมีอาทิว่า จตฺตาโร สุสมารทฺธา (ธรรม ๔ อย่างอันภิกษุปรารภดีแล้ว) มีอรรถเป็นมูลรากของคำ สุสมารทฺธ ทั้งสิ้น.
ส่วนบทมีอาทิว่า อตฺถิ สมํ (ความเสมอก็มี) มีอรรถเป็นมูลรากของ สุสม.
บทมีอาทิว่า าตํ (รู้แล้ว) มีอรรถเป็นวิกัปของคำ อารทฺธ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 165
ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบอรรถแห่งบท เมื่อควรจะกล่าวว่า สมา จ สุสมา จ สมสุสมา (เสมอและเสมอดี ชื่อว่า สมสุสมา ) ท่านทำเป็นเอกเสสสมาสมีรูป (คำสรุป) เป็นเอกเทศ แล้วกล่าวว่า สุสมา เหมือนกล่าวว่า นามญฺ จ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูปํ นาม รูป และนามรูป ชื่อว่า นามรูป.
บทว่า อิทํ สมํ อิทํ สุสมํ (นี้เสมอ นี้เสมอดี) ท่านทำเป็นคำนปุงสกลิงค์ เพราะไม่เพ่งเป็นอย่างอื่น อนึ่ง เพราะแม้ าตํ (รู้แล้ว) ท่านกล่าวว่า ทิฏฺํ (เห็นแล้ว) เห็นแล้วและปรารภแล้วโดยอรรถเป็นอันเดียวกัน.
ส่วนบทว่า วิทิต (ทราบแล้ว) สจฺฉิกต (ทำให้แจ้งแล้ว) ผสฺสิต (ถูกต้องแล้ว) เป็นไวพจน์ของบทว่า าต (รู้แล้ว) ฉะนั้น จึงเป็นอันท่านกล่าวอรรถแห่ง อารทฺธ (ปรารภแล้ว) ว่า าต (รู้แล้ว).
บทว่า อารทฺธํ โหติ วีริยํ อสลฺลีนํ (ความเพียรอันภิกษุนั้นปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน) มีอรรถตรงกับคำว่า อารทฺธ (ปรารภแล้ว).
แต่บทมีอาทิว่า อุปฏฺิตา (สติปรากฏ) ท่านกล่าวเพื่อแสดงธรรมอันเป็นอุปการะแก่ความเพียรอันสัมปยุตแล้ว มิได้กล่าวเพื่อแสดงอรรถแห่งคำว่า อารทฺธ (ปรารภแล้ว) ชื่อว่า สุสมารทฺธา เพราะปรารภแล้วด้วยดี โดยอรรถก่อน และชื่อว่า สุสมารทฺธา เพราะเริ่มเสมอดี ด้วยอรรถนี้ เมื่อท่านทำเป็นเอกเสสสมาส จึงกล่าวว่า สุสมารทฺธา ท่านกำหนดถือเอาอรรถนี้ แล้วกล่าวด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สุสมารทฺธา ปรารภแล้วเสมอดี ( เตน วุจฺจติ สุสมารทฺธา ).
บทว่า อนุปุพฺพํ คือตามลำดับ อธิบายว่าตามหลังธรรมก่อนๆ.
บทว่า ทีฆํอสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว) คือด้วยสามารถลมหายใจเข้าที่ท่านกล่าวว่า ทีฆํ (ยาว).
บทว่า ปุริมา ปุริมา (ข้างต้นๆ) คือสติ สมาธิ ข้างต้นๆ ท่านกล่าวอรรถแห่งบทว่า ปุพฺพํ (ก่อน) ด้วยบทนั้น.
บทว่า ปจฺฉิมา ปจฺฉิมา (ข้างหลังๆ) คือสตินั่นเอง ท่านกล่าวอรรถแห่งบทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 166
อนุ (ตามหลัง) ด้วยบทนั้น ด้วยบททั้งสองนั้น เป็นอันได้ความว่า อบรมอานาปานสติก่อนและหลัง เพราะกล่าวยังวัตถุ ๑๖ อย่างข้างบนให้พิสดาร ในที่นี้ท่านจึงย่อแล้วแสดงบทสุดท้ายว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความสละคืน) ดังนี้.
เพราะอานาปานสติแม้ทั้งปวง ภิกษุอบรมตามลำดับ เพราะเป็นไปตามความชอบใจ บ่อยๆ แห่งการเจริญถึงยอด เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อญฺมญฺํ ปริจิตา เจว โหนฺติ อนุปริจิตา จ (อาศัยกันและกันอันภิกษุนันอบรมแล้วและอบรมตามลำดับแล้ว) ดังนี้.
บทว่า ยถตฺถา (อรรถแห่ง ยถา ศัพท์) คืออรรถตามสภาวะ.
บทว่า อตฺตทมถฏฺโ (ความฝึกตน) คือความหมดพยศของตนในขณะอรหัตมรรค.
บทว่า สมถฏฺโ (ความสงบตน) คือความเป็นผู้เยือกเย็น.
บทว่า ปรินิพฺพาปนฏฺโ (ความยังตนให้ปรินิพพาน) คือด้วยการดับกิเลส.
บทว่า อภิญฺฏฺโ (ความรู้ยิ่ง) คือด้วยอำนาจแห่งธรรมทั้งปวง.
บทว่า ปริญฺฏฺโ (ความกำหนดรู้) เป็นต้น คือด้วยอำนาจแห่งกิจ คือมรรคญาณ.
บทว่า สจฺจาภิสมยฏฺโ (ความตรัสรู้สัจจะ) คือด้วยอำนาจแห่งการเห็นแจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔.
บทว่า นิโรเธ ปติฏฺาปกฏฺโ (ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ในนิโรธ) คือด้วยอำนาจแห่งการกระทำให้เป็นอารมณ์.
ท่านประสงค์จะชี้แจงว่า พุทฺโธ (พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น) ในบทว่า พุทฺเธน (พระพุทธเจ้า) แม้ไม่มีบทว่า พุทฺธสฺส (* พระผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง) จึงกล่าวว่า พุทฺโธ.
บทว่า สยมฺภู (พระผู้เป็นเอง) คือเป็นเองปราศจากการแนะนำ.
บทว่า อนาจริยโก (ไม่มีอาจารย์) คือขยายอรรถแห่งบทว่า สยมฺภู เพราะว่าผู้ใดแทงตลอดอริยสัจปราศจากอาจารย์ ผู้นั้นเป็นพระสยัมภู.
แม้บทมีอาทิว่า ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ (ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาแต่กาลก่อน) เป็นการประกาศอรรถแห่งความไม่มีอาจารย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 167
บทว่า อนนุสฺสุเตสุ (ไม่เคยได้สดับมา) คือไม่เคยสดับมาแต่อาจารย์.
บทว่า สามํ (เอง) คือตนเองนั่นเอง.
บทว่า อภิสมฺพุชฺฌิ (ตรัสรู้) คือแทงตลอดโดยชอบอย่างยิ่ง.
บทว่า ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิ (ทรงบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น) คือบรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในสัจจะนั้น ท่านกล่าวอย่างนั้น เพราะแทงตลอดสัจจะทั้งหลายเหมือนที่พระสัพพัญญูทั้งหลายเป็นผู้แทงตลอดสัจจะ ปาฐะว่า สพฺพญฺญุตํ ปตฺโต (บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู) บ้าง.
บทว่า พเลสุ จ วสีภาวํ (เป็นผู้มีความชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย) คือบรรลุความเป็นอิสระในกำลังของพระตถาคต ๑๐ ผู้ใดเป็นอย่างนั้น ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็น พุทธะ.
ในบทว่า พุทฺโธ นั้น เป็นบัญญัติ หมายถึงขันธสันดานที่อบรมบรรลุความหลุดพ้นอันยอดเป็นนิมิตแห่งญาณอันอะไรๆ ไม่กระทบแล้วในธรรมทั้งปวง หรือพุทธเจ้าผู้วิเศษกว่าสัตว์ เป็นบัญญัติ หมายถึงการตรัสรู้ยิ่งสัจจะอันเป็นปทัฏฐานแห่งสัพพัญญุตญาณ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงการชี้แจง บทว่า พุทธะ โดยอรรถ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะชี้แจงโดยพยัญชนะ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า พุทฺโธติ เกนฏฺเน พุทฺโธ (คำว่า พระพุทธเจ้า ความว่า ชื่อว่า พุทธะ เพราะอรรถว่ากระไร) บทว่า พุทฺโธ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พุทธะด้วยอรรถว่ากระไร ในบทนั้นท่านกล่าวว่า อรคโต เพราะตรัสรู้ในโลกตามเป็นจริง ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้สัจธรรม ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะทรงสอนให้หมู่สัตว์ตรัสรู้ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ใบไม้แห้งเพราะลมกระทบ ก็เรียกว่า ใบไม้แห้ง (ปณฺณสุสา).
บทว่า สพฺพญฺญุตาย พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทธะ เพราะความเป็นพระสัพพัญญู) ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะมีปัญญาสามารถตรัสรู้ธรรมทั้งปวง.
บทว่า สพฺพทสฺสาวิตาย พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทธะ เพราะทรงเห็นธรรมทั้งปวง ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะทรงเห็นธรรมทั้งปวงด้วยญาณจักษุ.
บทว่า อนฺเนยฺยตาย พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทธะ เพราะพระองค์ไม่มีผู้อื่นแนะนำให้ตรัสรู้) ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 168
ไม่มีผู้อื่นแนะนำ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะอรรถว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยไม่ตรัสรู้ด้วยผู้อื่น.
บทว่า วิสวิตาย พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทธะ เพราะทรงมีพระสติสมบูรณ์) ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะมีพระสูติไพบูลย์ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะอรรถว่า แย้มดุจดอกบัวแย้มโดยที่ทรงแย้มด้วยพระคุณต่างๆ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเป็นผู้ฉลาดในการสิ้นไปแห่งการนอนหลับด้วยกิเลสทั้งปวง ด้วยละธรรมอันทำจิตให้ท้อแท้โดยปริยาย ๖ มีอาทิว่า ขีณาสวสงฺขาเตน พุทฺโธ (ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะนับว่าพระองค์สิ้นอาสวะแล้ว) เพราะทรงตื่นดีแล้ว เพราะความสิ้นไปแห่งกิเลสทั้งปวง ดุจบุรุษบุรุษตื่นดีแล้วเพราะการสิ้นไปแห่งการนอนหลับ ด้วยการละธรรมที่ทำจิตให้หดหู่.
เพราะบทว่า สงฺขา สงฺขาตํ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน ความว่า โดยส่วนแห่งคำว่า สงฺขาเตน (เพราะนับว่า) ชื่อว่า เพราะนับว่าไม่มีเครื่องลูบไล้ (ฉาบทา) เพราะไม่มีเครื่องลูบไล้ต่อตัณหาและเครื่องลูบไล้ต่อทิฏฐิ จึงชื่อว่า เพราะนับว่าไม่มีกิเลสเครื่องฉาบทา ( นิรุปเลปสงฺขาเตน ).
ท่านอธิบายบทมีอาทิ ว่า เอกนฺตวีตราโค (ทรงปราศจากราคะโดยส่วนเดียว) ให้แปลกด้วยคำว่า โดยส่วนเดียว เพราะละกิเลสทั้งปวงพร้อมด้วยวาสนาได้แล้ว.
บทว่า เอกนฺตนิกฺกิเลโส (พระองค์ไม่มีกิเลสโดยสิ้นเชิง) พระองค์ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว คือไม่มีกิเลสด้วยกิเลสทั้งปวง อันเหลือจากราคะ โทส และโมหะ.
ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเสด็จไปแล้วสู่หนทางไปแห่งบุคคลผู้เดียว ( เอกายนมคฺคํ คโตติ พุทฺโธ ) มีคำอธิบายว่า ธาตุที่มีอรรถว่า ตรัสรู้ ก็ย่อมมีอรรถว่า ไป เพราะธาตุที่มีอรรถว่า ไป ก็มีอรรถว่า ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเสด็จไปสู่หนทางที่ไปแห่งบุคคลผู้เดียว.
อนึ่ง ในบทว่า เอกายนมคฺโค (หนทางเป็นที่ดำเนินไปแห่งบุคคลผู้เดียว) นี้ ท่านกล่าวโดยชื่อว่า เป็นที่ดำเนินไป ในชื่อแห่งทางเป็นอันมากว่า
มรรค ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ วฏุมะ อยนะ นาวา อุตตรเสตุ (สะพานข้าม) กุลละ (แพ) ภิสิ (๑) สังกมะ (ทางก้าวไป).
(๑) เบาะชนิดหนึ่ง ที่ทำด้วยหญ้าฟ่อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 169
เพราะฉะนั้น ทางจึงมีทางเดียว ไม่เป็นทาง ๒ แพร่ง อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เอกายนมรรค เพราะเป็นทางอันบุคคลเดียวพึงไป.
บทว่า เอเกน (ผู้เดียว) คือด้วยจิตสงัดเพราะละความคลุกคลีด้วยหมู่.
บทว่า อยิตพฺโพ (พึงไป) คือพึงปฏิบัติ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อยโน เพราะเป็นเหตุไป ความว่า ไปจากสงสารสู่นิพพาน การไปของผู้ประเสริฐ ชื่อว่า เอกายนะ.
บทว่า เอเก คือผู้ประเสริฐ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทางอันเป็นทางไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่า เอกายนมรรค หรือชื่อว่า อยโน เพราะไป ความว่า ย่อมไป ย่อมเป็นไป ชื่อว่า เอกายนมรรค เพราะเป็นทางไปในทางเดียว ท่านอธิบายว่า ทางเป็นไปในพระพุทธศาสนาทางเดียวเท่านั้น มิใช่ในทางอื่น.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เอกายโน เพราะไปทางเดียว ท่านอธิบายว่า ในเบื้องต้นแม้เป็นไปด้วยความเป็นมุขต่างๆ และนัยต่างๆ ในภายหลังก็ไปนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น บทว่า เอกายนมคฺโค ความว่า ทางไปนิพพานทางเดียว.
ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอย่างเยี่ยมผู้เดียว ( อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธิํ อภิสมฺพุทฺโธติ พุทฺโธ ) ไม่เป็น พุทฺโธ เพราะตรัสรู้ด้วยคนอื่น ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยมด้วยพระองค์เองเท่านั้น.
บทว่า อพุทฺธิริหตตฺตา พุทฺธิปฏิลาภา พุทฺโธ ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งความไม่มีปัญญา เพราะทรงได้ซึ่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ ในบทนี้เป็นคำกล่าวโดยอ้อมว่า พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธ ท่านกล่าวไว้เพื่อให้รู้ว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะประกอบด้วยพุทธคุณ ดุจกล่าวว่า ผ้าสีเขียวสีแดง เพราะประกอบด้วยชนิดของสีเขียวสีแดง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 170
ต่อจากนั้นไป บทมีอาทิว่า พุทฺโธติ เนตํ นามํ (พระนามว่า พุทธะ นี้ มิได้แต่งตั้งให้เลย) บทว่า พุทฺโธ นี้ มิใช่ชื่อที่มารดาเป็นต้นตั้งให้ ท่านกล่าวเพื่อให้รู้ว่า นี้เป็นบัญญัติไปตามอรรถ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตา (มิตร) คือสหาย.
บทว่า อมจฺจา (อำมาตย์) คือคนรับราชการ.
บทว่า าตี (ญาติ) คือญาติฝ่ายบิดา.
บทว่า สาโลหิตา (สาโลหิต) คือญาติฝ่ายมารดา.
บทว่า สมณา (สมณะ) คือผู้เป็นบรรพชิต ผู้ได้รับการบวช.
บทว่า พฺราหฺมณา (พราหมณ์) คือผู้มีวาทะว่าเป็นผู้เจริญ หรือผู้มีบาปสงบ มีบาปลอยแล้ว.
บทว่า เทวตา (เทวดา) คือท้าวสักกะเป็นต้นและพรหม.
บทว่า วิโมกฺขนฺติกํ (วิโมกขันติกนาม) พระนามที่เกิดในที่สุดแห่งพระอรหัตผล คือวิโมกขะ ได้แก่อรหัตมรรค ที่สุดแห่งวิโมกขะ คืออรหัตผล ความเกิดในที่สุดแห่งวิโมกขะนั้น ชื่อว่า วิโมกขันติกะ.
จริงอยู่ ความเป็นพระสัพพัญญูย่อมสำเร็จด้วยอรหัตมรรค เป็นอันสำเร็จในการเกิดอรหัตผล เพราะฉะนั้น ความเป็นพระสัพพัญญู จึงเป็นความเกิดในที่สุดแห่งอรหัตผล แม้เนมิตตกนาม (* ชื่อที่ตั้งตามนิมิต) นี้ ก็ชื่อว่า เป็นการเกิดในที่สุดแห่งอรหัตผล ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นี้เป็นวิโมกขันติกนาม พระนามที่เกิดในที่สุดแห่งอรหัตผลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว.
บทว่า โพธิยามูเล สห สพฺพญฺญุตาณสฺส ปฏิลาภา (เกิดขึ้นพร้อมกับการได้พระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์) คือพร้อมกับการได้พระสัพพัญญุตญาณในขณะตามที่ได้กล่าวแล้ว ณ ควงไม้มหาโพธิ.
บทว่า สจฺฉิกา ปญฺตฺติ (สัจฉิกาบัญญัติ) คือบัญญัติที่เกิดด้วยทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล หรือด้วยการทำให้แจ้งธรรมทั้งปวง.
บทว่า ยทิทํ พุทฺโธ (พระนาม พุทธะ นี้) บัญญัติว่า พุทฺโธ นี้ เป็นการประกาศความเป็นพุทธะโดยพยัญชนะ.
การเทียบเคียงกันนี้ โดยอรรถดังที่กล่าวแล้วในบทภาชนีย์นี้แห่งบาทคาถาว่า ยถา พุทฺเธน เทสิตา (ชื่อว่า ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว) อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว มีดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 171
โดยประการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานาปานสติแล้ว โดยประการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยถาศัพท์เป็นอรรถ ๑๐ อย่างที่สงเคราะห์ด้วย ยถา ศัพท์ ด้วยเหตุนั้น พึงทราบว่า ท่านทำให้เป็นเอกเสสสมาส ด้วยอำนาจแห่งเอกเสสสมาสสรุป (สรูเปกเสสสมาส) ยถา ศัพท์อันมี ปการ ศัพท์เป็นอรรถ และ ยถา ศัพท์มี สภาว ศัพท์เป็นอรรถ แล้วกล่าวว่า ยถา.
แต่ในบทภาชนีย์ท่านทำให้เป็นเอกวจนะว่า เทสิโต ด้วยการประกอบศัพท์หนึ่งๆ ใน ยถา ศัพท์นั้น.
แม้ในบทต้น เพราะท่านกล่าวว่า โหติ คหฏฺโ วา โหติ ปพฺพชิโต วา (* โหติ ย่อมมี ย่อมเป็น ความมี ความเป็น) เหมือนบุคคลเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ท่านกล่าวว่า ยสฺส คหฏฺสฺส วา ปพฺพชิตสฺส วา แห่งคฤหัสถ์ก็ตาม แห่งบรรพชิตก็ตาม ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งโลก.
บทว่า ปภาเสติ (ย่อมให้สว่างไสว) ความว่า ทำให้ปรากฏแก่ญาณของตน.
บทว่า อภิสมฺพุทฺธตฺตา (เพราะเป็นผู้ตรัสรู้ผู้รู้พร้อมเฉพาะ) คือเพราะแทงตลอดด้วยสาวกปารมิญาณ (สาวกบารมีญาณ).
บทว่า โอภาเสติ (ย่อมยังโลกนี้ให้สว่างไสว) คือทำโลกอันเป็นกามาวจรให้สว่างไสว.
บทว่า ภาเสติ (ให้ส่องแสง) คือทำโลกอันเป็นรูปาวจรให้ส่องแสง.
บทว่า ปภาเสติ (ให้แจ่มใส) คือทำโลกอันเป็นอรูปาวจรให้แจ่มใส.
บทว่า อริยาณํ คืออรหัตมรรคญาณ.
บทว่า มหิกามุตฺโต (พ้นจากหมอก) คือพ้นจากหมอก หมอกท่านเรียกว่า มหิกะ ปาฐะว่า มหิยา มุตฺโต (พ้นจากแผ่นดิน) บ้าง.
บทว่า ธูมรชา มุตฺโต คือพ้นจากควันและธุลี.
บทว่า ราหุคหณา วิปฺปมุตฺโต คือพ้นจากการจับของราหู ท่านกล่าวให้แปลกด้วยอุปสรรค ๒ อย่าง เพราะราหูเป็นภาวะทำให้ดวงจันทร์เศร้าหมองเพราะใกล้กัน.
บทว่า ภาสเต (ย่อมสว่างไสว) คือให้สว่างไสว ด้วยอรรถว่า มีแสงสว่าง.
บทว่า ตปเต (รุ่งเรือง) ได้แก่ ให้เปล่งปลั่ง รุ่งเรือง ด้วยอรรถว่า มีเดช.
บทว่า วิโรจเต (ไพโรจน์) คือให้ไพโรจน์ ด้วยอรรถว่า มีความรุ่งเรือง.
บทว่า เอวเมวํ (เหมือน) ตัดบทเป็น เอวํ เอวํ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 172
อนึ่ง เพราะแม้ดวงจันทร์เมื่อสว่างไสวไพโรจน์ ย่อมยังโอกาสโลกนี้ให้สว่างไสว และภิกษุเมื่อสว่างไสว เปล่งปลั่ง ไพโรจน์ด้วยปัญญา ย่อมยังโลกมีขันธโลกเป็นต้นให้สว่างไสวด้วยปัญญา ฉะนั้น แม้ในบททั้งสองท่านไม่กล่าวว่า ภาเสติ แต่กล่าว ภาสเต ดังนี้ เพราะเมื่อกล่าวอย่างนั้น ก็เป็นอันกล่าวแม้อรรถแห่งเหตุด้วย หากถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่อุปมาด้วยพระอาทิตย์ซึ่งมีแสงกล้ายิ่งนัก กลับไปอุปมาด้วยพระจันทร์ ตอบว่า พึงทราบว่า ที่ถืออย่างนั้นเพราะการอุปมาด้วยดวงจันทร์อันประกอบด้วยคุณสมบัติเยือกเย็น เป็นการสมควรแก่ภิกษุผู้สงบ ด้วยการสงบความเร่าร้อนเพราะกิเลสทั้งปวง.
พระสารีบุตรเถระ ครั้นสรรเสริญพระโยคาวจรผู้เจริญอานาปานสติให้สำเร็จแล้ว จึงแสดงสรุปญาณเหล่านั้นว่า อิมานิ เตรส โวทาเน าณานิ (ญาณในโวทาน ๑๓ เหล่านี้) แล.
จบอรรถกถาโวทานญาณนิเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 173
๕. อรรถกถาสโตการิญาณนิเทศ
อรรถกถาอานาปานสติมาติกา
พึงทราบวินิจฉัยในสโตการิญาณนิเทศ (ญาณในการทำสติ) ดังต่อไปนี้.
ในมาติกา บทว่า อิธ ภิกฺขุ (ภิกษุในธรรมวินัยนี้) คือภิกษุในศาสนานี้ จริงอยู่ อิธ ศัพท์ในบทนี้ นี้แสดงถึงคำสอนอันเป็นนิสัยของบุคคลผู้ยังอานาปานสติสมาธิมีประการทั้งปวงให้เกิด และปฏิเสธความเป็นอย่างนั้นของศาสนาอื่น ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น ฯลฯ ลัทธิของศาสนาอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง.
บทว่า อรญฺคโต วา รุกฺขมูลคโต วา สุญฺาคารคโต วา (อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี) นี้แสดงถึงการกำหนดถือเอาเสนาสนะอันสมควรแก่การเจริญอานาปานสติสมาธิของภิกษุนั้น จิตของภิกษุนั้นคุ้นในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปเป็นต้นตลอดกาลนาน ไม่ปรารถนาจะพอกพูนอารมณ์อันเป็นอานาปานสติสมาธิ จิตย่อมแล่นไปนอกทางทีเดียว ดุจรถเทียมด้วยโคโกง เพราะฉะนั้น เปรียบเหมือนคนเลี้ยงโคประสงค์จะผูกลูกโคโกงที่ดื่มน้ำนมทั้งหมดของแม่โคนม โกงให้เจริญ (เติบโต) จึงนำออกจากแม่โคนม ฝังเสาใหญ่ไว้ข้างหนึ่ง เอาเชือกผูกไว้ที่เสานั้น ทีนั้นลูกโคของเขาไม่อาจดิ้นจากที่นั้นๆ หนีไปได้ จึงหมอบนอนนิ่งอยู่กับเสานั้นเอง ฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงค์จะฝึกจิตที่ประทุษร้ายให้เจริญ ด้วยการดื่มรสมีรูปารมณ์เป็นต้นตลอดกาลนาน จึงนำออกจากอารมณ์มีรูปเป็นต้น แล้วเข้าไปยังป่าก็ดี โคนไม้ก็ดี เรือนว่างก็ดี ผูกด้วยเชือก คือสติ ที่เสา คือลมอัสสาสะและปัสสาสะนั้น จิตของภิกษุนั้นแม้ดิ้นรนไปข้างโน้นข้างนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่สะสมไว้ในกาลก่อน ก็ไม่สามารถจะตัด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 174
เชือก คือสติ หนีไปได้ จึงนั่งสงบ นอนนิ่งอยู่กับอารมณ์นั้นนั่นเอง ด้วยสามารถแห่งอุปจารและอัปปนา ด้วยเหตุนั้น ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวไว้ว่า
นรชนพึงผูกลูกโคที่ควรฝึกไว้ที่เสานี้ ฉันใด ภิกษุพึงผูกจิตของตนไว้ในอารมณ์ ด้วยสติให้มั่นคง ฉันนั้น.
เสนาสนะนั้นของภิกษุนั้นสมควรแก่ภาวนา ด้วยประการฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะอานาปานสติกรรมฐานอันเป็นปทัฏฐานแห่งสุขวิหารธรรมในปัจจุบันของการบรรลุคุณวิเศษของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เป็นยอดในประเภทของกรรมฐานนี้ อันพระโยคาวจรไม่สละท้ายบ้านอันวุ่นวายไปด้วยเสียงหญิง บุรุษ ช้างและม้าเป็นต้น ทำได้ไม่ง่ายนักเพื่อเจริญ เพราะฌานมีเสียงเสียบแทง ส่วนพระโยคาวจรกำหนดถือเอากรรมฐานนี้ในป่ามิใช่หมู่บ้าน ยังอานาปานสติ จตุตถฌานให้เกิด ทำฌานนั้นให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลายเป็นการทำได้ง่ายเพื่อบรรลุพระอรหัตอันสมเป็นผลเลิศ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอ้างถึงเสนาสนะอันสมควรแก่พระโยคาวจรนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อรญฺคโต วา ดังนี้ พระเถระก็เหมือนอย่างนั้น เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจอาจารย์ผู้มีวิชาเกี่ยวกับพื้นที่ จริงอยู่ อาจารย์ผู้มีวิชาเกี่ยวกับพื้นที่นั้น เห็นพื้นที่สร้างนครแล้วกำหนดไว้ด้วยดี แนะนำว่า พวกท่านจงสร้างนคร ณ พื้นที่นี้เถิด เมื่อนครสำเร็จลงด้วยดี ย่อมได้สักการะใหญ่ ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงกำหนดเสนาสนะอันสมควรแก่พระโยคาวจร แล้วทรงแนะนำว่า ควรประกอบกรรมฐาน ณ ที่นี้ แต่นั้นเมื่อพระโยคาวจร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 175
ประกอบกรรมฐาน ณ ที่นั้น บรรลุพระอรหัตโดยลำดับ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงได้รับสักการะใหญ่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนอ ดังนี้.
อนึ่ง ภิกษุนี้ท่านกล่าวว่าเป็นเช่นกับเสือเหลือง พึงทราบว่า เหมือนอย่างพญาเสือเหลืองซุ่มอาศัยหญ้ารกชัฏ ป่ารกชัฏ ภูเขารกชัฏในป่าจับเนื้อ มีควายป่า กวาง สุกรเป็นต้น ฉันใด ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประกอบกรรมฐานในป่าเป็นต้น ถือเอาโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรคและอรหัตมรรคและอริยผลทั้งหลายตามลำดับ ดังที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
ธรรมดาเสือเหลืองซุ่มจับเนื้อทั้งหลาย ฉันใด พระพุทธบุตรนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประกอบความเพียร เจริญวิปัสสนาเข้าไปสู่ป่า ย่อมถือเอาผลอันสูงสุด.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะในป่าอันเป็นพื้นที่ประกอบความเพียรอย่างไร จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อรญฺคโต วา ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อรญฺคโต อยู่ป่า คืออยู่ป่าอันเป็นความสุขเกิดแต่ความสงัดอย่างใดอย่างหนึ่ง มีลักษณะดังกล่าวแล้วในตอนก่อน.
บทว่า รุกฺขมูลคโต อยู่โคนไม้ คืออยู่ใกล้ต้นไม้.
บทว่า สุญฺาคารคโต อยู่เรือนว่าง คืออยู่โอกาสสงัดว่างเปล่า.
อนึ่ง ในบทนี้แม้อยู่เสนาสนะ ๗ อย่างที่เหลือ เว้นป่าและโคนไม้ก็ควรกล่าวว่า สุญฺาคารคโต อยู่เรือนว่างได้ จริงอยู่เสนาสนะมี ๙ อย่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 176
ดังที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุนั้นเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำเขา ป่าช้า ราวป่า ที่แจ้ง กองฟาง.
ท่านพระสารีบุตรครั้นแนะนำเสนาสนะอันสมควรแก่การเจริญอานาปานสติกรรมฐาน อันเกื้อกูลด้วย ๓ ฤดูและเกื้อกูลด้วยธาตุจริยาแก่ภิกษุนั้นแล้ว เมื่อจะแนะนำถึงอิริยาบถอันสงบอันเป็นฝ่ายแห่งความไม่ท้อแท้และไม่ฟุ้งซ่าน จึงกล่าวว่า นิสีทติ (นั่ง).
ครั้นแล้วท่านพระสารีบุตรเมื่อจะแสดงความที่ภิกษุนั้นนั่งได้มั่นคง ความที่ลมอัสสาสะ ปัสสาสะเป็นไปปกติและอุบายกำหนดถือเอาอารมณ์ จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา คู้บัลลังก์ (ขัดสมาธิ).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกํ คือนั่งพับขาโดยรอบ.
บทว่า อาภุชิตฺวา (คู้) คือพับ.
บทว่า อุชํ กายํ ปณิธาย (ตั้งกายตรง) คือตั้งสรีระเบื้องบนให้ตรง ให้กระดูกสันหลัง ๑๘ ท่อนจดกัน เพราะเมื่อนั่งอย่างนี้ หนัง เนื้อ เอ็น จะไม่น้อมลง เวทนาที่เกิดขึ้นทุกๆ ขณะเพราะหนัง เนื้อ และเอ็นน้อมลงเป็นเหตุจะไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น เมื่อเวทนาไม่เกิด จิตก็มีอารมณ์เดียว กรรมฐานไม่ตก ย่อมเข้าถึงความเจริญงอกงาม.
บทว่า ปริมุขํ สติํ อุปฏฺเปตฺวา (ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า) คือดำรงสติเฉพาะกรรมฐาน.
บทว่า โส สโตว อสฺสสติ สโต ปสฺสสติ (ภิกษุนั้น เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เป็นผู้มีสติหายใจออก) คือภิกษุนั้นครั้นนั่งอย่างนี้และดำรงสติไว้อย่างนี้ เมื่อไม่ละสตินั้น ชื่อว่า เป็นผู้มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ท่านอธิบายว่า เป็นผู้ทำสติ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงถึงประการที่ภิกษุทำสติ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต (เมื่อหายใจเข้ายาว).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 177
ในบทเหล่านั้น บทว่า ทีฆํ วา อสฺสสนฺโต เมื่อหายใจเข้ายาว คือลมหายใจเข้าเป็นไปยาว หายใจเข้าสั้นก็เหมือนอย่างนั้น อนึ่ง พึงทราบความที่ลมหายใจเข้าหายใจออกยาวและสั้นโดยกาล.
จริงอยู่ มนุษย์ทั้งหลายบางครั้งหายใจเข้าและหายใจออกยาว เหมือนช้างและงูเป็นต้น บางครั้งสั้นเหมือนสุนัขและกระต่ายเป็นต้น ลมอัสสาสะ ปัสสาสะที่ละเอียดด้วยประการอื่นไม่มียาวและสั้น เพราะฉะนั้นลมอัสสาสปัสสาสะเมื่อเข้าและออกตลอดกาลนาน พึงทราบว่ายาว เมื่อเข้าและออกตลอดกาลสั้น พึงทราบว่าสั้น ในเรื่องนี้ ภิกษุนี้ เมื่อหายใจเข้าและหายใจออกยาวโดยอาการ ๙ อย่างดังกล่าวแล้วในตอนก่อน ย่อมรู้ว่าเราหายใจเข้าหายใจออกยาว สั้นก็เหมือนกัน อนึ่ง
วรรณะ ๔ คือยาว สั้น ลมอัสสาสะและลมปัสสาสะ เช่นนั้นย่อมเป็นไปบนปลายจมูกของภิกษุผู้รู้อยู่อย่างนั้น.
พึงทราบว่า การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานย่อมสมบูรณ์แก่ภิกษุนั้นด้วยอาการหนึ่งแห่งอาการ ๙ อย่าง.
บทว่า สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ สพฺพกายปฏิสํเวที ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ (ภิกษุย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง หายใจออก) คือภิกษุย่อมศึกษาว่า เราจะทำเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของกองลมอัสสาสะทั้งสิ้น ให้รู้แจ้ง ทำให้ปรากฏ หายใจเข้า ย่อมศึกษาว่า เราจะทำเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของกองลมปัสสาสะทั้งสิ้น ให้รู้แจ้ง ให้ปรากฏ หายใจออก ภิกษุทำให้รู้แจ้ง ให้ปรากฏอย่างนี้ หายใจเข้าและหายใจออก ด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 178
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อสฺสสิสฺสามีติ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ ย่อมศึกษาว่า เราจักหายใจเข้า เราจักหายใจออก.
จริงอยู่เบื้องต้นในกองลมอัสสาสะหรือในกองลมปัสสาสะที่เป็นของละเอียดๆ ไหลไปของภิกษุนั้นย่อมปรากฏ แต่ท่ามกลางและที่สุดไม่ปรากฏ ภิกษุนั้นย่อมอาจเพื่อกำหนดถือเอาเบื้องต้นเท่านั้น ย่อมลำบากในท่ามกลางและที่สุด ภิกษุรูปหนึ่งท่ามกลางปรากฏ เบื้องต้นและที่สุดไม่ปรากฏ ภิกษุรูปนั้นอาจเพื่อกำหนดถือเอาท่ามกลางเท่านั้น ย่อมลำบากในเบื้องต้นและที่สุด รูปหนึ่งที่สุดปรากฏ เบื้องต้นและท่ามกลางไม่ปรากฏ รูปนั้นอาจเพื่อกำหนดถือเอาที่สุดเท่านั้น ย่อมลำบากในเบื้องต้นและท่ามกลาง รูปหนึ่งปรากฏทั้งหมด รูปนั้นอาจเพื่อกำหนดถือเอาแม้ทั้งหมดได้ ไม่ลำบากในที่ไหนๆ พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงว่า ควรเป็นเช่นนั้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สพฺพกายปฏิสํเวที (รู้แจ้งกายทั้งปวง) ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สิกฺขติ (ย่อมศึกษา) คือเพียรพยายามอย่างนี้ พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้ว่า ภิกษุย่อมศึกษา ย่อมเสพ ย่อมเจริญ ย่อมทำให้มากซึ่งสิกขา ๓ เหล่านี้ คือความสำรวมของผู้เป็นอย่างนั้น ชื่อว่า อธิศีลสิกขา สมาธิของผู้เป็นอย่างนั้น ชื่อว่า อธิจิตสิกขา ปัญญาของผู้เป็นอย่างนั้น ชื่อว่า อธิปัญญาสิกขา ในอารมณ์นั้น ด้วยสตินั้น ด้วยมนสิการนั้น.
ในบทนั้นควรหายใจเข้าและควรหายใจออกอย่างเดียวโดยนัยก่อน ไม่ควรทำอะไรๆ อย่างอื่น แต่จำเดิมแต่นั้นควรทำความเพียรในการให้ญาณเกิดขึ้นเป็นต้น เพราะฉะนั้น เพื่อแสดงอาการอันยังญาณให้เกิดขึ้น ซึ่งท่านกล่าวถึงบาลีด้วยอำนาจแห่งปัจจุบันกาลว่า อสฺสสามีติ ปชานาติ ปสฺสสามีติ ปชานาติ (ก็รู้ว่า หายใจเข้า ก็รู้ว่า หายใจออก) ภิกษุย่อมรู้ว่า เราหายใจเข้า ย่อมรู้ว่า เราหายใจออก แล้วเพื่อแสดงอาการมีการทำญาณให้เกิดขึ้นเป็นต้นที่จะพึงกระทำตั้งแต่นี้ไป ท่านจึงยกบาลีขึ้นด้วยอำนาจแห่งอนาคตกาลโดยนัยมีอาทิว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 179
สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสสิสฺสามิ เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกองลม (กาย) ทั้งปวง หายใจเข้า ดังนี้.
บทว่า ปสฺสมฺภยํ กายสงฺขารํ ฯลฯ สิกฺขติ (ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร ฯลฯ ) คือย่อมศึกษาว่า เราระงับ สงบ ดับและเข้าไปสงบกายสังขาร กล่าวคือ ลมอัสสาสปัสสาสะอย่างหยาบ หายใจเข้าหายใจออก ในบทนั้น พึงทราบถึงความหยาบ ความละเอียดและความสงบ ด้วยประการอย่างนี้.
ในกาลที่ภิกษุนี้มิได้กำหนดถือเอาก่อน กายและจิตย่อมกระวนกระวาย และเป็นของหยาบ เมื่อกายและจิตหยาบ ไม่สงบ แม้ลมอัสสาสะ ลมปัสสาสะก็หยาบด้วย ลมอัสสาสะ ลมปัสสาสะมีกำลังกว่ายังเป็นไป จมูกไม่พอหายใจ ต้องยืนหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างทางปาก.
อนึ่ง เมื่อใดกายบ้าง จิตบ้าง อันภิกษุนั้นกำหนดถือเอา เมื่อนั้นลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้นสงบระงับ เมื่อลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้นสงบ ลมอัสสาสปัสสาสะละเอียดยังเป็นไป ย่อมถึงอาการที่ควรค้นคว้าว่า ลมอัสสาสปัสสาสะมีหรือไม่มี เหมือนอย่างว่า เมื่อบุรุษวิ่งลงจากภูเขาหรือยกภาระหนักลงจากศีรษะยืนอยู่ ลมอัสสาสปัสสาสะก็หยาบ จมูกไม่เพียงพอ ต้องยืนหายใจเข้าบ้าง หายใจออกบ้างทางปาก.
อนึ่ง เมื่อใดบุรุษนั้นบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยนั้น อาบน้ำ ดื่มน้ำ เอาผ้าสาฎกเปียกปิดอก นอนใต้ร่มเงาเย็น เมื่อนั้นลมอัสสาสปัสสาสะของบุรุษนั้นละเอียด ย่อมถึงอาการที่ควรค้นคว้าดูว่า ลมอัสสาสปัสสาสะมีหรือไม่มี ฉันใด พึงให้พิสดารว่า ในกาลที่ภิกษุที่กำหนดถือเอาอย่างนั้น ก็ฉันนั้น.
จริงอย่างนั้น ในกาลที่ภิกษุนั้นไม่กำหนดถือเอาก่อน การผูกใจ การรวบรวมและการใส่ใจว่า เราย่อมสงบกายสังขารหยาบๆ ดังนี้ ย่อมไม่มี แต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 180
ในกาลที่กำหนดถือเอา ย่อมมี ด้วยเหตุนั้น ในกาลที่ภิกษุนั้นกำหนดถือเอาจากกาลที่มิได้กำหนดถือเอา กายสังขารเป็นของละเอียด ดังที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า
เมื่อกายและจิตปั่นป่วน กายสังขารย่อมเป็นไปรุนแรง เมื่อกายไม่ปั่นป่วน กายสังขารย่อมเป็นไปอย่างสุขุม.
แม้ในกาลกำหนดถือเอา กายสังขารหยาบ ในอุปจารแห่งปฐมฌาน กายสังขารสุขุม (ละเอียด) แม้ในอุปจารแห่งปฐมฌานนั้น กายสังขารก็ยังหยาบ ในปฐมฌานจึงสุขุม ในปฐมฌานและในอุปจารแห่งทุติยฌาน กายสังขารก็ยังหยาบ ในทุติยฌานจึงสุขุม ในทุติยฌานและในอุปจารแห่งตติยฌานก็ยังหยาบ ในตติยฌานจึงสุขุม ในตติยฌานและในอุปจารแห่งจตุตถฌานก็ยังหยาบ ในจตุตถฌานจึงสุขุมยิ่งนัก ย่อมถึงการไม่เป็นไปอีกเลย นี้เป็นมติของท่านผู้กล่าวทีฆภาณกสังยุต.
ส่วนท่านมัชฌิมภาณกาจารย์ย่อมปรารถนาความสุขุมกว่า แม้ในอุปจารแห่งฌานสูงๆ จากฌานต่ำๆ อย่างนี้ว่า ในปฐมฌานยังหยาบ ในอุปจารแห่งทุติยฌานจึงสุขุม ตามมติของท่านภาณกาจารย์ทั้งปวง กายสังขารที่เป็นไปแล้วในกาลมิได้กำหนดถือเอา ย่อมสงบในกาลที่กำหนดถือเอา กายสังขารที่เป็นไปแล้วในกาลกำหนดถือเอา ย่อมสงบในอุปจารแห่งปฐมฌาน ฯลฯ กายสังขารที่เป็นไปแล้วในอุปจารแห่งจตุตถฌาน ย่อมสงบในจตุตถฌาน นี้เป็นนัยในสมถะเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 181
ส่วนในวิปัสสนา กายสังขารที่เป็นไปแล้วในกาลที่มิได้กำหนดถือเอา ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอามหาภูตรูป จึงสุขุม แม้กายสังขารนั้นก็ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอาอุปาทารูป (* อุปาทายรูป ๒๔) จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอารูปทั้งสิ้น จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอาอรูป จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอารูปและอรูป จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในกาลกำหนดถือเอาปัจจัย จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในการเห็นนามรูปพร้อมกับปัจจัย จึงสุขุม แม้นั้นก็ยังหยาบ ในวิปัสสนาอันมีลักษณะเป็นอารมณ์ จึงสุขุม แม้นั้นก็ชื่อว่า ยังหยาบ เพราะเป็นวิปัสสนายังอ่อน ในวิปัสสนามีกำลัง จึงสุขุม พึงทราบความสงบแห่งกายสังขารก่อนๆ ด้วยกายสังขารหลังๆ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล ในบทนี้ พึงทราบความที่กายสังขารหยาบและสุขุม และความสงบอย่างนี้ นี้เป็นการพรรณนาบทตามลำดับแห่งปฐมจตุกกะที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ด้วยอำนาจแห่งกายานุปัสสนาในที่นี้ ดังนี้ก่อน.
ก็เพราะในที่นี้ ท่านกล่าวจตุกกะนี้เท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งกรรมฐานแห่งผู้เริ่มบำเพ็ญเพียร ส่วนจตุกกะ ๓ นอกนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนาและธรรมานุปัสสนา (ธัมมานุปัสสนา) สำหรับผู้บรรลุฌานแล้วในอานาปานสติสมาธินี้ ฉะนั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญเพียรประสงค์จะเจริญกรรมฐานนี้ แล้วบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแห่งวิปัสสนาอันเป็นปทัฏฐาน (* เหตุใกล้ให้เกิด) ของจตุกกฌานในอานาปานสติ พีงทำกิจทั้งปวงมียังศีลให้บริสุทธิ์เป็นต้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในวิสุทธิมรรค แล้วพึงเรียนกรรมฐานอันมีสนธิ (การสืบต่อ) ๕ ในสำนักของอาจารย์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๗.
ในกรรมฐานนั้น สนธิ ๕ เหล่านี้ คือการเรียน (อุคคหะ) ๑ การสอบถาม (ปริปุจฉา) ๑ ความปรากฏ (อุปัฏฐานะ) ๑ ความแนบแน่น (อัปปนา) ๑ ลักษณะ ๑.
ในสันธิเหล่านั้น การเรียนกรรมฐาน ชื่อว่า อุคคหะ การสอบถามกรรมฐาน ชื่อว่า ปริปุจฉา ความปรากฏแห่งกรรมฐาน ชื่อว่า อุปัฏฐานะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 182
ความแนบแน่นแห่งกรรมฐาน ชื่อว่า อัปปนา ลักษณะแห่งกรรมฐาน ชื่อว่า ลักษณะ ท่านอธิบายไว้ว่า กรรมฐานเป็นลักษณะอย่างนี้ ได้แก่ การไตร่ตรองสภาพ (สภาวะ) ของกรรมฐานว่า กรรมฐานนี้มีลักษณะอย่างนี้.
กุลบุตรผู้เรียนกรรมฐาน มีสันธิ (สนธิ) ๕ อย่างนี้ แม้ตนเองก็ไม่ลำบาก แม้อาจารย์ก็ไม่ลำบาก เพราะฉะนั้น ให้อาจารย์ยกขึ้น (ชี้แนะ) หน่อยหนึ่ง แล้วใช้เวลาท่องให้มาก เรียนกรรมฐานมีสันธิ ๕ อย่างนี้ เว้นที่อยู่อันประกอบด้วยโทษ ๑๘ อย่างในสำนักของอาจารย์หรือในที่อื่น แล้วอยู่ในเสนาสนะประกอบด้วยองค์ ๕ ตัดกังวลเล็กน้อย บริโภคเสร็จแล้วบรรเทาความมัวเมาอาหาร นั่งให้สบาย ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ทำจิตให้ร่าเริง ไม่ให้เสื่อมแม้แต่บทเดียวจากการเรียนจากอาจารย์ พึงทำอานาปานสติกรรมฐานนี้ไว้ในใจ (มนสิการ).
ต่อไปนี้เป็นวิธีมนสิการกรรมฐาน คือ
คณนา (การนับ) อนุพันธนา (การติดตาม) ผุสนา (การสัมผัส) ฐปนา (การตั้งไว้) สัลลักขณา (ความเห็นแจ้ง) วิวัฏฏนา (ความเจริญ) ปาริสุทธิ (ความบริสุทธิ์) ปฏิปัสสนา (การพิจารณา) กรรมฐานเหล่านั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า คณนา คือการนับนั่นเอง.
บทว่า อนุพนฺธนา คือการไปตาม (การตามระลึก).
บทว่า ผุสนา คือการถูกต้อง (ที่ที่สัมผัส).
บทว่า ปนา คือการแนบแน่น (อัปปนา).
บทว่า สลฺลฺกขณา คือการเห็นแจ้ง (วิปัสสนา).
บทว่า วิวฏฺฏนา คือมรรค.
บทว่า ปาริสุทฺธิ คือผล.
บทว่า เตสญฺจ ปฏิปสฺสนา คือการพิจารณากรรมฐานเหล่านั้น คือปัจจเวกขณญาณ.
ในบท (วิธีมนสิการกรรมฐาน) นั้น กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญเพียรนี้ พึงใส่ใจกรรมฐานนี้ด้วยการนับก่อน.
เมื่อนับ ไม่ควรให้ต่ำกว่า ๕ ไม่ควรสูงกว่า ๑๐ ไม่ควรแสดงเป็นตอนๆ (ไม่ควรนับให้ขาดช่วง) ในระหว่าง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 183
เมื่อนับต่ำกว่า ๕ จิตตุปบาท ย่อมดิ้นรนในโอกาสคับแคบ ดุจฝูงโคที่ถูกขังไว้ในคอกอันคับแคบ เมื่อนับเกิน ๑๐ จิตตุปบาท พะวงการนับเท่านั้น เมื่อแสดงเป็นตอนๆ ในระหว่าง จิตย่อมหวั่นไหวว่า กรรมฐานของเราถึงยอดแล้วหรือยังหนอ เพราะฉะนั้น ควรนับเว้นโทษเหล่านี้เสีย.
อนึ่ง เมื่อนับควรนับเหมือนการตวงข้าวเปลือก นับช้าๆ ก่อน ก็คนตวงข้าวเปลือกตักให้เต็มทะนานแล้วนับหนึ่ง แล้วเกลี่ยออก เมื่อจะให้เต็มอีก ครั้นเห็นหยากเยื่อไรๆ ก็ทิ้งเสียนับว่า หนึ่ง หนึ่ง แม้ในการนับว่า สอง สอง ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ผู้ใดกำหนดลมอัสสาสปัสสาสะ แม้ด้วยวิธีนี้อย่างนี้ กำหนดนับว่า หนึ่ง หนึ่ง ไปจนถึง สิบ สิบ เมื่อผู้นั้นนับอย่างนี้ ลมอัสสาสปัสสาสะทั้งเข้าและออกย่อมปรากฏ ต่อแต่นั้นกุลบุตรควรละการนับเหมือนตวงข้าวเปลือกที่นับช้าๆ นั้นเสีย แล้วนับด้วยการนับของคนเลี้ยงโค คือนับเร็ว เพราะโคบาลผู้ฉลาด เอาก้อนกรวดใส่พก ถือเชือกและไม้ไปคอกแต่เช้าตรู่ ตีที่หลังโค นั่งบนปลายเสาเขื่อน ดีดก้อนกรวด นับโคที่ไปถึงประตูว่า หนึ่ง สอง โคที่อยู่อย่างลำบากในที่คับแคบมาตลอด ๓ ยาม จึงออกเบียดเสียดกันและกัน รีบออกเป็นหมู่ๆ โคบาลนั้นรีบนับว่า สาม สี่ ห้า สิบ แม้เมื่อกุลบุตรนั้นนับโดยนัยก่อนอย่างนี้ ลมอัสสาสปัสสาสะปรากฏ ผ่านไปมาบ่อยๆ อย่างรวดเร็ว.
แต่นั้น กุลบุตรนั้น ครั้นรู้ว่าลมอัสสาสปัสสาสะผ่านไปมาบ่อยๆ จึงไม่นับทั้งภายในทั้งภายนอก นับเฉพาะที่ถึงทวารเท่านั้นๆ แล้วรีบนับเร็วๆ ว่า ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วนับว่า ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ แล้วนับว่า ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ จนถึง ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐.
จริงอยู่ ในกรรมฐานอันเนื่องด้วยการนับ จิตย่อมมีอารมณ์เป็นหนึ่งด้วยกำลังการนับ ดุจจอดเรือไว้ที่กระแสเชี่ยว ด้วยความค้ำจุนของถ่อฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 184
เมื่อกุลบุตรนับเร็วๆ อย่างนี้ กรรมฐานย่อมปรากฏดุจเป็นไปติดต่อกัน เมื่อรู้ว่า กรรมฐานเป็นไปติดต่อกันแล้ว ไม่กำหนดถือเอาลมภายในและภายนอก รีบนับโดยนัยก่อนนั่นแล เมื่อส่งจิตเข้าไปพร้อมกับลมเข้าไปภายใน จิตกระทบกับลมภายใน ย่อมเป็นดุจเต็มด้วยมันข้น เมื่อส่งจิตออกพร้อมกับลมออกภายนอก จิตย่อมฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ที่หลากหลายในภายนอก อนึ่ง เมื่อตั้งสติไว้ที่ที่ลมสัมผัสเจริญภาวนา ภาวนาย่อมสมบูรณ์ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ไม่พึงกำหนดถือเอาลมภายในและภายนอก พึงนับเร็วๆ โดยนัยก่อนนั่นแล.
ก็การนับลมนี้ ควรนับนานเพียงไร.
นับจนถึงเมื่อเว้นจากการนับแล้ว สติตั้งมั่นในอารมณ์แห่งลมหายใจเข้าลมหายใจออก การนับก็เพื่อทำการตัดวิตกอันซ่านไปในภายนอกเสีย แล้วเจริญสติให้ดำรงมั่นในอารมณ์ คือลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั่นแหละ.
ควรทำไว้ในใจด้วยการนับอย่างนี้แล้ว ทำไว้ในใจด้วยการติดตาม การหยุดนับแล้วสติตามระลึกลมอัสสาสปัสสาสะไม่ให้ขาดสาย ชื่อว่า อนุพนฺธนา (การตามระลึก) ก็การตามระลึกนั้นมิใช่ด้วยอำนาจแห่งการตามระลึกในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด และโทษในการตามระลึกลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
เพราะฉะนั้น เมื่อมนสิการด้วยการตามระลึก ไม่ควรใส่ใจด้วยอำนาจแห่งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ที่แท้ควรใส่ใจด้วยอำนาจแห่งการสัมผัส (ที่ที่สัมผัส) และด้วยอำนาจแห่งการแนบแน่น (อัปปนา) ก็การมนสิการแยกกันด้วยอำนาจแห่งการสัมผัสและแนบแน่น ย่อมไม่มี ดุจด้วยอำนาจแห่งการนับและการตามระลึก อนึ่ง เมื่อนับในที่สัมผัสย่อมใส่ใจด้วยการนับและด้วยการสัมผัส ครั้นหยุดนับในที่ที่ลมสัมผัสนั้นแล้ว สติตามระลึกลมหายใจเข้าลมหายใจออกเหล่านั้น และดำรงจิต (ตั้งจิต) ไว้ด้วยสามารถแห่งอัปปนา ท่านกล่าวว่า ย่อมใส่ใจด้วยการตามระลึก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 185
ด้วยการสัมผัสและด้วยการแนบแน่น พึงทราบความนี้นั้นด้วยการอุปมาด้วยคนพิการและคนเฝ้าประตู ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย และด้วยอุปมาด้วยเลื่อย ดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในบาลีนี้แหละ.
ต่อไปนี้เป็นอุปมาด้วยคนพิการ เปรียบเหมือนคนพิการแกว่งชิงช้าแก่มารดาและบุตรผู้เล่นอยู่ที่ชิงช้า นั่งอยู่ที่โคนเสาชิงช้านั้นเอง ย่อมเห็นที่สุดทั้งสองและท่ามกลางของกระดานชิงช้าที่แกว่งไปมาตามลำดับ ไม่ขวนขวายเพื่อจะดูที่สุดทั้งสองและท่ามกลาง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันอยู่ที่โคนเสา คือการติดตามด้วยอำนาจแห่งสติ แล้วนั่งแกว่งชิงช้า คือลมอัสสาสและปัสสาสะด้วยสติในนิมิตนั้นติดตามเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุดของลมอัสสาสเเละปัสสาสะในที่สัมผัสทั้งไปและมาด้วยสติ ดำรงจิตไว้ ณ ที่นั้นนั่นแล ย่อมเห็นและไม่ขวนขวายเพื่อจะดูลมอัสสาสะและปัสสาสะเหล่านั้น นี้อุปมาด้วยคนพิการ.
ส่วนอุปมาด้วยคนเฝ้าประตูมีดังนี้ เปรียบเหมือนคนเฝ้าประตู ย่อมไม่ตรวจสอบคนภายในและภายนอกนครว่า ท่านเป็นใคร มาแต่ไหน จะไปไหน อะไรในมือของท่าน เพราะคนเหล่านั้นไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่เขาตรวจสอบเฉพาะคนที่มาถึงประตูแล้วเท่านั้น ฉันใด ลมเข้าไปภายในและลมออกไปภายนอกไม่ใช่ภาระของภิกษุนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน ลมที่ถึงทวารเท่านั้น จึงเป็นภาระ นี้เป็นอุปมาด้วยคนเฝ้าประตู.
ส่วนอุปมาด้วยเลื่อยได้กล่าวไว้แล้วในอานาปานสติกถาโดยนัยมีอาทิว่า นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา (นิมิตลมอัสสาสะและลมปัสสาสะ) แต่ในที่นี้พึงทราบว่า เป็นการประกอบเพียงความไม่ใส่ใจด้วยสามารถแห่งการมาและการไปของเลื่อยเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 186
เมื่อใครๆ มนสิการกรรมฐานนี้ ไม่ช้านิมิตย่อมเกิด และการแนบแน่นกล่าวคืออัปปนา ประดับด้วยองค์ฌานที่เหลือย่อมสมบูรณ์ ส่วนสำหรับบางท่าน จำเดิมแต่กาลมนสิการด้วยการนับอย่างนั้น เปรียบเหมือนผู้มีกายปั่นป่วนนั่งบนเตียงหรือตั่ง เตียงและตั่งย่อมน้อมลงย่อมมีเสียงเอี้ยดอ้าด เครื่องปูลาดย่อมย่นยับ ส่วนผู้มีกายไม่ปั่นป่วนนั่งบนเตียงและตั่งๆ ย่อมไม่น้อมลง ไม่ส่งเสียงเอี้ยดอ้าด เครื่องปูลาดไม่ย่นยับ เตียงและตั่งย่อมเป็นเหมือนเต็มด้วยปุยนุ่น เพราะเหตุไร เพราะผู้มีกายไม่ปั่นป่วนเบา ฉันใด จำเดิมแต่กาลมนสิการด้วยการนับอย่างนั้นก็ฉันนั้น เมื่อความกระวนกระวายกายสงบด้วยอำนาจแห่งการดับลมอัสสาสะและปัสสาสะอย่างหยาบตามลำดับ กายก็ดี จิตก็ดีเป็นของเบา ร่างกายเป็นดุจลอยไปบนอากาศ.
เมื่อลมอัสสาสะและปัสสาสะอย่างหยาบของภิกษุนั้นดับแล้ว จิตมีลมอัสสาสปัสสาสะละเอียดเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ย่อมเป็นไป แม้เมื่อจิตนั้นดับลมอัสสาสปัสสาสะอันเป็นนิมิต เป็นอารมณ์ละเอียดกว่า ละเอียดกว่านั้นยังเป็นไปๆ มาๆ อยู่นั่นเอง พึงทราบความนี้ด้วยอุปมาด้วยถาดโลหะดังกล่าวแล้วในตอนก่อน (* มมร. เล่มพิมพ์ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๑ พิมพ์ว่า ดังจะกล่าวข้างหน้า).
กรรมฐานนี้ไม่เหมือนกรรมฐานเหล่าอื่น ซึ่งแจ่มแจ้งแล้วยิ่งๆ ขึ้นไป อนึ่ง กรรมฐานนี้ ย่อมถึงความละเอียดแก่ผู้เจริญยิ่งๆ แม้ความปรากฏก็ไม่ถึง (* ถึงความไม่ปรากฏ) เมื่อกรรมฐานนั้นไม่ปรากฏอย่างนี้ ภิกษุนั้นไม่ควรลุกจากอาสนะไป ด้วยคิดว่า เราจักถามอาจารย์ หรือว่า บัดนี้กรรมฐานของเราฉิบหายเสียแล้ว ดังนี้ เพราะเมื่อภิกษุยังอิริยาบถให้กำเริบแล้วไป กรรมฐานย่อมเริ่มต้นใหม่ๆ โดยแท้ เพราะฉะนั้น ควรนั่งอยู่อย่างเดิมนั่นแล แล้วทำกรรมฐานต่อโดยตำแหน่งที่ลมสัมผัส.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 187
ต่อไปนี้เป็นอุบายทำกรรมฐานต่อ ภิกษุนั้นรู้ความที่กรรมฐานไม่ปรากฏ พึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า ชื่อว่า ลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านี้มีอยู่ที่ไหน ไม่มีที่ไหน มีแก่ใคร หรือไม่มีแก่ใคร ครั้นภิกษุสำเหนียกอย่างนี้รู้ว่า ลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านี้ไม่มีแก่คนอยู่ในครรภ์มารดา ไม่มีแก่คนดำน้ำ ไม่มีแก่อสัญญีสัตว์ แก่คนตาย ผู้เข้าจตุตถฌาน ผู้พรั่งะร้อมด้วยรูปภพอรูปภพ ผู้เข้านิโรธสมาบัติ แล้วพึงเตือนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า ดูก่อนบัณฑิต ท่านมิได้อยู่ในครรภ์มารดา มิได้ดำน้ำ มิได้เป็นอสัญญีสัตว์ มิได้ตาย มิได้เข้าจตุตถฌาน มิได้พรั่งพร้อมด้วยรูปภพอรูปภพ มิได้เข้านิโรธสมาบัติ มิใช่หรือ ลมอัสสาสปัสสาสะของท่าน ยังมีอยู่แน่ๆ แต่ท่านไม่สามารถกำหนดถือเอาได้ เพราะท่านมีปัญญาน้อย.
ครั้นแล้วภิกษุนั้นควรตั้งจิตด้วยลมที่สัมผัสเป็นปกติแล้วยังมนสิการให้เป็นไป เพราะว่าลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านี้กระทบดั้งจมูกของผู้มีจมูกยาวเป็นไป กระทบริมฝีปากของผู้มีจมูกสั้น เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นควรตั้งนิมิตว่า ลมอัสสาสปัสสาสะกระทบที่นี้ จริงอยู่ พระผ้มีพระภาคเจ้าตรัสอาศัยอำนาจแห่งประโยชน์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวถึงการเจริญอานาปานสติของผู้มีสติหลง ผู้ไม่มีสัมปชัญญะ ดังนี้ จริงอยู่ กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมสมบูรณ์แก่ผู้มีสติ ผู้มีสัมปชัญญะโดยแท้ แต่เมื่อมนสิการถึงกรรมฐานอื่นจากอานาปานสติกรรมฐานนี้ กรรมฐานก็ยังปรากฏ.
อนึ่ง อานาปานสติกรรมฐานนี้ เป็นการเจริญอย่างหนักๆ เป็นภูมิแห่งมนสิการของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธบุตรผู้เป็นมหาบุรุษนั่นเอง มิได้เป็นนอกไปจากนี้ ทั้งสัตว์นอกนี้มิได้เสพ กรรมฐานนี้ อันภิกษุมนสิการโดยประการใดๆ เป็นอันสงบและสุขุมโดยประการนั้นๆ เพราะฉะนั้น ในกรรมฐานนี้จึงต้องใช้สติและปัญญามีกำลัง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 188
เหมือนอย่างว่า ในเวลาเย็บผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยง พึงต้องการแม้เข็มที่ละเอียด แม้ด้ายร้อยเข็มก็ยังต้องการละเอียดกว่านั้น ฉันใด ในเวลาเจริญกรรมฐานนี้เช่นกับผ้าสาฎกเนื้อเกลี้ยง ฉันนั้นเหมือนกัน แม้สติเปรียบด้วยเข็ม ปัญญาสัมปยุตด้วยสตินั้นเปรียบด้วยการร้อยเข็ม ก็พึงปรารถนาที่มีกำลัง ก็แลภิกษุผู้ประกอบด้วยสติปัญญาเหล่านั้น ไม่พึงแสวงหาลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้น นอกจากโอกาสที่สัมผัสตามปกติ.
เหมือนอย่างว่า ชาวนาไถนาแล้วปล่อยโคผู้ไป แล้วนั่งพักบริโภคอาหาร ลำดับนั้น โคผู้เหล่านั้นของเขาวิ่งเข้าดงไป ชาวนาที่เป็นคนฉลาด ประสงค์จะจับโคเหล่านั้นเทียมไถ ไปเที่ยวตามรอยเท้าของโคเหล่านั้นไปยังดง เขาถือเชือกและปฏักไปยังท่าน้ำที่โคเหล่านั้นลงโดยตรง นั่งบ้าง นอนบ้าง ครั้นเขาเห็นโคเหล่านั้นเที่ยวไปตลอดวันแล้ว ลงสู่ท่าที่เคยลงอาบและดื่มแล้ว ขึ้นยืนอยู่ จึงเอาเชือกล่ามเอาปฏักแทงนำมาเทียมไถทำงานต่อไป ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่พึงแสวงหาลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้น นอกจากโอกาสที่สัมผัสตามปกติ พึงถือเชือก คือสติ และปฏัก คือปัญญา ตั้งจิตไว้ในโอกาสที่สัมผัสตามปกติ แล้วยังมนสิการให้เป็นไป ก็เมื่อภิกษุมนสิการอย่างนี้ ไม่ช้าลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้นก็ปรากฏดุจโคปรากฏที่ท่าที่เคยลง แต่นั้น ภิกษุนั้นพึงผูกด้วยเชือก คือสติประกอบไว้ในที่นั้น แล้วแทงด้วยปฏัก คือปัญญา พึงประกอบกรรมฐานบ่อยๆ เมื่อประกอบอย่างนี้ไม่ช้านัก นิมิตย่อมปรากฏ ก็นิมิตนี้นั้น มิได้เป็นเช่นเดียวกันแห่งนิมิตทั้งปวง อีกอย่างหนึ่ง นิมิตยังสุขสัมผัสให้เกิดขึ้นแก่ใครๆ ย่อมปรากฏ ดุจปุยนุ่น ปุยฝ้ายและสายลม อาจารย์บางพวกกล่าวไว้ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 189
ส่วนในอรรถกถาทั้งหลายมีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
จริงอยู่ นิมิตนี้มีรูปคล้ายดาวปรากฏแก่ใครๆ ดุจก้อนแก้วมณีและดุจก้อนแก้วมุกดา เป็นสัมผัสแข็งปรากฏแก่ใครๆ ดุจเมล็ดฝ้ายและดุจเสี้ยนไม้แก่น ปรากฏแก่ใครๆ ดุจสายสังวาลยาว ดุจพวงดอกไม้และดุจเปลวควัน ปรากฏแก่ใครๆ ดุจใยแมลงมุมอันกว้าง ดุจกลุ่มเมฆ ดุจดอกปทุม ดุจล้อรถ ดุจมณฑลดวงจันทร์และดุจมณฑลดวงอาทิตย์ ก็แลนิมิตนั้น เมื่อภิกษุหลายรูปนั่งท่องพระสูตร เมื่อภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า พระสูตรนี้ปรากฏแก่ท่านทั้งหลายเช่นไร ภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า ปรากฏแก่ผมดุจแม่น้ำใหญ่ไหลจากภูเขา อีกรูปหนึ่งกล่าวว่า ปรากฏแก่ผมดุจแนวป่าแห่งหนึ่ง รูปอื่นกล่าวว่า ปรากฏแก่ผมดุจต้นไม้มีร่มเงาเย็นสมบูรณ์ด้วยกิ่งเต็มด้วยผล สูตรเดียวเท่านั้น ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้นโดยความต่างกัน เพราะสัญญาต่างกัน กรรมฐานเดียวเท่านั้น ย่อมปรากฏโดยความต่างกัน เพราะสัญญาต่างกัน ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะกรรมฐานนั้นเกิดแต่สัญญา มีสัญญาเป็นนิทาน (* เหตุ) มีสัญญาเป็นแดนเกิด ฉะนั้นพึงทราบว่า ย่อมปรากฏโดยความต่างกัน เพราะสัญญาต่างกัน.
อนึ่ง เมื่อนิมิตปรากฏ ภิกษุนั้นพึงไปหาอาจารย์แล้วบอกให้ทราบว่า ท่านอาจารย์ขอรับ นิมิตปรากฏเห็นปานนี้ ย่อมปรากฏแก่ผม ส่วนอาจารย์ควรกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส นี้เป็นนิมิต ดูก่อนสัตบุรุษ ท่านจงทำกรรมฐานไว้ในใจบ่อยๆ เถิด แต่นั้นพึงตั้งจิตไว้ในนิมิตเท่านั้น.
จำเดิมแต่นี้ไป ภิกษุนั้นย่อมมีภาวนาด้วยความแนบแน่นด้วยประการฉะนั้น สมดังที่พระโบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 190
ผู้มีปัญญายังจิตให้แนบแน่นในนิมิต เจริญอาการต่างๆ ย่อมผูกจิตของตนในลมอัสสาสะและปัสสาสะดังนี้.
จำเดิมแค่ความปรากฏแห่งนิมิตอย่างนี้ เป็นอันภิกษุนั้นข่มนิวรณ์ทั้งหลายได้แล้ว กิเลสทั้งหลายสงบ จิตตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ ครั้นแล้ว ภิกษุนั้นไม่ควรใส่ใจถึงนิมิตนั้นโดยความเป็นสี ไม่ควรพิจารณาโดยความเป็นลักษณะ แล้วภิกษุควรเว้นอสัปปายะ ๗ มีอาวาสเป็นต้น แล้วเสพสัปปายะ ๗ เหล่านั้น ควรรักษาไว้ให้ดีดุจขัตติยมเหสีรักษาครรภ์ของพระเจ้าจักรพรรดิและดุจชาวนารักษาท้องข้าวสาลีและข้าวเหนียวฉะนั้น ต่อแต่นั้น พึงรักษานิมิตนั้นไว้อย่างนี้ แล้วถึงความเจริญงอกงามด้วยมนสิการบ่อยๆ ยังความเป็นผู้ฉลาดในอัปปนา ๑๐ อย่างให้ถึงพร้อม พึงประกอบภาวนาโดยมีความเพียรสม่ำเสมอ.
เมื่อภิกษุพยายามอยู่อย่างนี้ จตุกกฌานและปัญจกฌานย่อมเกิดในนิมิตนั้นตามลำดับ ดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค อนึ่ง ภิกษุผู้มีจตุกกฌานเกิดแล้วอย่างนี้ ประสงค์จะเจริญกรรมฐานด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาและมรรคแล้วบรรลุผล จงทำฌานนั้นให้คล่องแคล่วถึงความชำนาญเป็นวสีด้วยอาการ ๕ อย่างแล้ว กำหนดนามรูปเริ่มตั้งวิปัสสนา.
อย่างไร เพราะภิกษุนั้นออกจากสมาบัติแล้ว ย่อมเห็นว่า กรชกายและจิตเป็นเหตุเกิดลมอัสสาสปัสสาสะ เหมือนอย่างว่า ลมย่อมสัญจรเพราะอาศัยเครื่องสูบของช่างทองและความพยายามเกิดแต่การสูบเครื่องของบุรุษ ฉันใด ลมอัสสาสปัสสาสะย่อมสัญจรเพราะอาศัยกายและจิตฉันนั้นเหมือนกัน แต่นั้น ย่อมกำหนดกายว่า เป็นรูปในเพราะอัสสาสปัสสาสะ และกำหนดจิตว่าเป็นอรูปในเพราะธรรมอันสัมปยุตด้วยจิตนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 191
ครั้นภิกษุกำหนดนามรูปอย่างนี้แล้ว แสวงหาปัจจัยแห่งนามรูปนั้น เมื่อแสวงหา ครั้นเห็นปัจจัยนั้นแล้ว ปรารภถึงความเป็นไปแห่งนามรูปในกาลแม้ ๓ แล้ว จึงข้ามความสงสัยได้ ข้ามความสงสัยได้แล้ว จึงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ว่า อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาเป็นกลาปะ (กอง) เมื่อส่วนเบื้องต้นแห่งอุทยัพพยานุปัสสนาเกิด จึงละวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น แล้วกำหนดอุทยัพพยานุปัสสนาญาณอันพ้นจากอุปกิเลสว่า เป็นมรรค ละความเกิดขึ้นแล้ว ถึงภังคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความดับ) เมื่อสังขารทั้งปวงปรากฏโดยความเป็นภัยด้วยภังคานุปัสสนาเป็นลำดับ จึงเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในสังขารทั้งปวง หลุดพ้น บรรลุอริยมรรค ๔ ตามลำดับ ตั้งอยู่ในอรหัตผลถึงที่สุดแห่งปัจจเวกขณาญาณ ๑๙ อย่าง เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศของโลกพร้อมทั้งเทวโลก ด้วยเหตุประมาณเท่านี้ การเจริญอานาปานสติสมาธิตั้งต้นแต่การนับลมอัสสาสปัสสาสะนั้น มีวิปัสสนาเป็นที่สุด เป็นอันครบบริบูรณ์.
นี้เป็นการพรรณนาปฐมจตุกกะโดยอาการทั้งปวง ดังนี้แล.
อนึ่ง ในจตุกกะ ๓ นอกนี้ เพราะไม่มีนัยแห่งกรรมฐานภาวนาแยกไว้ต่างหาก ฉะนั้น พึงทราบเนื้อความแห่งจตุกกะเหล่านั้นโดยนัยแห่งการพรรณนาอนุบท (ตามบท) ที่สมควรนั่นเเลอย่างนี้.
บทว่า ปีติปฏิสํเวที (รู้แจ้งปีติ) คือย่อมศึกษาว่า เราจักทำปีติให้รู้แจ้ง (ให้แจ่มชัด) ทำให้ปรากฏ หายใจเข้า หายใจออก ในบทนั้นเป็นอันรู้แจ้งปีติโดยอาการ ๒ คือโดยอารมณ์และโดยความไม่หลง.
รู้แจ้งปีติโดยอารมณ์เป็นอย่างไร.
ภิกษุย่อมเข้าฌาน ๒ อย่าง ที่มีปีติ ภิกษุนั้นชื่อว่า รู้แจ้งปีติโดยอารมณ์ ด้วยการได้ฌานในขณะแห่งสมาบัติ เพราะรู้แจ้งอารมณ์แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 192
รู้แจ้งโดยความไม่หลงเป็นอย่างไร.
ภิกษุเข้าฌาน ๒ อย่าง ที่มีปีติ ครั้นออกแล้ว ย่อมพิจารณาปีติอันสัมปยุตด้วยฌานโดยความเป็นของสิ้นไป โดยความเป็นของเสื่อมไป เป็นอันภิกษุนั้นรู้แจ้งปีติโดยความไม่หลง ด้วยการแทงตลอดลักษณะในขณะแห่งวิปัสสนา โดยนัยนี้แล พึงทราบแม้บทที่เหลือโดยอรรถ (เนื้อความ) แต่ในบทที่เหลือนี้ มีเนื้อความสักว่าต่างกันดังนี้ พึงทราบว่า เป็นอันภิกษุรู้แจ้งสุขด้วยสามารถแห่งฌาน ๓ รู้แจ้งจิตตสังขารด้วยสามารถแห่งฌานแม้ทั้ง ๔.
บทว่า จิตฺตสงฺขาโร (จิตตสังขาร) คือเวทนาขันธ์และสัญญาขันธ์.
บทว่า ปสฺสมฺภยํ จิตฺตสงฺขารํ (ระงับจิตตสังขาร) ความว่า ระงับ คือดับจิตตสังขารหยาบๆ พึงทราบจิตตสังขารนั้นโดยพิสดารตามนัยดังกล่าวแล้วในกายสังขาร.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวจตุกกะนี้โดยนัยแห่งเวทนานุปัสสนาอย่างนี้ว่า ในบทว่า ปีติ นี้ ท่านกล่าวเวทนาโดยหัวข้อแห่งปีติ.
ในบทว่า สุข ท่านกล่าวเวทนาโดยสรุป.
ในบทแห่ง จิตตสังขาร ทั้งสอง ท่านกล่าวเวทนาสัมปยุตด้วยสัญญาเพราะบาลีว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขารด้วย เหตุนั้นพึงทราบว่า ท่านกล่าวจตุกกะนี้โดยนัยแห่งเวทนานุปัสสนาอย่างนี้.
แม้ในจตุกกะที่ ๓ ก็พึงทราบความเป็นผู้รู้แจ้งจิตด้วยอำนาจแห่งฌาน ๔.
บทว่า อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ (ทำจิตให้บันเทิง) คือภิกษุย่อมศึกษาว่า เรายังจิตให้บันเทิง ให้ปราโมทย์ ให้ร่าเริง ให้รื่นเริง จักหายใจเข้า จักหายใจออก ในบทนั้น ภิกษุเป็นผู้บันเทิงด้วยอาการ ๒ อย่าง คือด้วยสามารถแห่งสมาธิและด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 193
ด้วยสามารถแห่งสมาธิเป็นอย่างไร.
ภิกษุเข้าถึงฌาน ๒ อย่างพร้อมด้วยปีติ ภิกษุทำจิตให้บันเทิง ให้ปราโมทย์ด้วยปีติที่สัมปยุตในขณะแห่งสมาบัติ.
ด้วยอำนาจวิปัสสนาเป็นอย่างไร.
ภิกษุเข้าถึงฌาน ๒ อย่างพร้อมด้วยปีติ ครั้นออกแล้วย่อมพิจารณาปีติสัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป ภิกษุทำปีติสัมปยุตด้วยฌานในขณะแห่งวิปัสสนาให้เป็นอารมณ์อย่างนี้ ยังจิตให้บันเทิง ให้ปราโมทย์ ภิกษุผู้ปฏิบัติอย่างนี้ ท่านกล่าวว่า ภิกษุย่อมศึกษาว่า เราจักยังจิตให้บันเทิงหายใจเข้าหายใจออก.
บทว่า สมาทหํ จิตตํ (ตั้งจิตไว้) คือตั้งดำรงจิตไว้เสมอในอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งปฐมฌานเป็นต้น หรือเข้าฌานเหล่านั้นแล้ว ครั้นออกแล้ว พิจารณาจิตที่สัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งชั่วขณะ ย่อมเกิดขึ้นด้วยการแทงตลอดลักษณะในขณะแห่งวิปัสสนา เพราะตั้งจิตไว้ ดำรงจิตไว้เสมอซึ่งจิตในอารมณ์แม้ด้วยอำนาจความที่จิตมีอารมณ์เดียว (เป็นหนึ่ง) ชั่วขณะเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ท่านก็กล่าวว่า ภิกษุย่อมศึกษาว่า เราจักตั้งจิตไว้หายใจเข้าหายใจออก.
บทว่า วิโมจยํ จิตฺตํ (เปลื้องจิต) คือเปลื้องปล่อยจิตจากนิวรณ์ทั้งหลายด้วยปฐมฌาน เปลื้องปล่อยจิตจากวิตกวิจารด้วยทุติฌาน จากปีติด้วยตติยฌาน จากสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน หรือเข้าฌานทั้งหลายเหล่านั้น ครั้นออกแล้วย่อมพิจารณาจิตสัมปยุตด้วยฌานโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป ภิกษุนั้นเปลื้องปล่อยจิตจากนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนาในขณะแห่งวิปัสสนา เปลื้องปล่อยจิตจากสุขสัญญาด้วยทุกขานุปัสสนา จากอัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสสนา จากความเพลิดเพลินด้วยนิพพิทานุปัสสนา จากราคะด้วยวิราคานุปัสสนา จากสมุทัยด้วยนิโรธานุปัสสนา จากความถือมั่น ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นการสละคืน) ย่อมหายใจเข้าและย่อมหายใจออก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 194
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิโมจยํ จิตฺตํ อสฺสสิสฺสามิ ปสฺสสิสฺสามีติ สิกฺขติ (ภิกษุย่อมศึกษาว่า เราจักเปลื้องจิตหายใจเข้าหายใจออก) พึงทราบว่าจตุกกะนี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งจิตตานุปัสสนา.
พึงทราบวินิจฉัยในจตุกกะที่ ๔ ดังต่อไปนี้ พึงทราบ อนิจฺจํ ในบทว่า อนิจฺจานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง) นี้ก่อน เบื้องต้น พึงทราบอนิจจัง พึงทราบอนิจจตา พึงทราบอนิจจานุปัสสนา พึงทราบอนิจจานุปัสสี.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิจฺจํ (ความไม่เที่ยง) ได้แก่ ขันธ์ ๕ เพราะเหตุไร เพราะเบญจขันธ์มีเกิด เสื่อมและเป็นอย่างอื่น.
บทว่า อนิจฺจตา (ความเป็นของไม่เที่ยง) คือความที่เบญจขันธ์เหล่านั้นเกิด เสื่อมและเป็นอย่างอื่น หรือเป็นแล้วไม่เป็น ความว่า การไม่ตั้งอยู่โดยอาการนั้นของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วแตกไปโดยการทำลายแห่งขณะ.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา (พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง) อนิจจานุปัสสนา คือพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยงในรูปเป็นต้นด้วยสามารถแห่งความไม่เที่ยงนั้น.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี (บุคคลผู้พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง) อนิจจานุปัสสี คือประกอบด้วยอนุปัสสนานั้น เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้เป็นอย่างนั้นหายใจเข้าและหายใจออก ย่อมศึกษาในที่นี้ว่า เราจักพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้าและหายใจออก ดังนี้.
ในบทว่า วิราคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด) นี้ ความคลายกำหนัดมี ๒ อย่าง คือความคลายกำหนัดเพราะสิ้นไป และความคลายกำหนัดเพราะล่วงส่วน (โดยสิ้นเชิง).
ใน ๒ บทนั้น บทว่า ขยวิราโค (ความคลายกำหนัดเพราะสิ้นไป) ได้แก่ ความทำลาย (แตกดับ) ทุกขณะแห่งสังขารทั้งหลาย.
บทว่า อจฺจนฺตวิราโค (ความคลายกำหนัดเพราะล่วงส่วน ได้แก่ นิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 195
บทว่า วิราคานุปสฺสนา พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด) ได้แก่ วิปัสสนาและมรรคอันเป็นไปแล้ว ด้วยสามารถแห่งการเห็นทั้งสองอย่างนั้น พึงทราบว่า ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยอนุปัสสนาแม้สองอย่างหายใจเข้าและหายใจออก ย่อมศึกษาว่า เราจักพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้าหายใจออก ดังนี้.
แม้ในบทว่า นิโรธานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความดับ) ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ในบทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความสละคืน) นี้ มี ๒ อย่าง คือสละคืนเพราะบริจาค และสละคืนเพราะการแล่นไป ความพิจารณาเห็นความสละคืน ชื่อว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสนา บทนี้เป็นชื่อของวิปัสสนามรรค เพราะวิปัสสนาย่อมสละกิเลสทั้งหลายพร้อมด้วยขันธาภิสังขารด้วยสามารถแห่งตทังคปหาณ ย่อมแล่นไปเพราะเห็นโทษแห่งสังขตธรรม และเพราะน้อมไปในนิพพานอันตรงกันข้ามกับโทษแห่งสังขตธรรมนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สละคืนเพราะบริจาค และสละคืนเพราะแล่นไป.
มรรคย่อมสละกิเลสทั้งหลายพร้อมขันธาภิสังขาร ด้วยอำนาจแห่งการตัดขาด ย่อมแล่นไปในนิพพานด้วยการทำให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า สละคืนเพราะบริจาค สละคืนเพราะแล่นไป.
แม้ทั้งสองบทนั้น ท่านก็กล่าวว่าเป็น อนุปัสสนา เพราะความเห็นตามญาณก่อนๆ พึงทราบว่า ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความสละคืน) แม้สองอย่างนั้น หายใจเข้าและหายใจออก ย่อมศึกษาว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้าหายใจออก.
อนึ่ง พึงทราบว่า ในบทว่า อนิจฺจานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง) นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาอ่อน.
บทว่า วิราคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด) ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งวิปัสสนาที่มีกำลังมากกว่านั้นอันสามารถคลายความกำหนัดในสังขารทั้งหลายได้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 196
ในบทว่า นิโรธานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความดับ) ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาอันมากกว่านั้นที่สามารถดับกิเลส.
บทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความสละคืน) ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาอันกล้าแข็งที่ใกล้มรรคเข้าไปแล้ว.
การสละคืนแม้มรรคก็มิได้ทำลายไปในวิปัสสนาที่ได้ (การสละคืนแม้อันเป็นที่ที่ได้มรรคไม่มีเสื่อมเลย) ท่านกล่าวจตุกกะนี้ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาล้วนๆ แต่จตุกกะ ๓ อย่างข้างต้น ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนา ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาอาปานสติมาติกกา
อรรถกถาทีฆอัสสาสปัสสาสนิเทศ
บัดนี้ เพื่อแสดงจำแนกมาติกาตามที่วางไว้โดยลำดับ จึงเริ่มบทมีอาทิว่า อิธาติ อิมิสฺสา ทิฏฺิยา (คำว่า ในธรรมวินัยนี้ ความว่า ในทิฏฐินี้).
บทว่า อิธ คือในทิฏฐินี้.
ในบทเหล่านั้น ท่านกล่าวถึงคำสอนของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเท่านั้น อันได้แก่ไตรสิกขาด้วยบท ๑๐ บทมีอาทิว่า อิมิสฺสา ทิฏฺิยา (ในทิฏฐินี้).
ก็คำสอนนั้น ท่านกล่าวว่า ทิฏฐิ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพุทธะทรงเห็นแล้ว ท่านกล่าวว่า ขันติ ด้วยสามารถความอดทนแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละ กล่าวว่า รุจิ (ความชอบใจ) ด้วยสามารถความชอบใจแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละ กล่าวว่า เขต ด้วยสามารถการถือเอาแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแหละ กล่าวว่า ธรรม ด้วยอรรถว่าเป็นสภาวธรรม กล่าวว่า วินัย ด้วยอรรถว่าควรศึกษา กล่าวว่า ธรรมวินัย แม้ด้วยอรรถทั้งสองนั้น กล่าวว่า ปาพจน์ ด้วยสามารถแห่งธรรมที่ตรัสทั่วแล้ว กล่าวว่า พรหมจรรย์ ด้วยอรรถว่า เป็นความประพฤติอันประเสริฐ กล่าวว่า สัตถุศาสน์ ด้วยสามารถให้คำสั่งสอน.
เพราะฉะนั้น ในบทว่า อิมิสฺสา ทิฏฺิยา เป็นต้น พึงทราบความว่า ในความเห็นของพระพุทธเจ้านี้ ในความอดทนของพระพุทธเจ้านี้ ในความชอบใจของพระพุทธเจ้านี้ ในเขตของพระพุทธเจ้านี้ ในธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ในวินัยของพระพุทธเจ้านี้ ในธรรมและวินัยของพระพุทธเจ้านี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 197
ในปาพจน์ของพระพุทธเจ้านี้ ในพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้านี้ ในสัตถุศาสน์ของพระพุทธเจ้านี้.
อีกอย่างหนึ่ง ปาพจน์ทั้งสิ้นอันได้แก่ ไตรสิกขานี้ ชื่อว่า ทิฏฐิ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นแล้ว เพราะเป็นปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ และเพราะมีสัมมาทิฏฐิเป็นธรรมถึงก่อน ชื่อว่า ขันติ ด้วยสามารถความอดทนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า รุจิ ด้วยสามารถความพอใจ ชื่อว่า เขต ด้วยสามารถการถือเอา ชื่อว่า ธรรม เพราะทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติตามธรรมมิให้ตกไปในอบาย ชื่อว่า วินัย เพราะขจัดฝ่ายเศร้าหมองออกไป ธรรมและวินัยนั้นชื่อว่า ธรรมวินัย หรือชื่อว่า ธรรมวินัย เพราะขจัดอกุศลธรรมทั้งหลายด้วยกุศลธรรมทั้งหลาย.
ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนโคตมี ท่านพึงรู้ธรรมเหล่าใด ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อมีความกำหนัด ฯลฯ ดูก่อนโคตมี ท่านพึงทรงไว้โดยส่วนเดียว นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุศาสน์ หรือชื่อว่า ธรรมวินัย เพราะเป็นข้อบังคับโดยธรรม มิใช่ข้อบังคับโดยอาชญาเป็นต้น.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ชนบางพวกฝึกด้วยอาชญา ด้วยขอและด้วยหวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาธรรมใหญ่ ไม่ใช้อาชญา ไม่ใช้ศัสตรา ฝึกช้าง (นาฬาคิรี) แล้ว.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมื่อชนทั้งหลายอันพระองค์นำไปอยู่โดยธรรม ความริษยาอะไรจะมีแก่ผู้รู้ทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เพราะแนะนำโดยธรรม ชื่อว่า ธรรมวินัย จริงอยู่ วินัยนั้นเพื่อธรรมไม่มีโทษ มิใช่เพื่ออานิสงส์แห่งโภคสมบัติในภพ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 198
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ มิใช่อยู่เพื่อหลอกลวงคน.
แม้พระปุณณเถระก็กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส การประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วินัย เพราะนำไปให้บริสุทธิ์ การนำไปโดยธรรม ชื่อว่า ธรรมวินัย วินัยนั้นย่อมนำไปจากธรรม คือสงสาร หรือจากธรรมมีความโศกเป็นต้น สู่นิพพานอันบริสุทธิ์ หรือการนำไปสู่ธรรม มิใช่นำไปสู่พวกเจ้าลัทธิ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ธรรมวินัย จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ทรงธรรม วินัยนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนั่นแล อีกอย่างหนึ่ง เพราะธรรมทั้งหลายนั้นแลควรรู้ยิ่ง ควรกำหนดรู้ ควรละ ควรเจริญและควรทำให้แจ้ง ฉะนั้น วินัยนั้นเป็นการนำไปในธรรมทั้งหลาย มิใช่นำไปในสัตว์และในสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ธรรมวินัย.
คําเป็นประธานกว่าคำของคนอื่น โดยพร้อมด้วยอรรถและพร้อมด้วยพยัญชนะ ชื่อว่า คําเป็นประธาน (ปวจนะ) คำเป็นประธานนั้นแล ชื่อว่า ปาพจน์.
ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะมีความประพฤติประเสริฐด้วยจริยาทั้งปวง.
ชื่อว่า สัตถุศาสน์ เพราะเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย หรือคำสอนอันเป็นของพระศาสดา ชื่อว่า สัตถุศาสน์ เพราะพระธรรมวินัยนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นศาสดา ในพระบาลีว่า
ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอโดยล่วงเราไป.
พึงทราบความแห่งบททั้งหลายเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้ อนึ่ง เพราะภิกษุผู้ยังอานาปานสติสมาธิให้เกิด โดยอาการทั้งปวงมีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น มิได้มีในศาสนาอื่น ฉะนั้น ในบทนั้นๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 199
ท่านจึงกำหนดความแน่นอนลงไปว่า อิมสฺส (ในทิฏฐินี้) แห่งศาสนานี้ และ อิมสฺมิํ (ในเขตนี้) ในศาสนานี้ นี้เป็นอรรถแห่งการชี้แจงของมาติกาว่า อิธ (ในธรรมวินัยนี้).
อนึ่ง ท่านไม่กล่าวอรรถแห่งคำของ ภิกฺขุ ศัพท์ ด้วยคำมีอาทิว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณโก วา (เป็นกัลยาณปุถุชนก็ตาม) แล้วแสดงถึงภิกษุที่ประสงค์เอาในที่นี้เท่านั้น ในบทนั้น ชื่อว่า ปุถุชน เพราะเป็นผู้ยังตัดกิเลสไม่ได้ และชื่อว่า กัลยาณชน เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยข้อปฏิบัติมีศีลเป็นต้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนนั่นแล ชื่อว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณโก.
ชื่อว่า เสกฺโข (พระเสขะ) เพราะยังศึกษาอธิศีลเป็นต้น ได้แก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี หรือพระอนาคามี.
ชื่อว่า อกุปฺปธมฺโม (ผู้มีธรรมไม่กำเริบ) เพราะมีธรรม คืออรหัตผล ไม่กำเริบ คือไม่อาจให้หวั่นไหวได้ จริงอยู่ แม้ผู้มีธรรมไม่กำเริบนั้นก็ยังเจริญสมาธินี้.
พึงทราบวินิจฉัยในอรัญญนิเทศดังต่อไปนี้ โดยปริยายแห่งวินัย คำว่า ป่า มาในบทมีอาทิว่า เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้านส่วนที่เหลือเรียกว่า ป่า โดยปริยายแห่งพระสูตรหมายถึงภิกษุผู้อยู่ป่า มาแล้วในบทมีอาทิว่า เสนาสนะท้ายสุด ชั่ว ๕๐๐ ธนู ชื่อว่า ป่า พระวินัยและพระสูตรแม้ทั้งสองเป็นปริยายเทศนา (เทศนาโดยอ้อม) เพื่อแสดงป่าโดยปริยายเเห่งอภิธรรมว่า พระอภิธรรมเป็นนิปริยายเทศนา (เทศนาโดยตรง) จึงกล่าวว่า ป่า คือออกนอกเสาเขื่อนไป ปาฐะว่า นิกฺขมิตฺวา พหิ อินฺทขีลํ อธิบายว่า เลยเสาเขื่อนออกไป อนึ่ง ในบทว่า อินฺทขีโล (เสาเขื่อน) นี้ คือธรณีประตูหมู่บ้านหรือนคร.
พึงทราบวินิจฉัยในรุกขมูลนิเทศดังต่อไปนี้ เพราะโคนไม้ปรากฏแล้ว ท่านจึงไม่กล่าวถึงโคนไม้นั้น กล่าวคำมีอาทิว่า ยตฺถ (ใด) ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 200
บทว่า ยตฺถ (ใด) คือที่โคนไม้ใด ชื่อว่า อาสนะ เพราะเป็นที่นั่ง เป็นที่นั่งพัก.
บทว่า ปญฺตฺตํ (ซึ่งจัดไว้) คือตั้งไว้แล้ว.
บทว่า มญฺโจ วา (เตียง) เป็นอาทิ เป็นคำกล่าวถึงประเภทของอาสนะ จริงอยู่ แม้เตียงท่านก็กล่าวไว้ในอาสนะทั้งหลายในบทนี้ เพราะใช้เป็นที่นั่งก็ได้ อนึ่ง เตียงนั้นเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ บรรดาเตียงพิเศษ คือมสารกะ (เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าไปในขา) พุนทิกาพัทธ์ (เตียงติดกันเป็นแผง) กุฬีรปาทกะ (เตียงมีเท้าดังตีนปู) อาหัจจปาท (เตียงมีขาจดแม่แคร่) บรรดาตั่ง (ตั่งที่มีแม่แคร่สอดเข้าไปในขา) เหล่านั้น ตั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนกัน.
บทว่า ภิสิ (ฟูก) ได้แก่ ฟูกอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดาฟูกทำด้วยขนแกะ ฟูกทำด้วยผ้า ฟูกทำด้วยเปลือกไม้ ฟูกทำด้วยหญ้า ฟูกทําด้วยใบไม้.
บทว่า ตฏฺฏิกา (เสื่อ) คือเสื่อทอด้วยใบตาลเป็นต้น.
บทว่า จมฺมขณฺโฑ (ท่อนหนัง) คือท่อนหนังอย่างใดอย่างหนึ่งอันสมควรเป็นที่นั่ง.
บทว่า ติณสนฺถโร (เครื่องลาดทำด้วยหญ้า) เป็นต้น คือเอาหญ้าเป็นต้นสุมกันเข้า.
บทว่า ตตฺถ (ที่อาสนะนั้น) คือที่โคนไม้นั้น.
ด้วยบทมีอาทิว่า จงฺกมติ วา (เดิน) ท่านกล่าวถึงความที่โคนไม้ใช้เป็นที่ยังอิริยาบถ ๔ ให้เป็นไปได้. ด้วยบททั้งปวงมี บทว่า ยตฺถ (ใด) เป็นอาทิ ท่านกล่าวถึงความที่โคนไม้มีร่มเงาหนาทึบ และเพราะเป็นที่สงัดจากผู้คน.
บทว่า เกนจิ (ด้วยใครๆ) ด้วยหมู่ชนใดๆ ท่านแยกหมู่ชนนั้นให้พิสดารออกไปจึงกล่าวว่า คหฏฺเน วา ปพฺพชิเตน วา (เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม).
บทว่า อนากิณฺณํ (เป็นสถานที่ไม่เกลื่อนกล่น) คือไม่มั่วสุม ไม่คับแคบ เสนาสนะใดเป็นที่รกชัฎด้วยภูเขา รกชัฏด้วยป่า รกชัฏด้วยแม่น้ำ คาวุตหนึ่งบ้าง กึ่งโยชน์บ้างโดยรอบ ใครๆ ไม่อาจเข้าไปโดยมิใช่เวลาอันควรได้ เสนาสนะนี้ ชื่อว่า ไม่เกลื่อนกล่น แม้ในที่ใกล้ ส่วนเสนาสนะใดอยู่กึ่งโยชน์หรือโยชน์หนึ่ง เสนาสนะนี้ ชื่อว่า ไม่เกลื่อนกล่น เพราะอยู่ไกล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 201
บทว่า วิหาโร (วิหาร) ได้แก่ ที่อยู่ที่เหลือ พ้นจากโรงมีหลังคาครึ่งหนึ่งเป็นต้น.
บทว่า อฑฺฒโยโค (โรงมีหลังคาครึ่งหนึ่ง) ได้แก่ โรงมีหลังคาโค้งดุจปีกครุฑ.
บทว่า ปาสาโท (ปราสาท) ได้แก่ ปราสาทยาวมีช่อฟ้าสองแห่ง.
บทว่า หมฺมิยํ (เรือนโล้น) ได้แก่ ปราสาทมีเรือนยอดตั้งอยู่ ณ พื้นอากาศเบื้องบน.
บทว่า คุหา (* ที่ปกปิด ที่กั้นหรือถ้ำ) ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาขันธกะอย่างนี้ คือถ้ำอิฐ ถ้ำหิน ถ้ำไม้ ถ้ำดิน ส่วนในอรรถกถาวิภังค์ ท่านกล่าวถึงเสนาสนะที่ทำให้มีทางเดินได้รอบ และมีที่พักกลางคืนและกลางวันไว้ในภายในว่า วิหาร.
บทว่า คุหา (ถ้ำ) ได้แก่ ถ้ำพื้นดิน ซึ่งควรได้แสงไฟตลอดคืนและวัน ท่านกล่าวบททั้งสองนี้ให้ต่างกัน คือถ้ำภูเขาหรือถ้ำพื้นดิน (ถ้ำพื้นราบ) ในมาติกาท่านทำให้เป็นวัตตมานาวิภัตติ ว่า นิสีทติ (นั่ง) ย่อมนั่ง ด้วยอำนาจแห่งลักษณะทั่วไปแก่กาลทั้งปวง แต่ท่านทำเป็นรูปสำเร็จว่า นิสินฺโน (นั่งแล้ว) เพื่อแสดงการเริ่มและการสุดท้ายของการนั่ง เพราะมีการเริ่มภาวนาของภิกษุผู้นั่ง ณ ที่นี้.
อนึ่ง เพราะเมื่อภิกษุนั่งตั้งกายตรง กายย่อมตรง ฉะนั้น ท่านไม่เอื้อในพยัญชนะ เมื่อจะแสดงถึงความประสงค์อย่างเดียว จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อุชุโก (ตรง).
ในบทเหล่านั้น บทว่า ิโต สุปณิหิโต (ตั้งวางไว้) กายเป็นกายอันภิกษุนั้นตั้งไว้ตรง ความว่า เป็นกายตั้งไว้ตรง เพราะตั้งตรงอยู่แล้ว มิใช่ตั้งไว้ตรงด้วยตนเอง.
บทว่า ปริคฺคหฏฺโ คือมีความกำหนดถือเอาเป็นอรรถ กำหนดถือเอาอะไร ถือการนำออก นำอะไรออกอย่างไร นำอานาปาสติสมาธินั่นเองออกจนถึงอรหัตมรรค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 202
ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า นิยฺยานฏฺโ (มีความนำออกเป็นอรรถ) ท่านกล่าวมีการนําออกเป็นอรรถจากสงสาร ด้วยสามารถแห่งอรรถอันเจริญ (สำคัญที่สุด) ของมุขศัพท์.
บทว่า อุปฏฺานตฺโถ (มีความปรากฏเป็นอรรถ) มีความเข้าไปตั้งไว้เป็นอรรถ คือมีสภาวธรรมเป็นอรรถ.
ด้วยบทเหล่านี้ทั้งหมดเป็นอันท่านอธิบายว่า ตั้งสติอันเป็นเครื่องนำออกที่กำหนดถือเอาแล้ว แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาว่า บทว่า ปริคฺคหฏฺโ คือมีความกำหนดถือเอาเป็นอรรถด้วยสติ บทว่า นิยฺยานฏฺโ คือมีทวารเข้าออกของลมอัสสาสปัสสาสะ ท่านอธิบายว่า ตั้งสติอันเป็นเครื่องนำออกลมอัสสาสปัสสาสะที่กำหนดถือเอาแล้ว.
บทว่า พตฺติํสาย อาการหิ (ด้วยอาการ ๓๒) ท่านกล่าวด้วยสามารถการถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือแห่งลมหายใจเข้าหายใจออกที่จะได้ตามลำดับ ในการกำหนดนั้นๆ.
บทว่า ทีฆํ อสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว) คือด้วยสามารถลมอัสสาสะที่กล่าวแล้วว่า ยาว ในมาติกา ในบทที่เหลือ ก็อย่างนี้.
บทว่า เอกคฺคตํ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียว.
บทว่า อวิกฺเขปํ (ไม่ฟุ้งซ่าน) คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวท่านกล่าวว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะจิตไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ.
บทว่า ปชานโต (รู้อยู่ เมื่อรู้) อธิบายว่า รู้ คือรู้ชัดด้วยความไม่หลง หรือรู้ด้วยทำให้เป็นอารมณ์ว่า เราได้ความไม่ฟุ้งซ่านแล้ว.
บทว่า ตาย สติยา (ด้วยสตินั้น) คือด้วยสติที่เข้าไปตั้งไว้แล้ว (ด้วยสติที่ปรากฏแล้ว).
บทว่า เตน าเณน (ด้วยญาณ) คือด้วยญาณรู้ความไม่ฟุ้งซ่านนั้น.
ในบทว่า สโตการี โหติ (เป็นผู้อบรมสติ) นี้ เพราะสติสัมปยุตด้วยญาณนั่นแล ท่านประสงค์เอาว่า สติ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ภิกษุประกอบด้วยสติและปัญญาอย่างยิ่ง ชื่อว่า เป็นผู้มีสติ.
ฉะนั้น แม้ญาณท่านก็ถือเอาด้วยคำว่า สโต (มีสติ).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 203
บทว่า อทฺธานสงฺขาเต (ในขณะที่นับว่ายาว) คือในกาลที่นับว่ายาว จริงอยู่ ทางยาวท่านก็เรียกว่า อทฺธาน (ยาว) แม้กาลนี้ท่านก็กล่าวว่า อทฺธาน เพราะยาวดุจทางยาว แม้ท่านกล่าวลมอัสสาสะและลมปัสสาสะต่างหากกันว่า อสฺสสติ หายใจเข้าบ้างและ ปสฺสสติ หายใจออกบ้าง เพื่อแสดงความเป็นไปตามลำดับแห่งภาวนา ท่านจึงกล่าวรวมอีกว่า อสฺสสติ (ย่อมหายใจเข้า) บ้าง ปสฺสสติ (หายใจออก) บ้าง.
บทว่า ฉนฺโท อุปฺปชฺชติ (ฉันทะย่อมเกิดขึ้น) คือฉันทะย่อมเกิดเพื่อความเจริญแห่ง ภาวนายิ่งๆ ขึ้นไป.
บทว่า สุขุมตรํ (ละเอียดกว่า) ท่านกล่าวเพราะมีความสงบ.
บทว่า ปามุชฺชํ อุปฺปชฺชติ (ความปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น) คือปีติย่อมเกิด เพราะความบริบูรณ์แห่งภาวนา.
บทว่า อสฺสาสปสฺสาสาปิ จิตฺตํ วิวฏฺฏติ (จิตย่อมหลีกออกจากลมอัสสาสปัสสาสะ) คือเมื่อปฏิภาคนิมิตเกิด เพราะอาศัยลมอัสสาสปัสสาสะ จิตย่อมละจากลมอัสสาสปัสสาสะตามปกติ.
บทว่า อุเปกฺขา สณฺาติ (อุเบกขาย่อมตั้งอยู่) คือในปฏิภาคนิมิตนั้น มัชฌัตตุเบกขาอันเป็นอุปจาระและอัปปนา ย่อมตั้งมั่นอยู่ เพราะไม่มีความขวนขวายในการตั้งมั่นอีก เหตุเพราะการบรรลุสมาธิ (อุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ).
บทว่า นวหากาเรหิ (ด้วยอาการ ๙ อย่าง) ได้แก่ อาการ ๙ อย่าง คืออาการ ๓ ที่ท่านกล่าวว่า อสฺสสติ บ้าง ปสฺสสติ บ้าง ตั้งแต่เริ่มภาวนา ก่อนแต่ฉันทะเกิด อาการ ๓ เกิดตั้งแต่ฉันทะเกิด ก่อนความปราโมทย์เกิด อาการ ๓ ตั้งแต่ความปราโมทย์เกิด.
บทว่า กาโย (กาย) ชื่อว่า กาย เพราะอรรถว่า ประชุม ได้แก่ ลมอัสสาสะและปัสสาสะที่เป็นของละเอียดๆ ขึ้นไป แม้นิมิตที่เกิดเพราะอาศัยลมอัสสาสะปกติปัสสาสะปกติ ก็ย่อมได้ชื่อว่า ลมอัสสาสปัสสาสะ.
บทว่า อุปฏฺานํ สติ (สติปรากฏ) สติ ชื่อว่า ความปรากฏ เพราะเข้าถึงอารมณ์นั้นแล้วตั้งอยู่.
บทว่า อนุปสฺสนา าณํ (อนุปัสสนาเป็นญาณ) สติเป็นอนุปัสสนาญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 204
ความว่า กายานุปัสสนาเป็นนิมิตด้วยสามารถสมถะอนุปัสสนา คือนามกายรูปกาย เป็นญาณด้วยสามารถวิปัสสนา.
บทว่า กาโย อุปฏฺานํ (กายปรากฏ) คือกาย ชื่อว่า ปรากฏ เพราะกายมีสติเข้าไปตั้งอยู่.
บทว่า โน สติ (ไม่ใช่สติ) ความว่า กายนั้นไม่ใช่สติ.
บทว่า ตาย สติยา (ด้วยสตินั้น) คือสติที่กล่าวแล้วในบัดนี้.
บทว่า เตน าเณน (ด้วยญาณนั้น) คือด้วยญาณที่กล่าวในบัดนี้เหมือนกัน.
บทว่า ตํ กายํ อนุปสฺสติ (พิจารณาเห็นกายนั้น) คือไปตามกายตามที่กล่าวด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนา แล้วเห็นด้วยญาณที่สัมปยุตด้วยฌาน หรือด้วยวิปัสสนาญาณ.
แม้ในมาติกา จะไม่มีบท (คำ) มี กาย เป็นต้น ก็ควรกล่าวในบัดนี้ เพราะจตุกกะนี้ท่านกล่าวด้วยสามารถกายานุปัสสนา ท่านชี้แจงบทแห่ง กาย หมายถึงคำว่า กาเย กายานุปสฺสนา สติปฏฺานภาวนา (สติปัฏฐานภาวนา คือการพิจารณาเห็นกายในกาย).
บทว่า กาเย กายานุปสฺสนา (การพิจารณาเห็นกายในกาย) คือการพิจารณาเห็นกายนั้นๆ ในกายหลายอย่าง อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า การพิจารณาเห็นกายในกาย มิใช่พิจารณาเห็นธรรมอื่น มิใช่พิจารณาเห็นความเที่ยงความสุขความเป็นอัตตาและความงาม ในกายอันเป็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาและไม่งาม โดยที่แท้ การพิจารณาเห็นกายเท่านั้น โดยความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาและไม่งาม อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า การพิจารณาเห็นกายสักแต่ว่ากาย เพราะไม่เห็นสิ่งไรๆ ที่ควรถือในกายว่า เรา ของเรา หญิงหรือชาย.
แม้ใน ๓ บท มีอาทิว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสนา (การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย) ข้างหน้า ก็มีนัยนี้เหมือนกัน สตินั่นแลปรากฏ ชื่อว่า สติปัฏฐาน สติปัฏฐานสัมปยุตด้วยกายานุปัสสนา ชื่อว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การเจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ชื่อว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานภาวนา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 205
บทว่า ตํ กายํ (กายนั้น) ท่านกล่าวทำดุจว่าแสดงแล้วเพราะกายนั้น ท่านสงเคราะห์ด้วย กาย ศัพท์ ในนามกายรูปกาย แม้ยังมิได้แสดงไว้ เพราะอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นย่อมได้ในนามกายและรูปกายนั่นเอง ไม่ได้ในกายนิมิต อนุปัสสนาและภาวนาย่อมได้เพราะท่านกล่าวไว้แล้ว.
บทมีอาทิว่า ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว) ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงอานิสงส์แห่งอานาปานสติภาวนา เพราะความที่สติไพบูลย์และญาณไพบูลย์เป็นอานิสงส์ของอานาปานสติภาวนานั้น.
บทว่า จิตฺตสฺส เอกคฺคตํ อวิกฺเขปํ ปชานโต (เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน) ท่านกล่าวหมายถึงความที่จิตมีอารมณ์เดียวในกาลเห็นแจ้งฌานที่ได้แล้ว.
บทว่า วิทิตา เวทนา (เวทนาปรากฏ) คือเวทนาซึ่งปรากฏด้วยเห็นการเกิดขึ้นโดยความเป็นสามัญ (ไตรลักษณ์).
บทว่า วิทิตา อุปฏฺหนฺติ (ปรากฏเข้าไปตั้งอยู่) คือปรากฏเข้าไปตั้งอยู่โดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป โดยความสูญ.
บทว่า วิทิตา อพฺภตฺถํ คจฺฉนฺติ (ปรากฏถึงความดับไป) คือปรากฏถึงความพินาศด้วยเห็นความเสื่อมโดยความเป็นสามัญ อธิบายว่า ทำลาย ย่อมแตกสลายไป แม้ใน สัญญา และ วิตก ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
อนึ่ง เมื่อท่านกล่าว เวทนา สัญญาและวิตก ๓ อย่างเหล่านี้ แม้รูปธรรมที่เหลือก็เป็นอันกล่าวไว้ด้วย เพราะเหตุไรจึงกล่าว ๓ อย่างเท่านั้น เพราะกำหนดถือเอาได้ยาก สุขทุกข์ปรากฏในเวทนาก่อน แต่อุเบกขาสุขุม (ละเอียด) กำหนดถือเอาได้ยาก ไม่ปรากฏด้วยดี แม้อุเบกขาก็ยังปรากฏแก่ภิกษุนั้น สัญญาถือเอาตามสภาวะ ไม่ปรากฏเพราะถือเอาเพียงอาการ อนึ่ง สัญญานั้นสัมปยุตด้วยวิปัสสนาญาณถือเอาลักษณะเป็นสามัญ (สามัญลักษณะ) ตามสภาวะ ไม่ปรากฏอย่างยิ่ง แม้สัญญาจะปรากฏแก่ภิกษุนั้น วิตกทำไว้ต่างหากจากญาณ เพราะเป็นญาณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 206
ปฏิรูป (* เทียม ไม่แท้) จึงกำหนดถือเอายาก เพราะญาณปฏิรูปเป็นวิตก สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนอาวุโสวิสาขะ ธรรม คือสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ สงเคราะห์เข้าในปัญญาขันธ์.
แม้วิตกนั้น ก็ปรากฏแก่ภิกษุนั้น เพราะเหตุนั้น เมื่อกล่าวถึงการกำหนดถือเอายากอย่างนี้ รูปธรรมที่เหลือก็เป็นอันกล่าวแล้วด้วย.
ในนิเทศแห่งบทเหล่านี้ ท่านถามว่า เวทนาปรากฏเกิดขึ้นอย่างไร ( กถํ วิทิตา เวทนา อฺปปชฺชนฺติ ) ไม่แก้บทนั้น แก้เพียงการปรากฏแห่งเวทนาที่เกิดขึ้น จึงเป็นอันแก้ความที่เวทนาปรากฏ เพราะเหตุนี้ จึงกล่าวคำ มีอาทิว่า กถํ เวทนาย อุปฺปาโท วิทิโต โหติ (ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาปรากฏอย่างไร) แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทมีอาทิว่า อวิชฺชาสมุทยา อวิชฺชานิโรธา (เพราะอวิชชาเกิด เพราะอวิชชาดับ) มีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล แม้สัญญาและวิตก ก็พึงทราบโดยนัยนี้แล ในวิตักกวาระ ท่านมิได้กล่าวว่า เพราะผัสสะดับ แล้วกล่าวในที่แห่งผัสสะว่า เพราะสัญญาเกิด เพราะสัญญาดับ หากถามว่า ที่กล่าวดังนั้นเพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะวิตกมีสัญญาเป็นมูล เพราะท่านกล่าวไว้ว่า ความต่างกันแห่งสังกัปปะเกิดขึ้นเพราะอาศัยความต่างแห่งสัญญา.
อนึ่ง ในบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต (เมื่อมนสิการโดยความไม่เที่ยง) พึงประกอบธรรมนั้นๆ ในวาระนั้นๆ โดยนัยมีอาทิว่า เวทนํ อนิจฺจโต มนสิกโรโต (เมื่อมนสิการเวทนาโดยความไม่เที่ยง) ก็เพราะ เวทนาสัมปยุตด้วยวิปัสสนาไม่เป็นอุปการะแก่วิปัสสนา เพราะไม่สามารถในการทำกิจแห่งวิปัสสนาได้ ฉะนั้นนั่นเอง เวทนาจึงไม่มาในโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย อนึ่ง กิจแห่งสัญญาสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้น สัญญานั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 207
จึงไม่เป็นอุปการะของวิปัสสนาโดยสิ้นเชิง แต่กิจแห่งการเห็นแจ้งเว้นวิตกย่อมไม่มี เพราะวิปัสสนามีวิตกเป็นสหายย่อมทำกิจของตน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ปัญญาตามธรรมดาของตนย่อมไม่สามารถจะตัดสินอารมณ์ว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได้ แต่เมื่อวิตกกระทบแล้ว กระทบแล้วให้อารมณ์ ปัญญาจึงสามารถตัดสินได้ เหมือนเหรัญญิกวางกหาปณะไว้ที่มือ แม้ประสงค์จะตรวจดูในส่วนทั้งหมดก็ไม่สามารถจะพลิกกลับด้วยสายตาได้ แต่ครั้นเอานิ้วมือพลิกกลับไปมาข้างโน้นข้างนี้ ก็สามารถตรวจดูได้ ฉันใด ปัญญาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ตามธรรมดาของตนไม่สามารถวินิจฉัยอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความไม่เที่ยงเป็นต้นได้ แต่สามารถวินิจฉัยอารมณ์อันวิตกมีการยกขึ้นเป็นลักษณะ มีการกระทบและการจดจ่อเป็นรส อันมาแล้วๆ ให้ได้ ดุจกระทบและพลิกกลับไปมา ฉะนั้น.
เพราะฉะนั้น เพื่อแสดงเพียงลักษณะ เพราะเวทนาและสัญญาทั้งหลายไม่เป็นอุปการะแก่วิปัสสนา ท่านจึงชี้แจงด้วยเอกวจนะในบทนั้นๆ ว่า เวทนาย สญฺาย (แห่งเวทนา แห่งสัญญา) ดังนี้ ก็เพื่อแสดงว่า ประเภทแห่งวิปัสสนามีประมาณเท่าใด ประเภทแห่งวิตกก็มีประมาณเท่านั้นเหมือนกัน การกล่าวว่า ท่านกระทำการชี้แจงด้วยพหุวจนะในคำนั้นๆ ว่า แห่งวิตก ( วิตกฺกานํ ) จึงถูกต้อง.
บทว่า ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถลมหายใจเข้าลมหายใจออกยาว) เป็นอาทิ ท่านกล่าวซ้ำอีก เพื่อแสดงความถึงพร้อมแห่งอานาปานสติภาวนาและผลแห่งภาวนา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สโมธาเนติ (ให้ประชุมลง) ความว่า ตั้งไว้ซึ่งอารมณ์หรือยังอารมณ์ให้ดังไว้ ชื่อว่า บุคคลย่อมตั้งอารมณ์เพื่อความบริบูรณ์แห่งภาวนา แม้ในความไม่มีความตั้งมั่นและความขวนขวาย.
บทว่า โคจรํ (อารมณ์) โคจร คือสังขารเป็นอารมณ์ในขณะแห่งวิปัสสนา และนิพพานเป็นอารมณ์ในขณะแห่งมรรคและขณะแห่งผล.
บทว่า สมตฺถํ (ธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์) คือความสงบเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 208
ประโยชน์ หรือชื่อว่า สมตฺโถ เพราะประโยชน์ของความสงบ ซึ่งธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์นั้น แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า มคฺคํ สโมธาเนติ (ยังมรรคให้ประชุมลง) คือนิพพานนั่นเอง เป็นโคจร (อารมณ์) ในขณะมรรคและผล.
บทว่า อยํ ปุคฺคโล (บุคคลนี้) คือพระโยคาวจร ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งอานาปานสติภาวนา.
ในบทว่า อิมสฺมิํ อารมฺมเณ (ในอารมณ์นี้) คือในอารมณ์อันเป็นสังขตะ กล่าวคือ นามกายรูปกายที่ท่านสงเคราะห์ด้วยบทว่า กาเย ในมรรคและในนิพพานเป็นอารมณ์อันเป็นมรรคโดยลำดับนั้น.
ท่านกล่าวศัพท์ว่า อารัมมณะ และ โคจร มีความอันเดียวกันด้วย บทว่า ยนฺตสฺส (สิ่งใดแห่งบุคคลนั้น) เป็นอาทิ.
บทว่า ตสฺส คือแห่งบุคคลนั้น.
บทว่า ปชานาตีติ ปุคฺคโล ปชานนา ปญฺา ท่านอธิบายว่า บุคคลย่อมรู้ด้วยปัญญา .
บทว่า อารมฺมณสฺส อุปฏฺานํ (ความปรากฏซึ่งอารมณ์) คือสติเป็นความปรากฏแห่งสังขาร เป็นอารมณ์ในขณะแห่งวิปัสสนาและนิพพาน เป็นอารมณ์ในขณะแห่งมรรคผล ในบทนี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถแห่งฉัฏฐีกรรม (ทุติยาวิภัตติ) เหมือนกล่าวว่า รญฺโญ อุปฏฺฐานํ (บำรุงซึ่งพระราชา).
บทว่า อวิกฺเขโป (ความไม่ฟุ้งซ่าน) คือสมาธิ.
บทว่า อธิฏฺานํ (ความตั้งมั่น) คือมีสังขารตามที่กล่าวแล้วเป็นอารมณ์และมีนิพพานเป็นอารมณ์ ชื่อว่า อธิฏฺานํ เพราะอารมณ์มีจิตตั้งมั่น.
บทว่า โวทานํ (ความผ่องแผ้ว) คือญาณ ก็ญาณนั้นชื่อว่า โวทานํ เพราะเป็นเหตุให้จิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์.
สมาธิอันเป็นฝ่ายหดหู่ ชื่อว่า สงบ เพราะเป็นความสงบด้วยการถึงความไม่หดหู่ ญาณอันเป็นฝ่ายฟุ้งซ่าน ชื่อว่า สงบ เพราะเป็นความสงบด้วยภาวะความไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยเหตุนั้นเป็นอันกล่าวถึงความที่สมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมคู่ในขณะแห่งวิปัสสนา มรรคและผล แต่สติ ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 209
สงบ เพราะมีอุปการะแก่ความสงบทั้งสองนั้น เพราะมีประโยชน์ทั้งหมด อารมณ์ ชื่อว่า สงบ เพราะตั้งมั่นด้วยสมถะ (* เป็นความสงบ).
บทว่า อนวชฺชฏฺโ (ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์) คือสภาวะแห่งวิปัสสนาไม่มีโทษ.
บทว่า นิกฺกิเลสฏฺโ (ธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์) คือสภาวะแห่งมรรคไม่มีกิเลส.
บทว่า โวทานฏฺโ (ธรรมมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์) คือสภาวะแห่งผลบริสุทธิ์.
บทว่า ปรมฏฺโ (ธรรมอันประเสริฐเป็นประโยชน์) คือสภาวะแห่งนิพพานเป็นธรรมสูงสุดกว่าธรรมทั้งปวง.
บทว่า ปฏิวิชฺฌติ (ย่อมแทงตลอด) คือแทงตลอดสภาวะนั้นๆ โดยความไม่หลง ในบทนี้ ท่านกล่าวถึงการแทงตลอดโดยชอบด้วยบทมีอาทิว่า อารมฺณสฺส อุปฏฺานํ (อารมณ์ปรากฏ) ปรากฏซึ่งอารมณ์ อนึ่ง ในบทนี้นั่นแหละ เพราะท่านกล่าวถึงการเเทงตลอดธรรมอันมีความผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ จึงเป็นอันกล่าวถึงธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรมอันไม่มีกิเลสเป็นประโยชน์ และธรรมอันประเสริฐเป็นประโยชน์ มีลักษณะอย่างเดียวกัน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ธรรมเครื่องนำไป มีลักษณะดังที่ท่านกล่าวว่า เมื่อกล่าวถึงธรรมอย่างเดียวกัน เป็นอันกล่าวถึงธรรมบางอย่างทั้งหมดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน.
อนึ่ง ในบทนี้ว่า ธรรมอันไม่มีโทษเป็นประโยชน์ ธรรมอันไม่เศร้าหมองเป็นประโยชน์ ชื่อว่า เป็นธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ เพราะเป็นประโยชน์ของความสงบ กล่าวคือ ความไม่ฟุ้งซ่าน ธรรมอันผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ ชื่อว่า เป็นธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ เพราะความสงบนั่นเเหละหมายถึงความผ่องแผ้วแห่งวิปัสสนาและมรรคเป็นประโยชน์ ชื่อว่า เป็นธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ เพราะเป็นประโยชน์แห่งความสงบ กล่าวคือ ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 210
ผ่องแผ้วแห่งมรรค หมายถึงความผ่องแผ้วแห่งผล ส่วนธรรมอันประเสริฐเป็นประโยชน์เป็นธรรมมีความสงบเป็นประโยชน์ เพราะมีความสงบนั่นแลเป็นประโยชน์ หรือเพราะเป็นประโยชน์แห่งความสงบทั้งหมด เพราะประกอบด้วยนิพพานความสงบเเละธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์มีประการดังกล่าวแล้วนั้น ท่านทำให้เป็นเอกเสสสมาสสรุปเป็นเอกเทศ (เอกเทศสมาสและสรูเปกเสสมาส) แล้วจึงกล่าวว่า สมตฺถญฺจ ปฏิวิชฺฌติ (แทงตลอดธรรมอันมีความสงบเป็นประโยชน์).
ธรรม คืออินทรีย์ พละและโพชฌงค์ย่อมได้แม้ในขณะแห่งวิปัสสนา มรรคและผล.
มรรคและวิสุทธิ ๓ ย่อมได้ในขณะมรรคผลนั่นเอง วิโมกข์ วิชชา และขยญาณ (ความรู้ในความสิ้นไปแห่งอาสวะ คืออาสวักขยญาณ) ย่อมได้ในขณะแห่งมรรคนั่นเอง วิมุตติและอนุปปาทญาณ (ความรู้ในการไม่เกิด) ย่อมได้ในขณะผลนั่นเอง ธรรมที่เหลือย่อมได้แม้ในขณะแห่งวิปัสสนา.
พึงทราบวินิจฉัยในธรรมวารดังต่อไปนี้ บทว่า อิเม ธมฺเม อิมสฺมิํ อารมฺมเณ สโมธาเนติ (ยังธรรมเหล่านี้ให้ประชุมลงในอารมณ์นี้) พึงทราบธรรมที่เหลือตามความประกอบได้เว้นนิพพาน ท่านกล่าวบทนี้ด้วยสามารถเป็นเยภุยนัย (เป็นส่วนมาก) อนึ่ง ในบทนี้อรรถที่ยังไม่ได้กล่าวไว้ ท่านได้กล่าวแล้วในหนหลัง แม้เมื่อท่านแสดงธรรมเป็นเครื่องนำออกด้วยจตุกกะหนึ่งๆ ก็เป็นอันแสดงถึงธรรมเป็นเครื่องนำออกโดยอำนาจส่วนหนึ่งๆ เพราะความที่ส่วนแม้หนึ่งๆ มีการหยั่งลงไปในที่สุดแห่งจตุกกะเป็นอุปนิสสัยปัจจัยแห่งธรรมเป็นเครื่องนำออก เพราะเว้นส่วนหนึ่งๆ เสีย ไม่เป็นการนำออก.
จบอรรถกถาทีฆอัสสาสปัสสาสนิเทศ
จบอรรถกถาแสดงลมหายใจเข้าและหายใจออกยาว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 211
อรรถกถาปฐมจตุกกนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในรัสสนิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า อิตฺตรสงฺขาเต (ในขณะที่นับได้นิดหน่อย) คือในกาลที่นับได้เล็กน้อย บทที่เหลือพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในนิเทศนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน สัพพกายปฏิสังเวทินิเทศ (นิเทศแห่งการรู้แจ้งกายทั้งปวง) ดังต่อไปนี้ เพื่อถือเอาความสุขเพราะเวทนาในอรูปธรรมหยาบ ท่านจึงกล่าวถึงเวทนาเสวยอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ก่อน แต่นั้น กล่าวถึงสัญญาถือเอาอาการแห่งอารมณ์ของเวทนาอย่างนี้ว่า บุคคลย่อมรู้พร้อมถึงเวทนาที่เสวย แต่นั้น กล่าวถึงเจตนาอันเป็นอภิสังขารด้วยอำนาจแห่งสัญญา แต่นั้น กล่าวถึงผัสสะเพราะบาลีว่า สัมผัสแล้วย่อมเสวยอารมณ์ สัมผัสแล้วย่อมรู้เวทนา สัมผัสแล้วย่อมคิดถึงเวทนา แต่นั้น กล่าวถึงมนสิการอันมีลักษณะทั่วไปแห่งเวทนาทั้งปวง กล่าวถึงสังขารขันธ์ด้วยเจตนาเป็นต้น เมื่อท่านกล่าวถึงขันธ์ ๓ อย่างอย่างนี้ เป็นอันกล่าวถึงวิญญาณขันธ์อาศัยขันธ์นั้น.
บทว่า นามญฺจ (นาม) ได้แก่ นามมีประการดังกล่าวแล้ว.
บทว่า นามกาโย จ (และนามกาย) นี้ ท่านกล่าวเพื่อนำนามนั้นออก เพราะท่านสงเคราะห์นิพพานเข้าโดยนาม และเพราะโลกุตรธรรมไม่เข้าถึงวิปัสสนา (ใช้เป็นวิปัสสนาไม่ได้) เป็นอันท่านนำเอานิพพานออกด้วยคำว่า กาโย (กาย) เพราะนิพพานพ้นจากกอง.
บทว่า เย จ วุจฺจนฺติ จิตฺตสงฺขารา (และสิ่งที่เรียกว่า จิตตสังขาร) ท่านกล่าวจิตตสังขารว่าเป็นนามกาย คือท่านกล่าวว่าจิตตสังขารแม้กล่าวอย่างนี้ว่า สัญญาและเวทนาเป็นเจตสิก ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิตเป็นจิตตสังขาร ก็สงเคราะห์เข้าด้วยนามกายในที่นี้.
บทว่า มหาภูตา (มหาภูตรูป) ชื่อว่า มหาภูตา เพราะเป็นใหญ่ โดยความปรากฏใหญ่ โดยความสามัญเป็นของใหญ่ โดยบริหารใหญ่ โดยผิดปกติใหญ่ มหาภูตรูปมี ๔ อย่าง คือ ปวี อาโป เตโช วาโย.
บทว่า จตุนฺนญฺจ มหาภูตานํ อุปาทายรูปํ (รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 212
เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ ความว่า รูปที่ยังไม่ละยังเป็นไปเพราะอาศัยซึ่งมหาภูตรูป ๔ ก็อุปาทายรูปนั้นมี ๒๔ อย่าง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หทัยวัตถุ โอชะ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ อากาศธาตุ รูปลหุตา (เบา) รูปมุทุตา (อ่อน) รูปกัมมัญญตา (ควรแก่การงาน) รูปอุปจายะ (เกิดขึ้น) รูปสันตติ (เจริญขึ้น สืบต่อ) รูปชรตา (เสื่อม ความคร่ำคร่า) รูปอนิจจตา (ดับ ความไม่เที่ยง).
บทว่า อสฺสาโส จ ปสฺสาโส จ คือลมอัสสาสะ ปัสสาสะตามปกตินั่นเอง แม้ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นเพราะอาศัยลมอัสสาสปัสสาสะ ก็ได้ชื่อนั้น ดุจปฐวีกสิณเป็นต้น อนึ่ง เพราะเห็นคล้ายกับรูป จึงได้ชื่อว่า รูป ดุจในประโยคมีอาทิว่า เห็นรูปในภายนอก.
บทว่า นิมิตฺตญฺจ อุปนิพนฺธนา (นิมิตที่เข้าไปผูกไว้) คือที่สัมผัสลมอัสสาสปัสสาสะเป็นนิมิตแห่งการเข้าไปผูกพันด้วยสติ.
บทว่า เย จ วุจฺจนฺติ กายสงฺขารา (และสิ่งที่เรียกว่า กายสังขาร) ท่านกล่าวกายสังขารว่า เป็นรูปกาย คือท่านกล่าวว่า กายสังขารแม้กล่าวอย่างนี้ว่า ลมอัสสาสปัสสาสะเป็นไปในกาย ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขาร ก็สงเคราะห์เข้าด้วยรูปกาย ในที่นี้.
บทว่า เต กายา ปฏิวิทิตา โหนฺติ (กายเหล่านั้นย่อมปรากฏ) คือกายมีลมอัสสาสปัสสาสะเป็นนิมิตในขณะแห่งฌาน กายมีรูป (รูปกาย) และไม่มีรูป (อรูปกาย) ที่เหลือในขณะแห่งวิปัสสนา ย่อมปรากฏโดยอารมณ์ ในขณะแห่งมรรคย่อมปรากฏโดยความไม่หลง.
ท่านกล่าวบทมีอาทิว่า ทีฆํ อสฺสาสปสฺสาสวเสน (ด้วยสามารถแห่งลมอัสสาสปัสสาสะยาว) หมายถึงแม้ในวิปัสสนามรรคเกิดขึ้นแล้วแก่พระโยคาวจรผู้ได้ฌาน ด้วยสามารถแห่งลมอัสสาสปัสสาสะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 213
บทมีอาทิว่า อาวชฺชโต ปชานโต (เมื่อคำนึงถึง เมื่อรู้) มีความดังได้กล่าวแล้วในศีลกถา ท่านทำกายทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วเหล่านั้น ไว้ในภายในแล้วกล่าวว่า สพฺพกายปฏิสํเวที (เป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวง).
ในบทมีอาทิว่า สพฺพกายปฏิสํเวที อสฺสาสปสฺสาสานํ สํวรฏฺเน (ความเป็นผู้รู้แจ้งกายทั้งปวงหายใจเข้าหายใจออก เพราอรรถว่า สำรวม) ด้วยอรรถว่า ความเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง ระวังลมหายใจเข้าลมหายใจออก พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ความสำรวมในฌาน วิปัสสนาและมรรคอันเกิดขึ้นแล้วแต่ลมอัสสาสปัสสาสะ ดังท่านกล่าวว่า สพฺพกายปฏิสํเวที เป็นผู้รู้แจ้งกองลม (กาย) ทั้งปวง เป็นศีลวิสุทธิ (สีลวิสุทธิ) ด้วยอรรถว่า ระวัง (สำรวม) สํวรฏฺเฐน สีลวิสุทธิ ความไม่ฟุ้งซ่าน เป็นจิตตวิสุทธิด้วย เพราะอรรถว่า ไม่ฟุ้งซ่าน ( อวิกฺเขปฏฺเฐน จิตฺตวิสุทฺธิ ) ปัญญานั่นแล เป็นทิฏฐิวิสุทธิ ด้วยอรรถว่า เห็น ( ทสฺสนฎฺเฐน ทิฏฺฐิวิสุทธิ ) เพียงความไม่มีบาป แม้ในความไม่มีวิรัติในฌานและวิปัสสนา ก็พึงทราบว่าชื่อว่า สำรวม.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งบทมีอาทิว่า ปสฺสมฺภยํ (ระงับ) ดังต่อไปนี้ บทว่า กายิกา (เป็นไปทางกาย) คือมีในรูปกาย บทว่า กายปฏิพทฺธา (เนื่องด้วยกาย) คือเนื่องด้วยกาย อาศัยกาย เมื่อกายมี ลมอัสสาสปัสสาสะก็มี เมื่อกายไม่มี ลมอัสสาสปัสสาสะก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ลมอัสสาสปัสสาสะ จึงชื่อว่า กายสังขาร เพราะลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านั้นปรุงขึ้นด้วยกาย.
บทว่า ปสฺสมฺเภนฺโต (ระงับ) คือให้ดับ ให้สงบ ความระงับกายสังขารอย่างหยาบ สำเร็จด้วยคำว่า ปสฺสมฺภน (ระงับ)
บทว่า นิโรเธนฺโต (ดับ) คือดับด้วยไม่ให้กายสังขารอย่างหยาบเกิดขึ้น.
บทว่า วูปสเมนฺโต (สงบ) คือนำความสงบโดยนัยแห่งการแปรปรวนสันตติอย่างหนึ่ง (ขณะหนึ่ง) ในกายสังขารอย่างหยาบนั่นแล.
บทว่า สิกฺขติ (ศึกษาอยู่) ย่อมเชื่อมความว่า ย่อมศึกษาว่า เราจักหายใจเข้าด้วยสามารถแห่งอธิการ (* การกระทำอันยิ่ง หมายถึง การเอาใจใส่หรือติดตาม) หรือย่อมศึกษาไตรสิกขา.
บัดนี้เพื่อแสดงถึงความระงับกายสังขารอย่างหยาบ ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ยถารูเปหิ (เห็นปานใด) เพราะกายสังขารเห็นปานใด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 214
บทว่า อานมนา (ความอ่อนไป) คืออ่อนไปข้างหลัง.
บทว่า วินมนา (ความน้อมไป) คือน้อมไปทั้งสองข้าง.
บทว่า สนฺนมนา (ความเอนไป) คือเอนไปเป็นอย่างดีของกายสังขาร ที่เอนไปแม้โดยข้างทั้งปวง.
บทว่า ปณมนา (ความโอนไป) คือโอนไปข้างหน้า.
บทว่า อิญฺชนา (ความหวั่นไหว) คือสั่นไหว.
บทว่า ผนฺทนา (ความดิ้นรน) คือส่าย (ไหว) ไปนิดหน่อย.
บทว่า ปกมฺปนา (ความโยก) คือโคลงไปมามาก.
พึงทำการเชื่อมว่า ความอ่อนไป ฯลฯ ความโยกกายด้วยกายสังขารเห็นปานใด ระงับกายสังขารเห็นปานนั้น และความอ่อนไป ฯลฯ ความโยกใดแห่งกายระงับความอ่อนไปเป็นต้นนั้น เพราะความกายสังขารระงับ ก็เป็นอันระงับความอ่อนไปเป็นต้นของกาย.
พึงทราบโดยการเชื่อมความว่า กายไม่มีการน้อมไปเป็นต้น ด้วยกายสังขารเห็นปานใด ระงับกายสังขารแม้ละเอียดสุขุมเห็นปานั้นได้ และกายไม่มีการน้อมไปเป็นต้นใด ระงับกายกายสังขารอันละเอียดสุขุมนั้นได้.
บทว่า สนฺตํ สุขุมํ (ละเอียดสุขุม) นี้ เป็นภาวนปุงสกะ (เป็นนปุงสกลิงค์).
ในบทว่า อิติ กิร (ได้ทราบมาดังนี้ว่า) นี้ บทว่า อิติ มาในความว่า เอวํ (ด้วยประการฉะนี้) อย่างนี้ บทว่า กิร มาในความว่า ยทิ (ผิว่า) คือผิว่า (ผิว่าผู้โจทก์เริ่มโจทอย่างนี้ว่า) เล่าลือกันมาว่า ภิกษุย่อมศึกษาว่า เราจักระงับลมอัสสาสปัสสาสะแม้ละเอียดสุขุมอย่างนี้หายใจเข้าหายใจออก ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กิร ท่านอธิบายว่า เพราะเป็นคำเล่าลือ จึงควรลงในอรรถว่า ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าอดกลั้นและคนอื่นเขาพูดมา เราจึงไม่เชื่อ ไม่อดกลั้น ไม่ประจักษ์แก่เราว่า ภิกษุย่อมศึกษาความระงับกายสังขารแม้สุขุมด้วยประการฉะนี้ ดังนี้.
บทว่า เอวํ สนฺเต (เมื่อเป็นอย่างนี้) คือเมื่อระงับกายสังขารอันสุขุมอย่างนี้มีอยู่.
บทว่า วาตูปลทฺธิยา จ ปภาวนา น โหติ (ความได้ลมก็ไม่ปรากฏ)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 215
คือการได้ลมอัสสาสปัสสาสะ.
บทว่า อุปลทฺธิ (ความได้) คือความรู้แจ้ง ความว่า ความรู้แจ้งในการภาวนาอันมีลมอัสสาสปัสสาสะนั้นเป็นอารมณ์ ย่อมไม่ปรากฏ คือไม่เกิดขึ้น อธิบายว่า อารมณ์นั้นไม่มีภาวนา (อารมณ์นั้นย่อมไม่เจริญ).
บทว่า อสฺสาสปสฺสาสานญฺจ ปภาวนา น โหติ (ลมอัสสาสะ ปัสสาสะก็ไม่ปรากฏ) ความว่า เพราะดับลมอัสสาสปัสสาสะแม้สุขุมด้วยภาวนา ลมอัสสาสปัสสาสะเหล่านี้นั้นก็ไม่เกิด ไม่ปรากฏ (ไม่เป็นไป).
บทว่า อานาปานสติยา จ ปภาวนา น โหติ (อานาปานสติก็ไม่ปรากฏ) คือสติสัมปยุตด้วยความรู้แจ้งในภาวนา อันมีอานาปานสตินั้นเป็นอารมณ์ ย่อมไม่เป็นไป เพราะไม่มีลมอัสสาสปัสสาสะ เพราะฉะนั้น การเจริญอานาปานสติสมาธิอันสัมปยุตด้วยความรู้แจ้งในภาวนานั้น ย่อมไม่มี.
บทว่า จ นํ ในบทนี้ว่า น จ นํ ตํ เป็นเพียงนิบาต ดุจในบทว่า ภิกฺขุ จ นํ เป็นอาทิ พึงเชื่อมความว่า บัณฑิตทั้งหลายจะเข้าสมาบัติอย่างที่กล่าวแล้วนั้น ก็หามิได้ แม้จะออกจากสมาบัตินั้น ก็หามิได้.
บทว่า อิติ กิร คือด้วยประการอย่างนี้ โดยเป็นถ้อยคำของฝ่ายเล่าลือ พึงเห็นว่า กิร ศัพท์ในบทนี้ลงในอรรถว่า เอวํ (ด้วยประการอย่างนี้ นั่นแหละ).
บทว่า เอวํ สนฺเต (เมื่อเป็นอย่างนี้) คือเมื่อมีความระงับอย่างนี้นั่นแหละ.
บทว่า ยถา กตํ วิย (ข้อนั้นเหมือนอะไร) คือถามความเปรียบเทียบว่า ข้อนั้นเหมือนวิธีที่กล่าวไว้อย่างไร ท่านแสดงความเปรียบเทียบนั้น ด้วยบทว่า เสยฺยถาปิ (เหมือนอย่างว่า ฉันใด).
บทว่า กํเส (กังสดาล) คือภาชนะทำด้วยโลหะ (* สัมฤทธิ์หรือทองเหลือง).
บทว่า นิมิตฺตํ (ซึ่งนิมิต) คืออาการแห่งเสียงเหล่านั้น อนึ่ง บทว่า นิมิตฺตํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ ความว่า แห่งนิมิต นิมิตแห่งเสียงไม่ใช่อื่นจากเสียง.
บทว่า สุคฺคหิตตฺตา (ตามที่หมาย) คือเพราะถือเอาด้วยดี ปาฐะว่า สุคหิตตฺตา ก็มี อธิบายว่า ถือเอาแล้วด้วยดี.
บทว่า สุมนสิกตตฺตา (ตามที่นึก) คือเพราะนึก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 216
ด้วยดี.
บทว่า สุปธาริตตฺตา (เพราะทรงจำไว้ด้วยดี) คือตั้งไว้ในจิตด้วยดี.
บทว่า สุขุมสทฺทนิมิตฺตารมฺมณตฺตาปิ (แม้เพราะนิมิตแห่งเสียงค่อย เป็นอารมณ์) คือเพราะเสียงแม้ค่อยในกาลนั้นดับไป จิตแม้มีนิมิตแห่งเสียงเป็นอารมณ์ เสียงที่ค่อยกว่าย่อมเป็นอารมณ์ได้ เพราะทำนิมิตแห่งเสียงค่อยกว่า แม้ไม่มีอารมณ์แห่งนิมิตเสียงตามที่หมายไว้ อีกอย่างหนึ่ง แม้มีนิมิตแห่งเสียงค่อยกว่าเป็นอารมณ์ พึงทราบความแม้ในอัปปนาโดยนัยนี้แล.
ในบทมีอาทิว่า ปสฺสมฺภยํ (ระงับ) พึงทราบการประกอบว่า ลมอัสสาสะ ปัสสาสะ ท่านกล่าวว่า ระงับกายสังขาร คือ กาย หรือลมอัสสาสปัสสาสะในบทนี้ว่า ระงับกายสังขาร คือกาย เมื่อพระโยคาวจรมีความคิดคำนึงว่า เมื่อกายสังขารแม้ระงับไปด้วยภาวนาวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งภาวนา) เราจะระงับกายสังขารอย่างหยาบ ดังนี้ ชื่อว่า ระงับอย่างยิ่ง ด้วยความเอาใจใส่นั้น แม้ลมหายใจอย่างสุขุมยังไม่ปรากฏ ก็ดำเนินไปได้ง่าย.
บทว่า อฏฺ อนุปสฺสเน าณานิ (อนุปัสสนาญาณ ๘) ญาณในการพิจารณา ๘ ได้แก่ อนุปัสสนาญาณ ๘ คือเมื่อกล่าววัตถุ ๔ ว่า ยาว สั้น ความรู้แจ้งกองลม (กาย) ทั้งปวง ความระงับกายสังขาร ด้วยอำนาจลมอัสสาสะ ๔ ด้วยอำนาจลมปัสสาสะ ๔.
บทว่า อฏฺ จ อุปฏฺานานุสฺสติโย (อุปัฏฐานานุสติ ๘) อนุสสติที่ปรากฏ ๘ ได้แก่ อุปัฏฐานานุสติ ๘ คือด้วยอำนาจแห่งลมอัสสาสะ ๔ ด้วยอำนาจแห่งลมปัสสาสะ ๔ เมื่อท่านกล่าวถึงวัตถุ ๔ โดยนัยมีอาทิว่า เมื่อรู้ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยอำนาจแห่งลมหายใจเข้ายาว สติย่อมตั้งมั่น.
บทว่า จตฺตาริ สุตฺตนฺติกวตฺถูนิ (สุตตันติกวัตถุ ๔) เรื่องอันมีมาในพระสูตร ๔ คือสุตตันติกวัตถุ ๔ ด้วยสามารถแห่งจตุกกะที่ ๑ เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในอานาปานสติสูตร.
จบอรรถกถาปฐมจตุกกนิเทศ
จบภาณวาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 217
อรรถกถาทุติยจตุกกนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในปีติปฏิสังเวทินิเทศแห่งจตุกกะที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
ในบทว่า อุปฺปชฺชติ ปีติปามุชฺชํ (ปีติและปราโมทย์ย่อมเกิดขึ้น) นี้ บทว่า ปีติ เป็นมูลบท บทว่า ปามุชฺชํ (ปราโมทย์) เป็นบทขยายความ คือความปราโมทย์ อธิบายว่า ความเป็นผู้บันเทิง.
ในบทมีอาทิว่า ยา ปีติ ปามุชฺชํ (ปีติและปราโมทย์) ท่านกล่าวว่า ปีติย่อมได้ชื่อมีอาทิอย่างนี้ว่า ปีติและปราโมทย์.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีติ เป็นบทแสดงสภาวะ ความเป็นผู้บันเทิง ชื่อว่า ปามุชฺชํ (ปราโมทย์) อาการแห่งความเบิกนาน ชื่อว่า อาโมทนา (อาการเบิกบาน) อาการแห่งความบันเทิง ชื่อว่า ปโมทนา (ความบันเทิง) อีกอย่างหนึ่ง การทำเภสัช น้ำมัน หรือน้ำร้อนน้ำเย็นให้รวมเป็นอันเดียวกัน ท่านเรียกว่า โมทนา ฉันใด แม้ด้วยการทำธรรมทั้งหลายให้รวมเป็นอันเดียวกัน ก็เรียกว่า โมทนา ฉันนั้น ท่านกล่าวว่า อาโมทนา ปโมทนา เพราะเพิ่มบทอุปสรรคลงไป.
ชื่อว่า หาโส เพราะอรรถว่า ความหรรษา.
ชื่อว่า ปหาโส เพราะอรรถว่า ความรื่นเริง บทนี้เป็นชื่อแห่งอาการของบุคคลผู้หรรษาร่าเริง.
ชื่อว่า วิตฺติ (ความปลื้มใจ) เพราะอรรถว่า จิตอิ่ม บท (คำ) นี้เป็นชื่อของทรัพย์ อนึ่ง ชื่อว่า วิตฺติ เพราะเป็นปัจจัยแห่งโสมนัส เพราะทำให้เกิดความสบายใจ เหมือนอย่างว่า ความโสมนัสย่อมเกิดแก่คนมีทรัพย์ เพราะอาศัยทรัพย์ฉันใด ความโสมนัสย่อมเกิดแม้แก่คนมีปีติ เพราะอาศัยปีติฉันนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิตฺติ ความปลื้มใจ จริงอยู่ บทนี้เป็นชื่อของปีติอันดำรงสภาวะแห่งความยินดีไว้.
อนึ่ง บุคคลผู้มีปีติท่านเรียกว่า อุทัคคะ อุทคฺโค (ผู้ยินดี) เพราะเป็นผู้มีกายและใจสูง (ใจลอยขึ้น) สูงยิ่ง (ฟูขึ้น) ส่วนแห่งความเป็นผู้มีใจสูง ชื่อว่า โอทคฺยํ (ความดีใจ).
ความเป็นผู้มีใจเป็นของตน ชื่อว่า อตฺตมนตา (ความดีใจ ความพอใจ) จริงอยู่ ใจของผู้ไม่ยินดี เพราะมีทุกข์เป็นเหตุ ไม่ชื่อว่า มีใจของตน ใจของผู้ยินดี เพราะสุขเป็นเหตุ ชื่อว่า มีใจของตน ความเป็นผู้มีใจเป็นของตน ความพอใจ ชื่อว่า อตฺตมนตา ด้วยประการฉะนี้ อนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 218
เพราะความเป็นผู้มีใจเป็นของตน ไม่ใช่ของใครๆ อื่น ความเป็นแห่งจิตนั่นแล ชื่อว่า เจตสิกธรรม ฉะนั้น ปีตินั้นท่านจึงกล่าวว่า อตฺตมนตา จิตฺตสส (ความพอใจแห่งจิต) ความที่จิตเป็นของตน บทที่เหลือพึงทราบประกอบโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ในที่นี้ ในตอนก่อนและตอนหลัง.
พึงทราบวินิจฉัยใน สุขปฏิสํเวทินิเทศ ดังต่อไปนี้.
บทว่า เทฺว สุขานิ (สุขมี ๒ อย่าง) ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงภูมิของสมถะและวิปัสสนา เพราะกายิกสุข (สุขทางกาย) เป็นภูมิของวิปัสสนา เจตสิกสุข (สุขทางใจ) เป็นภูมิของสมถะและวิปัสสนา.
บทว่า กายิกํ (กายิกะ) (* กาย) ชื่อว่า กายิกํ เพราะประกอบแล้วในกาย โดยเว้นประสาทกายแล้วไม่เกิดขึ้น.
บทว่า เจตสิกํ (เจตสิกะ) เจตสิก ชื่อว่า เจตสิก เพราะประกอบไว้ในใจโดยไม่พรากไป.
ในสองบทนั้นปฏิเสธเจตสิกสุข ด้วยบทว่า กายิก ปฏิเสธกายิกทุกข์ ด้วยบทว่า สุข อนึ่ง ปฏิเสธกายิกสุข ด้วยบทว่า เจตสิก ปฏิเสธเจตสิกทุกข์ ด้วยบทว่า สุข.
บทว่า สาตํ (ความสำราญ) คือความหวาน หวานด้วยดี.
บทว่า สุขํ (ความสุข) คือสุขนั่นเอง มิใช่ทุกข์.
บทว่า กายสมฺผสฺสชํ (เกิดแต่กายสัมผัส) คือเกิดในกายสัมผัส.
บทว่า สาตํ สุขํ เวทยิตํ (ความสุขที่ได้เสวยเป็นความสำราญ) คือความสุขที่ได้เสวยเป็นความสำราญ ที่ไม่ได้เสวยไม่เป็นความสำราญ ความสุขที่ได้เสวย มิใช่ความทุกข์ที่ได้เสวย.
๓ บทต่อไป ท่านกล่าวด้วยเป็นอิตถีลิงค์ ความในบทนี้มีว่า สาตา เวทนา น อสาตา สุข เวทนา น ทุกฺขา สุขเวทนาเป็นความสำราญ มิใช่ความไม่สำราญ เวทนาเป็นสุข มิใช่เป็นทุกข์.
พึงประกอบเจตสิกสุขนิเทศโดยนัยตรงข้ามกับที่ที่กล่าวแล้ว.
บทว่า เต สุขา (สุขเหล่านั้น) เป็นลิงควิปลาส ท่านกล่าวว่า ตานิ สุขานิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 219
บทที่เหลือในจตุกกะนี้ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปฐมจตุกกะ (จตุกกะที่ ๑) นั่นแล พึงทราบสุตตันติกวัตถุ ๔ (เรื่องอันมีในพระสูตร) ด้วยอำนาจแห่งทุติยจตุกกะ (จตุกกะที่ ๒).
จบอรรถกถาทุติยจตุกนิเทศ
จบภาณวาร
อรรถกถาตติยจตุกกนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในตติยจตุกกนิเทศ ดังต่อไปนี้.
บทว่า จิตฺตํ (จิต) เป็นมูลบท.
บทว่า วิญฺาณํ (วิญญาณ) เป็นบทขยายความ.
บทมีอาทิว่า ยํ จิตฺตํ (จิตใด จิตคือ) พึงประกอบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปีติ.
ในบทอาทิว่า จิตฺตํ นั้น ชื่อว่า จิตฺตํ เพราะวิจิตรด้วยจิต.
ชื่อว่า มโน เพราะรู้กำหนดอารมณ์.
บทว่า มานสํ (มานัส) คือใจ (* จิต) นั่นเอง ท่านกล่าวธรรมอันสัมปยุตแล้วว่า มานโส (* ผู้มีใจ) ในบทนี้ว่า บ่วงใดมีใจ เที่ยวไปในอากาศ ดังนี้เป็นต้น พระอรหัตท่านกล่าว มานสํ ในบทนี้ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีในพระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหัต ยังเป็นพระเสขะอยู่ ไฉนจะพึงทำกาละเสียเล่า.
ก็ในที่นี้ มโนนั่นแหละ ชื่อว่า มานัส ก็คำนี้ท่านเพิ่มบทเข้ามาด้วยอำนาจพยัญชนะ.
บทว่า หทยํ (หทัย) คือจิต อุระ (อก) ท่านกล่าวว่า หทัย ในบทมีอาทิว่า เราจักทำจิตของท่านให้พลุ่งพล่าน หรือจักฉีกอกของท่าน ท่านกล่าวว่า จิต ในบทมีอาทิว่า บุตรช่างทำรถย่อมถากไม้ดุจรู้จิตด้วยจิต ท่านกล่าวหทยวัตถุ ในบทว่า ม้าม หทัย แต่ในที่นี้ จิต ท่านกล่าวว่า หทัย เพราะอรรถว่า อยู่ภายใน.
จิตนั้นชื่อว่า ปณฺฑรํ (ปัณฑระ) ขาว เพราะอรรถว่า บริสุทธิ์ ท่านกล่าวหมายถึง ภวังคจิต ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร แต่จิตนั้นถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาจึงเศร้าหมอง.
อนึ่ง แม้จิตอกุศล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 220
ท่านก็กล่าวว่า ปัณฑระ เหมือนกัน เพราะอกุศลออกจากจิตนั้นแล้ว ดุจแม่น้ำคงคาไหลออกจากแม่น้ำคงคาและดุจแม่น้ำโคธาวรีไหลออกจากแม่น้ำโคธาวรี ฉะนั้น อนึ่ง เพราะจิตมีลักษณะรู้อารมณ์ จึงไม่เป็นกิเลสด้วยความเศร้าหมอง โดยสภาวะเป็นจิตบริสุทธิ์ทีเดียว แต่เมื่อประกอบด้วยอุปกิเลส จิตจึงเศร้าหมอง แม้เพราะเหตุนั้นจึงควรเพื่อกล่าวว่า ปัณฑระ (ขาวผ่อง).
อนึ่ง การระบุมโนศัพท์ในบทนี้ว่า มโน มนายตนํ เพื่อแสดงถึงความเป็นอายตนะของใจ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงถึงบทว่า มนายตนะ นี้ว่า จิตนี้ชื่อว่า มนายตนะ เพราะเป็นอายตนะของใจ (ที่อยู่ของใจ) ดุจเทวายตนะ (ที่อยู่ของเทวดา) หามิได้ ที่แท้ใจนั่นแหละ เป็นอายตนะ (อายตนะ คือมโน) จึงชื่อว่า มนายตนะ อรรถแห่งอายตนะท่านกล่าวไว้ในหนหลังแล้ว ชื่อว่า มโน เพราะอรรถว่า รู้ ความว่า รู้แจ้ง ส่วนพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ชื่อว่า มโน เพราะรู้แจ้งอารมณ์ ดุจตวงด้วยทะนานและดุจทรงชั่งด้วยเครื่องชั่งใหญ่.
ชื่อว่า อินฺทฺริยํ (อินทรีย์) เพราะทำความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งความรู้ ใจ (มโน) นั่นแหละเป็นอินทรีย์ จึงชื่อว่า มนินทรีย์.
ชื่อว่า วิญฺาณํ เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง วิญญาณนั้นเป็นขันธ์ จึงชื่อว่า วิญญาณขันธ์ ท่านกล่าวขันธ์โดยรุฬหิศัพท์ (โดยภาพรวม) วิญญาณหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณขันธ์ ด้วยอรรถว่า เป็นกอง.
เพราะฉะนั้น ท่านกล่าวว่า บุคคลเมื่อตัดส่วนหนึ่งของต้นไม้ชื่อว่า ตัดต้นไม้ ฉันใด วิญญาณแม้หนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณขันธ์ โดยรุฬหิศัพท์ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง เพราะอรรถแห่งกอง มิใช่เป็นอรรถแห่งขันธ์ เพราะเป็นอรรถแห่งส่วน จึงเป็นอรรถแห่งขันธ์เท่านั้น ฉะนั้น จึงมีความว่า วิญฺาณโฏฺาโส (ส่วนแห่งวิญญาณ) ดังนี้บ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 221
บทว่า ตชฺชา มโนวิญฺาณธาตุ (มโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่จิตนั้น) คือมโนวิญญาณธาตุอันสมควรแก่สัมปยุตธรรมมีผัสสะเป็นต้นเหล่านั้น จริงอยู่ ในบทนี้ จิตดวงเดียวเท่านั้น ท่านกล่าวโดย ๓ ชื่อ คือชื่อว่า มโน เพราะอรรถว่า รู้กำหนดอารมณ์ (* สิ่งที่กำหนดนับอารมณ์ สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ รู้แจ้ง) ชื่อว่า วิญฺาณํ เพราะอรรถว่า รู้แจ้ง ชื่อว่า ธาตุ เพราะอรรถว่า เป็นสภาวะ หรือเพราะอรรถว่า มิใช่สัตว์.
บทว่า อภิปฺปโมโท (ความบันเทิง) ความเบิกบาน คือความยินดียิ่ง.
พึงทราบวินิจฉัยในสมาธินิเทศดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า ฐิติ (ความตั้งอยู่) เพราะตั้งอยู่ในอารมณ์โดยความไม่หวั่นไหว.
สองบทต่อไปเพิ่มอุปสรรคเข้า ชื่อว่า สณฺิติ (ความตั้งอยู่ดี) เพราะประมวลสัมปยุตธรรมทั้งหลายไว้ด้วยอารมณ์ แล้วตั้งอยู่ ชื่อว่า อวฏฺิติ (ความตั้งมั่น) เพราะเข้าไปเหนี่ยวอารมณ์ตั้งอยู่.
ธรรม ๔ อย่างในฝ่ายกุศล คือศรัทธา สติ สมาธิ ปัญญา ย่อมเหนี่ยวอารมณ์ไว้ ด้วยเหตุนั้น ศรัทธาท่านจึงกล่าวว่า โอกปฺปนา (ปักใจเชื่อ) ความเชื่อถือ สติท่านกล่าวว่า อปิลาปนตา (ความไว้ใจ) ความไม่ใจลอย สมาธิท่านกล่าวว่า อวฏฺิติ ความตั้งมั่น ปัญญาท่านกล่าวว่า ปริโยคาหนา การหยั่งลง.
ส่วนธรรม ๓ อย่างในฝ่ายอกุศล คือตัณหา ทิฏฐิ อวิชชา ย่อมเหนี่ยวอารมณ์ไว้ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวธรรมเหล่านั้นว่า โอฆะ ห้วง.
ชื่อว่า อวิสาหาโร ความไม่กวัดแกว่ง เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อความกวัดแกว่งอันเป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งอุทธัจจะและวิจิกิจฉา อธิบายว่า ความไม่ซัดส่าย จิตที่ดำเนินไปด้วยอำนาจแห่งความฟุ้งซ่านและความสงสัย ชื่อว่า ย่อมฟุ้งซ่าน.
สมาธินี้ไม่เป็นอย่างนั้น จึงชื่อว่า อวิกฺเขโป ความไม่ฟุ้งซ่าน.
จิตชื่อว่า กวัดแกว่งด้วยอำนาจแห่งอุทธัจจะและวิจิกิจฉา ย่อมส่ายไปข้างโน้นข้างนี้ แต่สมาธินี้มีใจไม่กวัดแกว่ง จึงชื่อว่า อวิสาหฏมานสตา ความมีใจไม่กวัดแกว่ง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 222
บทว่า สมโถ (ความสงบ) ได้แก่ ความสงบ ๓ อย่าง คือจิตสงบ ๑ อธิกรณ์สงบ ๑ สังขารทั้งปวงสงบ ๑ ในความสงบ ๓ อย่างนั้น ชื่อว่า จิตสงบ เพราะจิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียวในสมาบัติ ๘ เพราะความหวั่นไหว แห่งจิต ความดิ้นรนแห่งจิตย่อมสงบ ย่อมเข้าไปสงบเพราะอาศัยจิตสงบนั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวสมาธินั้นว่า จิตฺตสมโถ จิตสงบ.
ชื่อว่า อธิกรณ์สงบ อธิกรณ์มี ๗ อย่าง มีสัมมุขาวินัยเป็นต้น เพราะอธิกรณ์เหล่านั้นสงบ เข้าไปสงบเพราะอาศัยอธิกรณสมถะนั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวสมาธินั้นว่า อธิกรณสมโถ อธิกรณ์สงบ.
อนึ่ง เพราะสังขารทั้งหลายทั้งปวงสงบ เข้าไปสงบ เพราะอาศัยนิพพาน ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวสมาธินั้นว่า สพฺพสงฺขารสมโถ สังขารทั้งปวงสงบ ในอรรถนี้ท่านประสงค์เอาจิตสงบ.
ชื่อว่า สมาธินฺทฺริยํ (สมาธินทรีย์) เพราะทำความเป็นใหญ่ในลักษณะแห่งสมาธิ (ความตั้งมั่น).
ชื่อว่า สมาธิพลํ (สมาธิพละ) เพราะไม่หวั่นด้วยอุทธัจจะ.
บทว่า สมฺมาสมาธิ (สัมมาสมาธิ) ได้แก่ สมาธิตามความเป็นจริง สมาธิทำให้พ้นทุกข์ กุศลสมาธิ.
ท่านกล่าวถึงการเปลื้องจิตจากวัตถุแห่งกิเลส ๑๐ อย่าง มีอาทิว่า ราคโต วิโมจยํ จิตฺตํ (เปลื้องจิตจากราคะ) อนึ่ง ในบทนี้ ท่านรวม มิทธ ศัพท์ด้วย ถีน ศัพท์ และรวม กุกกุจจ ศัพท์ด้วย อุทธัจจ ศัพท์ เหตุนั้น ด้วยคำกล่าวถึงการเปลื้องจากกิเลสวัตถุ ท่านจึงอธิบายถึงการเปลื้องจากนิวรณ์เป็นต้นด้วยปฐมฌานเป็นต้น และการเปลื้องจากนิจจสัญญาเป็นต้นด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นต้นเพราะธรรมเหล่านี้ไปด้วยกันในปาฐะอื่นๆ.
อนึ่ง ในไปยาลนี้ว่า กถํ ตํ จิตฺตํ อนุปสฺสติ (ย่อมพิจารณาจิตนั้นอย่างไร) เป็นอันท่านกล่าวถึงการละนิจจสัญญาเป็นต้นด้วยอนิจจานุปัสสนา.
พึงทราบเรื่องมาในพระสูตร ๔ (สุตตันติกวัตถุ ๔) ด้วยสามารถแห่งตติยจตุกกะ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาตติยจตุกกนิเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 223
อรรถกถาจตุตถจตุกกนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในจตุตถจตุกกนิเทศดังต่อไปนี้.
ท่านตั้งคำถามด้วยคำเป็นนปุงสกลิงค์ว่า อนิจฺจนฺติ กิํ อนิจฺจํ (คำว่า ไม่เที่ยง อะไรไม่เที่ยง) บทว่า อนิจฺจํ อะไรไม่เที่ยง เพราะไม่ได้ระบุว่า เป็นสิ่งโน้น ตามหลัก (ภาษา) ว่า ในสิ่งที่ยังไม่ได้ระบุ ให้กล่าวเป็นนปุงสกลิงค์.
บทว่า อุปฺปาทวยฏฺเน (เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นและเสื่อมไป) ได้แก่ ด้วยอรรถว่า ความเกิดขึ้นและความเสื่อม ความว่า เพราะสภาวะ คือความเกิดและความเสื่อม ในบทนี้ เบญจขันธ์เป็นสภาวลักษณะความเกิดขึ้นและความเสื่อมแห่งเบญจขันธ์เป็นวิการลักษณะ (ลักษณะความเปลี่ยนแปลง) ด้วยบทนี้ เป็นอันท่านกล่าวว่า ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มี ส่วนในอรรถกถาแม้ท่านกล่าวว่า ความไม่เที่ยงด้วยอำนาจแห่งสังขตลักษณะ และว่า ความที่เบญจขันธ์เหล่านั้นมีความเกิดขึ้น เสื่อมไปและเป็นอย่างอื่น เป็นอันท่านกล่าวว่า อาการ คือมีแล้วไม่มี เป็นอนิจจลักษณะ ท่านกล่าวทำไปยาลว่า เมื่อเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งเบญจขันธ์ย่อมเห็นลักษณะ ๕๐ เหล่านี้.
บทว่า ธมฺมา (ธรรม) คือธรรมตามที่ท่านกล่าวแล้วมีรูปขันธ์เป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในวิราคานุปัสสีนิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า รูเป อาทีนวํ ทิสฺวา (ภิกษุเห็นโทษในรูปแล้ว) คือเห็นโทษในรูปขันธ์ด้วยการตั้งอยู่ในความไม่เที่ยงเป็นต้น ดังที่ท่านกล่าวแล้วข้างหน้าตั้งแต่ภังคานุปัสสนาญาณ.
บทว่า รูปวิราโค (ในความคลายกำหนัดในรูป) คือนิพพาน เพราะบุคคลอาศัยนิพพานคลายกำหนัดรูป (รูปถึงนิพพานแล้วย่อมคลาย) ย่อมดับด้วยการถึงความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวนิพพานว่า คลายความกำหนัดในรูป.
บทว่า ฉนฺทชาโต โหติ (เป็นผู้เกิดฉันทะ) คือมีฉันทะในธรรมอันเกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งการฟัง.
บทว่า สทฺธาธิมุตฺโต (น้อมใจไปด้วยศรัทธา) คือน้อมไป ตัดสินใจไปในนิพพานนั้นด้วยศรัทธา.
บทว่า จิตฺตญฺจสฺส สฺวาธิฏฺฐิตํ (และมีจิตตั้งมั่นดี) พึงทราบโดยเชื่อมความว่า จิตของพระโยคาวจรนั้นตั้งมั่นด้วยดี ประดิษฐานไว้ด้วยดี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 224
ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ในการแตกดับแห่งรูป กล่าวคือความคลายกำหนัดโดยความสิ้นไป ด้วยสามารถแห่งการได้ยินได้ฟังนิพพานอันคลายความกำหนัดในรูป กล่าวคือความคลายกำหนัดหมดสิ้น.
บทว่า รูเป วิราคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูป) ท่านกล่าวความคลายกำหนัดโดยความสิ้นไปแห่งรูปด้วยสัตตมีวิภัตติตามปกติว่า รูเป วิราโค (ความคลายกำหนัดในรูป) ท่านกล่าวความคลายกำหนัดหมดสิ้นแห่งรูปด้วยสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิต (นิมิตตสัตตมีวิภัตติ) ว่า รูเป วิราโค (ความคลายกำหนัดในเพราะรูป) ท่านกล่าวความคลายกำหนัดแม้ทั้งสองอย่างนั้นโดยอารมณ์และโดยอัธยาศัยเป็นปกติว่า รูเป วิราคานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความคลายกำหนัดในรูป) ในเวทนาเป็นต้นมีนัยนี้ แม้ในนิเทศแห่งบทว่า นิโรธานุปสฺสี (พิจารณาเห็นความดับ) ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
ก็ในบทนี้ว่า กตีหากาเรหิ (ด้วยอาการเท่าไร) มีความพิเศษดังต่อไปนี้ ท่านแสดงถึงการดับโทษแม้แห่งรูปเป็นต้นด้วยการเห็นการดับโทษแห่งองค์ของปฏิจจสมุปบาทมีอวิชชาเป็นต้น เพราะแม้รูปเป็นต้นเหล่านั้นก็ไม่ล่วงองค์แห่งปฏิจจสมุปบาทไปได้ ด้วยคำพิเศษนี้แหละเป็นอันท่านกล่าวถึงความพิเศษแห่งนิโรธานุปัสสนา เพราะพิจารณาเห็นความคลายกำหนัด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนิจฺจฏฺเน (ด้วยอรรถว่า ไม่เที่ยง) คือด้วยอรรถว่า สิ้นไป หรือด้วยอรรถว่า มีแล้วไม่มี.
บทว่า ทุกฺขฏฺเน (ด้วยอรรถว่า เป็นทุกข์) คือด้วยอรรถว่า น่ากลัว หรือด้วยอรรถว่า บีบคั้น.
บทว่า อนตฺตฏฺเน (ด้วยอรรถว่า เป็นอนัตตา) คือด้วยอรรถว่า หาสาระมิได้ หรือด้วยอรรถว่า ไม่เป็นไปในอำนาจ.
บทว่า สนฺตาปฏฺเน (ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุให้เดือดร้อน) คือด้วยอรรถว่า กิเลสเป็นเหตุให้เดือดร้อน.
บทว่า ปริณามฏฺเน (ด้วยอรรถว่า แปรปรวน)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 225
คือด้วยอรรถว่า แปรปรวนโดย ๒ ส่วน ด้วยอำนาจแห่งชรา และภังคะ (ความแตกดับ).
บทว่า นิทานนิโรเธน (ด้วยต้นเหตุดับ) คือด้วยไม่มีปัจจัยอันเป็นมูล.
บทว่า นิรุชฺฌติ (ย่อมดับ) คือไม่มี.
บทว่า สมุทยนิโรเธน (ด้วยสมุทัยดับ) คือด้วยความไม่มีปัจจัยอันใกล้ เพราะปัจจัยอันเป็นมูล ท่านกล่าวว่า นิทาน (ต้นเหตุ * เรื่องที่เกิดขึ้น) ดุจโภชนะที่ไม่เป็นที่สบาย เป็นต้นเหตุแห่งความเจ็บป่วย ส่วนปัจจัยอันใกล้ ท่านกล่าว สมุทัย (แดนเกิด * ต้นเหตุ ที่เกิด) ดุจลม น้ำดีและเสมหะเป็นสมุทัยแห่งความเจ็บป่วย จริงอยู่ นิทาน ชื่อว่า ต้นเหตุ เพราะเป็นเหตุให้ผลโดยการตัดสินหรือวินิจฉัย สมุทัย ชื่อว่า แดนเกิด เพราะเป็นแดนเกิดแห่งผลด้วยดี.
บทว่า ชาตินิโรเธน (ด้วยชาติดับ) คือด้วยไม่มีการเกิดแห่งปัจจัยอันเป็นมูล.
บทว่า ปภวนิโรเธน (ด้วยภพดับ) (* สถานที่เริ่มต้น ชื่อว่า ปภว) คือด้วยไม่มีการเกิดแห่งปัจจัยอันใกล้ (อาสันนปัจจัย) ควรกล่าวว่า ชื่อว่า ภพ เพราะชาติเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ (ชาตินั่นเอง ชื่อว่า เป็นแดนเกิด เพราะเป็นแดนให้เกิดแห่งทุกข์).
บทว่า เหตุนิโรเธน (ด้วยเหตุดับ) คือด้วยไม่มีปัจจัยให้เกิดชนกปัจจัย (ปัจจัยให้เกิด).
บทว่า ปจฺจยนิโรเธน (ด้วยปัจจัยดับ) คือด้วยไม่มีปัจจัยอุปถัมภ์ แม้ปัจจัย (อันเป็นมูล) ก็เป็นทั้งอาสันนปัจจัย ชนกปัจจัย และอุปถัมภกปัจจัยนั่นเอง ด้วยปัจจัยเหล่านั้น ท่านกล่าวถึงการดับชั่วคราว (ตทังคปหาณ) ในขณะวิปัสสนากล้าแข็ง กล่าวถึงการดับเด็ดขาด (สมุทเฉทปหาณ) ในขณะแห่งมรรค.
บทว่า าณุปฺปาเทน (ด้วยญาณเกิด) คือด้วยความเกิดแห่งวิปัสสนาญาณกล้าแข็งหรือแห่งมรรคญาณ.
บทว่า นิโรธุปฏฺาเนน (ด้วยนิโรธปรากฏ) คือด้วยความปรากฏแห่งนิพพาน กล่าวคือ นิโรธด้วยอำนาจแห่งการได้ฟังถึงการดับโดยความสิ้นไปโดยประจักษ์ในขณะแห่งวิปัสสนา และด้วยความปรากฏแห่งนิพพานโดยประจักษ์ในขณะแห่งมรรค.
ด้วยบทเหล่านี้เป็นอันท่านทำความแน่นอน ด้วยอินทรีย์อันเป็นวิสัย (ท่านทำการกำหนดอารมณ์และสิ่งที่มีอารมณ์) และท่านกล่าวถึงความดับชั่วคราวและดับเด็ดขาด.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งบทว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี (พิจารณาความสละคืน) ดังต่อไปนี้.
บทว่า รูปํ ปริจฺจชติ (สละรูป) คือสละรูปขันธ์ เพราะไม่เพ่งถึง ด้วยการเห็นโทษ.
บทว่า ปริจฺจาคปฏินิสฺสคฺโค (สละคืนด้วยการบริจาค)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 226
ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า ปฏินิสฺสคโค (ความสละคืน) เพราะอรรถว่า สละ ด้วยบทนี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงอรรถแห่งการบริจาคแห่งบทว่า ปฏินิสสัคคะ เพราะฉะนั้น อธิบายว่า ได้แก่ การละกิเลสทั้งหลาย อนึ่ง ในบทนี้ วิปัสสนา อันเป็นวุฏฐานคามินี (ญาณเป็นเครื่องออกไป) ย่อมสละกิเลสทั้งหลายได้โดยชั่วคราว มรรคย่อมสละได้โดยเด็ดขาด.
บทว่า รูปนิโรเธ นิพฺพาเน จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ (จิตย่อมแล่นไปในนิพพานอันเป็นที่ดับรูป) คือวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีย่อมแล่นไปเพราะน้อมไปในนิพพานนั้น มรรคย่อมแล่นไปด้วยการทำให้เป็นอารมณ์.
บทว่า ปกฺขนฺทนปฏินิสฺสคฺโค (ความสละคืนด้วยการแล่นไป) ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า ปฏินิสสัคคะ (ความสละคืน) เพราะอรรถว่า แล่นไป ด้วยบทที่ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งความแล่นไปของบทว่า ปฏินิสสัคคะ เพราะฉะนั้น จึงมีคำอธิบายว่า ได้แก่ การสละจิตลงในนิพพาน.
พึงทราบเรื่องอันมาในพระสูตร ๔ (สุตตันติกวัตถุ ๔) เรื่อง ด้วยสามารถแห่งจตุตถจตุกกะ ในจตุกกะนี้ พึงทราบถึงบทที่ควรกล่าวถึงชราและมรณะโดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
อนึ่ง ในสติปัฏฐานทั้งหลาย พึงทราบว่า ท่านทำการชี้แจงเป็นเอกวจนะ โดยกล่าวถึงกายและจิตเป็นอย่างเดียวว่า กาเย กายานุปสฺสนา (พิจารณากายในกาย) จิตฺเต จิตตานุปสฺสนา (พิจารณาจิตในจิต) ทำการชี้แจง (นิเทศ) เป็นพหุวจนะ โดยกล่าวถึงความต่างๆ กันของเวทนาและธรรมว่า เวทนาสุ เวทนานุปสฺสนา (พิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย) ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสนา (พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย) ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาจตุตถจตุกกนิเทศ
จบอรรถกถาสโตการิญาณนิเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 227
อรรถกถาญาณราสิฉักกนิเทศ
บัดนี้ ในญาณที่ท่านแสดงไว้แล้วด้วยกองทั้ง ๖ กอง พึงทราบนิเทศว่าด้วยสมาธิญาณ ๒๔ ก่อน สมาธิมี ๒๔ ในวัตถุ ๑๒ คือสมาธิละสอง คือสมาธิหนึ่งด้วยสามารถลมอัสสาสะ สมาธิหนึ่งด้วยสามารถลมปัสสาสะ ในวัตถุละหนึ่งๆ แห่งวัตถุ ๑๒ ด้วยสามารถ ๓ จตุกกะ มีกายานุปัสสนาเป็นต้น ญาณที่สัมปยุตด้วยสมาธิเหล่านั้นในขณะแห่งฌาน ชื่อว่า ญาณ ด้วยอำนาจแห่งสมาธิ ๒๔.
พึงทราบวินิจฉัยในวิปัสสนาญาณนิเทศ ๗๒ ดังต่อไปนี้.
บทว่า ทีฆํ อสฺสาสา (ลมหายใจเข้ายาว) เพราะลมอัสสาสะที่ท่านกล่าวแล้วว่า ยาว ท่านกล่าวไว้อย่างไร.
ท่านกล่าวไว้ว่า ชื่อว่า วิปสฺสนา (วิปัสสนา) เพราะอรรถว่า พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในขณะวิปัสสนาด้วยจิตที่ได้ฌานแล้วตั้งมั่นด้วยดี เพราะเหตุลมหายใจเข้ายาว แม้ในอรรถอื่นก็มีนัยนี้.
อนุปัสสนา ๗๒ ในวัตถุ ๑๒ คืออนุปัสสนาอย่างละ ๖ ได้แก่ อนุปัสสนา ๓ ด้วยสามารถแห่งลมอัสสาสะ อนุปัสสนา ๓ ด้วยสามารถแห่งลมปัสสาสะ ในวัตถุละหนึ่งๆ แห่งวัตถุ ๑๒ เหล่านั้น อนุปัสสนา ๗๒ เหล่านั้นแลเป็นญาณด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา ๗๒.
พึงทราบวินิจฉัยในนิพพิทาญาณนิเทศดังต่อไปนี้.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสาสํ (พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า) คือพิจารณาหายใจเข้าโดยความเป็นของไม่เที่ยง ความว่า พิจารณาเป็นไปโดยความเป็นของไม่เที่ยง อนึ่ง คำว่า อสฺสาสํ นี้ พึงเห็นว่าใช้ในอรรถแห่งเหตุ.
บทว่า ยถาภูตํ ปชานาติ ปสฺสตีติ นิพฺพิทาาณํ (ชื่อว่า นิพพิทาญาณ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุรู้เห็นตามความเป็นจริง) คือย่อมรู้ตามความเป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยวิปัสสนาญาณที่เป็นไปตั้งแต่พิจารณาเป็น กองๆ (กลาป) ไปจนถึงพิจารณาเห็นความแตกดับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 228
ย่อมเห็นด้วยญาณจักษุนั้นดุจเห็นด้วยจักษุ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นิพพิทาญาณ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า นิพพิทาญาณในสังขารทั้งหลาย พึงทราบว่า วิปัสสนาญาณเป็นนิพพิทาญาณ ตามที่ได้กล่าวแล้วในนิเทศนี้ เพราะญาณทั้งหลายมีภยตูปัฏฐานญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว) เป็นต้น และมุญจิตุกัมยตาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความใคร่จะพ้นไป) เป็นต้น เป็นธรรมต่างกัน แยกกล่าวไว้แล้วข้างหน้า.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งนิพพิทานุโลมญาณดังต่อไปนี้.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสาสํ (พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า) คือพิจารณาหายใจเข้าโดยเป็นของไม่เที่ยง.
บทว่า ภยตุปฏฺาเน ปญฺา (ปัญญาในความปรากฏเป็นของน่ากลัว) เป็นอันท่านกล่าวถึง ภยตุปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณและนิพพิทานุปัสสนาญาณ ด้วยคำนั้นแล เพราะญาณทั้ง ๓ มีลักษณะอย่างเดียวกัน ญาณ ๓ เหล่านี้ ท่านกล่าวว่า นิพพิทานุโลมญาณ เพราะอนุโลมโดยความอนุกูลแก่นิพพิทาญาณดังที่กล่าวแล้วโดยลำดับ.
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งนิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณดังต่อไปนี้.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสาสํ (พิจารณาเห็นความไม่เที่ยงหายใจเข้า) เช่นเดียวกับที่กล่าวมาตามลำดับนั่นแหละ.
บทว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺนา ปญฺา (ปัญญาพิจารณาหาทางวางเฉยอยู่) เป็นอันท่านกล่าวถึง มุญจิตุกัมยตาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงถึงด้วยพิจารณาหาทาง) สังขารุเบกขาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยอยู่) ด้วยคำนั้นเอง เพราะญาณทั้ง ๓ มีลักษณะอย่างเดียวกัน แม้อนุโลมญาณและมรรคญาณท่านก็รวมไว้ด้วยคำว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺนา (พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่) นั่นแหละ แม้สังขารุเบกขาญาณและอนุโลมญาณก็ชื่อว่า นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ ด้วยละความขวนขวายในการเกิดนิพพิทา เพราะนิพพิทาถึงที่สุดแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 229
ส่วนมรรคญาณ ชื่อว่า นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ เพราะเกิดในที่สุดแห่งนิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ เพราะเหตุนั้น จึงควร (ถูกต้อง) อย่างยิ่ง การไม่ถือเอามุญจิตุกัมยตาญาณอันเป็นเบื้องต้นดุจในนิพพิทานุโลมทั้งหลาย แล้วถือเอาญาน ๒ ญาณในที่สุดว่า ปฏิสงฺขา สนฺติฏฺนา (พิจารณาหาทางวางเฉยอยู่) ก็เพื่อสงเคราะห์เข้าในมรรคญาณ เพราะเมื่อท่านกล่าวว่า มุญฺจิตุกมฺยตา (ความใคร่จะพ้นไปเสีย) ย่อมสงเคราะห์เอาอนุโลมญาณด้วย มิได้สงเคราะห์ถึงมรรคญาณ เพราะมรรคญาณมิได้ชื่อว่า มุญฺจิตุกมฺยตา อนึ่ง ปัญญา ชื่อว่า สนฺติฏฺนา (วางเฉยอยู่) เพราะวางเฉยอยู่ในความสำเร็จกิจ.
อนึ่ง แม้ในอรรถกถาท่านก็กล่าวว่า บทว่า ผุสนา (ความถูกต้อง) คือ อปฺปนา (ความแนบแน่น) ก็มรรคญาณนี้ชื่อว่า สนฺติฏฺนา (ความวางเฉย) เพราะทำมรรคญาณนี้เป็นอัปปนา (ความแนบแน่น) ในนิพพาน ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงสงเคราะห์แม้มรรคญาณ ด้วยคำว่า สนฺติฏฺนา (ความวางเฉย) แม้นิพพิทานุโลมญาณ โดยอรรถก็เป็นนิพพิทาญาณนั่นเอง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงสงเคราะห์นิพพิทานุโลมญาณเหล่านั้นด้วยนิพพิทาญาณแล้วใช้ศัพท์ นิพพิทา ว่า นิพฺพิทาปฏิปสฺสทฺธิ าณานิ (นิพพิทาปฏิปัสสัทธิญาณ) ดังนี้ ไม่ใช่ศัพท์ว่า นิพฺพิทานุโลม ก็ในนิเทศว่าด้วยญาณ ๘ แม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ ญาณมี ๘ อย่างในเพราะวัตถุ ๔ คือญาณละ ๒ ได้แก่ ญาณหนึ่งด้วยสามารถแห่งลมอัสสาสะ ญาณหนึ่งด้วยสามารถแห่งลมปัสสาสะ ในวัตถุหนึ่งๆ แห่งวัตถุ ๔ ที่ท่านกล่าวแล้วด้วยอํานาจแห่งธรรมานุปัสสนาจตุกกะที่ ๔ ในญาณัฏฐกนิเทศ ๓ เหล่านี้ จึงรวมเป็นญาณ ๘.
พึงทราบวินิฉัยในวิมุตติสุขญาณนิเทศดังต่อไปนี้.
พระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงการละด้วยบทว่า ปหีนตฺตา (เพราะละแล้ว) เมื่อจะแสดงการละนั้นเป็นสมุจเฉทปหาน จึงกล่าวว่า สมุจฺฉินฺนตฺตา (เพราะตัดขาด).
บทว่า วิมุตฺติสุเข าณํ (ญาณในวิมุติสุข) คือญาณสัมปยุตด้วยวิมุตติสุขอันเป็นผล และปัจจเวกขณญาณ (* ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน) คือการพิจารณาวิมุตติสุขอันเป็นผลเป็นอารมณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 230
เพื่อแสดงว่า มีการละวัตถุทุจริตที่กลุ้มรุม ด้วยการละกิเลสอันเป็นวัตถุนอนเนื่องในสันดาน ท่านจึงกล่าวถึงการละกิเลสอันเป็นอนุสัยอีก ท่านทำการนับญาณด้วยการนับกิเลสที่ละได้แล้ว หมายถึงผลญาณ ๒๑ และท่านทำการนับปัจจเวกขณญาณอันเป็นผล ด้วยการนับการพิจารณาถึงกิเลสที่ละได้แล้ว หมายถึงปัจจเวกขณญาณ.
จบอรรถกถาญาณราสิฉักกนิเทศ
จบอรรถกถาอานาปานสติกถากถา
ในปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า สัมธัมมปกาสินี