พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ปรารภมูลเหตุทําปฐมสังคายนา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  19 ธ.ค. 2564
หมายเลข  41746
อ่าน  1,390

[เล่มที่ 1] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 24

พาหิรนิทานวรรณนา

ปรารภมูลเหตุทำปฐมสังคายนา หน้า 24

พระมหากัสสปะชักชวนทำสังคายนา หน้า 26

พระมหากัสสปะคัดเลือกภิกษุ ๔๙๙ รูป หน้า 26

ทำสังคายนาจะเว้นพระอานนท์ไม่ได้ หน้า 26

ภิกษุทั้งหลายขอให้เลือกพระอานนท์ หน้า 27

เลือกกรุงราชคฤห์เป็นที่ทำปฐมสังคายนา หน้า 28

พระมหาเถระแยกกันเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์ หน้า 28

พระอานนท์ไปถึงที่ไหนมีเสียงร้องไห้ในที่นั้น หน้า 29

พระอานนท์ปัดกวาดเสนาสนะที่เคยประทับ หน้า 29

พระอานนท์ฉันยาระบาย หน้า 29

พระเถระทั้งหลายคิดซ่อมวิหาร ๑๘ แห่ง หน้า 30

พระเถระไปทูลขอหัตถกรรมจากพระเจ้าอชาตศัตรู หน้า 31

พระราชาทรงอุปถัมภ์กิจสงฆ์ทุกอย่าง หน้า 31

พระราชารับสั่งให้ประดับถ้ำดุจวิมานพรหม หน้า 32

พวกภิกษุเตือนพระอานนท์มิให้ประมาท หน้า 33

พระอานนท์ดำดินไปเข้าประชุมสงฆ์ หน้า 34

พระเถระเริ่มปรึกษาและสมมติตนเป็นผู้ปุจฉาวิสัชนา หน้า 34

คำสมมติตนปุจฉาวิสัชนาพระวินัย หน้า 35

ปุจฉาและวิสัชนาพระวินัย หน้า 35

รวบรวมพระวินัยของภิกษุไว้เป็นหมวดๆ หน้า 36

รวบรวมพระวินัยของภิกษุณีไว้เป็นหมวดๆ หน้า 37

เริ่มสังคายนาพระสูตร หน้า 37

คำสวดสมมติปุจฉาวิสัชนาพระสูตร หน้า 38

ปุจฉาและวิสัชนาพระสูตร หน้า 38

นิกาย ๕ หน้า 39

พระพุทธพจน์มีจำนวนต่างๆ กัน หน้า 39

พระพุทธพจน์มีอย่างเดียว หน้า 39

พระพุทธพจน์มี ๒ อย่าง หน้า 40

พระพุทธพจน์มี ๓ อย่าง หน้า 40

ปิฎก ๓ หน้า 41

อรรถาธิบายคำว่าวินัย หน้า 42

อรรถาธิบายคำว่าสูตร หน้า 43

อรรถาธิบายคำว่าอภิธรรม หน้า 44

ปิฎกเปรียบเหมือนตะกร้า หน้า 46

อธิบายคัมภีรภาพ ๔ อย่าง หน้า 49

อธิบายคัมภีรภาพอีกนัยหนึ่ง หน้า 49

ปริยัติ ๓ อย่าง หน้า 51

ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน หน้า 52

ผู้ปฏิบัติไม่ดีใน ๓ ปิฎกได้ผลเสียต่างกัน หน้า 53

พระพุทธพจน์มี ๕ นิกาย หน้า 54

ทีฆนิกาย ๓๔ สูตร หน้า 55

มัชฌิมนิกายมี ๑๕๒ สูตร หน้า 55

สังยุตตนิกายมี ๗,๗๖๒ สูตร หน้า 55

อังคุตตรนิกายมี ๙,๕๕๗ สูตร หน้า 56

ขุททกนิกายมี ๑๕ ประเภท หน้า 56

พระพุทธพจน์มี ๙ อย่าง หน้า 56

อธิบายพระพุทธพจน์มีองค์ ๙ ทีละองค์ หน้า 57

ปฐมสังคายนาจัดพระพุทธพจน์ไว้เป็นหมวดๆ หน้า 59

พระพุทธศาสนาอาจตั้งอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี หน้า 59

อธิบายความเริ่มต้นแห่งนิทานวินัย หน้า 61


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 1]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 24

พาหิรนิทานวรรณนา

[ปรารภมูลเหตุทําปฐมสังคายนา] (๑)

ความพิสดารว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งแห่งโลกทรงบําเพ็ญพุทธกิจ ตั้งแต่ทรงยังพระธรรมจักรให้เป็นไปเป็นต้น จนถึงโปรดสุภัททปริพาชกแล้วเสด็จปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในเวลาใกล้รุ่ง ในวันวิสาขปุณณมี ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ในสาลวัน อันเป็นที่เสด็จประพาสของเจ้ามัลละทั้งหลาย ใกล้กรุงกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะผู้เป็นพระสังฆเถระแห่งภิกษุประมาณ ๗ แสนรูป ซึ่งประชุมกันในสถานที่ปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ระลึกถึงคําที่สุภัททวุฑฒบรรพชิตกล่าว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วได้ ๗ วันว่า อย่าเลย ผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกไปเลย ท่านทั้งหลายอย่าร่ําไรไปเลย พวกเราพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะพระองค์นั้น ด้วยว่าพวกเราถูกพระมหาสมณะพระองค์นั้น คอยรบกวนห้ามปรามว่า นี้สมควรแก่เธอทั้งหลาย นี้ไม่สมควรแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้ ก็บัดนี้พวกเราจักปรารถนากระทํากรรมใด ก็จักทํากรรมนั้น พวกเราจักไม่ปรารถนากระทํากรรมใด จักไม่ทํากรรมนั้น (๒) ดังนี้ ดําริอยู่ว่า ข้อที่พวกปาปภิกษุ จะพึงเป็นผู้สําคัญเสียว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงไปแล้ว ดังนี้ ได้พรรคพวกแล้วพึงยังพระสัทธรรมให้อันตรธานได้ไม่นานเลย เรื่องนี้เป็นฐานะที่มีได้แน่. ความจริง พระวินัยยังตั้งอยู่ตราบใด ปาพจน์ยังมีพระศาสดาไม่ล่วงไปแล้วตราบนั้น ข้อนี้สมด้วยพระดํารัสที่พระผู้มี-


(๑) องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๙๐

(๒) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๐

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 25

พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อานนท์ ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา (๑) ดังนี้ อย่ากระนั้นเลย เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยซึ่งจะเป็นวิธีที่พระศาสนานี้จะพึงดํารงมั่นตั้งอยู่สิ้นกาลนาน. อนึ่ง โดยเหตุที่เราเป็นผู้อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กัสสปะ เธอจักทรงผ้าบังสุกุลอันทําด้วยป่านของเรา ซึ่งเราใช้นุ่งห่มแล้วหรือ ดังนี้ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วยสาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการทรงยกย่องไว้เทียบเทียมพระองค์ในอุตริมนุสธรรม มีอนุปุพพวิหารเก้า และอภิญญาหกเป็นประเภท โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจํานงอยู่เพียงใด เราสงัดแล้วจากกามทั้งหลายเทียว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงพร้อมซึ่งปฐมฌาน อยู่ได้เพียงนั้น ภิกษุทั้งหลาย แม้กัสสปะจํานงอยู่เพียงใด เธอสงัดจากกามทั้งหลาย ฯลฯ ย่อมเข้าถึงพร้อมซึ่งปฐมฌานอยู่ได้เพียงนั้นเหมือนกัน (๒) ดังนี้ ความเป็นผู้ไม่มีหนี้อย่างอื่นอะไรจักมีแก่เรานั้นได้, พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเราว่า กัสสปะนี้จักเป็นผู้ดํารงวงศ์พระสัทธรรมของเรา ดังนี้แล้ว ทรงอนุเคราะห์ด้วยอสาธารณานุเคราะห์นี้ ดุจพระราชาทรงทราบพระราชโอรสผู้จะดํารงวงศ์สกุลของพระองค์แล้ว ทรงอนุเคราะห์ด้วยการทรงมอบเกราะของพระองค์และพระอิสริยยศฉะนั้น มิใช่หรือ ดังนี้ จึงยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อสังคายนาพระธรรมวินัย (๓) เหมือนอย่างที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ ได้เตือนภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย สมัยหนึ่งเราพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวา มาสู่เมืองกุสินารา (๔) ดังนี้ เป็นต้น. สุภัททกัณฑ์ทั้งปวง ผู้ศึกษาพึงทราบโดยพิสดาร.


(๑) ที. มหา. ๑๐/๑๗๘.

(๒) นิทาน. ๑๖/๒๖๐.

(๓) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๐.

(๔) วิ. จุลฺ. ๗/๓๗๙.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 26

[พระมหากัสสปะชักชวนทําสังคายนา]

เบื้องหน้าแต่นั้น ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เอาเถิด เราทั้งหลายจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกัน เพราะว่า ในกาลเบื้องหน้า อธรรมจะรุ่งเรือง ธรรมจะถูกขัดขวาง อวินัยจะรุ่งเรือง วินัยจะถูกขัดขวาง ในกาลภายหน้า พวกอธรรมวาทีจะมีกําลัง พวกธรรมวาทีจะหย่อนกําลัง พวกอวินัยวาทีจะมีกําลัง พวกวินัยวาทีจะหย่อนกําลัง (๑) ดังนี้. ภิกษุทั้งหลายได้เรียนท่านว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ขอพระเถระโปรดคัดเลือกภิกษุทั้งหลายเถิด. (๒)

[พระมหากัสสปะคัดเลือกภิกษุ ๔๙๙ รูป]

พระเถระเว้นภิกษุผู้เป็นปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระขีณาสพสุกขวิปัสสก ผู้ทรงพระปริยัติ คือนวังคสัตถุศาสน์ทั้งสิ้นเสียจํานวนหลายร้อยและหลายพัน เลือกเอาเฉพาะพระภิกษุขีณาสพเท่านั้น มีจํานวน ๔๙๙ รูป ผู้ทรงไว้ซึ่งประเภทแห่งสรรพปริยัติ คือพระไตรปิฎก ได้บรรลุปฏิสัมภิทามีอานุภาพมาก แตกฉานในไตรวิชชาเป็นต้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นสู่เอตทัคคะโดยมาก ผู้ซึ่งพระธรรมสังคาหกาจารย์หมายถึง จึงกล่าวคํานี้ว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้คัดเลือกพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป (๓) ดังนี้ เป็นต้น.

[ทําสังคายนาจะเว้นพระอานนท์ไม่ได้]

ถามว่า ก็พระเถระทําให้หย่อนอยู่ ๑ รูป เพื่อใคร? แก้ว่า เพื่อให้โอกาสแก่ท่านพระอานนทเถระ. จริงอยู่ การสังคายนาธรรมไม่อาจทําทั้งร่วม


(๑) - (๒) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๐.

(๓) วิ. จุล. ๗/๓๗๕ - ๓๘๐

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 27

ทั้งแยกจากท่านพระอานนท์นั้นได้ เพราะท่านพระอานนท์นั้นยังเป็นพระเสขะมีกิจจําต้องทําอยู่, ฉะนั้นจึงไม่อาจทําร่วมกับท่านได้, แต่เพราะนวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะ เคยยะ เป็นต้น อะไรๆ ที่พระทศพลแสดงแล้ว ชื่อว่าท่านมิได้รับเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มี, เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจจะเว้นท่านได้, ถามว่า ถ้าเมื่อไม่อาจทําอย่างนั้นได้ ถึงแม้ท่านยังเป็นพระเสขะอยู่ พระเถระก็ควรเลือก เพราะเป็นผู้มีอุปการะมากแก่การสังคายนาพระธรรมเมื่อมีความจําเป็นต้องเลือกอย่างนั้น เพราะเหตุไร พระเถระจึงไม่เลือกท่าน. แก้ว่า เพราะจะเว้นคําค่อนขอดของผู้อื่น. ความจริง พระเถระเป็นผู้คุ้นเคยในท่านพระอานนท์อย่างยิ่งยวด. จริงอย่างนั้น แม้เมื่อศีรษะหงอกแล้ว ท่านพระมหากัสสปะ ก็ยังเรียกท่านพระอานนท์นั้นโดยใช้กุมารกวาทะว่า เด็กคนนี้ไม่รู้จักประมาณเสียเลย ดังนี้. อนึ่ง ท่านพระอานนท์นี้ประสูติในศากยสกุล เป็นพระภาดาของพระตถาคต เป็นโอรสของพระเจ้าอาว์, จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายจะสําคัญในพระมหากัสสปเถระนั้นเหมือนถึงฉันทาคติ จะพึงกล่าวค่อนขอดว่าพระเถระเว้นภิกษุทั้งหลายผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทาเป็นอเสขะเสียเป็นอันมาก ได้เลือกเอาพระอานนท์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเป็นเสขะ. พระเถระเมื่อจะเว้นคําค่อนขอดของผู้อื่นนั้นเสีย, คิดว่า การสังคายนาไม่อาจทําได้โดยเว้นพระอานนท์เสีย เราจักรับเอาพระอานนท์เข้าด้วย ตามอนุมัติของภิกษุทั้งหลายเท่านั้น จึงมิได้เลือกพระอานนท์นั้นเข้าด้วย.

[ภิกษุทั้งหลายขอให้เลือกพระอานนท์]

ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงพากันวิงวอนพระเถระ เพื่อต้องการให้เลือกพระอานนท์เสียเองทีเดียว เหมือนอย่างที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า พวกภิกษุได้กล่าวคํานี้กะท่านพระมหากัสสปะว่า ท่านผู้เจริญถึงท่านอานนท์นี้

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 28

จะยังเป็นเสขะ เป็นผู้ไม่ควรถึงความลําเอียงเพราะความรัก ความชัง ความหลง ความกลัวก็จริง, ถึงกระนั้น ธรรมและวินัยที่ท่านได้เล่าเรียนในสํานักของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีมาก, ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอพระเถระโปรดเลือกพระอานนท์เข้าด้วยเถิด (๑) ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ จึงได้เลือกท่านพระอานนท์เข้าด้วย (๒) รวมกับท่านนั้นที่ท่านพระมหากัสสปะเลือกตามอนุมัติของภิกษุทั้งหลาย (๓) จึงเป็นพระเถระ ๕๐๐ รูป ด้วยประการฉะนี้.

[เลือกกรุงราชคฤห์เป็นที่ทําปฐมสังคายนา]

ครั้งนั้นแล ภิกษุเถระทั้งหลายได้มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า พวกเราจะพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ณ สถานที่ไหนหนอแล ครั้งนั้นแล ภิกษุเถระทั้งหลายได้ปรึกษากันอย่างนี้ว่า กรุงราชคฤห์แล มีที่โคจรกว้างขวาง มีเสนาสนะมากมาย, อย่ากระนั้นเลย พวกเราพึงอยู่จําพรรษาในกรุงราชคฤห์ทําสังคายนาพระธรรมและพระวินัยเถิด, ภิกษุเหล่าอื่นไม่ควรเข้าจําพรรษาในกรุงราชคฤห์. (๔) ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านเหล่านั้นจึงปรึกษาตกลงกันดังนั้น. แก้ว่า เพราะจะมีวิสภาคบุคคลบางคนเข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วพึงคัดค้านถาวรกรรมของพวกเรานี้เสีย. ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะจึงสวดประกาศด้วยญัตติทุติยกรรม. ญัตติทุติยกรรม (๕) นั้น ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยที่ท่านกล่าวไว้ในสังคีติขันธกะนั้นแล.

[พระมหาเถระแยกกันเดินทางไปสู่กรุงราชคฤห์]

ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระทราบว่า นับแต่วันที่พระตถาคตปรินิพพานมา เมื่อวันสาธุกีฬาและวันบูชาพระธาตุล่วงไปได้อย่างละ ๗ วัน เป็นอันล่วงไปแล้วกึ่งเดือน, บัดนี้ฤดูคิมหันต์ยังเหลืออยู่เดือนครึ่ง ดิถีที่จะเข้า


(๑) - (๒) - (๓) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๐ - ๓๘๑.

(๔) - (๕) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๑.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 29

จําพรรษาก็ใกล้เข้ามาแล้ว จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกเราไปยังกรุงราชคฤห์กันเถิด แล้วได้พาเอาภิกษุสงฆ์กึ่งหนึ่งเดินไปทางหนึ่ง. พระอนุรุทธเถระก็พาเอาภิกษุสงฆ์กึ่งหนึ่งเดินไปอีกทางหนึ่ง. ท่านพระอานนทเถระถือเอาบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าอันภิกษุสงฆ์แวดล้อม มีความประสงค์จะเดินทางผ่านกรุงสาวัตถีไปยังกรุงราชคฤห์ ก็หลีกจาริกไปทางกรุงสาวัตถี.

[พระอานนท์ไปถึงที่ไหนมีเสียงร้องไห้ในที่นั้น]

ในสถานที่ที่พระอานนท์ไปแล้วๆ ได้มีการร้องไห้ร่ําไรมากมายว่า ท่านอานนท์ผู้เจริญ ท่านพักพระศาสดาไว้ที่ไหน จึงมาแล้ว ก็เมื่อพระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีโดยลําดับ ได้มีการร้องไห้ร่ําไรมากมาย เหมือนในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานฉะนั้น.

[พระอานนท์ปัดกวาดเสนาสนะที่เคยประทับ]

ได้ทราบว่า ในกรุงสาวัตถีนั้น ท่านพระอานนท์ได้ปลอบโยนมหาชนนั้นให้เบาใจด้วยธรรมีกถาอันปฏิสังยุตด้วยไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วเข้าไปยังพระเชตวัน เปิดประตูพระคันธกุฎีที่พระทศพลเคยประทับ แล้วนําเตียงและตั่งออกมาเคาะตีปัดกวาดพระคันธกุฎี เก็บหยากเยื่อดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งทิ้งเสีย แล้วนําเอาเตียงและตั่งกลับเข้าไปตั้งไว้ในที่เดิมอีก ได้ทําวัตรทุกอย่างที่ควรทํา เหมือนในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังดํารงอยู่ฉะนั้น.

[พระอานนท์ฉันยาระบาย]

ในกาลนั้น พระเถระ เพราะเป็นผู้มากไปด้วยการยืนและการนั่งจําเดิมแต่กาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานมา เพื่อชําระกายที่มีธาตุหนาแน่นให้สบาย ในวันที่สอง จึงนั่งฉันยาระบายที่เจือด้วยน้ำนมอยู่ในวิหารนั่นเอง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 30

ซึ่งท่านหมายถึง จึงได้กล่าวคํานี้กะมาณพที่สุภมาณพส่งไปว่า มิใช่กาลเสียแล้วมาณพ เผอิญวันนี้เราดื่มยาระบายเสียแล้ว, ถ้ากระไรเอาไว้พรุ่งนี้เถิด เราจึงจะเข้าไป (๑) ดังนี้. ในวันรุ่งขึ้นพระเถระ มีพระเจตกเถระเป็นปัจฉาสมณะได้ไป (ยังนิเวศน์ของสุภมาณพ) ถูกสุภมาณพถาม จึงได้แสดงพระสูตรที่ ๑๐ ชื่อสุภสูตร ในทีฆนิกาย. ในกาลนั้นพระเถระสั่งให้นายช่างทําการปฏิสังขรณ์สถานที่ปรักหักพังในพระเชตวันวิหารแล้ว เมื่อวันวัสสูปนายิกาใกล้เข้ามาได้ไปยังกรุงราชคฤห์. ถึงพระมหากัสสปเถระและพระอนุรุทธเถระก็พาเอาภิกษุสงฆ์ทั้งปวงไปสู่กรุงราชคฤห์เหมือนกัน.

[พระเถระทั้งหลายคิดซ่อมวิหาร ๑๘ แห่ง]

ก็โดยสมัยนั้นแล ในกรุงราชคฤห์มีมหาวิหารอยู่ ๑๘ ตําบล มหาวิหารเหล่านั้นแม้ทั้งหมดได้รกรุงรังด้วยของที่ถูกทิ้งและตกเกลื่อน. จริงอยู่ พวกภิกษุทั้งหมดพากันถือเอาบาตรและจีวรของตนๆ ได้ทอดทิ้งวิหารและบริเวณไปในสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน. พระเถระทั้งหลายในวิหารเหล่านั้น เพื่อที่จะบูชาพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพื่อจะเปลื้องวาทะของพวกเดียรถีย์เสีย จึงคิดกันว่า ตลอดเดือนแรก พวกเราจะทําการปฏิสังขรณ์ที่ชํารุดทรุดโทรม. ก็พวกเดียรถีย์พึงกล่าวว่า เหล่าสาวกของพระสมณโคดม เมื่อพระศาสดายังดํารงอยู่เท่านั้น จึงปฏิบัติวิหาร เมื่อปรินิพพานแล้ว ก็พากันทอดทิ้งเสีย. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ก็เพื่อจะเปลื้องวาทะของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น พระเถระทั้งหลายจึงได้คิดกันอย่างนั้น. ข้อนี้สมจริงดังพระธรรม-


(๑) ที. สี. ๙/๒๕๑.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 31

สังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล พระภิกษุเถระทั้งหลายได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าแลทรงสรรเสริญการปฏิสังขรณ์ที่ชํารุดทรุดโทรม เอาเถิด ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกเราจะทําการปฏิสังขรณ์ที่ชํารุดทรุดโทรมตลอดเดือนแรก จักประชุมกันทําสังคายนาพระธรรมและพระวินัยตลอดเดือนอันมีในท่ามกลาง (๑) ดังนี้.

[พระเถระไปทูลขอหัตถกรรมจากพระเจ้าอชาตศัตรู]

ในวันที่ ๒ พระเถระเหล่านั้นได้ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง. พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จมาไหว้แล้ว รับสั่งถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าทั้งหลาย พากันมาเพราะเหตุไร ดังนี้ แล้วจึงทรงรับสั่งย้อนถามถึงกิจที่พระองค์เองควรทํา. พระเถระทั้งหลายได้ทูลบอกหัตถกรรมเพื่อประโยชน์แก่การปฏิสังขรณ์มหาวิหารทั้ง ๑๘ ตําบล.

[พระราชาทรงอุปถัมภ์กิจสงฆ์ทุกอย่าง]

พระราชาทรงรับว่า ดีละ เจ้าข้า แล้วได้พระราชทานพวกมนุษย์ผู้ทําหัตถกรรม. พระเถระทั้งหลายสั่งให้ปฏิสังขรณ์วิหารทั้งหมดเสร็จสิ้นเดือนแรก แล้วได้ทูลให้พระราชาทรงทราบว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร การปฏิสังขรณ์วิหารเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้อาตมภาพทั้งหลาย จะทําการสังคายนาพระธรรมและพระวินัย

ราชา. ดีละ เจ้าข้า ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงหมดความคิดระแวงสงสัยกระทําเถิด อาณาจักรจงไว้เป็นภาระของข้าพเจ้า ธรรมจักรจงเป็นภาระของพระคุณเจ้าทั้งหลาย ขอพระคุณเจ้าโปรดใช้ข้าพเจ้าเถิด เจ้าข้า จะให้ข้าพเจ้าทําอะไร.


(๑) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๒

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 32

พระเถระ. ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขอพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสถานที่นั่งประชุมสําหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทําสังคายนา.

ราชา. จะให้ข้าพเจ้าสร้าง ณ ที่ไหน เจ้าข้า?

เถระ. ควรสร้างที่ประตูถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภารบรรพต ขอถวายพระพร.

[พระราชามีพระราชกระแสรับสั่งให้ประดับถ้ำดุจวิมานพรหม]

พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระดำรัสว่า ได้ เจ้าข้า ดังนี้ แล้วมีพระบัญชาให้สร้างมณฑปที่มีเครื่องประดับอันเป็นสาระซึ่งควรทัศนา เช่นกับสถานที่อันวิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิตไว้ มีฝาเสาและบันไดอันนายช่างจําแนกไว้ดี วิจิตรด้วยมาลากรรมและลดากรรมนานาชนิด ราวกะว่าจะครอบงําเสียซึ่งสมบัติแห่งราชมณเฑียรของพระมหากษัตริย์ ดุจประหนึ่งว่าจะเยาะเย้ยสิริแห่งเทพวิมาน ปานประหนึ่งว่าเป็นสถานที่อาศัยอยู่แห่งสิริ ดุจท่าเป็นที่ประชุมชั้นเอกของเหล่าวิหคคือนัยนาแห่งเทพดาและมนุษย์ และประดุจสถานที่รื่นรมย์ในโลกอันเขาประมวลจัดสรรไว้ ตกแต่งมณฑปนั้นให้เป็นเช่นกับวิมานพรหม มีเพดานงดงาม รุ่งเรือง ดุจสลัดอยู่ซึ่งพวงดอกกุสุมที่ห้อยย้อยนานาชนิด วิจิตรด้วยเครื่องบูชาดอกไม้ต่างๆ มีการงานอันควรทําที่พื้นทําสําเร็จเรียบร้อยดีแล้ว ประหนึ่งว่ามีพื้นที่บุด้วยแก้วมณีอันวิจิตรด้วยรัตนะฉะนั้น ภายในมหามณฑปนั้น มีพระบัญชาให้ปูเครื่องลาดอันเป็นกัปปิยะ ๕๐๐ ที่ ซึ่งคํานวณค่ามิได้ สําหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป แล้วให้ปูเถรอาสน์พิงข้างด้านทิศทักษิณ ผินหน้าไปทางทิศอุดร ในท่ามกลางมณฑป ให้ตั้งธรรมาสน์อันควรเป็นที่ประทับนั่งของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผินหน้าไปทางทิศบูรพาและทรงวางพัดวีชนีอันประดับตกแต่งด้วยงาไว้บนธรรมาสน์นั่น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 33

แล้วรับสั่งให้เผดียงแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ กิจของข้าพเจ้าสําเร็จแล้วดังนี้.

[พวกภิกษุเตือนพระอานนท์มิให้ประมาท]

พวกภิกษุได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ว่า อาวุโส การประชุมจะมีในวันพรุ่งนี้ แต่ท่านยังเป็นเสขะบุคคลอยู่ เพราะเหตุนั้น ท่านไม่ควรไปสู่ที่ประชุม ขอท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ดังนี้.

ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ดําริว่า การประชุมจะมีในวันพรุ่งนี้ ก็ข้อที่เรายังเป็นเสขะอยู่ จะพึงไปสู่ที่ประชุมนั้นไม่สมควรแก่เราแล แล้วได้ยับยั้งอยู่ด้วยกายคตาสติตลอดราตรีเป็นอันมากทีเดียว ในเวลาราตรีใกล้รุ่งลงจากที่จงกรมแล้ว เข้าไปยังวิหาร คิดว่า จักพักนอน ได้เอนกายลง. เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น แต่ศีรษะไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน. ความจริง ท่านพระอานนท์นี้ยับยั้งอยู่แล้วในภายนอกด้วยการจงกรม เมื่อไม่สามารถจะยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้ จึงคิดว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคํานี้แก่เรามิใช่หรือว่า อานนท์ เธอเป็นผู้ได้ทําบุญไว้แล้ว จงหมั่นประกอบความเพียรเถิด จักเป็นผู้หาอาสวะมิได้โดยฉับพลัน (๑) อันธรรมดาว่าโทษแห่งพระดํารัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี เราปรารภความเพียรมากเกินไป เพราะเหตุนั้น จิตของเราจึงเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน เอาเถิด เราจะประกอบความเพียรให้สม่ําเสมอ ดังนี้ จึงลงจากที่จงกรม ยืนล้างเท้าในที่ล้างเท้าแล้วเข้าไปสู่วิหารนั่งบนเตียง ดําริว่า จักพักผ่อนสักหน่อยหนึ่ง ได้เอนกายลงบนเตียง. เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น ศีรษะยังไม่ถึงหมอน ในระหว่างนี้ จิตก็พ้นจากอาสวะทั้งหลายไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน. ความเป็น


(๑) ที. มหา. ๑๐/๑๖๗.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 34

พระอรหันต์ของพระเถระเว้นจากอิริยาบถสี่. เพราะฉะนั้น เมื่อมีผู้ถามว่าในพระศาสนานี้ ภิกษุรูปไหน ไม่นอน ไม่นั่ง ไม่ยืน ไม่จงกรม ได้บรรลุพระอรหัต จะตอบว่า พระอานนทเถระ ก็ควร.

[พระอานนท์ดําดินไปเข้าประชุมสงฆ์]

ครั้งนั้น ในวันที่ ๒ ภิกษุเถระทั้งหลายทําภัตกิจเสร็จ เก็บบาตรและจีวรแล้ว ไปประชุมกันที่ธรรมสภา. ส่วนพระอานนทเถระมีความประสงค์จะให้ผู้อื่นรู้การบรรลุความเป็นพระอรหันต์ของตน มิได้ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเมื่อจะนั่งบนอาสนะของตนๆ ตามลําดับผู้แก่ ได้นั่งเว้นอาสนะไว้สําหรับพระอานนทเถระ. เมื่อภิกษุบางพวกในธรรมสภานั้นถามว่า นั่นอาสนะใคร ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ของพระอานนท์ ภิกษุทั้งหลายถามว่าก็ท่านพระอานนท์ไปไหนเล่า? ในสมัยนั้น พระเถระคิดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะไป เมื่อจะแสดงอานุภาพของตน ในลําดับนั้น จึงดําลงในแผ่นดินแล้วแสดงตนบนอาสนะของตนนั้นเอง. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า มาทางอากาศแล้วนั่ง ก็มี.

[พระเถระเริ่มปรึกษาและสมมติตนเป็นผู้ปุจฉาวิสัชนา]

เมื่อพระอานนท์นั้นนั่งแล้วอย่างนั้น พระมหากัสสปเถระ จึงปรึกษาภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกเราจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ข้าแต่ท่านพระมหากัสสปะ ชื่อว่าพระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยยังตั้งอยู่ พระพุทธศาสนาจัดว่ายังดํารงอยู่ เพราะฉะนั้น พวกเราจะสังคายนาพระวินัยก่อน.

พระมหากัสสปะ. จะให้ใครเป็นธุระ?

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 35

ภิกษุทั้งหลาย. ให้ท่านพระอุบาลี.

ถามว่า พระอานนท์ไม่สามารถหรือ?

แก้ว่า ไม่สามารถหามิได้. ก็อีกอย่างหนึ่งแล เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง ทรงอาศัยวินัยปริยัติ จึงตั้งท่านพระอุบาลีไว้ในเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราผู้ทรงวินัย อุบาลีเป็นเลิศดังนี้ เพราะฉะนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงปรึกษากันว่า พวกเราจะถามพระอุบาลีเถระสังคายนาพระวินัย ดังนี้ ลําดับนั้น พระเถระก็ได้สมมติตนเองเพื่อต้องการถามพระวินัย. ฝ่ายพระอุบาลีเถระก็ได้สมมติตนเพื่อประโยชน์แก่การวิสัชนา.

[คําสมมติตนปุจฉาวิสัชนาพระวินัย]

ในการสมมตินั้น มีพระบาลีดังต่อไปนี้ : -

ครั้นนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะ เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าพึงถามพระวินัยกะพระอุบาลี. (๑)

ฝ่ายพระอุบาลีก็เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าผู้อันท่านพระมหากัสสปะถามแล้วพึงวิสัชนา (๒) พระวินัย.

[ปุจฉาและวิสัชนาพระวินัย]

ท่านพระอุบาลีครั้นสมมติตนอย่างนั้นแล้ว ลุกขึ้นจากอาสนะห่มจีวรเฉวียงบ่า ไหว้ภิกษุเถระทั้งหลายแล้วนั่งบนธรรมาสน์จับพัดวีชนี อันประดับตกแต่ง


(๑) - (๒) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๓.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 36

ด้วยงา. คราวนั้นพระมหากัสสปะนั่งบนเถรอาสน์ แล้วถามพระวินัยกะท่านพระอุบาลีว่า ท่านอุบาลี ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน?

พระอุบาลี. ที่เมืองเวสาลี ขอรับ.

พระมหากัสสปะ. ทรงปรารภใคร?

พระอุบาลี. ทรงปรารภพระสุทินน์กลันทบุตร.

พระมหากัสสปะ. ทรงปรารภในเพราะเรื่องอะไร?

พระอุบาลี. ในเพราะเรื่องเมถุนธรรม.

ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ถามท่านพระอุบาลีถึงวัตถุบ้าง นิทานบ้าง บุคคลบ้าง บัญญัติบ้าง อนุบัญญัติบ้าง อาบัติบ้าง อนาบัติบ้างแห่งปฐมปาราชิก. (๑) เหมือนอย่างว่าท่านพระมหากัสสปะ ถามถึงวัตถุบ้าง ฯลฯ ถามถึงอนาบัติบ้าง แห่งปฐมปาราชิกฉันใด ก็ถามถึงวัตถุบ้าง ฯลฯ อนาบัติบ้าง แห่งทุติยปาราชิกฉันนั้น ... แห่งตติยปาราชิกฉันนั้น ... ถามถึงวัตถุบ้าง ฯลฯ อนาบัติบ้าง แห่งจตุตถปาราชิกก็ฉันนั้น. พระอุบาลีเถระอันพระมหากัสสปะถามแล้วๆ ก็ได้วิสัชนาแล้ว.

[รวมรวมพระวินัยของภิกษุไว้เป็นหมวดๆ]

ลําดับนั้น พระเถระทั้งหลาย ยกปาราชิก ๔ เหล่านี้ขึ้นสู่สังคหะ (การสังคายนา) ว่า นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ แล้วได้ตั้งสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ว่า เตรสกัณฑ์ ตั้ง ๒ สิกขาบทไว้ว่า อนิยต ตั้ง ๓๐ สิกขาบทไว้ว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ตั้ง ๙๒ สิกขาบทไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้ง ๔ สิกขาบทไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ ตั้ง ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า เสขิยะ (และ) ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ ดังนี้.


(๑) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๒ - ๓๘๓.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 37

[รวบรวมพระวินัยของภิกษุณีไว้เป็นหมวดๆ]

พระเถระทั้งหลายครั้นยกมหาวิภังค์ขึ้นสู่สังคหะอย่างนี้แล้ว จึงตั้ง ๘ สิกขาบท ในภิกษุณีวิภังค์ไว้ว่า นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์ ตั้ง ๑๗ สิกขาบทไว้ว่า สัตตรสกัณฑ์ ตั้ง ๓๐ สิกขาบทไว้ว่า นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ตั้ง ๑๖๖ สิกขาบทไว้ว่า ปาจิตตีย์ ตั้ง ๘ สิกขาบทไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ ตั้ง ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า เสขิยะ (และ) ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ ดังนี้.

พระเถระทั้งหลาย ครั้นยกภิกษุณีวิภังค์ขึ้นสู่สังคหะอย่างนี้แล้วจึงได้ยกแม้ขันธกะและบริวารขึ้น (สู่สังคายนา) โดยอุบายนั้นนั่นแล. พระวินัยปิฎกพร้อมทั้งอุภโตวิภังค์ขันธกะและบริวาร พระเถระทั้งหลายยกขึ้นสู่สังคหะแล้วด้วยประการฉะนี้.

พระมหากัสสปเถระ ได้ถามวินัยปิฎกทั้งหมด. พระอุบาลีเถระก็ได้วิสัชนาแล้ว. ในที่สุดแห่งการปุจฉาและวิสัชนา พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้ทําการสาธยายเป็นคณะ โดยนัยที่ยกขึ้นสู่สังคหะนั้นแล. ในอวสานแห่งการสังคายนาพระวินัย พระอุบาลีเถระวางพัดวีชนีอันประดับตกแต่งด้วยงาแล้ว ลงจากธรรมาสน์ไหว้พวกภิกษุผู้แก่แล้วนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตน.

[เริ่มสังคายนาพระสูตร]

ท่านพระมหากัสสปะ ครั้นสังคายนาพระวินัยแล้ว ประสงค์จะสังคายนาพระธรรม จึงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อพวกเราจะสังคายนาพระธรรม ควรจะทําใครให้เป็นธุระ สังคายนาพระธรรม?

ภิกษุทั้งหลายเรียนว่า ให้ท่านพระอานนทเถระ

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 38

[คําสวดสมมติปุจฉาวิสัชนาพระสูตร]

ลําดับนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะเผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าพึงถามพระธรรมกะท่านพระอานนท์. (๑)

ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ก็เผดียงให้สงฆ์ทราบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้วไซร้ ข้าพเจ้าอันพระมหากัสสปะถามแล้วพึงวิสัชนาพระธรรม (๒)

[ปุจฉาและวิสัชนาพระสูตร]

ลําดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นจากอาสนะห่มจีวรเฉวียงบ่า ไหว้ภิกษุผู้เถระทั้งหลายแล้วนั่งบนธรรมสาสน์จับพัดวีชนีอันประดับตกแต่งด้วยงา. พระมหากัสสปเถระ ถามพระธรรมกะพระอานนทเถระว่า อานนท์ผู้มีอายุ พรหมชาลสูตรพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ณ ที่ไหน?

พระอานนท์. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตรัสที่พระตําหนักหลวงในพระราชอุทยานชื่ออัมพลัฏฐิกา ระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาลันทาต่อกัน

พระมหากัสสปะ. ทรงปรารภใคร?

พระอานนท์. ทรงปรารภสุปปิยปริพาชก และพรหมทัตตมาณพ. ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ถามท่านพระอานนท์ถึงนิทานบ้าง บุคคลบ้างแห่งพรหมชาลสูตร.

พระมหากัสสปะ. ท่านอานนท์ผู้มีอายุ ก็สามัญญผลสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ณ ที่ไหน?


(๑) - (๒) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๔

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 39

พระอานนท์. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตรัสที่สวนอัมพวันของหมอชีวกใกล้กรุงราชคฤห์.

พระมหากัสสปะ. ทรงปรารภใคร?

พระอานนท์. ทรงปรารภพระเจ้าอชาตศัตรูเวเทหิบุตร

ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ถามท่านพระอานนท์ถึงนิทานบ้าง บุคคลบ้าง แห่งสามัญญผลสูตร. ถามนิกายทั้ง ๕ โดยอุบายนี้นั่นแล (๑)

[นิกาย ๕]

ที่ชื่อว่านิกาย ๕ คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย. บรรดานิกายเหล่านั้น พระพุทธพจน์ที่เหลือยกเว้น ๔ นิกายเสีย ชื่อว่าขุททกนิกาย. ในขุททกนิกายนั้น พระวินัย ท่านอุบาลีเถระได้วิสัชนาแล้ว. ขุททกนิกายที่เหลือ และอีก ๔ นิกาย พระอานนทเถระวิสัชนา.

[พระพุทธพจน์มีจํานวนต่างๆ กัน]

พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้นั้น พึงทราบว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรส มี ๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัย มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปฐมะ มัชฌิมะ ปัจฉิมะ อนึ่ง มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปิฎก มี ๕ อย่าง ด้วยอํานาจนิกาย มี ๙ อย่าง ด้วยอํานาจองค์ มี ๘๔,๐๐๐ อย่าง ด้วยอํานาจพระธรรมขันธ์.

[พระพุทธพจน์มีอย่างเดียว]

พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรสอย่างไร? คือ ตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจนถึง


(๑) วิ. จุลฺ. ๗/๓๘๔ - ๓๘๕

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 40

ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในระหว่างนี้ทรงพร่ําสอนเทวดา มนุษย์ นาค และยักษ์ หรือทรงพิจารณาตลอดเวลา ๔๕ ปี ได้ตรัสพระพุทธพจน์ใดไว้ พระพุทธพจน์นั้นทั้งหมดมีรสอย่างเดียว คือ มีวิมุตติเป็นรสเท่านั้น. พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามีอย่างเดียว ด้วยอํานาจรส ด้วยประการฉะนี้.

[พระพุทธพจน์มี ๒ อย่าง]

พระพุทธพจน์ชื่อว่ามี ๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัยอย่างไร? คือ อันพระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้นั่นแล ย่อมถึงการนับว่า พระธรรมและวินัย. บรรดาธรรมและวินัยนั้น วินัยปิฎก ชื่อว่าวินัย. พระพุทธพจน์ที่เหลือชื่อว่าธรรม. เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระมหากัสสปะได้กล่าวไว้แล้วว่า ผู้มีอายุ อย่ากระนั้นเลย พวกเราพึงสังคายนาธรรมและวินัย และว่า เราพึงถามพระวินัยกะท่านอุบาลี พึงถามพระธรรมกะท่านอานนท์ ดังนี้. พระพุทธพจน์ ชื่อว่ามี ๒ อย่าง ด้วยอํานาจธรรมและวินัย ด้วยประการฉะนี้.

[พระพุทธพจน์มี ๓ อย่าง]

พระพุทธพจน์มี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจปฐมะ มัชฌิมะ และปัจฉิมะอย่างไร? คือ อันที่จริง พระพุทธพจน์นี้ทั้งหมดนั่นแล แบ่งประเภทเป็น ๓ คือ ปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์ (และ) ปัจฉิมพุทธพจน์

บรรดาพระพุทธพจน์ ๓ อย่างนั้น พระพุทธพจน์ว่า

เราแสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างผู้ทําเรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสาร มีความเกิดเป็นอเนก ความเกิดเป็นทุกข์ร่ําไป แน่ะ นายช่างผู้ทําเรือน เราพบเจ้าแล้ว เจ้าจัก

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 41

สร้างเรือน (คืออัตภาพของเรา) ไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งหมดของเจ้าเราหักเสียแล้ว ยอดเรือน (คืออวิชชา) เรารื้อเสียแล้ว จิตของเราได้ถึงพระนิพพานมีสังขารไปปราศแล้ว เราได้บรรลุความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว ดังนี้ (๑)

นี้ชื่อว่าปฐมพุทธพจน์. อาจารย์บางพวกกล่าวถึงอุทานคาถาในขันธกะว่า เมื่อใดแลธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ ดังนี้ (๒) เป็นต้น ชื่อว่าปฐมพุทธพจน์. ก็คาถานั้นเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้บรรลุความเป็นพระสัพพัญู ทรงพิจารณาปัจจยาการ ในพระญาณอันสําเร็จด้วยโสมนัส ในวันปาฏิบท บัณฑิตพึงทราบว่า อุทานคาถา. อนึ่ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระดํารัสใด ในคราวปรินิพพานว่า ภิกษุทั้งหลาย เอาเถิด บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด (๓) นี้ชื่อว่าปัจฉิมพุทธพจน์

พระพุทธพจน์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในระหว่างแห่งกาลทั้ง ๒ นั้น ชื่อว่ามัชฌิมพุทธพจน์. พระพุทธพจน์ชื่อว่ามี ๓ อย่าง ด้วยอํานาจเป็นปฐมะ มัชฌิมะ และปัจฉิมะ ด้วยประการฉะนี้.

[ปิฎก ๓]

พระพุทธพจน์ทั้งปวงเป็น ๓ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งปิฎกอย่างไร? ก็พระพุทธพจน์แม้ทั้งปวงมีอยู่ ๓ ประการเท่านั้น คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก. ใน ๓ ปิฎกนั้น พระพุทธพจน์นี้คือ


(๑) ขุ. ธ. ๒๕/๓๕.

(๒) วิ. มหา. ๔/๔.

(๓) ที. มหา. ๑๐/๑๘๐.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 42

ประมวลพระพุทธวจนะแม้ทั้งหมด ทั้งที่ร้อยกรองในปฐมสังคายนา ทั้งที่ร้อยกรองในภายหลัง เป็นปาฏิโมกข์ ๒ ฝ่าย วิภังค์ ๒ ขันธกะ ๒๒ บริวาร ๑๖ ชื่อวินัยปิฎก. พระพุทธวจนะนี้คือ ทีฆนิกายเป็นที่รวบรวมพระสูตร ๓๔ สูตร มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น มัชฌิมนิกาย เป็นที่รวบรวมพระสูตร ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้น สังยุตตนิกาย เป็นที่รวบรวมพระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น อังคุตตรนิกาย เป็นที่รวบรวมพระสูตร ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตตปริยาทานสูตรเป็นต้น ขุททกนิกาย ๑๕ ประเภทด้วยอํานาจแห่งขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิทเทส ปฏิสัมภิทา อปทาน พุทธวงศ์ จริยาปิฎก ชื่อสุตตันตปิฎก. พระพุทธพจน์นี้ คือ ธัมมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน ชื่ออภิธรรมปิฎก.

[อรรถาธิบายคําว่าวินัย]

ในพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรมนั้น

พระวินัย อันบัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งพระวินัยทั้งหลายกล่าวว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะฝึกกายและวาจา.

จริงอยู่ ในพระวินัยนี้ มีนัยต่างๆ คือ มีปาฏิโมกขุทเทศ ๕ ประการ กองอาบัติ ๗ มีปาราชิกเป็นต้น มาติกา และนัยมีวิภังค์เป็นต้นเป็นประเภท และนัยคืออนุบัญญัติเป็นพิเศษ คือมีนัยอันกระทําให้มั่นและกระทําให้หย่อนเป็นประโยชน์. อนึ่ง พระวินัยนี้ย่อมฝึกกายและวาจา เพราะห้ามซึ่งอัชฌาจาร

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 43

ทางกายและทางวาจา. เพราะฉะนั้น พระวินัยนี้ ท่านจึงกล่าวว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะฝึกกายและวาจา. ด้วยเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในอรรถาธิบายคําแห่งวินัยนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า

พระวินัยนี้ อันบัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งพระวินัยทั้งหลายกล่าวว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะฝึกกายและวาจา ดังนี้.

[อรรถาธิบายคําว่าสูตร]

ส่วนพระสูตรนอกนี้

ท่านกล่าวว่า สูตร เพราะบ่งถึงประโยชน์ เพราะมีอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เพราะเผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์ เพราะป้องกันด้วยดี และเพราะมีส่วนเสมอด้วยเส้นด้าย.

จริงอยู่ พระสูตรนั้น ย่อมบ่งถึงประโยชน์ต่างด้วยประโยชน์มีประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นเป็นต้น. อนึ่ง ประโยชน์ทั้งหลายอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วในพระสูตรนี้ เพราะตรัสโดยอนุโลมแก่อัธยาศัยแห่งเวไนย. อนึ่ง พระสูตรนี้ย่อมเผล็ดประโยชน์ ท่านอธิบายว่า ย่อมเผล็ดผลดุจข้าวกล้าฉะนั้น. อนึ่ง พระสูตรนี้ย่อมหลั่งประโยชน์เหล่านั้น ท่านอธิบายว่า ย่อมรินดุจแม่โค

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 44

นมหลั่งน้ำนมฉะนั้น. อนึ่ง พระสูตรนี้ย่อมป้องกัน ท่านอธิบายว่า ย่อมรักษาด้วยดีซึ่งประโยชน์เหล่านั้น. อนึ่ง พระสูตรนี้มีส่วนเสมอด้วยเส้นด้าย. เหมือนอย่างว่าเส้นบรรทัดย่อมเป็นประมาณของช่างไม้ฉันใด แม้พระสูตรนี้ก็ย่อมเป็นประมาณแห่งวิญูชนฉันนั้น. อนึ่ง เหมือนดอกไม้ที่เขาคุมไว้ด้วยเส้นด้ายอันลมให้เรี่ยรายกระจัดกระจายไม่ได้ฉันใด ประโยชน์ทั้งหลายที่ทรงประมวลไว้ด้วยพระสูตรนี้ย่อมไม่เรี่ยราย ไม่กระจัดกระจายฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในอรรถาธิบายคําแห่งพระสูตรนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า

พระสูตรท่านกล่าวว่า สูตร เพราะบ่งถึงประโยชน์ เพราะมีอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เพราะเผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์ เพราะป้องกันด้วยดี และเพราะมีส่วนเสมอด้วยด้าย ดังนี้.

[อรรถาธิบายคําว่าอภิธรรม]

ส่วนพระอภิธรรมนอกนี้

ด้วยเหตุที่ธรรมทั้งหลาย ที่มีความเจริญ ที่มีความกําหนดหมาย ที่บุคคลบูชาแล้ว ที่บัณฑิตกําหนดตัด และที่ยิ่ง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในพระอภิธรรมนี้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อภิธรรม.

ก็อภิศัพท์นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่าเจริญ ว่ามีความกําหนดหมาย ว่าอันบุคคลบูชาแล้ว ว่าอันบัณฑิตกําหนดตัดแล้ว และว่ายิ่ง. จริงอย่างนั้น

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 45

อภิศัพท์นี้ มาในอรรถว่าเจริญ ในคําเป็นต้นว่า ทุกขเวทนากล้าย่อมเจริญแก่เรา (๑) ดังนี้. มาในอรรถว่ามีความกําหนดหมาย ในคําเป็นต้นว่า ราตรีเหล่านั้นใด อันท่านรู้กันแล้ว กําหนดหมายแล้ว (๒) ดังนี้. มาในอรรถว่าอันบุคคลบูชาแล้ว ในคํามีว่า พระองค์เป็นพระราชาผู้อันพระราชาบูชาแล้ว เป็นจอมมนุษย์ (๓) เป็นอาทิ. มาในอรรถว่าอันบัณฑิตกําหนดตัดแล้ว ในคําเป็นอาทิว่า ภิกษุเป็นผู้สามารถเพื่อจะแนะนําเฉพาะธรรม เฉพาะวินัย (๔) ท่านอธิบายว่า เป็นผู้สามารถจะแนะนําในธรรมและวินัย ซึ่งเว้นจากความปะปนกันและกัน. มาในอรรถว่ายิ่ง ในคําเป็นต้นว่า มีวรรณะงามยิ่ง (๕) ดังนี้. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมทั้งหลายในพระอภิธรรมนี้ มีความเจริญบ้างโดยนัยมีอาทิว่า พระโยคาวจรเจริญมรรค เพื่อเข้าถึงรูปภพ (๖) ภิกษุมีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่. (๗) ชื่อว่ามีความกําหนดหมายบ้าง เพราะเป็นธรรมควรกําหนดได้ ด้วยกรรมทวารและปฏิปทาที่สัมปยุตด้วยอารมณ์เป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า จิต ... ปรารภอารมณ์ใดๆ เป็นรูปารมณ์ก็ดี สัททารมณ์ก็ดี. (๘) อันบุคคลบูชาแล้วบ้าง อธิบายว่า ควรบูชา โดยนัยเป็นต้นว่าเสขธรรม อเสขธรรม โลกุตตรธรรม. (๙) ชื่อว่าอันบัณฑิตกําหนดตัดบ้าง เพราะเป็นธรรมที่ท่านกําหนดตามสภาพ โดยนัยเป็นต้นว่า ในสมัยนั้น ผัสสะมี เวทนามี. (๑๐) ตรัสธรรมทั้งหลายที่ยิ่งบ้าง โดยนัยเป็นต้นว่า มหัคคตธรรม อัปปมาณธรรม (๑๑) อนุตตรธรรม. (๑๒) ด้วยเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในอรรถาธิบายคําแห่งพระอภิธรรมนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า


(๑) ส. มหา. ๑๙/๑๑๔.

(๒) ม. มู. ๑๒/๓๖.

(๓) ขุ. สุ. ๒๕/๔๔๔.

(๔) วิ. มหา. ๔/๑๔๒.

(๕) ขุ. วิมาน. ๒๖/๑๓.

(๖) อภิ. สํ. ๓๔/๔๔.

(๗) อภิ. วิ. ๓๕/๓๖๙.

(๘) อภิ. วิ. ๓๕/๓๙๖.

(๙) อภิ. สํ. ๓๔/๓.

(๑๐) อภิ. สํ. ๓๔/๙.

(๑๑) อภิ. สํ. ๓๔/๑.

(๑๒) อภิ. สํ. ๓๔/๗.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 46

ด้วยเหตุที่ธรรมทั้งหลายที่มีความเจริญ ที่มีความกําหนดหมาย ที่บุคคลบูชาแล้ว บัณฑิตกําหนดตัด และที่ยิ่ง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในพระอภิธรรมนี้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อภิธรรม.

ส่วนปิฎกศัพท์ใด เป็นศัพท์ที่ไม่พิเศษในพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรรมนี้ ปิฎกศัพท์นั้น

อันบัณฑิตทั้งหลายผู้รู้อรรถแห่งปิฎกกล่าวว่า ปิฎก โดยอรรถว่าปริยัติและภาชนะ ศัพท์ทั้ง ๓ มีวินัยเป็นต้น บัณฑิตพึงให้ประชุมลงด้วยปิฎกศัพท์นั้น แล้วพึงทราบ.

[ปิฎกเปรียบเหมือนตะกร้า]

จริงอยู่ แม้ปริยัติ ท่านก็เรียกว่า ปิฎก ในคําทั้งหลายเป็นต้นว่า อย่าเชื่อโดยการอ้างตํารา (๑) แม้ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านก็เรียกว่า ปิฎก ในคําเป็นต้นว่า ลําดับนั้น บุรุษถือจอบและตะกร้ามา (๒) เพราะเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลายผู้รู้อรรถแห่งปิฎกกล่าวว่า ปิฎก โดยอรรถว่าปริยัติและภาชนะ.

บัดนี้ พึงทราบอรรถแห่งบาทคาถาว่า เตน สโมธาเนตฺวา ตโยปิ วินยาทโย เยฺยา โดยนัยอย่างนี้ ศัพท์แม้ทั้ง ๓ มีวินัยเป็นต้นเหล่านั้น อันบัณฑิตพึงย่อเข้าเป็นสมาสกับด้วยปิฎกศัพท์ซึ่งมีอรรถเป็น ๒ อย่าง นี้นั้นแล้ว พึงทราบอย่างนี้ว่า วินัยนั้นด้วย ชื่อว่าปิฎกด้วย เพราะเป็นปริยัติ และเพราะเป็นภาชนะแห่งเนื้อความนั้นๆ เหตุนั้นจึงชื่อว่า วินัยปิฎก, สูตรนั้นด้วย


(๑) องฺ จตุกฺก. ๒๑/๒๕๙.

(๒) สํ. นิทาน. ๑๖/๑๐๖.

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 47

ชื่อว่าปิฎกด้วย โดยนัยตามที่กล่าวแล้วนั้นแล เหตุนั้นจึงชื่อว่า สุตตันตปิฎก, อภิธรรมนั้นด้วย ชื่อว่าปิฎกด้วย โดยนัยตามที่กล่าวแล้วนั้นเอง เหตุนั้นจึงชื่อว่า อภิธรรมปิฎก. ก็ครั้นทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อความเป็นผู้ฉลาดโดยประการต่างๆ ในปิฎกเหล่านั้นนั่นแลแม้อีก

    บัณฑิตพึงแสดงความต่างแห่งเทศนา ศาสนา กถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพ ในปิฎกเหล่านั้น ตามสมควร ภิกษุย่อมถึงซึ่งความต่างแห่งปริยัติก็ดี สมบัติและวิบัติก็ดี อันใด ในปิฎกใด มีวินัยปิฎกเป็นต้น โดยประการใด บัณฑิตพึงประกาศความต่างแห่งปริยัติเป็นต้น แม้นั้นทั้งหมด โดยประการนั้น.

    วาจาเครื่องแสดงและวาจาเครื่องประกาศ ในปิฎกทั้ง ๓ นั้น ดังต่อไปนี้ : - แท้จริง ปิฎกทั้ง ๓ นี้ ท่านเรียกว่า อาณาเทศนา โวหารเทศนา ปรมัตถเทศนา และยถาปราธศาสน์ ยถานุโลมศาสน์ ยถาธรรมศาสน์ และว่าสังวราสังวรกถา ทิฏฐิวินิเวฐนกถา และนามรูปปริจเฉทกถา ตามลําดับ. ความจริง บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นี้ วินัยปิฎกท่านให้ชื่อว่า อาณาเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรแก่อาณา ทรงแสดงไว้โดยเป็นปิฎกมากด้วยอาณา, สุตตันตปิฎก ท่านให้ชื่อว่าโวหารเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดใน

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 48

โวหาร ทรงแสดงไว้โดยเป็นปิฎกมากด้วยโวหาร, อภิธรรมปิฎก ท่านให้ชื่อว่าปรมัตถเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดในปรมัตถ์ ทรงแสดงไว้โดยเป็นปิฎกมากด้วยปรมัตถ์. อนึ่ง ปิฎกแรกท่านให้ชื่อว่า ยถาปราธศาสน์ เพราะสัตว์ทั้งหลายที่เป็นผู้มีความผิดมากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนตามความผิดในปิฎกนี้. ปิฎกที่สองท่านให้ชื่อว่า ยถานุโลมศาสน์ เพราะสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอัธยาศัย อนุสัย จริยา และอธิมุตติไม่ใช่อย่างเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนตามสมควรในปิฎกนี้, ปิฎกที่สามท่านให้ชื่อว่า ยถาธรรมศาสน์ เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีความสําคัญในสิ่งสักว่ากองธรรมว่า เรา ของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนตามธรรมในปิฎกนี้, อนึ่ง ปิฎกแรกท่านให้ชื่อว่า สังวราสังวรกถา เพราะความสํารวมน้อยและใหญ่ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความละเมิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในปิฎกนี้, ปิฎกที่สองท่านให้ชื่อว่า ทิฏฐิวินิเวฐนกถา เพราะการคลี่คลายทิฏฐิอันเป็นปฏิปักษ์ต่อทิฏฐิ ๖๒ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในปิฎกนี้, ปิฎกที่สามท่านให้ชื่อว่า นามรูปปริจเฉทกถา เพราะการกําหนดนามรูปอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส มีราคะเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในปิฎกนี้, ก็แลในปิฎกทั้งสามนี้ บัณฑิตพึงทราบสิกขา ๓ ปหานะ ๓ คัมภีรภาพ ๔ ประการ. จริงอย่างนั้น อธิสีลสิกขาท่านกล่าวไว้โดยพิเศษในพระวินัยปิฎก, อธิจิตตสิกขา ท่านกล่าวไว้โดยพิเศษในพระสุตตันตปิฎก, อธิปัญญาสิกขาท่านกล่าวไว้โดยพิเศษในพระอภิธรรมปิฎก. อนึ่ง ความละวีติกกมกิเลสท่านกล่าวไว้ในวินัยปิฎก เพราะศีลเป็นข้าศึกต่อความละเมิดแห่งกิเลสทั้งหลาย, ความละปริยุฏฐานกิเลส ท่านกล่าวไว้ใน

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 49

พระสุตตันตปิฎก เพราะสมาธิเป็นข้าศึกต่อปริยุฏฐานกิเลส, ความละอนุสัยกิเลสท่านกล่าวไว้ในอภิธรรมปิฎก เพราะปัญญาเป็นข้าศึกต่ออนุสัยกิเลส, อนึ่ง การละกิเลสทั้งหลายด้วยองค์นั้นๆ ท่านกล่าวไว้ในปิฎกที่หนึ่ง, การละด้วยการข่มไว้และตัดขาด ท่านกล่าวไว้ใน ๒ ปิฎกนอกนี้, อนึ่ง การละสังกิเลสคือทุจริต ท่านกล่าวไว้ในปิฎกที่หนึ่ง, การละกิเลสคือตัณหาและทิฏฐิ ท่านกล่าวไว้ใน ๒ ปิฎกนอกนี้, ก็บัณฑิตพึงทราบความที่พระพุทธพจน์เป็นคุณลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนา และโดยปฏิเวธทั้ง ๔ อย่าง ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ แต่ละอย่างๆ

[อธิบายคัมภีรภาพ ๔ อย่าง]

บรรดาคัมภีรภาพทั้ง ๔ นั้น พระบาลี ชื่อว่าธรรม. เนื้อความแห่งพระบาลีนั้นนั่นแล ชื่อว่าอรรถ. การแสดงพระบาลีนั้นที่กําหนดไว้ด้วยใจนั้น ชื่อว่าเทศนา. การหยั่งรู้พระบาลีและอรรถแห่งพระบาลีตามเป็นจริง ชื่อว่าปฏิเวธ. ก็เพราะในปิฎกทั้ง ๓ นี้ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธเหล่านี้ อันบุคคลผู้มีปัญญาทรามทั้งหลายหยั่งลงได้ยาก และมีที่ตั้งอาศัยที่พวกเขาไม่พึงได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลาย มีกระต่ายเป็นต้นหยั่งลงได้ยากฉะนั้น, เพราะฉะนั้น จึงจัดว่าเป็นคุณลึกซึ้ง. ก็แลบัณฑิตพึงทราบคัมภีรภาพทั้ง ๔ ในปิฏกทั้ง ๓ นี้ แต่ละปิฎก ด้วยประการฉะนี้.

[อธิบายคัมภีรภาพอีกนัยหนึ่ง]

อีกอย่างหนึ่ง เหตุ ชื่อว่าธรรม, สมจริงดังพระดํารัสที่พระผู้มี-

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 50

พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในเหตุ ชื่อว่าธรรมปฏิสัมภิทา (๑) ผลแห่งเหตุชื่อว่าอรรถ สมจริงดังพระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความรู้ในผลแห่งเหตุ ชื่อว่าอัตถปฏิสัมภิทา (๒) บัญญัติ อธิบายว่า การเทศนาธรรมตามธรรม ชื่อว่าเทศนา. การตรัสรู้ชื่อว่าปฏิเวธ. ก็ปฏิเวธนั้นเป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ คือความรู้รวมลงในธรรมตามสมควรแก่อรรถ ในอรรถตามสมควรแก่ธรรม ในบัญญัติตามสมควรแก่ทางแห่งบัญญัติ โดยวิสัยและโดยความไม่งมงาย (๓)

บัดนี้ ควรทราบคัมภีร์ทั้ง ๔ ประการ ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ แต่ละปิฎก เพราะเหตุที่ธรรมชาตหรืออรรถชาตใดๆ ก็ดี อรรถที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงให้ทราบย่อมเป็นอรรถมีหน้าเฉพาะต่อญาณของนักศึกษาทั้งหลายด้วยประการใดๆ เทศนาอันส่องอรรถนั้นให้กระจ่างด้วยประการนั้นๆ นี้ใดก็ดี ปฏิเวธคือความหยั่งรู้ไม่วิปริตในธรรม อรรถและเทศนานี้ใดก็ดี ในปิฎกเหล่านี้ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธทั้งหมดนี้ อันบุคคลผู้มีปัญญาทรามทั้งหลาย มิใช่ผู้มีกุศลสมภารได้ก่อสร้างไว้ พึงหยั่งถึงได้ยากและที่พึ่งอาศัยไม่ได้ ดุจมหาสมุทรอันสัตว์ทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นหยั่งถึงได้ยากฉะนั้น. ก็พระคาถานี้ว่า

บัณฑิตพึงแสดงความต่างแห่งเทศนา ศาสนา กถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพในปิฎกเหล่านั้นตามสมควร ดังนี้


(๑) - (๒) อภิ. วิ. ๓๕/๓๙๙.

(๓) สารตฺถทีปนี. ๑/๑๒๒. อธิบายว่า ในความตรัสรู้ เป็นโลกิยะและโลกุตระนั้น ความหยั่งรู้เป็นโลกิยะ มีธรรมมีอวิชชาเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีสังขารมีอรรถเป็นต้นเป็นอารมณ์ มีการให้เข้าใจธรรมและอรรถทั้งสองนั้นเป็นอารมณ์ ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้น ตามสมควรแก่อรรถเป็นต้นโดยวิสัย. ส่วนความตรัสรู้เป็นโลกุตระนั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ สัมปยุตด้วยมรรคมีการกําจัดความงมงายในธรรม อรรถและบัญญัติตามที่กล่าวแล้ว ชื่อว่าความรู้รวมลงในธรรมเป็นต้นตามสมควรแก่อรรถเป็นต้น โดยความไม่งมงาย.

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 51

เป็นอันข้าพเจ้าขยายความแล้ว ด้วยคําเพียงเท่านี้

ส่วนในพระคาถานี้ว่า

ภิกษุย่อมถึงความต่างแห่งปริยัติก็ดี สมบัติและวิบัติก็ดี อันใด ในปิฎกใดมีวินัยปิฎกเป็นต้น โดยประการใด บัณฑิตพึงประกาศความต่างแห่งปริยัติเป็นต้น แม้นั้นทั้งหมด โดยประการนั้น ดังนี้.

บัณฑิตพึงเห็นความต่างแห่งปริยัติ ๓ อย่าง ใน ๓ ปิฎกดังนี้ :-

[ปริยัติ ๓ อย่าง]

จริงอยู่ ปริยัติ ๓ คือ อลคัททูปมาปริยัติ ๑ นิสสรณัตถปริยัติ ๑ ภัณฑาคาริยปริยัติ (๑) ๑ ในปริยัติ ๓ อย่างนั้น ปริยัติใด อันบุคคลเรียนไม่ดี คือเรียนเพราะเหตุมีการโต้แย้งเป็นต้น, ปริยัตินี้ ชื่อว่า ปริยัติเปรียบด้วยงูพิษที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เที่ยวเสาะแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่มือหรือที่แขน หรือที่อวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตายหรือความทุกข์ปางตายซึ่งมีการกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ภิกษุทั้งหลาย เพราะงูพิษเขาจับไม่ดี แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ พวกเขาครั้นเรียน


(๑) วินยฏฺกถา หน้า ๒๔ เป็น ภัณฑาคาริกปริยัติ.

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 52

ธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่พิจารณาอรรถแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ควรต่อการเพ่งพินิจแก่พวกเขา ผู้ไม่พิจารณาอรรถด้วยปัญญา พวกเขาเรียนธรรมมีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และมีหลักการบ่นเพ้อว่าอย่างนี้เป็นอานิสงส์ และย่อมไม่ได้รับประโยชน์แห่งธรรมที่พวกกุลบุตรต้องประสงค์เล่าเรียน ธรรมเหล่านั้นที่เขาเรียนไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน แก่โมฆบุรุษเหล่านั้น ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นเพราะธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนไม่ดี (๑)

อนึ่ง ปริยัติอันบุคคลเรียนดีแล้ว คือจํานงอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้นนั่นแล เรียนแล้ว ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้งเป็นต้น, ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนานแก่กุลบุตรเหล่านั้น ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้น เพราะธรรมทั้งหลายอันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว (๒) ดังนี้.

ส่วนพระขีณาสพผู้มีขันธ์อันกําหนดรู้แล้ว มีกิเลสอันละแล้ว มีมรรคอันอบรมแล้ว มีธรรมอันไม่กําเริบแทงตลอดแล้ว มีนิโรธอันกระทําให้แจ้งแล้ว ย่อมเรียนซึ่งปริยัติใด เพื่อต้องการแก่อันดํารงซึ่งประเพณี เพื่อต้องการแก่อันตามรักษาซึ่งวงศ์ ปริยัตินี้ ชื่อว่าปริยัติของท่านผู้ประดุจขุนคลัง.

[ภิกษุผู้ปฏิบัติดีใน ๓ ปิฎกได้ผลดีต่างกัน]

อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีในพระวินัยอาศัยสีลสมบัติ ย่อมได้บรรลุวิชชา ๓ ก็เพราะตรัสจําแนกประเภทวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแลไว้ในพระวินัยนั้น. ผู้


(๑) - (๒) ม. มู. ๑๒/๒๖๘ - ๒๖๙.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 53

ปฏิบัติดีในพระสูตรอาศัยสมาธิสมบัติ ย่อมได้บรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัสจําแนกประเภทอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ผู้ปฏิบัติดีในพระอภิธรรมอาศัยปัญญาสมบัติ ย่อมได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสจําแนกประเภทปฏิสัมภิทา ๔ นั้น ไว้ในพระอภิธรรมนั้นนั่นเอง. ผู้ปฏิบัติดีในปิฎกเหล่านี้ย่อมบรรลุสมบัติต่างกัน คือวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้ตามลําดับด้วยประการฉะนี้.

[ผู้ปฏิบัติไม่ดีใน ๓ ปิฎกได้ผลเสียต่างกัน]

ก็ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระวินัย ย่อมมีความสําคัญว่าหาโทษมิได้ ในผัสสะทั้งหลายมีสัมผัสซึ่งรูปเป็นอุปาทินนกะ เป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามแล้ว โดยความเป็นอาการเสมอกับด้วยสัมผัสซึ่งวัตถุมีเครื่องลาดและผ้าห่มเป็นต้น ซึ่งมีสัมผัสเป็นสุข ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว. แม้ข้อนี้ต้องด้วยคําที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงซึ่งธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยประการที่ว่า เป็นธรรมอันทําอันตรายได้อย่างไร ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถเพื่อกระทําอันตรายแก่บุคคลผู้เสพได้ (๑) ดังนี้. ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล เพราะความปฏิบัติไม่ดีนั้น.

ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระสูตร ไม่รู้อยู่ซึ่งอธิบายในพระบาลีมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จําพวกนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ดังนี้ ย่อมถือเอาผิดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสว่า บุคคลมีธรรมอันตนถือผิดแล้ว ย่อมกล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดตนเองด้วย ย่อมได้ประสบบาปมิใช่บุญมากด้วย (๒) ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิผิด เพราะการถือนั้น.


(๑) วิ. มหา. ๒/๔๓๔.

(๒) ม. มู. ๑๒/๒๖๖.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 54

ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในพระอภิธรรม แล่นเกินไปซึ่งการวิจารณ์ธรรม ย่อมคิดแม้ซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิด ย่อมถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต เพราะคิดซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิดนั้น. ข้อนี้ต้องด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่าใด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความลําบากใจ เรื่องที่ไม่ควรคิดเหล่านี้ ๔ ประการ อันบุคคลไม่ควรคิด (๑) ดังนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติไม่ดีในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นผู้มีทิฏฐิผิด และความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ ตามลําดับ ด้วยประการฉะนี้.

ถึงพระคาถาแม้นี้ว่า

ภิกษุย่อมถึงซึ่งความต่างแห่งปริยัติก็ดี สมบัติและวิบัติก็ดี อันใด ในปิฎกใดมีวินัยปิฎกเป็นต้น โดยประการใด บัณฑิตพึงประกาศความต่างแห่งปริยัติเป็นต้น แม้นั้นทั้งหมดโดยประการนั้น ดังนี้

เป็นอันข้าพเจ้าขยายความแล้วด้วยคําเพียงเท่านี้. บัณฑิตครั้นทราบปิฎกโดยประการต่างๆ อย่างนั้นแล้ว ก็ควรทราบพระพุทธพจน์นั้นว่า มี ๓ อย่างด้วยอํานาจแห่งปิฎกเหล่านั้น.

[พระพุทธพจน์มี ๕ นิกาย]

พระพุทธพจน์มี ๕ ด้วยอํานาจแห่งนิกาย อย่างไร? จริงอยู่ พระพุทธพจน์นั้นทั้งหมดนั่นแล ย่อมมี ๕ ประเภท คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย (และ) ขุททกนิกาย


(๑) องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๐๔.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 55

[ทีฆนิกาย ๓๔ สูตร]

บรรดานิกายทั้ง ๕ นั้น ทีฆนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๓๔ สูตร มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น สงเคราะห์ (รวบรวม) เป็น ๓ วรรค ชื่อทีฆนิกาย.

นิกายใดมีพระสูตร ๓๔ สูตรถ้วน สงเคราะห์เป็น ๓ วรรค, นิกายแรกนี้ อนุโลมตามเนื้อความ ชื่อว่าทีฆนิกาย.

ก็เพราะเหตุไร นิกายนี้ ท่านจึงเรียกว่า ทีฆนิกาย? เพราะเป็นที่ประชุม และเป็นที่รวมแห่งพระสูตรทั้งหลายที่มีขนาดยาว. จริงอยู่ ที่ประชุมและที่รวมท่านเรียกว่า นิกาย ก็ในข้อที่นิกายศัพท์ เป็นศัพท์บอกความประชุมและความรวมนี้ มีอุทาหรณ์ที่ควรสาธกทั้งทางศาสนา ทั้งทางโลก มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นแม้ซึ่งหมู่อันหนึ่งอื่น ซึ่งงดงามเหมือนหมู่สัตว์ดิรัจฉานนี้ คือหมู่ปลวก หมู่สัตว์เล็กๆ นะ ภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตพึงทราบพจนารถ (ความหมายของคํา) ในความที่นิกายทั้ง ๔ แม้ที่เหลือชื่อว่านิกาย ด้วยประการฉะนี้

[มัชฌิมนิกายมี ๑๕๒ สูตร]

มัชฌิมนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้น สงเคราะห์เป็น ๑๕ วรรค ซึ่งมีขนาดปานกลาง ชื่อมัชฌิมนิกาย.

นิกายที่มีพระสูตร ๑๕๒ สูตร จัดเป็น๑๕ วรรค ชื่อว่ามัชฌิมนิกาย.

[สังยุตตนิกายมี ๗,๗๖๒ สูตร]

สังยุตตนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น ตั้งอยู่ด้วยอํานาจแห่งสังยุตมีเทวตาสังยุตเป็นต้น ชื่อสังยุตตนิกาย.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 56

นิกาย ที่มีพระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร ซึ่งรวบรวมหมวดสังยุต นี้ชื่อว่าสังยุตตนิกาย.

[อังคุตตรนิกายมี ๙,๕๕๗ สูตร]

อังคุตตรนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตตปริยาทานสูตรเป็นต้น ที่ตั้งอยู่ด้วยอํานาจแห่งองค์หนึ่งๆ และเกินหนึ่ง ชื่ออังคุตตรนิกาย

ในอังคุตตรนิกาย นับจํานวนพระสูตร ได้ดังนี้ คือ ๙,๕๕๗ สูตร.

[ขุททกนิกายมี ๑๕ ประเภท]

ขุททกนิกายเป็นไฉน? เว้น ๔ นิกายเสีย พระพุทธพจน์ที่เหลือ คือ พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎกทั้งหมด และพระบาลี ๑๕ ประเภท ที่แสดงไว้แล้วในตอนต้น มีขุททกปาฐะเป็นอาทิ ชื่อขุททกนิกาย ด้วยประการฉะนี้.

เว้นนิกายแม้ทั้ง ๔ มีทีฆนิกายเป็นต้นนั่นเสีย พระพุทธพจน์อื่นจากนั้น บัณฑิตเรียกว่า ขุททกนิกาย ฉะนี้แล

พระพุทธพจน์มี ๕ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งนิกาย ดังพรรณนามาฉะนี้.

[พระพุทธพจน์มี ๙ อย่าง]

พระพุทธพจน์มี ๙ อย่าง ด้วยสามารถแห่งองค์อย่างไร? จริงอยู่ พระพุทธพจน์นี้ทั้งหมดทีเดียว มี ๙ ประเภท คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 57

[อธิบายพระพุทธพจน์มีองค์ ๙ ทีละองค์]

บรรดาพระพุทธพจน์ที่มีองค์ ๙ นั้น อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวาร และพระสูตร มีมงคลสูตร รตนสูตร นาลกสูตร และตุวฏกสูตรเป็นต้น ในสุตตนิบาต และพระตถาคตพจน์ (พระดํารัสของพระตถาคต) ที่มีชื่อว่าสูตรแม้อื่น พึงทราบว่า พระสูตร.

พระสูตรที่มีคาถาแม้ทั้งหมด พึงทราบว่า เคยยะ.

สคาถวรรค (วรรคที่มีคาถา) แม้ทั้งสิ้น ในสังยุตตนิกาย พึงทราบว่าเคยยะ โดยพิเศษ.

พระอภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น พระสูตรที่ไม่มีคาถาปน และพระพุทธพจน์แม้อื่น ที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เวยยากรณะ.

ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนๆ ที่ไม่มีชื่อว่าสูตรในสุตตนิบาต พึงทราบว่า คาถา.

พระสูตร ๘๒ สูตร ที่ปฏิสังยุตด้วยคาถาซึ่งสําเร็จด้วยโสมนัสสญาณพึงทราบว่า อุทาน

พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ข้อนี้สมจริงดังคําที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว (๑) พึงทราบว่า อิติวุตตกะ

ชาดก ๕๕๐ มีอปัณณกชาดกเป็นต้น พึงทราบว่า ชาตกะ.

พระสูตร ที่ปฏิสังยุตด้วยอัจฉริยะอัพภูตธรรมแม้ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัจฉริยอัพภูตธรรม ๔ อย่าง เหล่านี้ย่อมมีในพระอานนท์ (๒) พึงทราบว่า อัพภูตธัมมะ


(๑) ขุ. อิติวุตฺตก. ๒๕/๒๒๙.

๒. ที. มหา. ๑๐/๑๖๘.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 58

พระสูตรที่มนุษย์เป็นต้นถามแล้ว ได้ความรู้และความยินดีแม้ทั้งหมด มีจูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และมหาปุณณมสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า เวทัลละ.

พระพุทธพจน์มีองค์ ๙ ด้วยอํานาจแห่งองค์ ดังพรรณนามาฉะนี้.

[พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์]

พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งพระธรรมขันธ์อย่างไร? จริงอยู่ พระพุทธพจน์นั้นทั้งหมดเทียว มี ๘๔,๐๐๐ ประเภท ด้วยอํานาจแห่งพระธรรมขันธ์ ที่พระอานนทเถระแสดงไว้แล้วอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าเรียนเอาพระธรรม จากพุทธสํานัก ๘๒,๐๐๐ จากสํานักภิกษุ ๒,๐๐๐ พระธรรมที่เป็นไปในหทัยของข้าพเจ้า จึงมีจํานวน ๘๔,๐๐๐ ดังนี้.

[วิธีคํานวณนับพระธรรมขันธ์เฉพาะขันธ์หนึ่งๆ]

บรรดาพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ นั้น พระสูตรที่มีอนุสนธิเดียวจัดเป็นหนึ่งพระธรรมขันธ์. ในพระสูตรที่มีอนุสนธิมาก นับพระธรรมขันธ์ด้วยอํานาจแห่งอนุสนธิ. ในคาถาพันธ์ทั้งหลาย คําถามปัญหา (ข้อหนึ่ง) จัดเป็นหนึ่งพระธรรมขันธ์, คําวิสัชนา (ข้อหนึ่ง) จัดเป็นหนึ่งพระธรรมขันธ์.

ในพระอภิธรรม การจําแนกติกะทุกะแต่ละติกะทุกะ และการจําแนกวารจิตแต่ละวารจิต จัดเป็นหนึ่งพระธรรมขันธ์.

ในพระวินัย มีวัตถุ มีมาติกา มีบทภาชนีย์ มีอันตราบัติ มีอาบัติ มีอนาบัติ มีกําหนดติกะ บรรดาวัตถุและมาติกาเป็นต้นเหล่านั้น ส่วนหนึ่งๆ พึงทราบว่า เป็นพระธรรมขันธ์อันหนึ่งๆ.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 59

พระพุทธพจน์ (ทั้งหมด) มี ๘๔,๐๐๐ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งพระธรรมขันธ์ ดังพรรณนามาฉะนี้

[ปฐมสังคายนาจัดพระพุทธพจน์ไว้เป็นหมวดๆ]

พระพุทธพจน์นั่น โดยนัยดังที่กล่าวมาแล้วอย่างนี้ โดยความไม่ต่างกัน มีอย่างเดียวด้วยอํานาจรส, โดยความต่างกัน มีประเภท ๒ อย่างเป็นต้นด้วยอํานาจธรรมและวินัยเป็นอาทิ อันพระมหาเถระผู้เป็นคณะที่ชํานาญ มีพระมหากัสสปะเป็นประมุข เมื่อจะสังคายนาจึงกําหนดประเภทนี้ก่อน แล้วร้อยกรองไว้ว่า นี้พระธรรม, นี้พระวินัย, นี้ปฐมพุทธพจน์, นี้มัชฌิมพุทธพจน์, นี้ปัจฉิมพุทธพจน์, นี้พระวินัยปิฎก, นี้พระสุตตันตปิฎก, นี้พระอภิธรรมปิฎก, นี้ทีฆนิกาย, นี้มัชฌิมนิกาย, นี้สังยุตตนิกาย, นี้อังคุตตรนิกาย, นี้ขุททกนิกาย, นี้องค์ ๙ มีสุตตะเป็นต้น , นี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.

ก็ท่านร้อยกรองประเภทตามที่กล่าวไว้แล้วนี้เท่านั้นอย่างเดียวหามิได้ ยังได้กําหนดประเภทที่ควรรวบรวมไว้แม้อื่นๆ ซึ่งมีหลายชนิด มีอุทานสังคหะ วัคคสังคหะ เปยยาลสังคหะ นิบาตสังคหะ เช่นเอกกนิบาต และทุกนิบาตเป็นต้น สังยุตตสังคหะและปัณณาสกสังคหะเป็นอาทิ ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ได้ร้อยกรองอยู่ ๗ เดือนจึงสําเร็จ ด้วยประการฉะนี้.

[พระพุทธศาสนาอาจตั้งอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี]

ก็ในเวลาจบการร้อยกรองพระพุทธพจน์นั้น มหาปฐพีเหมือนเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการอยู่ว่า พระมหากัสสปเถระ ทําพระศาสนาของพระทศพลนี้ให้สามารถเป็นไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ พระวรรษา ดังนี้ก็หวั่นไหวเอนเอียง สะเทือนสะท้านเป็นอเนกประการ จนถึงน้ำรองแผ่นดิน

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 60

เป็นที่สุด และอัศจรรย์ทั้งหลายเป็นอันมากก็ได้ปรากฏมีแล้ว ด้วยประการฉะนี้. สังคีติใดในโลก

ท่านเรียกว่า ปัญจสตาสังคีติ เพราะพระธรรมสังคาหกเถระ ๕๐๐ รูปทํา, และเรียกว่า เถริกาสังคีติ เพราะพระเถระทั้งหลายนั่นแลทําแล้ว

สังคีตินี้ ชื่อปฐมมหาสังคีติ ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อปฐมมหาสังคีตินี้เป็นไปอยู่ ท่านพระมหากัสสปะ เมื่อจะถามถึงพระวินัย (กะท่านพระอุบาลีเถระ) จึงถามถึงนิทาน ที่ท่านกล่าวไว้ในคํานี้ว่า ถามถึงวัตถุบ้าง ถามถึงนิทานบ้าง ถามถึงบุคคลบ้าง ดังนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นที่สุดแห่งคํามีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส อุบาลี ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติแล้ว ณ ที่ไหน? เป็นต้น คํานิทานนั้นท่านพระอุบาลีเถระประสงค์จะให้พิสดารตั้งแต่ต้น แล้วกล่าวถึงบุคคลเป็นต้น ที่บัญญัติวินัยปิฎก และเหตุที่บัญญัตินั่นแหละทั้งหมด จึงกล่าวไว้แล้ว.

[อธิบายความเริ่มต้นแห่งนิทานวินัย]

คํานิทาน (คําเริ่มต้น) ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวรฺชายํ วิหรติ (๑) เป็นอาทิ บัณฑิตควรกล่าวไว้ทั้งหมด, เพราะคําเริ่มต้นนี้ ท่านพระอุบาลีเถระกล่าวไว้อย่างนี้. ก็แลคําเริ่มต้นนั้น บัณฑิตควรทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระกล่าวไว้แล้วในคราวกระทําสังคายนาใหญ่ครั้งแรก. ก็ใจความแห่งบทนี้ว่า ก็คํานี้ใครกล่าว และกล่าวในกาลไหน เป็นต้น เป็นอันข้าพเจ้าประกาศแล้วด้วยลําดับแห่งคําเพียงเท่านี้. บัดนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยในบทว่า กล่าวไว้เพราะเหตุไร นี้ต่อไป : -


(๑) วิ. มหา. ๑/๑

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 61

    เพราะท่านพระอุบาลีนี้ ถูกพระมหากัสสปเถระถามถึงนิทานแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวนิทานนั้นให้พิสดารแล้วตั้งแต่ต้น ด้วยประการฉะนี้. คําเริ่มต้นนี้ บัณฑิตควรทราบว่า ท่านพระอุบาลีเถระ แม้เมื่อกล่าวในคราวทําสังคายนาใหญ่ครั้งแรกก็ได้กล่าวแล้วเพราะเหตุนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็ใจความแห่งบทมาติกาเหล่านี้ว่า วุตฺตํ เยน ยทา ยสฺมา ดังนี้ เป็นอันข้าพเจ้าประกาศแล้ว ด้วยลําดับแห่งคําเพียงเท่านี้.

    บัดนี้ เพื่อจะประกาศเนื้อความ แห่งบทมาติกาเหล่านี้ว่า ธาริตํ เยน จาภฏํ ยตฺถ ปติฏฺิตฺเจตเมตํ วตฺวา วิธิํ บัณฑิตจึงกล่าวคํานี้ไว้.

[พระมหาเถระมีพระอุบาลีเป็นต้นนําพระวินัยปิฎกสืบต่อมา]

    ถามว่า ก็พระวินัยปิฎกนี้นั้น ซึ่งมีนิทานประดับด้วยคํามีอาทิอย่างนี้ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวรฺชายํ วิหรติ ดังนี้ ใครทรงไว้? ใครนําสืบมา? (และ) ตั้งมั่นอยู่แล้วในบุคคลไหน? ข้าพเจ้าจะเฉลยต่อไป : -

    พระวินัยปิฎกนี้ ท่านพระอุบาลีเถระจําทรงไว้ ต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเบื้องต้นก่อน. เมื่อพระตถาคตเจ้ายังไม่ปรินิพพานนั่นแล ภิกษุหลายพันรูป ต่างโดยได้อภิญญา ๖ เป็นต้น จําทรงไว้ต่อจากท่านพระอุบาลีเถระนั้น เมื่อพระตถาคตเจ้าปรินิพพานแล้ว พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประมุข ก็จําทรงกันต่อมา.

    บทมาติกาว่า เกนาภฏํ นี้ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป : -

    ในชมพูทวีปก่อน พระวินัยนั่น นําสืบต่อมาโดยลําดับแห่งอาจารย์ ตั้งต้นแต่พระอุบาลีเถระจนถึงสังคายนาครั้งที่ ๓. ในชมพูทวีปนั้น มีลําดับอาจารย์ดังต่อไปนี้ : -

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 62

พระเถระ ๕ องค์เหล่านี้คือ พระอุบาลี ๑ พระทาสกะ ๑ พระโสณกะ ๑ พระสิคควะ ๑ พระโมคคลีบุตรติสสะ ๑ ผู้มีชัยชนะพิเศษได้นําพระวินัยมาโดยลําดับไม่ให้ขาดสาย ในสิริชมพูทวีป (ในทวีปชื่อชมพูอันเป็นสิริ) จนถึงสังคายนาครั้งที่๓.

[พระอุบาลีเถระเรียนพระวินัยปิฎกจากพุทธสํานัก]

ความพิสดารว่า ท่านพระอุบาลีเรียนเอาวงศ์ ระเบียบประเพณีพระวินัย ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วให้ตั้งอยู่ในหทัยของภิกษุเป็นอันมาก. จริงอยู่ บรรดาบุคคลผู้เรียนเอาวินัยวงศ์ ในสํานักของท่านนั้นแล้วถึงความเป็นผู้ฉลาดสามารถในพระวินัย ผู้ที่เป็นปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี กําหนดนับไม่ถ้วน ที่เป็นพระขีณาสพได้มีจํานวน ๑,๐๐๐ รูป

[พระทาสกเถระเรียนพระวินัยปิฎกจากสํานักพระอุบาลีเถระ]

ฝ่ายพระทาสกเถระ ได้เป็นสัทธิวิหาริกของพระอุบาลีเถระนั้นนั่นเอง ท่านได้เรียนเอา (พระวินัย) ต่อจากพระอุบาลีเถระ แล้วก็บอกสอนพระวินัย (แก่ภิกษุเป็นอันมาก) เหมือนอย่างนั้น. ปุถุชนเป็นต้นผู้เรียนเอา (พระวินัย) ในสํานักของพระเถระแม้นั้นแล้วถึงความเป็นผู้ฉลาดสามารถในพระวินัยกําหนดนับไม่ถ้วน ที่เป็นพระขีณาสพได้มีจํานวนถึง ๑,๐๐๐ รูป.

[พระโสณกเถระเรียนพระวินัยปิฎกจากสํานักพระทาสกเถระ]

ส่วนพระโสณกเถระ ได้เป็นสัทธิวิหาริกของพระทาสกเถระ. แม้ท่านก็เรียนเอา (พระวินัย) ต่อจากพระทาสกเถระ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของตน

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 63

แล้วก็บอกสอนพระวินัย (แก่ภิกษุเป็นอันมาก) เหมือนอย่างนั้น. ปุถุชนเป็นต้นผู้เรียนเอา (พระวินัย) ในสํานักของท่านแม้นั้นแล้วถึงความเป็นผู้ฉลาดสามารถในพระวินัย กําหนดนับไม่ถ้วน ที่เป็นพระขีณาสพได้มีจํานวนถึง ๑,๐๐๐ รูปเช่นกัน

[พระสิคควเถระเรียนพระวินัยปิฎกจากสํานักพระโสณกเถระ]

ฝ่ายพระสิคควเถระ เป็นสัทธิวิหาริกของพระโสณกเถระ เรียนเอาพระวินัย ในสํานักของพระเถระแล้วได้เป็นผู้รับธุระของพระอรหันต์ ๑,๐๐๐ องค์. อนึ่ง ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามีก็ดี พระขีณาสพก็ดี ผู้เรียนเอา (พระวินัย) ในสํานักของท่านนั้นแล้วถึงความเป็นผู้ฉลาดสามารถในพระวินัย ก็กําหนดไม่ได้ว่า เท่านี้ร้อย หรือว่า เท่านี้พัน. ได้ยินว่า เวลานั้น ในชมพูทวีปได้มีการประชุมภิกษุมากมาย. อานุภาพของพระโมคคลีบุตรติสสเถระ จักมีปรากฏชัดในตติยสังคายนา (ข้างหน้า). พระวินัยปิฎกนี้ พึงทราบว่า ชั้นแรกในชมพูทวีป นําสืบกันมาโดยลําดับแห่งอาจารย์นี้ จนถึงสังคายนาครั้งที่ ๓ ด้วยประการฉะนี้.