ธรรมสังคณี
[เล่มที่ 75] พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑
ธรรมสังคณี
คําว่าพระสูตรมีอรรถ ๖ อย่าง 44
ว่าด้วยความหมายที่ไม่ต่างกันของปิฏก 46
ว่าด้วยความหมายที่แตกต่างกัน 47
พระพุทธพจน ์๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ 58
พระพุทธพจน์ในเวลาทําปฐมสังคีติ 59
ภิกษุผู้ทรงอภิธรรมชื่อว่าพระธรรมกถึก 62
ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่าทําลายชินจักร 63
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 75]
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 1
มาติกา
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
[๑] ๑. กุสลติกะ
กุสลา ธมฺมา
ธรรมเป็นกุศล
อกุสลา ธมฺมา
ธรรมเป็นอกุศล
อพฺยากตา ธมฺมา
ธรรมเป็นอัพยากฤต
๒. เวทนาติกะ
สุขาย เวทนา สมฺปยุตฺตา ธมฺมา
ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา
ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา
ธรรมสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
อทุกฺขมสุขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา ฃ
ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 2
๓. วิปากติกะ
วิปากา ธมฺมา ธรรมเป็นวิบาก
วิปากธมฺมธมฺมา ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก
เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา ธรรมไม่เป็นวิบาก และไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก
๔. อุปาทินนุปาทานิยติกะ
อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
อนุปาทินฺนานุปาทานิยา ธมฺมา ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
๕. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกติกะ
สงฺกิลิฏฺสงฺกิเลสิกา ธมฺมา ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส
อสงฺกิลิฏฺสงฺกิลสิกา ธมฺมา ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส
อสงฺกิลิฏฺาสงฺกิเลสิกา ธมฺมา ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 3
๖. วิตักกติกะ
สวิตกฺกสวิจารา ธมฺมา ธรรมมีวิตกมีวิจาร
อวิตกฺวิจารมตฺตา ธมฺมา ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร
อวิตกฺกาวิจารา ธมฺมา ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร
๗. ปีติติกะ
ปีติสหคตา ธมฺมา ธรรมสหรคตด้วยปีติ
สุขสหคตา ธมฺมา ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา
อุเปกฺขาสหคตา ธมฺมา ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา
๘. ทัสสนติกะ
ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ธมฺมา ธรรมอันโสดาปัตติมรรคละ
ภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา ธรรมอันมรรคเบื้องสูง ๓ ละ
เนว ทสฺสเนน น ภาวนายปหาตพฺพา ธมฺมา ธรรมอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ละ
๙. ทัสสนเหตุกติกะ
ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคละ
ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง ๓ ละ
เนว ทสฺสเนน น ภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง ๓ ไม่ละ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 4
๑๐. อาจยคามิติกะ
อาจยคามิโน ธมฺมา ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ
อปจยคามิโน ธมฺมา ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เนวาจยคามิโน นาปจยคามิโน ธมฺมา ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติ ปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
๑๑. เสกขติกะ
เสกฺขา ธมฺมา ธรรมเป็นของเสกขบุคคล
อเสกฺขา ธมฺมา ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล
เนวเสกฺขา นาเสกฺขาธมฺมา ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคลและไม่เป็นของอเสกขบุคคล
๑๒. ปริตตติกะ
ปริตฺตา ธมฺมา ธรรมเป็นปริตตะ
มหคฺคตา ธมฺมา ธรรมเป็นมหัคคตะ
อปฺปมาณา ธมฺมา ธรรมเป็นอัปปมาณะ
๑๓. ปริตตารัมมณติกะ
ปริตฺตารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ
มหคฺคตารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ
อปฺปมาณารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ
๑๔. หีนติกะ
หีนา ธมฺมา ธรรมทราม
มชฺฌิมา ธมฺมา ธรรมปานกลาง
ปณีตา ธมฺมา ธรรมประณีต
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 5
๑๕. มิจฉัตตติกะ
มิจฺฉตฺตนิยตา ธมฺมา ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน
สมฺมตฺตนิยตา ธมฺมา ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน
อนิยตา ธมฺมา ธรรมให้ผลไม่แน่นอน
๑๖. มัคคารัมมณติกะ
มคฺคารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์
มคฺคเหตุกา ธมฺมา ธรรมมีเหตุคือมรรค
มคฺคาธิปติโน ธมฺมา ธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี
๑๗. อุปปันนติกะ
อุปฺปนฺนา ธมฺมา ธรรมเกิดขึ้นแล้ว
อนุปฺปนฺนา ธมฺมา ธรรมยังไม่เกิดขึ้น
อุปฺปาทิโน ธมฺมา ธรรมจักเกิดขึ้น
๑๘. อตีตติกะ
อตีตา ธมฺมา ธรรมเป็นอดีต
อนาคตา ธมฺมา ธรรมเป็นอนาคต
ปจฺจุปฺปนฺนา ธมฺมา ธรรมเป็นปัจจุบัน
๑๙. อตีตารัมมณติกะ
อตีตารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต
อนาคตารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน
ปจฺจุปฺปนฺนารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 6
๒๐. อัชฌัตตติกะ
อชฺฌตฺตา ธมฺมา ธรรมเป็นภายใน
พหิทฺธา ธมฺมา ธรรมเป็นภายนอก
อชฺฌตฺตพหิทฺธา ธมฺมา ธรรมเป็นทั้งภายในและภายนอก
๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ
อชฺฌตฺตารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน
พหิทฺธารามฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก
อชฺฌตฺตพหิทฺธารมฺมณา ธมฺมา ธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและเป็นภายนอก
๒๒. สนิทัสสนติกะ
สนิทสฺสนสปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้
อนิทสฺสนสปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้
อนิทสฺสนาปฺปฏิฆา ธมฺมา ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้
ติกมาติกา ๒๒ ติกะ จบ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 7
อรรถกถาธรรมสังคณี
ชื่อ อัฏฐสาลินี
อารัมภกถา
กรุณา วิย สตฺเตสุ ปฺายสฺส มเหสิโน
เยฺยธมฺเมสุ สพฺเพสุ ปวตฺติตฺถ ยถารุจึ ...
พระสัพพัญุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ เป็นไปทั่วในไญยธรรมทั้งปวงตามความพอพระทัย ดุจพระกรุณาที่ทรงแผ่ไปในสัตว์ทั้งหลาย พระสัมพุทธะพระองค์ใดมีพระทัยอันความกรุณานั้นให้อุตสาหะขึ้นด้วยดีในสัตว์ทั้งหลาย เมื่อประทับจําพรรษาในดาวดึงส์เทวโลก ในคราวที่แสดงยมก-ปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว ได้ประทับนั่งบนศิลาอาสน์ชื่อว่าบัณฑุกัมพล ณ ควงไม้ปาริชาตทรงพระสิริโสภาคย์ ดุจพระอาทิตย์อุทัยเหนือขุนเขายุคันธร ผู้อันหมู่แห่งเทพเจ้าทั้ง
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 8
หมื่นจักรวาลได้มาแวดล้อมนั่งประชุมกันสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ได้ทรงทําสันตุสสิตเทพบุตรซึ่งเคยเป็นพุทธมารดา ให้เป็นประธานแก่หมู่เทพยเจ้าทั้งหลาย แล้วตรัสกถามรรค (ประพันธ์) พระอภิธรรมติดต่อกันไปตลอดพรรษากาล ด้วยเดชแห่งพระสัพพัญุตญาณนั้น.
ข้าพเจ้าขอน้อมนมัสการพระยุคลบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระสิริโสภาคย์พระองค์นั้น ขอบูชาพระสัทธรรมและทําอัญชลีต่อพระสงฆ์ ด้วยอานุภาพแห่งการทําความนอบน้อมในพระรัตนตรัยที่ข้าพเจ้ากระทําแล้วนี้ ขออันตรายทั้งหลายจงเสื่อมสิ้นไปโดยมิได้เหลือ.
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นเทพของเทพ เป็นผู้นําพิเศษ ผู้อันภิกษุชื่อว่าพุทธโฆษะ มีอาจาระและศีลบริสุทธิ์ มีปัญญาฉลาดหลักแหลม ปราศจากมลทินทูลอาราธนาสักการะโดยเคารพพระองค์นั้นครั้นทรงแสดงอภิธรรมใดแก่เทพทั้งหลายแล้ว ก็ได้ตรัสบอกแก่พระสารีบุตรเถระผู้อุปัฏฐากพระมเหสีเจ้า ณ สระอโนดาต
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 9
โดยนัย (แนะนําโดยย่อ) อีก พระเถระได้สดับฟังแล้วก็มายังพื้นปฐพีบอกแก่ภิกษุทั้งหลาย พระอภิธรรมนั้นอันพระภิกษุทั้งหลายทรงจําไว้แล้วด้วยประการฉะนี้.
ในคราวทําสังคายนา พระอานนทเถระผู้เวเทหมุนี ได้ร้อยกรองอีกครั้งหนึ่งอรรถกถาแห่งพระอภิธรรมนั้นวิจิตรไปด้วยนัยต่างๆ อันบุคคลผู้พิจารณาเนืองๆ ด้วยญาณอันลึกซึ้งจึงหยั่งลงได้นั้น อันพระเถระทั้งหลายผู้มีวสี มีพระมหากัสสปะเป็นต้นร้อยกรองแล้วในเบื้องต้นก่อน พระเถระทั้งหลายผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ร้อยกรองตามแล้วแม้ในภายหลังอีก อนึ่ง อรรถกถาแห่งพระอภิธรรมใดที่พระมหินทเถระนํามาสู่เกาะอันอุดมนี้ เรียบเรียงไว้ด้วยภาษาแห่งชาวเกาะ ข้าพเจ้าจักนําอรรถกถานั้นออกจากภาษาแห่งชาวเกาะตัมพปัณณิ แล้วยกขึ้นสู่ภาษาอันไม่มีโทษตามนัยแห่งตันติภาษา ไม่ให้เจือปนสับสนด้วยลัทธิของนิกายอื่น เมื่อแสดงคําวินิจฉัยของภิกษุผู้อยู่ในมหาวิหารจักถือเอาทั้งที่ควรถือเอา จะยังบุคคลผู้มีปัญญาให้ยินดีอยู่ แล้วจักประกาศอรรถ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 10
แม้ในอรรถกถาที่มาทั้งหลาย ก็เพราะเหตุที่กรรมฐานทั้งปวง จริยา อภิญญา และวิปัสสนาทั้งหมดเหล่านี้ ข้าพเจ้าประกาศไว้ในวิสุทธิมรรคแล้ว ฉะนั้น จะไม่ถือเอากรรมฐานเป็นต้นตามแบบแม้ทั้งหมด จักทําการพรรณนาความตามลําดับบททั้งหลายเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้ากล่าวอยู่ซึ่งพระอภิธรรมกถานี้ด้วยประการฉะนี้ ขอสาธุชนทั้งหลายอย่ามีจิตฟุ้งซ่าน จงตั้งใจสดับฟัง เพราะว่ากถานี้หาฟังได้โดยยากแล.
จบอารัมภกถา
นิทานกถา
บรรดาคําเหล่านั้น คําว่า อภิธรรม ถามว่า ชื่อว่า อภิธรรม เพราะอรรถ (ความหมาย) อย่างไร? ตอบว่า เพราะอรรถว่า เป็นธรรมอันยิ่ง และวิเศษ จริงอยู่ อภิศัพท์ ในคําว่าอภิธรรมนี้ แสดงถึงเนื้อความว่ายิ่งและวิเศษ เช่นในประโยคมีอาทิว่า พาฬฺหา เม อาวุโส ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ โน ปฏิกฺกมนฺติ อภิกฺกนฺตวณฺเณน แปลว่า ดูก่อนอาวุโสทุกขเวทนาแรงกล้าของข้าพเจ้าย่อมเจริญยิ่ง ไม่ลดลงเลย และเหมือนคําเป็นต้นว่า มีวรรณะงามยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า เปรียบเหมือนเมื่อฉัตรและ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 11
ธงเป็นอันมากถูกยกขึ้นแล้ว ฉัตรใดมีประมาณยิ่ง มีวรรณะและสัณฐานอันพิเศษกว่าฉัตรอื่น ฉัตรนั้นชื่อว่า อติฉัตร (ฉัตรอันยิ่ง) ธงใดมีประมาณยิ่งสมบูรณ์ด้วยความวิเศษแห่งสีที่ย้อมแล้วต่างๆ นั่นแหละ ธงนั่นเรียกว่า อติธโช (ธงอันยิ่ง) และเปรียบเหมือนเมื่อพวกราชกุมารและพวกเทพร่วมประชุมกันแล้ว ราชกุมารใดยิ่งกว่าโดยสมบัติ มีชาติ โภคะ ยศ และความเป็นใหญ่เป็นต้น และมีฉวีวรรณวิเศษกว่า พระราชกุมารนั้นเรียกว่า อติราชกุมาร (ราชกุมารผู้ยิ่ง) เทพใดยิ่งกว่าด้วยอายุ วรรณะ อิสริยะ ยศ และสมบัติเป็นต้นและมีฉวีวรรณวิเศษกว่า เทพนั้นเรียกว่า อติเทพ แม้พระพรหมที่มีลักษณะเช่นนั้น เขาก็เรียกว่า อติพรหม (พรหมผู้ยิ่งใหญ่) ฉันใด ธรรมแม้นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เรียกว่า อภิธรรม เพราะอรรถว่าเป็นธรรมอันยิ่งและวิเศษ.
จริงอยู่ เพ่งถึงพระสูตรแล้ว พระพุทธองค์ทรงจําแนกขันธ์ ๕ ไว้โดยเอกเทศ (บางส่วน) เท่านั้น มิได้ทรงจําแนกโดยสิ้นเชิง (นิปปเทส) แต่เพ่งถึงพระอภิธรรมแล้ว พระองค์ทรงจําแนกไว้โดยสิ้นเชิงด้วยอํานาจแห่งสุตตันตภาชนียนัย อภิธรรมภาชนียนัย และปัญหาปุจฉกนัย ถึงอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ และปัจจยาการอันแสดงถึงองค์ ๑๒ ก็ตรัสไว้โดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ที่จริงนัยที่เป็นสุตตันตภาชนีย์ในอินทรีย์วิภังค์ และปัญหาปุจฉกนัยในปัจจยาการเท่านั้นไม่มี จริงอย่างนั้น เพ่งถึงพระสูตรแล้วสติปัฎฐาน ๔ พระองค์ทรงจําแนกไว้โดยเอกเทศเหมือนกัน มิได้จําแนกไว้โดยสิ้นเชิง แต่เพ่งถึงพระอภิธรรมแล้ว ทรงจําแนกไว้โดยสิ้นเชิงด้วยอํานาจแห่งนัยแม้ทั้งสาม แม้สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ สัมโพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ฌาน ๔ อัปปมัญญา ๔ สิกขาบท ๕ ปฏิสัมภิทา ๔ ก็ทรงจําแนก
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 12
ไว้โดยสิ้นเชิงด้วยอํานาจแห่งนัยแม้ทั้งสามเหมือนกัน ก็ในธรรมเหล่านี้ นัยที่เป็นสุตตันตภาชนีย์ในสิกขาบทวิภังค์อย่างเดียวไม่มี ถ้าเพ่งถึงพระสูตรแล้วญาณ พระองค์ก็ทรงจําแนกไว้โดยเอกเทศเหมือนกัน ไม่จําแนกโดยสิ้นเชิง กิเลสทั้งหลายก็เหมือนกัน แต่เพ่งถึงพระอภิธรรมแล้ว ทรงตั้งมาติกาโดยนัยมีอาทิว่า ญาณวัตถุมีหมวด ๑ เป็นต้น แล้วจําแนกไว้โดยสิ้นเชิง กิเลสทั้งหลายก็เหมือนกัน ทรงจําแนกไว้โดยนัยมิใช่น้อย ตั้งแต่เป็นธรรมหมวด ๑ เป็นต้น ก็แต่เพ่งถึงพระสูตร การกําหนดภูมิอื่น ก็ทรงจําแนกไว้โดยเอกเทศนั่นแหละ ไม่จําแนกไว้โดยสิ้นเชิง เพ่งถึงพระอภิธรรมแล้ว ทรงกําหนดภูมิอื่นไว้ด้วยนัยทั้งสาม และทรงบัญญัติไว้โดยสิ้นเชิง ชื่อว่า อภิธรรม เพราะอรรถว่าเป็นธรรมยิ่งและวิเศษด้วยประการฉะนี้.
ว่าโดยปกรณ์ ๗
ว่าโดยการกําหนดปกรณ์ พระอภิธรรมนี้ทรงตั้งไว้ด้วยอํานาจปกรณ์ ๗ คือ
๑. ธรรมสังคณีปกรณ์
๒. วิภังคปกรณ์
๓. ธาตุกถาปกรณ์
๔. ปุคคลบัญญัติปกรณ์
๕. กถาวัตถุปกรณ์
๖. ยมกปกรณ์
๗. ปัฏฐานปกรณ์
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 13
นี้เป็นกถาที่เหมือนกันของอาจารย์ทั้งหลายในอรรถกถานี้ ส่วนอาจารย์วิตัณฑวาที (ผู้ค้าน) กล่าวว่า เพราะเหตุไรจึงถือเอากถาวัตถุด้วย กถาวัตถุนั้นพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระตั้งไว้เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๑๘ปี มิใช่หรือ? ฉะนั้น ขอให้ตัดเอากถาวัตถุนั้นออก เพราะเป็นสาวกภาษิตดังนี้.
สกวาที ถามว่า ก็ปกรณ์ ๖ จะเป็นพระอภิธรรมได้หรือ?
ปรวาที ตอบว่า ข้าพเจ้ามิได้กล่าวอย่างนั้น.
ส. ถามว่า ถ้าอย่างนั้นท่านกล่าวอย่างไร?
ป. ตอบว่า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ปกรณ์ ๗ ชื่อว่า อภิธรรม.
ส. ถามว่า ท่านเอาปกรณ์ไหนมาเป็นปกรณ์ที่ ๗?
ป. ตอบว่า ปกรณ์ชื่อว่ามหาธรรมหทัยมีอยู่ รวมกับปกรณ์ ๖ ก็เป็น ๗ ปกรณ์.
ส. กล่าวว่า ในมหาธรรมหทัยปกรณ์ไม่มีอะไรที่ไม่เคยกล่าวมาแล้ว (คือไม่มีอะไรใหม่) และปัญหาวาระที่เหลือก็มีเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงเป็น ๗ พร้อมด้วยกถาวัตถุ มิใช่เป็น ๗ ทั้งกถาวัตถุ เป็น ๗ ทั้งปกรณ์ที่ชื่อว่ามหาธาตุกถา ในมหาธรรมหทัยปกรณ์ มีปัญหาวาระที่เหลืออยู่เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งในมหาธาตุกถาก็ไม่มีอะไรใหม่เลย มีตันติคือแบบแผนแห่งคําเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเหลืออยู่ จึงรวมเป็น ๗ ด้วยกถาวัตถุนั้น.
ความเป็นมาของกถาวัตถุ
จริงอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงซึ่งปกรณ์แห่งอภิธรรม ๗ (สัตตัปปกรณ์) มาโดยลําดับ พอถึงกถาวัตถุ ก็ทรงตั้งมาติกา (แม่บท) แห่ง
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 14
บาลีมีประมาณภาณวาระหนึ่งซึ่งยังไม่เต็มในกถามรรคทั้งปวง ทรงทําให้พอเหมาะแก่การประกอบวาทะที่เป็นประธานไว้ ๘ ข้อ (อัฏฐมุขา วาทยุตติ) ด้วยอํานาจปัญจกะทั้ง ๒ (คืออนุโลมปัญจกะและปัจจนิกปัญจกะ) ในปุคคลวาทะจนถึงปัญหา ๔ ข้อเป็นต้นก่อน.
ก็แบบแผนนี้นั้น พระศาสดาทรงอาศัยวาทะที่หนึ่งทรงแสดงนิคคหะที่หนึ่ง ทรงอาศัยวาทะที่สองทรงแสดงนิคคหะที่สอง. . . ฯลฯ ทรงอาศัยวาทะที่ ๘ ทรงแสดงนิคคหะที่ ๘ คือ ทรงตั้งมาติกาไว้อย่างนี้ว่า
สกวาที ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้ด้วยอรรถอันเป็นจริง (สัจฉิกัตถะ) และอรรถอันยิ่ง (ปรมัตถะ) หรือ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. สภาวะใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอันยิ่ง ท่านหยั่งเห็นบุคคลนั้นได้ด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอันยิ่งนั้นหรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ...
ป. ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลได้ด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอันยิ่งหรือ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. สภาวะใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอันยิ่ง ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้นด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอันยิ่งนั้นหรือ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ป. ท่านจงรับรู้ปฏิกรรม (การทําตอบ) ...
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้ในที่ (สรีระ) ทั้งปวง...
ป. ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลได้ในที่ทั้งปวง...
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 15
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้ในกาลทั้งปวง ...
ป. ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลได้ในกาลทั้งปวง ...
ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้ในสภาวธรรม (ขันธาทิ) ทั้งปวง ...
ป. ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลได้ในสภาวธรรมทั้งปวงหรือ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. สภาวะใดมีอรรถอันเป็นจริง มีอรรถอันยิ่ง ท่านไม่หยั่งเห็นบุคคลนั้นด้วยอรรถอันเป็นจริงและอรรถอันยิ่งนั้นหรือ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น.
ป. ท่านจงรับรู้นิคคหะ ... พึงทราบการตั้งมาติกาในพระบาลีทั้งปวงโดยนัยนี้ ก็เมื่อทรงตั้งมาติกานี้นั้น ทรงเห็นเหตุนี้แหละจึงทรงตั้งไว้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดําริว่า เมื่อเราปรินิพพานล่วงไป ๒๑๘ ปีพระเถระชื่อว่าโมคคัลลีปุตตติสสะ จะนั่งในท่ามกลางภิกษุหนึ่งพัน ประมวลพระสูตรมาพันหนึ่ง คือ พระสูตร ๕๐๐ สูตรในฝ่ายสกวาที พระสูตร ๕๐๐ สูตรในฝ่ายปรวาที แล้วจักจําแนกกถาวัตถุปกรณ์ประมาณเท่ากันทีฆนิกาย แม้พระโมคคัลลีปุตตติสสเถระ เมื่อจะแสดงปกรณ์นี้ มิได้แสดงด้วยญาณของตน แต่แสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน ดังนั้น ปกรณ์นี้ทั้งสิ้นจึงชื่อว่าพุทธภาษิตเหมือนกัน เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน เหมือนมธุปิณฑิกสูตรเป็นต้น.
จริงอยู่ มธุปิณฑิกสูตร (๑) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งมาติกาไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้าย่อมครอบงําบุรุษ เพราะเหตุใด? ถ้าว่าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนี้ อันนี้แหละ
(๑) ม. มู. ๑๒. ๒๔๕/๒๒๒
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 16
เป็นที่สุดแห่งราคานุสัยทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าไปสู่พระวิหาร.
ภิกษุทั้งหลายผู้รับพระธรรมเทศนาเข้าไปหาพระมหากัจจายนเถระแล้วถามเนื้อความแห่งมาติกาที่พระศาสดาทรงตั้งไว้แล้ว พระเถระไม่กล่าววิสัชนาสักว่าคําถูกถามเท่านั้น เพื่อจะแสดงความนอบน้อมต่อพระทศพล จึงนําการเปรียบเทียบเช่นกับแก่นไม้มาแสดงว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยแก่นไม้ ย่อมแสวงหาแก่นไม้เป็นต้น แล้วชมเชยพระศาสดาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนต้นไม้มีแก่น พระสาวกเช่นกับกิ่งไม้และใบไม้ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงรู้สิ่งที่ควรรู้ ทรงเห็นสิ่งที่ควรเห็น เป็นผู้มีจักษุ มีพระญาณ มีธรรมเป็นพรหม เป็นผู้เผยแผ่ เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้ขยายเนื้อความ เป็นผู้ประทานอมตธรรม เป็นเจ้าของธรรม เป็นพระตถาคต ดังนี้ พระเถระทั้งหลายวิงวอนแล้วบ่อยๆ จึงจําแนกเนื้อความมาติกาตามที่พระศาสดาทรงตั้งไว้ ด้วยประสงค์อันนี้ว่า "ก็เมื่อท่านทั้งหลายปรารถนาก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรง แล้วทูลถามเนื้อความนี้ ถ้าเทียบเคียงเข้ากันได้กับพระสัพพัญุตตญาณก็พึงถือเอา ถ้าเทียบเคียงกันไม่ได้ก็อย่าถือเอา" ดังนี้ แล้วกล่าวว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ประการใด ท่านทั้งหลายพึงทรงจําข้อนั้นไว้เถิด" แล้วส่งภิกษุเหล่านั้นไป.
พวกภิกษุเหล่านั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถามเนื้อความนั้นพระศาสดาไม่ตรัสว่า กัจจายนะกล่าวไม่ดี แต่ทรงน้อมพระศอไปราวกะทรงยกพระสุวรรณภิงคาร (หม้อน้ำเย็นทองคํา) ขึ้น (สรงสนานพระเถระ) เมื่อจะยังอรรถนั้นให้บริบูรณ์ด้วยพระโอษฐ์อันมีสิริดุจดอกบัว (สตบัตร) ซึ่งกําลังแย้มบานอย่างดี จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจเสียงพรหม ประทานสาธุการแก่
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 17
พระเถระว่า "สาธุ สาธุ" ดังนี้ แล้วตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหากัจจายนะเป็นบัณฑิต มหากัจจายนะเป็นผู้มีปัญญามาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงพวกเธอพึงถามเนื้อความนี้กะเรา แม้เราก็พึงพยากรณ์เนื้อความนั้นเหมือนกับมหากัจจายนะนั่นแหละ" ดังนี้ จําเดิมแต่กาลที่พระศาสดาทรงอนุโมทนาแล้วอย่างนี้ พระสุตตันตะทั้งสิ้นชื่อว่าเป็นพุทธภาษิต แม้พระสูตรที่พระอานนทเถระเป็นต้นให้พิสดารแล้ว ก็นัยนี้เหมือนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงปกรณ์อภิธรรม ๗ พอถึงกถาวัตถุ จึงทรงตั้งมาติกาไว้โดยนัยที่กล่าวแล้ว อนึ่งเมื่อทรงหยุด ได้ทรงเห็นเหตุนี้ว่า
"เมื่อเราปรินิพพานล่วงแล้ว ๒๑๘ ภิกษุชื่อว่าโมคคัลลีปุตตติสสเถระนั่งในท่ามกลางภิกษุหนึ่งพันรูป แล้วจักประมวลพระสูตรหนึ่งพันสูตร คือในสกวาทะห้าร้อยสูตร ในปรวาทะห้าร้อยสูตร แล้วจําแนกกถาวัตถุปกรณ์มีประมาณเท่าทีฆนิกาย" ดังนี้ แม้พระโมคคัลลีปุตตติสสเถระเมื่อจะแสดงปกรณ์นี้ก็ไม่แสดงด้วยความรู้ของตน แต่แสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้โดยนัยที่พระศาสดาประทาน เพราะฉะนั้น ปกรณ์นี้ทั้งหมดจึงชื่อว่าเป็นพุทธภาษิตโดยแท้ เพราะพระเถระแสดงตามมาติกาที่ตั้งไว้ โดยนัยที่พระศาสดาประทานแล้ว ปกรณ์ทั้ง ๗ รวมทั้งกถาวัตถุจึงชื่อว่า "อภิธรรม" ด้วยประการฉะนี้.
ธรรมสังคณี
บรรดาปกรณ์ทั้งเจ็ดนั้น ในปกรณ์ธรรมสังคณีมีวิภัตติ (คือการจําแนก) ไว้ ๔ คือ
จิตตวิภัตติ (การจําแนกจิต)
รูปวิภัตติ (การจําแนกรูป)
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 18
นิกเขปราสิ (การจําแนกกองธรรมที่ตั้งไว้)
อัตถุทธาระ (การยกอรรถขึ้นแสดง)
ว่าด้วยจิตตวิภัตติ
บรรดาการจําแนกธรรมทั้ง ๔ เหล่านั้น ธรรมนี้คือ
๑. กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง
๒. อกุศลจิต ๑๒ ดวง
๓. กุศลวิปากจิต ๑๖ ดวง
๔. อกุศลวิปากจิต ๗ ดวง
๕. กิริยาจิต ๑๑ ดวง
๖. รูปาวจรกุศลจิต ๕ ดวง
๗. รูปาวจรวิปากจิต ๕ ดวง
๘. รูปาวจรกิริยาจิต ๕ ดวง
๙. อรูปาวจรกุศลจิต ๔ ดวง
๑๐. อรูปาวจรวิปากจิต ๔ ดวง
๑๑. อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ ดวง
๑๒. โลกุตรกุศลจิต ๔ ดวง
๑๓. โลกุตรวิปากจิต ๔ ดวง
รวมจิต ๘๙ ดวงตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่า จิตตวิภัตติ แม้คําว่าจิตตุปปาทกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของจิตตวิภัตตินี้เหมือนกัน ก็จิตนั้นว่าโดยทางแห่งคําพูดมีเกิน ๖ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 19
ว่าด้วยรูปวิภัตติ
ในลําดับต่อจากจิตนั้น ชื่อว่า รูปวิภัตติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งมาติกาไว้โดยนัยมีอาทิว่า "ธรรมหมวดหนึ่ง ธรรมหมวดสอง" แล้วทรงจําแนกแสดงโดยพิสดาร แม้คําว่า รูปกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของรูปวิภัตตินั้นนั่นแหละ รูปกัณฑ์นั้น ว่าโดยทางแห่งคําพูด มีเกิน ๒ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดาร ก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
ว่าด้วยนิกเขปราสิ
ในลําดับต่อจากรูปกัณฑ์นั้น ชื่อว่า นิกเขปราสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแสดงโดยมูลเป็นต้นอย่างนี้ คือ โดยมูล โดยขันธ์ โดยทวารโดยภูมิ โดยอรรถ โดยธรรม โดยนาม โดยเพศ.
มูลโต ขนฺธโต จาปิ ทฺวารโต จาปิ ภูมิโต
อตฺถโต ธมฺมโต จาปิ นามโต จาปิ ลิงฺคโต
นิกฺขิปิตฺวา เทสิตตฺตา นิกฺเขโปติ ปวุจฺจติ.
ที่เรียกว่า นิกเขปะ ดังนี้ เพราะความที่พระองค์ทรงยกขึ้นแสดง โดยมูลบ้างโดยอรรถบ้าง โดยธรรมบ้าง โดยนามบ้าง โดยอรรถบ้าง โดยธรรมบ้าง โดยนามบ้าง โดยเพศบ้าง.
แม้คําว่า นิกเขปกัณฑ์ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของนิกเขปราสินั่นแหละ นิกเขปกัณฑ์นั้น ว่าโดยทางแห่งวาจาก็มีประมาณ ๓ ภาณวาร เมื่อให้พิสดารย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
ว่าด้วยอัตถุทธาระ
ก็ในลําดับต่อจากนิกเขปราสินั้น ชื่อว่า อรรถกถากัณฑ์ เป็นคําที่ยกเนื้อความพุทธพจน์ คือพระไตรปิฎกขึ้นแสดงตั้งแต่สรณทุกะ ภิกษุทั้งหลาย
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 20
ผู้เรียนมหาปกรณ์ไม่กําหนดถึงจํานวนในมหาปกรณ์ แต่ย่อมรวมจํานวนไว้มหาปกรณ์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณ ๒ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ธรรมสังคณีปกรณ์ทั้งสิ้นย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ธรรมสังคณีปกรณ์นั้น ว่าโดยทางถ้อยคํามีเกิน ๑๓ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
ธรรมสังคณีปกรณ์ คือ จิตตวิภัตติ รูปวิภัตติ นิกเขปะ และอรรถโชตนา (อธิบายอรรถ) นี้ มีอรรถลึกซึ้ง ละเอียด แม้ฐานะนี้ พระองค์ก็ทรงแสดงแล้วด้วยประการฉะนี้.
วิภังคปกรณ์
ในลําดับต่อจากธรรมสังคณีปกรณ์นั้น ชื่อว่า วิภังคปกรณ์ วิภังคปกรณ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจําแนกธรรม ๑๘ อย่าง คือ
๑. ขันธวิภังค์
๒. อายตนวิภังค์
๓. ธาตุวิภังค์
๔. สัจจวิภังค์
๕. อินทรียวิภังค์
๖. ปัจจยาการวิภังค์
๗. สติปัฏฐานวิภังค์
๘. สัมมัปปธานวิภังค์
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 21
๙. อิทธิปาทวิภังค์
๑๐. โพชฌงควิภังค์
๑๑. มัคควิภังค์
๑๒. ฌานวิภังค์
๑๓. อัปปมัญญาวิภังค์
๑๔. สิกขาปทวิภังค์
๑๕. ปฏิสัมภิทาวิภังค์
๑๖. ญาณวิภังค์
๑๗. ขุททกวัตถุวิภังค์
๑๘. ธรรมหทยวิภังค์
บรรดาวิภังค์เหล่านั้น ขันธวิภังค์จําแนกออกเป็น ๓ อย่าง คือ ด้วยอํานาจแห่งสุตตันตภาชนีย์ อภิธรรมภาชนีย์ และปัญหาปุจฉกะ ขันธวิภังค์นั้นว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณ ๕ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ แม้อายตนวิภังค์เป็นต้น เบื้องหน้าแต่นี้ท่านก็จําแนกโดยนัยทั้ง ๓ เหล่านั้นเหมือนกัน บรรดาวิภังค์เหล่านั้น อายตนวิภังค์ ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีเกิน ๑ ภาณวาร ธาตุวิภังค์มีประมาณ ๒ ภาณวาร สัจจวิภังค์ก็ประมาณ ๒ ภาณวารเหมือนกัน ในอินทรียวิภังค์ไม่มีสุตตันตภาชนีย์ ก็อินทรียวิภังค์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณเกิน ๑ ภาณวาร ปัจจยาการวิภังค์มีประมาณ ๖ ภาณวาร แต่ไม่มีปัญหาปุจฉกะ สติปัฏฐานวิภังค์มีประมาณเกิน ๑ ภาณวาร สัมมัปปธาน... อิทธิบาท... โพชฌงค์... และมรรควิภังค์ แต่ละอย่างมีเกิน ๑ ภาณวาร ฌานวิภังค์มีประมาณ ๒ ภาณวาร อัปปมัญญาวิภังค์มีประมาณเกิน ๑ ภาณวาร ในสิกขาปทวิภังค์ไม่มีบท
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 22
สุตตันตภาชนีย์ แต่สิกขาบทวิภังค์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณหนึ่งภาณวาร ปฏิสัมภิทาวิภังค์ก็มีประมาณเกินหนึ่งภาณวาร ญาณวิภังค์จําแนกออก ๑๐ อย่าง แต่ญาณวิภังค์นั้น เมื่อว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณ ๓ ภาณวาร แม้ขุททกวัตถุวิภังค์ก็จําแนกไว้ ๑๐ อย่าง แต่ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณ ๓ ภาณวาร ธรรมหทยวิภังค์จําแนกไว้ ๓ อย่าง ว่าด้วยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณเกิน ๒ ภาณวาร วิภังค์แม้ทั้งหมด เมื่อให้พิสดารก็ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ปกรณ์ชื่อว่า วิภังคปกรณ์นี้ เมื่อว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณ ๓๕ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณด้วยประการฉะนี้.
ธาตุกถาปกรณ์
ในลําดับต่อจากวิภังคปกรณ์นั้น ชื่อว่า ธาตุกถาปกรณ์ ทรงจําแนก ๑๔ อย่าง คือ
๑. สงฺคโห อสงฺคโห - ธรรมสงเคราะห์ได้ ธรรมสงเคราะห์ไม่ได้
๒. สงฺคหิเตน อสงฺคหิตํ - ธรรมที่สงเคราะห์ไม่ได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์ได้
๓. อสงฺคหิเตน สงฺคหตํ - ธรรมที่สงเคราะห์ได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์ไม่ได้
๔. สงฺคหิเตน สงฺคหิตํ - ธรรมที่สงเคราะห์ได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์ได้
๕. อสงฺคหิเตน อสงฺคหิตํ - ธรรมที่สงเคราะห์ไม่ได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์ไม่ได้
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 23
๖. สมฺปโยโค วิปฺปโยโค - ธรรมที่ประกอบกัน ธรรมที่ไม่ประกอบกัน
๗. สมปยุตฺเตน วิปฺปยุตฺตํ - ธรรมที่วิปปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่สัมปยุตกัน
๘. วิปฺปยุตฺเตน สมปยุตฺตํ - ธรรมที่สัมปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่วิปปยุตกัน
๙. สมฺปยุตฺเตน สมฺปยุตฺตํ - ธรรมที่สัมปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่สัมปยุตกัน
๑๐. วิปฺปยุตฺเตน วิปฺปยุตฺตํ - ธรรมที่วิปปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่วิปปยุตกัน
๑๑. สงฺคหิเตน สมฺปยุตฺตํ วิปฺปยุตฺตํ - ธรรมที่สัมปยุตกันได้ ธรรมที่วิปปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์กัน
๑๒. สมฺปยุตฺเตน สงฺคหิตํ อสงฺคหิตํ - ธรรมที่สงเคราะห์กันได้ ธรรมที่สงเคราะห์กันไม่ได้ ด้วยธรรมที่สัมปยุตกัน
๑๓. อสงฺคหิเตน สมฺปยุตฺตํ วิปฺปยุตฺตํ - ธรรมที่สัมปยุตกัน ธรรมที่วิปปยุตกันได้ ด้วยธรรมที่สงเคราะห์กันไม่ได้
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 24
๑๔. วิปฺปยุตฺเตน สงฺคหิตํ อสงฺคหิตํ - ธรรมที่สงเคราะห์กันได้ ธรรมที่สงเคราะห์กันไม่ได้ ด้วยธรรมที่วิปปยุตกัน.
ธาตุกถาปกรณ์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํามีประมาณเกิน ๖ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
ปุคคลบัญญัติปกรณ์
ในลําดับต่อจากธาตุกถาปกรณ์นั้น ชื่อว่า ปุคคลบัญญัติ บุคคลบัญญัตินั้นจําแนกไว้ ๖ อย่าง คือ
๑. ขันธบัญญัติ
๒. อายตนบัญญัติ
๓. ธาตุบัญญัติ
๔. สัจจบัญญัติ
๕. อินทริยบัญญัติ
๖. ปุคคลบัญญัติ
ปุคคลบัญญัตินั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํา มีเกิน ๕ ภาณวาร แต่เมื่อให้พิสดารก็ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณเหมือนกัน.
กถาวัตถุปกรณ์
ในลําดับต่อจากปุคคลบัญญัติปกรณ์ ชื่อว่า กถาวัตถุปกรณ์ กถาวัตถุปกรณ์นั้น ประมวลจําแนกไว้หนึ่งพันสูตรคือในสกวาทะ (ลัทธิของตน) ๕๐๐ สูตร ในปรวาทะ (ลัทธิอื่น) ๕๐๐ สูตร กถาวัตถุปกรณ์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํา มีประมาณเท่าทีฆนิกายหนึ่ง โดยนัยที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ไม่ถือเอาคําที่เขียนไว้ในโกฏฐาสในบัดนี้ แต่เมื่อให้พิสดารย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 25
ยมกปกรณ์
ในลําดับต่อจากกถาวัตถุปกรณ์นั้น ชื่อว่า ยมกปกรณ์ ทรงจําแนกไว้ ๑๐ อย่าง คือ
๑. มูลยมก
๒. ขันธยมก
๓. อายตนยมก
๔. ธาตุยมก
๕. สัจจยมก
๖. สังขารยมก
๗. อนุสสยยมก
๘. จิตตยมก
๙. ธรรมยมก
๑๐. อินทริยยมก
ยมกปกรณ์นั้น ว่าโดยทางแห่งถ้อยคํา มีประมาณ ๑๒๐ ภาณวารเมื่อว่าโดยพิสดาร ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ.
มหาปกรณ์
ในลําดับแห่งยมกปกรณ์นั้น ชื่อว่า มหาปกรณ์ แม้คําว่า ปัฏฐานดังนี้ ก็เป็นชื่อของมหาปกรณ์นั้นนั่นแหละ มหาปกรณ์นั้น เบื้องต้นทรงจําแนกไว้ ๒๔ อย่าง ด้วยอํานาจแห่งปัจจัย คือ
๑. เหตุปัจจัย (เหตุเป็นปัจจัย)
๒. อารัมมณปัจจัย (อารมณ์เป็นปัจจัย)
๓. อธิปติปัจจัย (อธิบดีเป็นปัจจัย)
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 26
๔. อนันตรปัจจัย (อนันตรธรรมเป็นปัจจัย)
๕. สมนันตรปัจจัย (สมนันตรธรรมเป็นปัจจัย)
๖. สหชาตปัจจัย (สหชาตธรรมเป็นปัจจัย)
๗. อัญญมัญญปัจจัย (อัญญมัญญธรรมเป็นปัจจัย)
๘. นิสสยปัจจัย (นิสสยธรรมเป็นปัจจัย)
๙. อุปนิสสยปัจจัย (อุปนิสสยธรรมเป็นปัจจัย)
๑๐. ปุเรชาตปัจจัย (ปุเรชาตธรรมเป็นปัจจัย)
๑๑. ปัจฉาชาตปัจจัย (ปัจฉาชาตธรรมเป็นปัจจัย)
๑๒. อาเสวนปัจจัย (อาเสวนธรรมเป็นปัจจัย)
๑๓. กัมมปัจจัย (กรรมเป็นปัจจัย)
๑๔. วิปากปัจจัย (วิบากเป็นปัจจัย)
๑๕. อาหารปัจจัย (อาหารเป็นปัจจัย)
๑๖. อินทริยปัจจัย (อินทรีย์เป็นปัจจัย)
๑๗. ฌานปัจจัย (ฌานเป็นปัจจัย)
๑๘. มัคคปัจจัย (มรรคเป็นปัจจัย)
๑๙. สัมปยุตตปัจจัย (สัมปยุตธรรมเป็นปัจจัย)
๒๐. วิปปยุตปัจจัย (วิปยุตธรรมเป็นปัจจัย)
๒๑. อัตถิปัจจัย (อัตถิธรรมเป็นปัจจัย)
๒๒. นัตถิปัจจัย (นัตถิธรรมเป็นปัจจัย)
๒๓. วิคตปัจจัย (วิคตธรรมเป็นปัจจัย)
๒๔. อวิคตปัจจัย (อวิคตธรรมเป็นปัจจัย)
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 27
ก็ในฐานะนี้พึงประมวลมาซึ่งปัฏฐาน จริงอยู่ ติกะ ๒๒ มีกุศลติกะเป็นต้น ทุกะ ๑๐๐ เหล่านี้ คือ เหตุธมฺมา น เหตุธมฺมา... ฯลฯ...สรณาธฺมมา อสรณาธมฺมา ทุกะแม้อื่นอีก ชื่อว่า สุตตันตทุกะ ๔๒ คือวิชฺชาภาคิโน ธมฺมา อวิชฺชาภาคิโน ธมฺมา...ฯลฯ... ขเย าณํอนุปฺปาเท าณํ .
บรรดาติกะและทุกะเหล่านั้น ธรรมนี้คือ ติกะ ๒๒ ทุกะ ๑๐๐ ชื่อว่ามาติกาแห่งปกรณ์ทั้ง ๗ เป็นพุทธพจน์อันพระชินเจ้าตรัสภาษิตไว้ คือเป็นธรรมอันพระพุทธเจ้าผู้มีพระสัพพัญุตญาณแสดงแล้ว.
มีคําถามสอดมาว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกะ ๔๒ อื่นอีกมาจากไหน? ใครตั้งไว้? ใครเป็นผู้แสดง?
ตอบว่า มาจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร พระธรรมเสนาบดีนั้นตั้งไว้ พระธรรมเสนาบดีนั้นแสดงไว้
ก็พระเถระเมื่อตั้งธรรมเหล่านี้ หาได้ตั้งไว้โดยการยกขึ้นแสดงเอง คือด้วยปรีชาญาณของตนไม่ แต่พระเถระได้ประมวลเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งด้วยทสุตตรสูตรในสังคีติ มีเอกนิบาตเป็นต้นตั้งไว้เพื่อพระเถระผู้ชํานาญอภิธรรม ผู้ถึงพระสูตรแล้วจะไม่ลําบาก
ก็ทุกะเหล่านั้น จําแนกให้ถึงที่สุดไว้นิกเขปกัณฑ์หนึ่ง ในฐานะที่เหลือท่านจําแนกอภิธรรมไว้จนถึงสรณทุกะจริงอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมชื่อติกปัฏฐาน เพราะอาศัยติกะ ๒๒ ในอนุโลมปัฏฐาน ทรงแสดงธรรมชื่อว่าทุกปัฏฐานเพราะอาศัยทุกะ ๑๐๐ ที่สําเร็จแล้ว เบื้องหน้าแต่นี้ก็ถือเอาติกะ ๒๒ รวมทุกะ ๑๐๐ แสดงธรรมชื่อว่า ทุกติกปัฏฐาน จากนั้นก็ถือเอาทุกะ ๑๐๐ รวมในติกะ ๒๒ แสดงธรรมชื่อว่า ติกทุกปัฏฐาน แต่นั้นทรงรวมติกะ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 28
ทั้งหลายเข้าในติกะทั้งหลายนั่นแหละ แสดงธรรมชื่อว่า ติกติกปัฏฐาน และทรงรวมทุกะทั้งหลายเข้าในทุกะทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละ แสดงธรรมชื่อว่าทุกทุกปัฏฐาน (พระบาลีว่า)
ติกฺจ ปฏฺานวรํ ทุกุตฺตมํ
ทุกติกฺเจว ติกทุกฺจ
ติกติกฺเจว ทุกทุกฺจ
ฉ อนุโลมมฺหิ นยา สุคมฺภีรา.
นัยทั้ง ๖ อันสขุมลึกซึ้งในธรรมอนุโลม อย่างนี้ คือ
ติกปัฏฐานอันประเสริฐ ๑ ทุกปัฏฐานอันสูงสุด ๑ ทุกติกปัฏฐาน ๑ ติกทุกปัฏฐาน ๑ ติกติกปัฏฐาน ๑ ทุกทุกปัฏฐาน ๑.
แม้ในธรรมปัจจนียปัฏฐาน ก็ชื่อว่า ติกปัฏฐาน เพราะอาศัยติกะ ๒๒ ชื่อว่าทุกปัฏฐาน เพราะอาศัยทุกะ ๑๐๐ ชื่อว่าทุกติกปัฏฐาน เพราะรวมติกะ ๒๒ เข้าในทุกะ ๑๐๐ ชื่อว่าติกทุกปัฏฐาน เพราะรวมทุกะ ๑๐๐ เข้าในติกะ ๒๒ ชื่อว่าติกติกปัฏฐาน เพราะรวมติกะทั้งหลายเข้าในติกะทั้งหลายนั่นแหละ ชื่อว่าทุกทุกปัฏฐาน เพราะรวมทุกะทั้งหลายเข้าในทุกะทั้งหลายดังนี้.
แม้ในปัจจนียปัฏฐานก็ทรงแสดงปัฏฐานโดยนัยทั้ง ๖ เพราะเหตุนั้นพระสังคีติการกมหาเถระ จึงกล่าวไว้ว่า
นัยทั้ง ๖ อันสุขุม ลึกซึ้งในธรรมปัจจนิยะ คือ
ติกปัฏฐานอันประเสริฐ ๑
ฯลฯ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 29
ทุกทุกปัฏฐาน ๑
ในลําดับต่อจากนั้นก็ทรงแสดงแม้ในธรรมปัจจนียานุโลมโดยนัยทั้ง ๖ เหล่านี้เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า
นัยทั้ง ๖ อันสุขุม ลึกซึ้งในธรรมปัจจยานียานุโลม คือ
ติกปัฏฐานอันประเสริฐ ๑
ฯลฯ
ทุกทุกปัฏฐาน ๑.
ว่าด้วยสมันตปัฏฐาน ๒๔
ปัฏฐานที่ประชุมสมันตปัฏฐาน ๒๔ เหล่านี้ คือ ปัฏฐาน ๖ ในธรรมอันโลม ปัฏฐาน ๖ ในธรรมปฏิโลม ปัฏฐาน ๖ ในธรรมอนุโลมปัจจนียปัฏฐาน ๖ ในธรรมปัจจนิยานุโลม ชื่อว่า มหาปกรณ์ (ปกรณ์ใหญ่).
ว่าด้วยการเปรียบกับสาคร
บัดนี้ เพื่อการรู้แจ้งถึงความที่พระอภิธรรมนี้เป็นธรรมลึกซึ้ง พึงทราบสาคร (ทะเล) ๔ คือ
๑. สังสารสาคร (สาคร คือ สงสาร)
๒. ชลสาคร (สาคร คือ น้ำมหาสมุทร)
๓. นยสาคร (สาคร คือ นัย)
๔. ญาณสาคร (สาคร คือ พระญาณ)
บรรดาสาครทั้ง ๔ นั้น ชื่อว่า สังสารสาคร คือ สังสารวัฏฏ์ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า
ขนฺธานฺจ ปฏิปาฏิ ธาตุอายตนานฺจ
อพฺโภจฺฉินฺนํ วตฺตมานา สํ สาโรติ ปวุจฺจติ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 30
ลําดับแห่งขันธ์ ธาตุ และอายตนะซึ่งกําลังเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่าสงสาร
นี้ชื่อว่า สังสารสาคร. สังสารสาครนี้นั้น เพราะเหตุที่เงื่อนเบื้องต้นของความเกิดขึ้นแห่งสัตว์เหล่านี้ย่อมไม่ปรากฏ คือไม่มีกําหนดว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วในที่สุดเพียงร้อยปีเท่านั้น เพียงพันปีเท่านั้น เพียงแสนปีเท่านั้น เพียงร้อยกัปเท่านั้น เพียงพันกัปเท่านั้น เพียงแสนกัปเท่านั้น ในกาลก่อนแต่นี้มิได้มีเลยดังนี้ หรือว่า สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วในกาลแห่งพระราชาพระนามโน้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามโน้น ในกาลก่อนแต่นั้นไม่มีเลย ดังนี้ แต่ว่า มีโดยนัยนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เงื่อนเบื้องต้นแห่งอวิชชาไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่อวิชชาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี ดังนี้. (๑) การกําหนดเงื่อนมีในเบื้องต้นและที่สุดที่บุคคลรู้ไม่ได้นี้ ชื่อว่า สังสารสาคร.
มหาสมุทร พึงทราบว่า ชื่อ ชลสาคร มหาสมุทรนั้นลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ขึ้นชื่อว่า การประมาณน้ำในมหาสมุทรนั้นว่ามีเท่านี้ คือ มีน้ำร้อยอาฬหกะ พันอาฬหกะ หรือแสนอาฬหกะไม่ได้เลย โดยที่แท้ห้วงมหาสมุทรนั้น ย่อมปรากฏว่า ใครๆ พึงนับไม่ได้ พึงประมาณไม่ได้ ย่อมถึงการนับว่าเป็นห้วงน้ำใหญ่โดยแท้ นี้ชื่อว่า ชลสาคร.
นัยสาคร เป็นไฉน? นัยสาครได้แก่พระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ปีติโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแก่บุคคลทั้งหลายผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา มีความเลื่อมใสมาก มีญาณอันยิ่งแก่ผู้พิจารณาตันติแม้ทั้งสอง. ตันติแม้ทั้งสองเป็นไฉน? ตันติทั้งสอง คือ พระวินัยและพระอภิธรรม ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแก่ภิกษุวินัยธรทั้งหลายผู้พิจารณาตันติแห่งวินัย
(๑) องฺ ทสก. ๒๔. ๖๑/๑๒๐
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 31
ว่า ชื่อว่า การบัญญัติสิกขาบทอันสมควรแก่โทษ ธรรมดาว่า สิกขาบทนี้ย่อมมีเพราะโทษนี้ เพราะการก้าวล่วงอันนี้ ดังนี้ และเกิดแก่ผู้พิจารณาอุตริมนุสธรรมเปยยาล แก่ผู้พิจารณานีลเปยยาล ผู้พิจารณาสัญจริตเปยยาลว่า การบัญญัติสิกขาบท ไม่ใช่วิสัยของชนเหล่าอื่น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น.
ปีติและโสมนัสอันไม่มีที่สุด ย่อมเกิดแม้แก่ภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรมผู้พิจารณาอยู่ซึ่งตันติแห่งพระอภิธรรมว่า พระศาสดาของเราทั้งหลายเมื่อทรงจําแนกแม้ความแตกต่างแห่งขันธ์ แม้ความแตกต่างแห่งอายตนะ แม้ความแตกต่างแห่งธาตุ ความแตกต่างแห่งอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ กรรม วิบาก การกําหนดรูปและอรูป ธรรมอันละเอียดสุขุม ทรงกระทําแต่ละข้อในรูปธรรมและอรูปธรรมให้เป็นส่วนๆ แสดงไว้ เหมือนการนับดาวทั้งหลายในท้องฟ้าฉะนั้น. ก็ในการเกิดขึ้นแห่งปีติโสมนัสนั้น พึงทราบแม้เรื่องดังต่อไปนี้.
ดังได้สดับมา พระเถระชื่อว่า มหานาคติมิยติสสทัตตะ เมื่อไปสู่ฝังโน้นด้วยคิดว่า เราจักไหว้ต้นมหาโพธิ์ จึงนั่งที่พื้นเบื้องบนเรือ แลดูมหาสมุทรทีนั้น ในครั้งนั้น ฝังโน้นไม่ปรากฏแก่ท่านเลย ฝังนี้ก็ไม่ปรากฏ เป็นเช่นกับแผ่นเงินอันเขาแผ่ออก และเช่นกับเครื่องลาดทําด้วยดอกมะลิฉะนั้น. ท่านคิดว่ากําลังคลื่นของมหาสมุทรมีกําลังหรือหนอ หรือว่านยมุข (เนื้อความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนําไว้) ในสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประเภทมีกําลัง ดังนี้. ทีนั้น ปีติมีกําลังก็เกิดขึ้นแก่ท่านผู้พิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุมว่าการกําหนดในมหาสมุทรย่อมปรากฏ เพราะว่า มหาสมุทรนี้ เบื้องล่างกําหนดด้วยแผ่นดินเบื้องบนกําหนดด้วยอากาศ ข้างหนึ่งกําหนดด้วยภูเขาจักรวาล ข้างหนึ่งกําหนดด้วยฝัง แต่การกําหนดสมันตปัฏฐานย่อมไม่ปรากฏ ดังนี้ ท่านข่มปีติแล้ว
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 32
เจริญวิปัสสนาตามที่นั่งอยู่ ยังกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ตั้งอยู่ในพระอรหัตซึ่งเป็นธรรมอันเลิศ แล้วเปล่งอุทานว่า
พระโยคีย่อมเห็นธรรมที่ลึกซึ้ง อันตรัสรู้ได้แสนยาก มีเหตุเป็นแดนเกิดขึ้นอันพระมเหสีทรงรู้ยิ่งโดยพระองค์เองแสดงไว้โดยลําดับ โดยสิ้นเชิง ในสมันตปัฏฐานนี้เท่านั้น เหมือนกับเป็นรูปร่างทีเดียว.นี้ชื่อว่า นัยสาคร.
ญาณสาคร เป็นไฉน?
สัพพัญุตญาณ ชื่อว่า ญาณสาคร.
จริงอยู่ ญาณอื่นไม่อาจเพื่อจะรู้สาครนั้นว่า นี้ชื่อว่า สังสารสาครนี้ชื่อ ชลสาคร นี้ชื่อ นยสาคร แต่สัพพัญุตญาณเท่านั้นอาจเพื่อรู้ได้ เพราะฉะนั้น สัพพัญุตญาณ จึงชื่อว่า ญาณสาคร.
บรรดาสาครทั้ง ๔ เหล่านั้น นยสาครประสงค์เอาในที่นี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้สัพพัญูเท่านั้น ย่อมแทงตลอดในนัยสาครนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้นี้ ประทับนั่งที่ควงไม้โพธิ์ทรงแทงตลอดนัยสาครนี้ เมื่อทรงพิจารณาธรรมที่พระองค์แทงตลอดแล้ว ประทับนั่งโดยบัลลังก์เดียวตลอดสัปดาห์ว่า เมื่อเราเสาะแสวงหาธรรมนี้หนอ ล่วงไปถึง ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัป ภายหลังเรานั่ง ณ บัลลังก์นี้ จึงยังกิเลส ๑,๕๐๐ให้สิ้นไปแล้วแทงตลอดได้ดังนี้ ลําดับนั้น จึงเสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์ ประทับยืนแลดูบัลลังก์ตลอดสัปดาห์ ด้วยพระเนตรอันไม่กระพริบ ด้วยพระดําริว่าสัพพัญุตญาณ เราแทงตลอดแล้ว ณ บัลลังก์นี้หนอ ดังนี้
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 33
ลําดับนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลาย มีความปริวิตกเกิดขึ้นว่า แม้ในวันนี้พระสิทธัตถะพึงทํากิจที่ควรทําเป็นแน่ จึงยังไม่ละความอาลัยในบัลลังก์ ดังนี้. พระศาสดาทรงทราบวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะยังวิตกของเทวดาเหล่านั้นให้สงบ จึงเหาะขึ้นสู่เวหาส แสดงยมกปาฏิหาริย์.
จริงอยู่ ปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงทําที่มหาโพธิบัลลังก์ก็ดี ทําสมาคมแห่งพระญาติก็ดี ที่สมาคมปาฏลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเช่นกับยมกปาฏิหาริย์ที่ทําที่ควงไม้คัณฑามพฤกษ์นั่นแหละ ครั้นทรงทําปาฏิหาริย์อย่างนี้แล้ว จึงเสด็จลงจากอากาศแล้วเสด็จจงกรมตลอดสัปดาห์ ในระหว่างแห่งบัลลังก์และสถานที่อันพระองค์ประทับยืนอยู่แล้ว ก็ใน ๒๑ วันเหล่านี้ แม้วันหนึ่ง รัศมีทั้งหลายมิได้ออกจากสรีระของพระศาสดา แต่ในสัปดาห์ที่ ๔ ทรงประทับนั่งในเรือนแก้วในทิศพายัพ ชื่อว่า เรือนแก้ว มิใช่เรือนที่สําเร็จด้วยรัตนะ แต่บัณฑิตพึงทราบสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง ๗ ว่าเป็นเรือนแก้ว.
บรรดาปกรณ์ทั้ง ๗ นั้น แม้เมื่อทรงพิจารณาธรรมสังคณี รัศมีทั้งหลายก็ไม่ซ่านออกไปจากพระสรีระ เมื่อพิจารณาวิภังคปกรณ์ ธาตุกถาปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุปกรณ์ และยมกปกรณ์ รัศมีทั้งหลายก็มิได้ซ่านออกไปจากพระสรีระ แต่เมื่อใด ก้าวลงสู่มหาปกรณ์ เริ่มพิจารณาว่า เหตุปจฺจโย อารมฺมณปจฺจโย ฯเปฯ อวิคตปจฺจโย ดังนี้ เมื่อนั้น สัพพัญุตญาณโดยความเป็นอันเดียวกัน ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พิจารณาสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประการ ย่อมได้โอกาส (ช่อง) ในมหาปกรณ์นั้นแหละ เปรียบเหมือนปลาใหญ่ ชื่อว่า ติมิรปิงคละ ย่อมได้โอกาสโดยความเป็นอันเดียวกันในมหาสมุทรอันลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์นั่นแหละ ฉันใด พระสัพพัญุตญาณ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 34
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมได้โอกาสในมหาปกรณ์ โดยความเป็นอันเดียวกันนั่นแหละ.
ว่าด้วยพระฉัพพรรณรังสี
เมื่อพระศาสดา ทรงพิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุมตามความสบายด้วยพระสัพพัญุตญาณซึ่งมีโอกาส (ช่อง) อันได้แล้วอย่างนี้ พระฉัพพรรณรังสี (รัศมี ๖ ประการ) คือ นีละ (เขียวเหมือนดอกอัญชัน) ปีตะ (เหลืองเหมือนหรดาล) โลหิตะ (แดงเหมือนตะวันอ่อน) โอทาตะ (ขาวเหมือนแผ่นเงิน) มัญเชฏฐะ (สีหงสบาท เหมือนดอกหงอนไก่) ประภัสสร (เลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก) ก็ซ่านออกจากพระสรีระ พื้นแห่งท้องฟ้า ได้เป็นราวกะว่าเต็มด้วยดอกอัญชันกระจายอยู่ทั่วไป เหมือนดารดาษด้วยดอกสามหาวหรือกลีบอุบลเขียว เหมือนขั้วตาลประดับด้วยแก้วมณีที่แกว่งไปมา และเหมือนแผ่นวัตถุสีเขียวเข้มที่ขึงออก ด้วยสามารถแห่งรัศมีสีเขียวเหล่าใด พระรัศมีสีเขียวเหล่านี้ ออกไปแล้วจากพระเกศา แลพระมัสสุทั้งหลาย และจากที่สีเขียวแห่งพระเนตรทั้งสอง.
ทศาภาคทั้งหลายย่อมรุ่งโรจน์เหมือนโสรจสรง (ชําระ) ด้วยน้ำทองคํา เหมือนแผ่แผ่นทองคําออกไป เหมือนย้อมด้วยจุณแห่งนกกดไฟ (น่าจะเป็นผงขมิ้น) และเหมือนเรียงรายด้วยดอกกรรณิการ์ ด้วยอํานาจแห่งรัศมีสีเหลืองเหล่าใด รัศมีสีเหลืองเหล่านั้น ท่านออกแล้วจากพระฉวีวรรณ และจากที่สีเหลืองแห่งพระเนตรทั้งสอง.
ทิศาภาคทั้งหลายรุ่งโรจน์แล้ว เหมือนย้อมด้วยจุณแห่งชาด เหมือนรดด้วยน้ำครั่งที่สุกดีแล้ว เหมือนคลุมด้วยผ้ากัมพลแดง เหมือนเรียงรายด้วยดอกชัยพฤกษ์ ดอกทองกวาว และดอกชบา ด้วยสามารถแห่งรัศมีสีแดง
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 35
เหล่าใด พระรัศมีสีแดงเหล่านั้น ซ่านออกแล้วจากพระมังสะ พระโลหิต และที่สีแดงแห่งพระเนตรทั้งสอง.
ทิศาภาคทั้งหลายรุ่งโรจน์แล้ว เหมือนเกลื่อนกล่นด้วยขีรธาราที่เทออกจากหม้อเงิน เหมือนเพดานแผ่นเงินที่เขาขึงไว้ เหมือนขั้วตาลเงินที่แกว่งไปมา เหมือนดาดาษด้วยดอกคล้า ดอกโกมุท ดอกย่านทราย ดอกมะลิวัลย์ ดอกมะลิซ้อนเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งรัศมีสีขาวเหล่าใด รัศมีสีขาวเหล่านั้นซ่านออกแล้วจากพระอัฐิทั้งหลาย จากพระทนต์ทั้งหลาย และจากที่สีขาวแห่งพระเนตรทั้งสอง.
ส่วนพระรัศมีสีหงสบาทและเลื่อมประภัสสร ก็ซ่านออกจากส่วนแห่งพระสรีระนั้นๆ พระฉัพพรรณรังสีเหล่านั้นออกแล้วจับมหาปฐพีใหญ่อันหนาทึบ ด้วยประการฉะนี้ มหาปฐพีอันหนาถึง ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ได้เป็นเหมือนก้อนทองคําที่เขาขจัดมลทินแล้ว พระรัศมีทั้งหลายเจาะทะลุแผ่นดินลงไปจับน้ำในภายใต้ น้ำซึ่งรองแผ่นดินหนาถึง ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์ ได้เป็นเหมือนทองคําที่ไหลคว้างออกจากเบ้าทอง พระรัศมีเหล่านั้นเจาะน้ำลงไปจับลม ลมหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ ได้เป็นเหมือนแท่งทองคําที่ยกขึ้นแล้ว พระรัศมีทั้งหลายเจาะลมแล้วแล่นไปสู่อัชชฎากาศ (อากาศเวิ้งว้าง) ภายใต้.
ว่าด้วยส่วนเบื้องบน พระรัศมีทั้งหลาย แม้พุ่งขึ้นไปแล้วจับอยู่ที่จาตุมหาราชิกา เจาะแทงตลอดจาตุมหาราชิกาไปจับชั้นดาวดึงส์ จากนั้นก็ไปยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี จากนั้นก็ไปพรหมโลก ๙ ชั้น จากนั้นก็ไปเวหัปผลา จากนั้นก็ไปปัญจสุทธาวาส จับอรูปทั้ง ๔ เจาะ (แทงตลอด) อรูปทั้ง ๔ แล้วแล่นไปสู่อัชชฎากาศ (อากาศเวิ้งว้าง)
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 36
โดยส่วนเบื้องขวางทั้งหลาย พระรัศมีแล่นไปสู่โลกา ทั้งหลายอันหาที่สุดมิได้ ในที่ทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ ไม่มีรัศมีพระจันทร์ในพระจันทร์ ไม่มีรัศมีพระอาทิตย์ในพระอาทิตย์ ไม่มีรัศมีดวงดาวในดวงดาวทั้งหลายไม่มีรัศมีของเทวดาทั้งหลายในที่ทั้งปวง คือ ที่อุทยาน วิมาน ต้นกัลปพฤษ์ทั้งหลาย ที่สรีระทั้งหลาย ที่อาภรณ์ทั้งหลาย ถึงมหาพรหมผู้สามารถแผ่แสงสว่างไปสู่โลกธาตุติสหัสสี และมหาสหัสสี ก็ได้เป็นเหมือนหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พระจันทร์ พระอาทิตย์ ดวงดาว อุทยานวิมาน ต้นไม้กัลปพฤกษ์ของเทพ ก็ปรากฏเพียงเป็นการกําหนดเท่านั้น.
จริงอยู่ สถานที่มีประมาณเท่านี้ ได้เป็นที่ท่วมทับ (ปกคลุม) แล้วด้วยรัศมีของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระฤทธิ์แม้นี้มิใช่ฤทธิ์เกิดจากการอธิษฐาน มิใช่ฤทธิ์เกิดจากภาวนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่เมื่อพระโลกนารถทรงพิจารณาธรรมอันละเอียดสุขุม พระโลหิตก็ผ่องใส วัตถุรูปก็ผ่องใส พระฉวีวรรณก็ผ่องใส วรรณธาตุมีจิตเป็นสมุฏฐาน ตั้งอยู่ไม่หวั่นไหวในประเทศประมาณ ๘๐ ศอกโดยรอบ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาธรรมโดยลักษณะนี้ ตลอด ๗ วัน.
มีคําถามว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาตลอด ๗ คืน ๗ วัน ได้มีประมาณเท่าไร?
ตอบว่า หาประมาณมิได้.
นี้ชื่อว่า เทศนาด้วยพระหฤทัยก่อน ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้นใครๆ ก็ไม่พึงกล่าวได้ว่า ก็พระศาสดาเมื่อทรงเปล่งพระวาจาแสดงธรรมอันพระองค์คิดด้วยพระทัยตลอด ๗ วันอย่างนี้ โดยล่วงไปร้อยปีก็ดี พันปีก็ดีแสนปีก็ดี ก็ไม่สามารถเพื่อให้ถึงที่สุดได้ ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 37
จริงอยู่ ในกาลอันเป็นส่วนอื่น พระตถาคตเจ้าประทับนั่งท่ามกลางเหล่าเทพหมื่นจักรวาลเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริชาต ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อทรงแสดงธรรมทรงทําพระพุทธมารดาให้เป็นกายสักขีก็ทรงย่อแล้วๆ ซึ่งลําดับธรรมจากระหว่างธรรมแล้วแสดงโดยส่วนแห่งร้อย โดยส่วนแห่งพัน โดยส่วนแห่งแสน เทศนาที่พระองค์ให้เป็นไป ติดต่อกันสามเดือน เป็นอนันตเทศนาประมาณมิได้ ประดุจคงคาในอากาศที่ไหลลงมาอย่างเร็ว และประดุจสายน้ำที่ไหลออกจากหม้อน้ำที่คว่ําปาก ฉะนั้น.
จริงอยู่ แม้ในกาลเป็นที่อนุโมทนาภัตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงอนุโมทนาอยู่ขยายออกหน่อยหนึ่ง ก็จะได้ประมาณเท่ากับทีฆนิกายและมัชฌิมนิกาย. อนึ่ง เมื่อทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกันภายหลังแห่งภัต เทศนาก็มีประมาณเท่านิกายใหญ่ทั้งสอง คือ สังยุตตนิกาย และอังคุตตรนิกาย.เพราะเหตุไร? เพราะภวังคปริวาส (การอยู่อาศัยภวังคจิต) ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเร็ว ริมพระโอษฐ์เรียบสนิทดี พระชิวหาอ่อนคล่องพระโอษฐ์พระสุรเสียงไพเราะ พระวาจาเปล่งได้เร็ว เพราะฉะนั้น แม้ธรรมอันพระองค์แสดงแล้วเพียงครู่หนึ่งนั้น จึงได้มีประมาณเท่านี้ ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วตลอดไตรมาสจึงประมาณไม่ได้เลย.
จริงอยู่ พระอานนทเถระเป็นพหูสูต ทรงพระไตรปิฎกยืนอยู่แล้วโดยท่าที่ยืนนั่นแหละ ย่อมเรียน ย่อมบอก ย่อมแสดงคาถา ๑๕,๐๐๐ คาถาบทธรรม ๖๐,๐๐๐ บท เหมือนชนผู้ดึงดอกไม้ทั้งกิ่ง ธรรมมีประมาณเท่านี้ชื่อว่าเป็นอุเทศมรรค (ทางแห่งอุเทศ) หนึ่งของพระเถระ เพราะว่า บุคคลอื่นเมื่อให้อุเทศตามลําดับบทแก่พระเถระ ย่อมไม่อาจเพื่อจะให้ คือบอกให้ไม่ทัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น พึงให้สมบูรณ์ พระสาวกผู้มีสติมากยิ่ง
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 38
มีคติมากยิ่ง มีธิติมากยิ่งอย่างนี้ แม้เรียนเทศนาที่พระศาสดาแสดงแล้วตลอดไตรมาส โดยทํานองนี้ สิ้นพันปีก็ไม่อาจให้ถึงที่สุดได้.
ถามว่า ก็อุปาทินนกสรีระ (ร่างกายที่มีใจครอง) เนื่องด้วยยกวฬิงการาหาร ของพระตถาคตเจ้าผู้ทรงแสดงธรรมติดต่อกันตลอดไตรมาสเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?
ตอบว่า ด้วยการบํารุงนั่นแหละ.
จริงอยู่ กาลนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงวิเคราะห์ดีแล้ว ทรงกําหนดดีแล้ว ทรงพิจารณาดีแล้ว เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงธรรม จึงทรงตรวจดูเวลาในมนุษยโลก พระองค์ทรงกําหนดเวลาภิกษาจารแล้ว เนรมิตพุทธนิมิตแล้วอธิษฐานว่า การห่มจีวร การถือบาตรการเปล่งเสียง กิริยาอาการของพุทธนิมิตนี้ จงมีอย่างนี้ จงแสดงธรรม ชื่อมีประมาณเท่านี้ ดังนี้ แล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จไปสระอโนดาต เทวดาถวายไม้ชําระพระทนต์ ชื่อ นาคลดา พระองค์ทรงเคี้ยวไม้นาคลดานั้น ปฏิบัติสรีระในสระอโนดาตแล้วประทับยืนที่พื้นมีโนศิลา ทรงครองสบงสองชั้นที่ทรงย้อมดีแล้ว ทรงห่มจีวรแล้วถือบาตรศิลาที่มหาราชถวายเสด็จไปสู่อุตตรกุรุทวีปทรงนําบิณฑบาตมาจากที่นั้น ประทับนั่งที่ฝังสระอโนดาต ทรงเสวยแล้วเสด็จไปป่าไม้จันทน์ เพื่อทรงพักผ่อนกลางวัน.
แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระก็ไปในที่นั้น กระทําวัตรต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ลําดับนั้น พระศาสดาจะทรงประทานนัยแก่พระเถระ จึงตรัสบอกว่า ดูก่อนสารีบุตร ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้วมีประมาณเท่านี้. เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานนัยอย่างนี้ การประทานนัยแก่พระอัครสาวกผู้ถึงปฏิสัมภิทาแล้ว เป็นเช่น
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 39
บุคคลผู้ยืนอยู่ที่สุดฝังแล้วเหยียดมือชี้ให้ดูมหาสมุทร ฉะนั้น ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ย่อมปรากฏชัดแม้แก่พระเถระโดยร้อยนัย พันนัยแสนนัย.
ถามว่า พระศาสดาทรงนั่งพักกลางวันแล้วเสด็จไปแสดงธรรมเวลาไหน?
ตอบว่า ธรรมดาว่า เวลาสําหรับแสดงธรรมแก่ชาวเมืองสาวัตถีที่ประชุมกันแล้วมีอยู่ ก็เสด็จไปเวลานั้น.
ถามว่า ใครเล่าย่อมทราบ ใครเล่าไม่ทราบว่า พระศาสดาเสด็จไปแสดงธรรม หรือว่า เสด็จมาแสดงธรรม.
ตอบว่า เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ย่อมทราบ เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยย่อมไม่ทราบ.
ถามว่า เพราะเหตุไร เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยจึงไม่ทราบ.
ตอบว่า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพุทธนิมิต ไม่มีความต่างกับสิ่งทั้งหลายมีพระรัศมีเป็นต้น ความจริง ความต่างกันของพระพุทธเจ้าแม้ทั้งสองพระองค์นั้น ในพระรัศมี หรือพระสุรเสียง หรือพระดํารัสมิได้มี.
ฝ่ายพระสารีบุตรเถระก็นําธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วๆ มาแสดงแก่ภิกษุ ๕๐๐ ผู้เป็นสัทธิวิหาริกของตน บัณฑิตพึงทราบบุรพโยคะ (การประกอบกรรมในกาลก่อน) ของภิกษุ ๕๐๐ เหล่านั้น ดังนี้.
บุรพโยคะของภิกษุ ๕๐๐
ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระทศพล พระนามว่า กัสสปะ ภิกษุเหล่านั้นเกิดในกําเนิดค้างคาวลูกหนูห้อยโหนอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม๒ รูป สาธยายพระอภิธรรมอยู่ ก็ถือเอานิมิตในเสียง แม้ไม่รู้ว่าเป็นธรรม
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 40
ฝ่ายดํา เป็นธรรมฝ่ายขาว ทํากาละแล้ว ก็เกิดในเทวโลกด้วยเหตุสักว่าถือเอานิมิตในเสียงเท่านั้น. พวกเขาอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในกาลนั้นเขามาเกิดในมนุษยโลก เลื่อมใสในยมกปาฏิหาริย์ จึงบวชในสํานักของพระเถระพระเถระนําพระธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วๆ มาแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้นการสิ้นสุดลงแห่งการแสดงพระอภิธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการเรียนปกรณ์ ๗ ของภิกษุเหล่านั้นได้มีพร้อมๆ กัน นั่นแหละ.
ทางแห่งการบอกพระอภิธรรมมีพระสารีบุตรเถระเป็นต้นเหตุ แม้วาระว่าด้วยการนับจํานวนมหาปกรณ์ ก็พระเถระนั่นแหละตั้งไว้. จริงอยู่ พระเถระไม่ลบล้างลําดับธรรม เพื่อถือเอา เพื่อทรงจํา เพื่อเล่าเรียน และเพื่อบอกได้ โดยวิธีนี้ เพราะฉะนั้น จึงจัดตั้งไว้ซึ่งวาระว่าด้วยการนับ ก็ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้น พระเถระก็เป็นผู้ทรงพระอภิธรรมก่อนกว่ากระมัง หามิได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละเป็นผู้ทรงพระอภิธรรมก่อนกว่า เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ มหาโพธิบัลลังก์ ทรงแทงตลอดแล้วซึ่งพระอภิธรรมนั้น ก็แลครั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ประทับโดยบัลลังก์เดียวตลอด ๗ วันทรงเปล่งอุทานว่า
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา
อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
ฯเปฯ
สูโรว โอภาสยมนูตลิกฺขํ.
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมาทราบชัดซึ่งธรรมพร้อมทั้งเหตุ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 41
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงเทียว ของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้แล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ในกาลนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกําจัดมารและเสนามารได้ เหมือนพระอาทิตย์ยังท้องฟ้าให้สว่างอยู่ ฉะนั้น.
นี้ชื่อว่า ปฐมพุทธพจน์ แต่อาจารย์ผู้กล่าวบทแห่งธรรม ย่อมกล่าวว่าชื่อว่า ปฐมพุทธพจน์นี้ คือ
อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา.
เมื่อเราแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทําซึ่งเรือน ยังไม่พบ จึงต้องท่องเที่ยวไปสู่สงสารมีชาติมิใช่น้อย เพราะการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายผู้กระทําซึ่งเรือน เราพบท่านแล้ว ท่านจักสร้างเรือนไม่ได้อีก ซี่โครงทั้งหมดของท่านเราหัก
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 42
เสียแล้ว เรือนยอดเราก็รื้อออกแล้ว จิตของเราถึงวิสังขาร (คือพระนิพพาน) ถึงความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว.
พระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงไสยาสน์ในระหว่างต้นสาละคู่ ในสมัยใกล้ปรินิพพานตรัสไว้ว่า หนฺททานิ ภิกฺขเว ฯ ป ฯ สมฺปาเทถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอาเถอะ ตถาคตจักเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ดังนี้ ชื่อว่า ปัจฉิมพุทธพจน์.
พระสัทธรรมที่ประกาศอมตะที่พระองค์ตรัสไว้ ๔๕ พรรษาในระหว่างพระพุทธพจน์ทั้งสอง เหมือนนายมาลาการร้อยพวงดอกไม้ และเหมือนช่างแก้วร้อยพวงแก้ว ชื่อว่า มัชฌิมพุทธพจน์ พระพุทธพจน์นั้นแม้ทั้งหมดเมื่อประมวลเข้าด้วยกัน โดยปิฎกเป็น ๓ ปิฎก โดยนิกายเป็น ๕ นิกาย โดยองค์มีองค์ ๙ โดยธรรมขันธ์ได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
อย่างไร. จริงอยู่พระพุทธพจน์นี้แม้ทั้งหมด โดยปิฎกมี ๓ ประเภทเท่านั้น คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก. บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นั้นพระพุทธพจน์นี้คือ ปาฏิโมกข์ทั้งสอง วิภังค์ทั้งสอง ขันธกะ ๒๒ ปริวาร ๑๖ ชื่อว่า วินัยปิฎก.
พระพุทธพจน์นี้คือ ทีฆนิกายซึ่งรวบรวมพระสูตรไว้ ๓๔ สูตรมีพรหมชาลสูตรเป็นต้น มัชฌิมนิกายซึ่งรวบรวมพระสูตรไว้ ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้น สังยุตตนิกายซึ่งรวบรวมพระสูตรไว้ ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น อังคุตตรนิกายซึ่งรวบรวมพระสูตรไว้ ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตตปริยายสูตรเป็นต้น ขุททกนิกายมี ๑๕ ประเภท คือ ๑. ขุททกปาฐะ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 43
๒. ธรรมบท ๓. อุทาน ๔. อิติวุตตกะ ๕. สุตตนิบาต ๖. วิมานวัตถุ ๗. เปตวัตถุ ๘. เถรคาถา ๙. เถรีคาถา ๑๐. ชาดก ๑๑. นิทเทส ๑๒. ปฏิสัมภิทา ๑๓. อปทาน ๑๔. พุทธวงศ์ ๑๕. จริยาปิฎก ชื่อว่าสุตตันตปิฏก.
ปกรณ์ ๗ มีธรรมสังคณีเป็นต้น ชื่อว่า อภิธรรมปิฎก.
คําว่า วินัย มีอรรถ ๓ อย่าง
บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นั้น พระวินัยนี้บัณฑิตผู้รู้เนื้อความแห่งพระวินัยกล่าวว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ มีนัยพิเศษ และเพราะฝึกหัดกายวาจา.
จริงอยู่ ในพระวินัยปิฎกนี้ ชื่อว่า มีนัยต่างๆ คือ มีนัยที่แยกไว้โดยปาฏิโมกขุทเทส ๕ อย่าง อาบัติ ๗ กองมีปาราชิกเป็นต้น มาติกาและวิภังค์เป็นต้น และที่ชื่อว่า มีนัยพิเศษ คือ นัยแห่งอนุบัญญัติ ซึ่งมีการทําให้มั่นคง และการทําให้หย่อนเป็นประโยชน์ อนึ่ง วินัยนี้ ชื่อว่า ย่อมฝึกหัดกายวาจา เพราะป้องกันการประพฤติผิดทางกายและวาจา เพราะฉะนั้นวินัยนี้ บัณฑิตจึงกล่าวว่า ชื่อว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ เพราะฝึกหัดกายวาจา ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในอรรถแห่งการกล่าวถึงพระวินัยนั้น ท่านจึงประพันธ์คาถาไว้ว่า
วิวิธวิเสสนยตฺตา วินยนโต เจว กายวาจานํ
วินยตฺถวิทูหิ อยํ วินโย วินโยติ อกฺขาโต
พระวินัยนี้บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งวินัยทั้งหลาย กล่าวว่า พระวินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะฝึกหัดกายวาจาดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 44
คําว่า พระสูตรมีอรรถ ๖ อย่าง
ส่วนพระสูตร บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งพระสูตร กล่าวว่า พระสูตรเพราะการแสดงถึงประโยชน์เพราะเป็นดํารัสอันพระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว เพราะเผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์ เพราะเป็นที่ต้านทานอย่างดี เพราะมีส่วนเปรียบด้วยเส้นด้ายบรรทัด.
จริงอยู่ พระสูตรนั้นย่อมแสดงประโยชน์ทั้งหลายอันต่างโดยประโยชน์ของตน และของผู้อื่นเป็นต้น. อนึ่ง ในพระสูตรนี้ มีอรรถที่ตรัสไว้อย่างดี เพราะตรัสคล้อยตามอัธยาศัยของเวไนยสัตว์. ก็พระสูตรนี้ ย่อมหลั่งออกซึ่งประโยชน์ทั้งหลาย เหมือนข้าวกล้าผลิตผล และย่อมหลั่งออกซึ่งประโยชน์ทั้งหลาย เหมือนแม่โคนมหลั่งน้ำนมออก ชื่อว่า ต้านทาน คือ ย่อมรักษาประโยชน์ทั้งหลายเหล่านั้นอย่างดีอนึ่ง ชื่อว่า มีส่วนเปรียบด้วยเส้นด้ายบรรทัด เปรียบเหมือนเส้นด้ายบรรทัด ย่อมเป็นประมาณของช่างถากทั้งหลายฉันใด พระสูตรแม้นี้ ก็เป็นประมาณของวิญูชนทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน.อนึ่งดอกไม้ทั้งหลายที่เขาร้อยไว้ด้วยด้ายย่อมไม่เรี่ยรายไม่กระจัดกระจายฉันใดเนื้อความทั้งหลายที่ทรงรวบรวมไว้ด้วยพระสูตรนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในอรรถแห่งการกล่าวถึงพระสูตรนั้น ท่านจึงประพันธ์คาถาไว้ว่า
อตฺถานํ สูจนโต สุวุตฺตโต สวนโตถ สูทนโต
สุตฺตาณา สุตฺตสภาคโต จ สุตฺตํ สุตฺตนฺติ อกฺขาตํ
พระสูตร ท่านเรียกว่า พระสูตร เพราะแสดงอรรถ เพราะตรัสไว้ดีแล้ว เพราะเผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 45
เพราะต้านทานได้ดีและเพราะมีส่วนเปรียบด้วยเส้นด้ายบรรทัด ฉะนั้น.
อภิธรรมมีอรรถ ๕ อย่าง
ส่วนพระอภิธรรม บัณฑิตกล่าวว่า พระอภิธรรม เพราะเหตุที่ในอภิธรรมปิฎกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมที่มีความเจริญ ๑ ที่ควรกําหนด ๑ ที่ควรบูชา ๑ ที่กําหนดไว้ ๑ และเป็นที่ยิ่ง ๑.
จริงอยู่ อภิศัพท์นี้ ใช้ในความหมายว่าเจริญ ควรกําหนด ควรบูชาที่กําหนดไว้ และที่ยิ่ง. จริงอย่างนั้น อภิศัพท์นี้ ใช้ในคําว่าเจริญ ในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทุกขเวทนาหนัก ย่อมเจริญ (กําเริบ) แก่กระผมมิได้ลดลง ดังนี้. ใช้ในความหมายถึงควรกําหนด ในประโยคมีอาทิว่า ราตรีเหล่านั้นใด ท่านกําหนดรู้แล้ว กําหนดหมายไว้แล้ว ดังนี้. ใช้ในความหมายถึงควรบูชา ในประโยคมีอาทิว่า พระราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นจอมมนุษย์ดังนี้. ใช้ในความหมายถึงกําหนดไว้ ในประโยคมีอาทิว่า ปฏิพโล วิเนตุํ อภิธมฺเม อภิวินเย แปลว่า เป็นผู้สามารถเพื่อแนะนําในธรรมที่กําหนดไว้ในวินัยที่กําหนดไว้ ดังนี้. อธิบายว่า ในธรรมและวินัยที่เว้นจากการปะปนกัน. ใช้ในความหมายว่ายิ่ง (อธิกะ) ในประโยคมีอาทิว่า มีวรรณะอันงามยิ่งดังนี้.
อนึ่ง ในพระอภิธรรมนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมทั้งหลายที่มีความเจริญ โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมเจริญมรรคเพื่อเข้าถึงรูปภพ มีจิตประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ดังนี้ก็มี ตรัสธรรมทั้งหลายที่ควรกําหนด เพราะความเป็นธรรมที่ควรกําหนดด้วยอารมณ์ทั้งหลายโดยนัยเป็นต้นว่า เป็นรูปารมณ์ หรือ สัททารมณ์ ดังนี้ก็มี ตรัสธรรมทั้งหลายที่น่าบูชา
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 46
โดยนัยเป็นต้นว่า เสกขธรรม อเสกขธรรม โลกุตรธรรม ดังนี้ก็มี ท่านอธิบายว่า ธรรมที่ควรบูชา ตรัสธรรมทั้งหลายที่ทรงกําหนดไว้ เพราะเป็นธรรมที่กําหนดโดยสภาวะ โดยนัยเป็นต้นว่า ผัสสะย่อมมี เวทนาย่อมมีดังนี้ก็มี และตรัสธรรมทั้งหลายอันยิ่ง โดยนัยเป็นต้นว่า มหัคคตธรรม อัปปมาณธรรม อนุตรธรรม ดังนี้ก็มี ด้วยเหตุนั้น เพื่อความฉลาดในอรรถแห่งการกล่าวถึงพระอภิธรรมนี้ ท่านจึงประพันธ์คาถาไว้ว่า
ยํ เอตฺถ วุฑฺฒิมนฺโต สลกฺขณา ปูชิตา ปริจฺฉินฺนา
วุตฺตาธิกา จ ธมฺมา อภิธมฺโม เตน อกฺขาโต
พระอภิธรรม บัณฑิตกล่าวว่า พระอภิธรรม เพราะเหตุที่พระอภิธรรมนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงธรรมที่เจริญ ๑ ธรรมที่ควรกําหนด ธรรมที่ควรบูชา ๑ ธรรมกําหนด (แยก) ไว้ ๑ และธรรมที่ยิ่ง ๑.
ว่าด้วยความหมายที่ไม่ต่างกันของปิฎก
อนึ่ง ในปิฎกทั้ง ๓ นี้บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งปิฎกศัพท์กล่าวว่าคําว่า ปิฎก ที่ไม่แตกต่างกันนั้นว่า ชื่อว่า ปิฎก เพราะอรรถว่าเป็น ปริยัติ และภาชนะ (เครื่องรองรับ) บัดนี้ พึงประมวลปิฎกศัพท์นั้นเข้าด้วยกันแล้วทราบปิฎกแม้ทั้ง ๓ มีวินัยเป็นต้น.
จริงอยู่ แม้ปริยัติ ท่านก็เรียกว่า ปิฎก (ตํารา) เหมือนในประโยคมีอาทิว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อโดยอ้างตํารา แม้ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เรียกว่า ปิฎก เหมือนในประโยคมีอาทิว่า
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 47
อถ ปุริโส อาคจฺเฉยฺย กุทฺทาลปิฏกมาทาย ครั้งนั้น บุรุษ (ผู้ทําถนน) ถือเอาจอบและตะกร้า (ปิฎก) มาดังนี้. เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งปิฎกศัพท์จึงกล่าวว่า ชื่อว่า ปิฎก เพราะอรรถว่าเป็นปริยัติ และภาชนะ (เครื่องรองรับ)
บัดนี้ บัณฑิตพึงประมวลปิฎกศัพท์เข้าด้วยกัน แล้วพึงทราบปิฎกแม้ทั้ง ๓ มีวินัยเป็นต้น คือ พึงทําสมาส (วินัยเป็นต้น) กับปิฎกศัพท์ซึ่งมีอรรถ ๒ อย่าง อย่างนี้ แล้วพึงทราบปิฎกแม้ทั้ง ๓ มีวินัยเป็นต้นเหล่านี้ว่า พระวินัยนั้นด้วย เป็นปิฎกด้วย ชื่อว่า วินัยปิฎก เพราะเป็นปริยัติ และเพราะเป็นภาชนะ (เครื่องรองรับ) แห่งอรรถนั้นๆ พระสูตรนั้นด้วย เป็นปิฎกด้วย ชื่อว่า สุตตันปิฎก และพระอภิธรรมนั้นด้วย เป็นปิฎกด้วย ชื่อว่าอภิธรรมปิฎก โดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแหละ อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
ว่าด้วยความหมายคําว่าปิฎกที่แตกต่างกัน
ก็ครั้นทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อความฉลาดเนื้อความต่างๆ ในปิฎกแม้ทั้ง ๓ นั่นแหละอีกว่า
ในปิฎกเหล่านั้น บัณฑิตพึงแสดงประเภทเทศนา ศาสนะ กถา สิกขา ปหานะ และคัมภีรภาพ ตามสมควร คือว่าภิกษุย่อมบรรลุประเภทปริยัติ สมบัติ และวิบัติ อันใดในปิฎกใด โดยประการใด พึงอธิบายประเภทปริยัติ สมบัติ และวิบัติ แม้นั้นทั้งหมดโดยประการนั้นเถิด.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 48
ในข้อนั้น มีคําบรรยาย และอธิบาย ดังต่อไปนี้
จริงอยู่ ปิฎกทั้ง ๓ แม้เหล่านี้ ท่านเรียกตามลําดับว่า อาณาเทศนาโวหารเทศนา ปรมัตถเทศนา ยถาปราธศาสนะ ยถานุโลมศาสนะ ยถาธัมมศาสนะ สังวราสังวรกถา ทิฏฐิวินิเวฐนกถา และนามรูปปริจเฉทกถา.
ว่าโดยเทศนา
จริงอยู่บรรดาปิฎกทั้ง ๓ นี้พระวินัยปิฎกเรียกว่าอาณาเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรแก่การใช้อํานาจ (อาณา) ทรงแสดงมากไปด้วยอาณา (อํานาจ) พระสุตตันตปิฎก เรียกว่า โวหารเทศนา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ฉลาดในโวหาร (บัญญัติศัพท์) ทรงแสดงมากไปด้วยโวหาร พระอภิธรรมปิฎก เรียกว่า ปรมัตถเทศนา เพราะความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ฉลาดในปรมัตถธรรม ทรงแสดงมากไปด้วยปรมัตถธรรม.
ว่าโดยศาสนะ
อนึ่ง ปิฎกที่หนึ่ง เรียกชื่อว่า ยถาปราธศาสนะ เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีความผิดมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนตามที่มีความผิดในพระวินัยปิฎกนี้ปิฎกที่สอง เรียกชื่อว่า ยถานุโลมศาสนะ เพราะเหล่าสัตว์ที่มีอัธยาศัย อนุสัยจริยา และอธิมุติมิใช่น้อย พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสั่งสอนไปตามลําดับในพระสุตตันตปิฎกนี้ ปิฎกที่สาม เรียกชื่อว่า ยถาธัมมศาสนะ เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีความสําคัญในสภาวสักว่ากองแห่งธรรมว่า เรา ของเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอน ตามควรแก่ธรรมในพระอภิธรรมปิฎกนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 49
ว่าโดยกถา
อนึ่ง ปิฎกที่หนึ่ง เรียกว่า สังวราวรกถา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความสังวรน้อยใหญ่อันเป็นปฎิปักษ์ต่อความประพฤติผิดไว้ในพระวินัยปิฎกนี้. คําว่า สังวราสังวร นี้ ได้แก่สังวรน้อยและใหญ่ เหมือนกัมมากัมมะ (กรรมน้อยใหญ่) และผลาผล (ผลน้อยใหญ่). ปิฎกที่สอง เรียกว่า ทิฏฐิวินิเวฐนกถา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงการเปลื้องทิฏฐิอันเป็นปฏิปักษ์ต่อทิฏฐิ ๖๒ไว้ในพระสุตตันตปิฎกนี้. ปิฎกที่สาม เรียกว่า นามรูปปริจเฉทกถา เพราะตรัสถึงการกําหนดนามและรูปอันเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรม มีราคะเป็นต้นไว้ในพระอภิธรรมปิฎกนี้.
ว่าโดยสิกขาเป็นต้น
อนึ่ง ในปิฎกแม้ทั้ง ๓ เหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบสิกขา ๓ ปหานะ ๓ และคัมภีรภาพ ๔ อย่าง.
จริงอย่างนั้น ว่าโดยนัยพิเศษ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิศีลสิกขาไว้ในพระวินัยปิฎก ตรัสอธิจิตตสิกขาไว้ในพระสุตตันตปิฎกและตรัสอธิปัญญาสิกขาไว้ในพระอภิธรรมปิฎก. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปหาน (การละ) วิติกกมกิเลสไว้ในพระวินัยปิฎก เพราะความที่ศีลเป็นปฏิปักษ์ต่อการก้าวล่วงของกิเลส (วีติกกมกิเลส) ตรัสการปหานปริยุฏฐานกิเลสไว้ในพระสุตตันตปิฎก เพราะความที่สมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสที่กลุ้มรุม (ปริยุฏฐานกิเลส) ตรัสการปหานอนุสัยกิเลสไว้ในพระอภิธรรมปิฎกเพราะความที่ปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่ออนุสัยกิเลส. อีกอย่างหนึ่ง ในปิฎกที่หนึ่งตรัสการละกิเลสทั้งหลายด้วยตทังคปหาน (ละชั่วคราว) ในสองปิฎกนอกนี้ตรัสการละกิเลสด้วยวิกขัมภนปหานและสมุจเฉทปหาน อีกอย่างหนึ่ง ในปิฎกที่หนึ่งตรัสการปหานสังกิเลสคือทุจริต ในสองปิฎกนอกนี้ ตรัสการปหานสังกิเลส คือ ตัณหาและทิฏฐิ.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 50
ว่าโดยคัมภีรภาพ ๔ อย่าง
อนึ่ง ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ แต่ละปิฎกพึงทราบคัมภีรภาพ (ความลึกซึ้ง) ๔ อย่าง คือ โดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนา และโดยปฏิเวธ.
บรรดาคัมภีรภาพเหล่านั้น พระบาลี (ตนฺติ) ชื่อว่า ธรรม. เนื้อความแห่งพระบาลีนั้น ชื่อว่า อรรถ. การแสดงบาลีตามที่กําหนดไว้อย่างดีด้วยใจนั้น ชื่อว่า เทศนา. การตรัสรู้ตามความเป็นจริงซึ่งธรรมและอรรถแห่งบาลีนั้น ชื่อว่า ปฏิเวธ. จริงอยู่ ธรรม อรรถ เทศนา และปฏิเวธ ในปิฎกทั้ง ๓ นั้น ชื่อว่า ลึกซึ้ง เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญาน้อยหยั่งลงได้ยากเป็นที่พึงอันบุคคลผู้มีปัญญาน้อยไม่พึงได้ เปรียบเหมือนมหาสมุทร อันสัตว์เล็กทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นหยั่งให้ถึงได้โดยยาก ทั้งเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบคัมภีรภาพแม้ทั้ง ๔ อย่าง ในปิฎกทั้ง ๓ นี้แต่ละปิฎก ด้วยประการฉะนี้.
อีกนัยหนึ่ง เหตุชื่อว่า ธรรม เหมือนที่ตรัสไว้ว่า ญาณในเหตุชื่อว่า ธรรมปฏิสัมภิทา. ผลของเหตุชื่อว่า อรรถ เหมือนที่ตรัสไว้ว่า ญาณในผลของเหตุชื่อว่า อัตถปฎิสัมภิทา. บัญญัติ ท่านหมายเอาการกล่าวธรรมสมควรแก่ธรรม ชื่อว่า เทศนา หรือว่าการกล่าวธรรมด้วยสามารถแห่งอนุโลมปฏิโลม สังเขป และพิสดารเป็นต้น ชื่อว่า เทศนา. การตรัสรู้ชื่อว่า ปฏิเวธ. ก็ปฏิเวธ นั้น เป็นทั้งโลกิยะและโลกุตระ. อธิบายว่า การหยั่งรู้ในธรรมทั้งหลายสมควรแก่อรรถ ในอรรถทั้งหลายสมควรแก่ธรรม ในบัญญัติทั้งหลายสมควรแก่คลองแห่งบัญญัติ โดยวิสัย (อารมณ์) โดยอสัมโมหะ (ความไม่หลงลืม) หรือว่า ความที่ธรรมเหล่านั้นๆ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในที่นั้นๆ เป็นธรรมไม่วิปริตเป็นไปกับด้วยลักษณะ อันพึงแทงตลอดได้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 51
บัดนี้ บัณฑิตพึงทราบคัมภีรภาพแม้ทั้ง ๔ อย่าง ในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านี้และปิฎกทีเดียว เพราะในปิฎกเหล่านั้น ธรรมหรืออรรถใดๆ หรือเทศนาซึ่งส่องเนื้อความนั้นๆ โดยประการที่ควรรู้เนื้อความซึ่งตรงต่อญาณของผู้ฟังโดยประการนั้นๆ ก็หรือว่าการแทงตลอด กล่าวคือการหยั่งลงสู่ธรรมอันไม่วิปริตในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านั้นอันใด หรือความที่ธรรมเหล่านั้นๆ ซึ่งมีสภาพไม่วิปริตกล่าวคือกําหนดได้อันพึงแทงตลอด ธรรมทั้งหมดนั้น คนมีปัญญาน้อยไม่สร้างกุศลสมภารไว้ หยั่งลงได้โดยยาก ทั้งจะเป็นที่พึงก็ไม่ได้ เปรียบเหมือนมหาสมุทร สัตว์เล็กมีกระต่ายเป็นต้น หยั่งให้ถึงได้ยาก ทั้งจะเป็นที่พึ่งไม่ได้ฉะนั้น.
ก็ด้วยคํามีประมาณเท่านี้ ย่อมเป็นอันข้าพเจ้ากล่าวถึงเนื้อความคาถานี้ว่า
บัณฑิตพึงแสดงประเภทเทศนา ศาสนะ กถา สิกขา ปหานะ และคัมภีรภาพ ในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านี้ ตามสมควร ด้วยประการฉะนี้.
แต่ในคาถานี้ว่า
ภิกษุย่อมบรรลุประเภทปริยัติ สมบัติและแม้วิบัติอันใด ในปิฎกใด โดยประการใด พึงเจริญเนื้อความแม้นั้นทั้งหมด โดยประการนั้น ดังนี้.
บัณฑิตพึงเห็นความแตกต่างกันแห่งปริยัติ ๓ อย่างในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ดังต่อไปนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 52
ว่าด้วยปริยัติ ๓ ประเภท
จริงอยู่ ปริยัติมี ๓ ประเภท คือ
๑. อลคัททูปมปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยอสรพิษร้าย)
๒. นิสสรณัตถปริยัติ (ปริยัติเพื่อประโยชน์แก่การสลัดออก)
๓. ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง).
บรรดาปริยัติเหล่านั้น ปริยัติที่ถือเอาไม่ดี คือเรียนเพื่อเหตุแห่งการโต้แย้งเป็นต้น ชื่อว่า อลคัททูปมปริยัติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย ย่อมแสวงหาอสรพิษมีพิษร้ายเมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เขาเห็นอสรพิษมีพิษร้ายด้วยใหญ่ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หางอสรพิษนั้นพึงแว้งขบเอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย เพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษจับแล้วไม่ดี แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ บุรุษเหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญาธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้น มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และมีการยังตน ให้พ้นจากวาทะนั้นๆ เป็นอานิสงส์ ย่อมเรียนธรรม และย่อมเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดีย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 53
ทุกข์สิ้นกาลนาน ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้.
ส่วนปริยัติใด อันบุคคลเรียนดีแล้ว คือหวังอยู่ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้นเรียนแล้ว มิใช่เรียนเพราะเหตุการโต้แย้งเป็นต้น ปริยัตินี้ชื่อว่า นิสสรณัตถปริยัติ (มีความต้องการเพื่อสลัดออก) ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงตรัสไว้ว่าธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ข้อนั้น เพราะเหตุแห่งอะไรดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเรียนดีแล้ว.
ส่วนพระขีณาสพผู้มีขันธ์อันกําหนดรู้แล้ว ละกิเลสแล้ว มีมรรคอันเจริญแล้ว มีธรรมไม่กําเริบอันแทงตลอดแล้ว ทํานิโรธให้แจ้งแล้ว ย่อมเรียนปริยัติใด เพื่อรักษาประเพณี เพื่อรักษาวงศ์อย่างเดียว ปริยัตินี้ ชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ (ปริยัติเปรียบด้วยขุนคลัง) ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบประเภทแห่งปริยัติ ๓ อย่าง ในพระไตรปิฎกเหล่านั้น ดังกล่าวมาแล้ว.
ว่าด้วยสมาบัติ ๓ ประเภท
อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้ว (สุปฏิปนฺโน) ในพระวินัยอาศัยสีลสัมปทาย่อมบรรลุวิชชา ๓ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งวิชชา ๓ เหล่านั้นนั่นแหละไว้ในพระวินัยนี้. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระสูตร อาศัยสมาธิสัมปทา ย่อมบรรลุอภิญญา ๖ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งสมาธิเหล่านั้นนั่น แหละไว้ในพระสูตรนั้น. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระอภิธรรม อาศัยปัญญาสัมปทาย่อมบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ก็เพราะตรัสประเภทแห่งปฏิสัมภิทาเหล่านั้นนั่นแหละไว้ ในพระอภิธรรมนั้น. ภิกษุผู้ปฏิบัติดีแล้วในพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรมเหล่านั้น ย่อมบรรลุสมบัติอันต่างด้วยวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ นี้โดยลําดับ ด้วยประการฉะนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 54
ว่าด้วยวิบัติ ๓ ประเภท
อนึ่ง ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระวินัย เป็นผู้มีความสําคัญว่าไม่มีโทษในผัสสะที่มีใจครองเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้ว โดยความเสมอด้วยสัมผัสมีเครื่องลาดและเครื่องนุ่งห่ม มีสัมผัสเป็นสุขเป็นต้นที่ทรงอนุญาตแล้ว เหมือนคําที่พระอริฏฐะกล่าวว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรธมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแล้ว โดยประการที่ธรรมทั้งหลายอันกระทําอันตรายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วนี้ ไม่สามารถทําอันตรายแก่ผู้เสพอยู่ได้ (๑) ดังนี้ ต่อจากนั้นเธอก็ถึงความเป็นผู้ทุศีล.
ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระสูตรไม่รู้คําอธิบาย เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จําพวกเหล่านี้มีอยู่ มีปรากฏอยู่ในโลก ดังนี้ย่อมถือเอาผิด ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า บุคคลมีอัตตาอันถือเอาผิด ย่อมกล่าวตู่เราด้วย ย่อมขุด (ทําลาย) ซึ่งตนด้วย และย่อมประสบสิ่งมิใช่บุญเป็นอันมากด้วย ดังนี้ ต่อจากนั้น เธอก็ถึงความเป็นมิจฉาทิฏฐิ. ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระอภิธรรมจะวิจารธรรมเกินไป ย่อมคิดแม้สิ่งที่ไม่ควรคิด (อจินไตย) ต่อจากนั้น ก็จะถึงความฟุ้งซ่านแห่งจิต สมกับพระดํารัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ เหล่านี้บุคคลไม่ควรคิด ซึ่งเมื่อคิดอยู่ ก็พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า แห่งความคับแค้น (๒) ดังนี้.
ภิกษุผู้ปฏิบัติผิดในพระไตรปิฎกนี้ ย่อมถึงความวิบัติอันต่างด้วยความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และความฟุ้งซ่านแห่งจิตนี้ โดยลําดับด้วยประการฉะนี้.
(๑) วินย. ๒. ๖๖๒/ ๔๓๑๒. องฺ จตุกกก.
(๒) ๑. ๗๗/๑๐๔
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 55
ด้วยคํามีประมาณเท่านี้ คาถาแม้นี้ก็เป็นอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วว่า
ภิกษุย่อมบรรลุประเภทแห่งปริยัติสมบัติ และแม้วิบัติอันใด ในปิฎกใด โดยประการใด พึงเจริญเนื้อความแม้นั้นทั้งหมด ด้วยประการนั้น.
บัณฑิต ครั้นทราบปิฎกทั้งหลายโดยประการต่างๆ ด้วยอาการอย่างนี้แล้วพึงทราบพุทธพจน์แม้ทั้งหมดที่ประมวลมาด้วยสามารถแห่งปิฎกเหล่านั้นว่าเป็นปิฎก ๓ ดังนี้.
พุทธพจน์มี ๕ นิกาย
พระพุทธพจน์ว่าโดยนิกาย มี๕ นิกายอย่างไร? จริงอยู่พระพุทธพจน์นั้น แม้ทั้งหมดมี ๕ ประเภท คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกายอังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย.
ว่าโดยทีฆนิกาย ๓๔ สูตร
บรรดานิกายทั้ง ๕ นั้น ทีฆนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๓๔ สูตรมีพรหมชาลสูตรเป็นต้น รวบรวมไว้ ๓ วรรค เรียกว่า ทีฆนิกาย ดังคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า
พระสูตร ๓๔ สูตรเท่านั้น มี ๓ วรรคท่านรวบรวมไว้สําหรับนิกายใด นิกายนั้นชื่อว่า ทีฆนิกาย นับตามลําดับ เป็นนิกายที่หนึ่ง.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 56
ถามว่า เพราะเหตุไร นิกายที่หนึ่งนี้ จึงเรียกว่า ทีฆนิกาย?
ตอบว่า เพราะเป็นที่ประชุม และเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสูตรทั้งหลายขนาดยาว.
จริงอยู่ ที่เป็นที่ประชุม หรือที่เป็นที่อาศัยอยู่ ก็เรียกว่า นิกาย. ก็ในข้อนี้มีคําสาธก (ตัวอย่าง) ทั้งทางพระศาสนาและทางโลก ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นนิกายอื่นแม้สักอย่างหนึ่งที่วิจิตร เหมือนพวกสัตว์เดียรัจฉานนี้ คือ นิกายของสัตว์เล็กๆ ที่รวมกันอยู่ ๑ นิกายของสัตว์ที่อยู่ตามโคลนตม ๑. และพึงทราบเนื้อความแห่งถ้อยคําในความเป็นนิกายแม้แห่งนิกาย (๔ นิกาย) ที่เหลือ โดยประการที่กล่าวมาแล้ว.
ว่าโดยมัชฌิมนิกาย ๑๕๒ สูตร
มัชฌิมนิกาย เป็นไฉน? พระสูตร ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้น ท่านรวบรวมไว้ ๑๕ วรรค เป็นพระสูตรขนาดปานกลาง ชื่อว่ามัชฌิมนิกาย ดังคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า
พระสูตร ๑๕๒ สูตร มีในนิกายใด นิกายนั้น ชื่อว่า มัชฌิมนิกาย ท่านรวบรวมไว้ ๑๕ วรรค.
ว่าโดยสังยุตตนิกายเป็นต้น
สังยุตตนิกาย เป็นไฉน? พระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น ที่จัดตั้งไว้ด้วยสามารถแห่งเทวตาสังยุตเป็นต้น เรียกว่า สังยุตตนิกายดังคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า
พระสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีในนิกายใดนิกายนั้น ท่านรวบรวมไว้เป็นสังยุตตนิกาย.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 57
อังคุตตรนิกายเป็นไฉน? พระสูตร ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตตปริยาทานสูตรเป็นต้น ซึ่งจัดตั้งไว้ด้วยสามารถแห่งถ้อยคําเกินหนึ่งแห่ง ส่วนหนึ่งๆ ขึ้นไปละข้อ ดังคาถาที่ประพันธ์ไว้ว่า
พระสูตรในอังคุตตรนิกาย จํานวน ๙,๕๕๗ สูตร มีในนิกายใด นิกายนั้น ชื่อว่าอังคุตตรนิกาย.
ขุททกนิกาย เป็นไฉน? คือ วินัยปิฎก อภิธรรมปิฎก และปาฐะ ๑๕ ประเภท มีธัมมบทขุททกปาฐะเป็นต้นทั้งหมด ที่แสดงไว้ก่อนแล้ว เว้นพระพุทธพจน์ที่เหลือคือนิกาย ๔ (มีทีฆนิกายเป็นต้น) ชื่อว่าขุททกนิกาย. ดังคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า
ยกเว้นนิกาย ๔ มีทีฆนิกายเป็นต้นเหล่านี้ พระพุทธพจน์อื่นจากนั้น มีอยู่แก่นิกายใด นิกายนั้น บัณฑิตเรียกว่า ขุททก-นิกาย.
นิกาย ๕ อย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งนิกายอย่างนี้.
พระพุทธพจน์มีองค์ ๙
พระพุทธพจน์มีองค์ ๙ อย่างไร? จริงอยู่พระพุทธพจน์นี้แม้ทั้งหมดมี๙ ประเภท คือ สุตตะ เคยยะ ไวยากรณ์ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดกอัพภูตธรรม เวทัลละ.
บรรดาองค์ทั้ง ๙ นั้น อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ ปริวารพระสูตรในสุตตนิบาตมีมงคลสูตร รัตนสูตร นาลกสูตร และตุวฏกสูตรเป็นต้น
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 58
และพระดํารัสของพระภาคเจ้า แม้อื่นที่มีชื่อว่า สุตตันตะ (เหล่านี้) พึงทราบว่า เป็นสุตตะ. พระสูตรที่มีคาถาแม้ทั้งหมด พึงทราบว่า เป็นเคยยะ ว่าโดยพิเศษ ได้แก่สคาถวรรคทั้งสิ้น ในสังยุตตนิกาย เป็นเคยยะ. พระอภิธรรมปิฎกแม้ทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพุทธพจน์อื่นที่ไม่ประกอบด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เป็นไวยากรณ์. ธรรมบท เถรคาถาเถรีคาถา และคาถาล้วนๆ อันไม่มีชื่อว่าสูตรในสุตตนิบาด พึงทราบว่า เป็นคาถา. พระสูตร ๘๒ สูตร อันปฏิสังยุตด้วยคาถาที่สําเร็จด้วยโสมนัสสญาณพึงทราบว่า เป็นอุทาน. พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่เป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า วุตฺตฺเหตํ ภควตา (จริงอยู่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระดํารัสนี้) พึงทราบว่า เป็นอิติวุตตกะ. ชาดก ๕๕๐ ชาดก มีอปัณณกชาดกเป็นต้น พึงทราบว่าเป็นชาดก. พระสูตรที่ปฏิสังยุตด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรมแม้ทั้งหมดที่เป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๔ ประการเหล่านี้ มีอยู่ในพระอานนท์ พึงทราบว่า เป็นอัพภูตธรรม. พระสูตรที่มีผู้ทูลถามแล้ว ได้แล้วได้อีกซึ่งความรู้และความยินดีแม้ทั้งหมดมีจูลเวทัลลสูตรมหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และมหาปุณณมสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า เป็นเวทัลละ. เมื่อว่าโดยองค์พระพุทธพจน์มีองค์๙ ด้วยประการฉะนี้.
พระพุทธพจน์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
พระพุทธพจน์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นไฉน? จริงอยู่พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้แหละมี ๘๔,๐๐๐ ประเภท ด้วยสามารถแห่งพระธรรมขันธ์ที่พระอานนท์รวบรวมแสดงไว้อย่างนี้ว่า
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 59
ธรรมทั้งหลายที่ดํารงอยู่ของข้าพเจ้าข้าพเจ้าเรียนมาจากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ จากพระภิกษุ ๒,๐๐๐ รวมเป็น ๘๔,๐๐๐พระธรรมขันธ์. (๑)
บรรดาพุทธพจน์เหล่านั้น พระสูตรมีอนุสนธิหนึ่ง เรียกว่าธรรมขันธ์หนึ่ง. พระสูตรใดมีหลายอนุสนธิ ก็นับจํานวนธรรมขันธ์ตามอนุสนธิในพระสูตรนั้นในการประพันธ์เป็นคาถา การถามปัญหาเป็นธรรมขันธ์หนึ่ง การวิสัชนาก็เป็นธรรมขันธ์หนึ่ง. ในพระอภิธรรม การจําแนกติกะและทุกะแต่ละหมวด และการจําแนกวารจิตแต่ละอย่างก็เป็นธรรมขันธ์หนึ่ง. ในพระวินัยมีวัตถุ มาติกา บทภาชนีย์ อาบัติ อนาบัติ อันตราบัติ การกําหนดติกะ ธรรมที่เป็นอเตกิจฉะ ที่เป็นสเตกิจฉะ ในวัตถุเป็นต้นเหล่านี้ แต่ละส่วนพึงทราบว่า เป็นธรรมแต่ละธรรมขันธ์. ว่าโดยพระธรรมขันธ์ พึงทราบว่าเป็นพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ธรรม ด้วยอาการอย่างนี้.
พระพุทธพจน์ในเวลาทําปฐมสังคีติ
พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนั้น โดยประการตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ อันหมู่สงฆ์ผู้มีวสีมีพระมหากัสสปะเป็นประมุข เมื่อจะสังคายนาในเวลาทําปัญจสติกสังคีติ ได้สังคายนากําหนดประเภทชัดลงไปดังนี้ว่า นี้เป็นปฐมพุทธจน์ นี้เป็นมัชฌิมพุทธพจน์ นี้เป็นปัจฉิมพุทธพจน์ นี้เป็นวินัยปิฎก นี้เป็นสุตตันตปิฎก นี้เป็นอภิธรรมปิฎก นี้เป็นทีฆนิกาย ฯลฯ นี้เป็นขุททกนิกายเหล่านี้เป็นนวังคสัตถุศาสน์ซึ่งมีสุตตะเป็นต้น เหล่านี้เป็นพระธรรมขันธ์ มี๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังนี้. อนึ่ง พระเถระเหล่านั้นมิได้กําหนดเพียงประเภทที่กล่าวนี้เท่านั้น ยังได้กําหนดประเภทสังคหะแม้อื่นๆ ซึ่งปรากฏอยู่
(๑) ขุ. เถร. ๒๖.๓๙๗/๔๐๕
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 60
ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ มิใช่น้อย มีอาทิเช่น อุทานสังคหะ (หมวดอุทาน) วรรคสังคหะ เปยยาลสังคหะ นิปาตสังคหะ หมวดนิบาตมีเอกนิบาต ทุกนิบาตเป็นต้น สังยุตตสังคหะ และปัณณาสสังคหะเป็นต้น สังคายนาแล้วอย่างนี้สิ้น ๗ เดือน.
ก็ในการอวสานแห่งการสังคายนาพระพุทธพจน์นั้น มหาปฐพีนี้ได้สั่นสะเทือน เลื่อนลั่น หวั่นไหว มีประการมิใช่น้อยหยั่งลงไปถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด เป็นดุจมีความปราโมทย์อันเกิดขึ้นพร้อมแล้วให้อยู่ซึ่งสาธุการว่า จงดูศาสนาของพระทศพลนี้ อันพระมหากัสสปเถระการทําให้สามารถเพื่อเป็นไปตลอดกาลประมาณ ๕ ,๐๐๐ ปี และได้เกิดมหัศจรรย์ทั้งหลายอเนกประการ.
ว่าโดยเฉพาะอภิธรรม
ก็ในปิฎกนี้ เมื่อพระเถระทั้งหลายสังคายนาพระพุทธพจน์แล้วอย่างนี้ พระอภิธรรมนี้ เมื่อว่าโดยปิฎก เป็นอภิธรรมปิฎก เมื่อว่าโดยนิกายเป็นขุททกนิกาย เมื่อว่าโดยองค์ เป็นไวยากรณ์ เมื่อว่าโดยธรรมขันธ์เป็นธรรมขันธ์ หลายพันธรรมขันธ์ (๒๒,๐๐๐ธรรมขันธ์). บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้ทรงพระอภิธรรมนั้น ในกาลก่อนมีภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่ในที่ประชุมบริษัท เมื่อจะนําสูตรจากพระอภิธรรมมากล่าว ได้กล่าวธรรมกถาว่า รูปขันธ์เป็นอัพยากตะ ขันธ์๔ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อายตนะ๑๐ เป็นอัพยากตะ อายตนะ ๒ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี ธาตุ๑๖ เป็นอัพยากตะ ธาตุ ๒ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี สมุทยสัจจะเป็นอกุศล มรรคสัจจะเป็นกุศล นิโรธสัจจะเป็นอัพยากตะ ทุกขสัจจะเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อินทรีย์๑๐ เป็นอัพยากตะ โทมนัสสินทรีย์เป็นอกุศล อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นกุศล อินทรีย์ ๔
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 61
เป็นกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี อินทรีย์ ๖ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากตะก็มี ดังนี้.
ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้น ได้ถามพระธรรมกถึกว่า ดูก่อนท่านธรรมกถึก ท่านนําสูตรมายาวเหมือนจะเอามาล้อมเขาสิเนรุ สูตรนี้มีชื่อว่าอย่างไรเล่า?
พระธรรมกถึก : ชื่อว่า พระอภิธรรมสูตร ผู้มีอายุ.
ภิกษุนั้น : เพราะเหตุไรจึงนําพระอภิธรรมสูตรมา การนําพระสูตรอื่นที่เป็นพุทธภาษิตมา ไม่สมควรหรือ
พระธรรมกถึก : พระอภิธรรม ใครภาษิตไว้เล่า?
ภิกษุนั้น : พระอภิธรรมนี้ ไม่ใช่พุทธภาษิต.
พระธรรมกถึก : ดูก่อนผู้มีอายุ ก็คุณเรียนพระวินัยปิฏกหรือไม่.
ภิกษุนั้น : กระผมไม่ได้เรียนขอรับ.
พระธรรมกถึก : เห็นจะเป็นเพราะคุณไม่ทรงพระวินัย เมื่อไม่รู้จึงกล่าวอย่างนี้.
ภิกษุนั้น : กระผมเรียนเพียงวินัยเท่านั้นขอรับ.
พระธรรมกถึก : แม้วินัยนั้นก็เรียนเอาไม่ดี คงจักนั่งเรียนหลับอยู่ที่ท้ายบริษัท หรือว่า เพราะพระอุปัชฌาย์ผู้ให้บุคคลเช่นท่านบรรพชาอุปสมบทเป็นคนด่วนได้ เพราะเหตุไร? เพราะแม้วินัยเธอก็เรียนไม่ดีจริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระดํารัสนี้ในพระวินัยนั้นว่า ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะติเตียนกล่าวตามเหตุว่า นิมนต์ท่านเรียนพระสูตร เรียนคาถาทั้งหลาย หรือเรียนพระอภิธรรมไปก่อน ภายหลังจักเรียนพระวินัย (๑) ดังนี้ก็ไม่เป็นอาบัติ ก็แม้คําว่าภิกษุขอโอกาสถามปัญหาในพระสูตร แต่ไพล่ถามอภิธรรมหรือวินัย ขอโอกาส
(๑) ๑. วินย. ๒. ๖๘๘/๔๕๔
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 62
ถามปัญหาในพระอภิธรรม แต่ไพล่ถามพระสูตรหรือวินัย ขอโอกาสถามปัญหาในพระวินัย แต่ไพล่ถามพระสูตรหรืออภิธรรม ดังนี้ มีประมาณเท่านี้ ท่านก็ย่อมไม่รู้ พระธรรมกถึกนั้น จึงเป็นอันข่มปรวาทีได้ ด้วยถ้อยคําแม้ประมาณเท่านี้.
ก็มหาโคสิงคสูตร เป็นสูตรสําคัญกว่าสูตรแม้นี้ เพราะเหตุที่เป็นพุทธภาษิต จริงอยู่ ในมหาโคสิงคสูตรนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อกราบทูลปัญหาที่ถามและคําวิสัชนากะกันและกัน เมื่อจะบอกคําวิสัชนาของพระมหาโมคคัลลานเถระ จึงกราบทูลว่า พระมหาโมคคัลลานเถระกล่าวว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสองรูปในพระธรรมวินัยนี้ กล่าวอภิธรรมกถา เธอทั้งสองนั้นย่อมถามปัญหากันแล้ว ย่อมช่วยกันแก้ ไม่ขัดแย้งกัน และธรรมมีกถาของเธอทั้งสองนั้นย่อมเป็นไปได้ดี ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาลวันพึงงามด้วยภิกษุเห็นปานนี้แล (๑) ดังนี้.
พระศาสดาไม่ตรัสว่า ขึ้นชื่อว่า พระผู้ทรงพระอภิธรรมเป็นผู้อยู่ภายนอกศาสนาของเรา ดังนี้ แต่ทรงยกพระศอขึ้น ดุจพระสุวรรณภิงคาร (พระเต้าทอง) เมื่อจะยังเนื้อความนั้นให้สมบูรณ์ ด้วยพระโอษฐ์อันมีสิริดังพระจันทร์เพ็ญ จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงอันก้องกังวานดุจเสียงของพระพรหมประทานสาธุการถึงพระมหาโมคคัลลานเถระว่า ดีละๆ สารีบุตร ดังนี้ แล้วตรัสว่า ก็โมคคัลลานะเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ ก็พึงพยากรณ์ตามนั้น ดูก่อนสารีบุตร ด้วยว่าโมคคัลลานะเป็นธรรมกถึก ดังนี้.
ภิกษุผู้ทรงอภิธรรมชื่อว่า พระธรรมกถึก
จริงอยู่ได้ยินว่า ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมเท่านั้น ชื่อว่า พระธรรมกถึกนอกจากนี้แม้กล่าวธรรม ก็ไม่ใช่เป็นพระธรรมกถึก เพราะเหตุไร เพราะว่า
(๑) ม.มู. ๑๒. ๓๗๔/๔๐๑
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 63
ภิกษุผู้ไม่ทรงพระอภิธรรมเหล่านั้นเมื่อกล่าวธรรม ย่อมกล่าวลําดับกรรม ลําดับวิบากกําหนดรูปอรูป ลําดับธรรมให้สับสน ส่วนภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมย่อมไม่ให้ลําดับธรรมสับสน เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม จะกล่าวธรรมหรือมิได้กล่าวก็ตาม แต่ในเวลาที่เธอถูกถามปัญหาแล้วก็จักกล่าวแก้ปัญหานั้นได้ พระศาสดาทรงหมายถึงคํานี้ว่า ภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรมนี้เท่านั้น ชื่อว่าเป็นพระธรรมกถึกอย่างยิ่ง ดังนี้ จึงทรงประทานสาธุการแล้ว ตรัสว่า โมคคัลลานะกล่าวดีแล้ว ดังนี้.
ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่า ทําลายชินจักร
บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อว่าย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ย่อมคัดค้านพระสัพพัญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสารัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรค จักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุเขปนิยกรรม นิยสกรรม ตัชชนียกรรม เพราะทํากรรมนั้น จึงควรส่งเธอไปว่า เจ้าจงไป จงเป็นคนกินเดนเลี้ยงชีพเถิด ดังนี้.
พระอภิธรรมมีนิทานหรือไม่
แม้หากบุคคลพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าหากพระอภิธรรมเป็นพุทธภาษิตไซร้ แม้นิทานของพระอภิธรรมนั้นก็ควรจัดเป็นพระอภิธรรมด้วย เหมือนนิทานที่ท่านจัดไว้หลายพันพระสูตร โดยนัยทีอาทิว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ ดังนี้. พึงคัดค้านผู้นั้นว่า นิทานของชาดกสุตตนิบาต และธรรมบทเป็นต้น เห็นปานนี้ก็ไม่มี ธรรมเหล่านี้ก็ไม่ใช่พุทธภาษิตกระมัง แล้วพึงบอกแม้ให้ยิ่งกว่านี้ ด้วยอาการอย่างนี้ว่า ดูก่อน
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 64
บัณฑิต ธรรมดาว่า พระอภิธรรมนี้เป็นวิสัยของพระสัพพัญูพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ไม่ใช่วิสัยของคนเหล่าอื่น จริงอยู่ การเสด็จหยั่งลงสู่พระครรภ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏแล้ว อภิชาติก็ปรากฏ อภิสัมโพธิก็ปรากฏ ธรรมจักกัปปวัตตนะก็ปรากฏ ยมกปาฏิหาริย์ก็ปรากฏ การเสด็จไปสู่ที่อยู่ของเทวดาก็ปรากฏ ความแสดงธรรมในเทวโลกก็ปรากฏ การเสด็จลงจากเทวโลกก็ปรากฏ.
ขึ้นชื่อว่า การขโมยช้างแก้ว หรือม้าแก้วของพระจ้าจักรพรรดิแล้วเทียมยานน้อยไป นั่นไม่ใช่ฐานะ มิใช่เหตุ หรือว่า ชื่อว่า การขโมยจักรรัตนะแล้วห้อยไว้ที่เกวียนบรรทุกฟางเอาไป ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่เหตุที่เป็นไปได้ หรือว่า ชื่อว่าการขโมยมณีรัตนะที่สามารถส่องแสงไกลประมาณโยชน์ใส่ไว้ในกระเช้าฝ้ายแล้วใช้สอย ก็ไม่ใช่ฐานะไม่ใช่เหตุที่เป็นไปได้ เพราะเหตุไร? เพราะเป็นภัณฑะสมควรแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ข้อนี้ฉันใด เพราะพระอภิธรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่วิสัยของชนเหล่าอื่น เป็นวิสัยของพระสัพพัญูพุทธเจ้าเหล่านั้น จริงอยู่ การเสด็จหยั่งลงสู่พระครรภ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรากฏแล้ว ฯลฯ การเสด็จลงจากเทวโลกก็ปรากฏ ดูก่อนบัณฑิต ขึ้นชื่อว่ากิจด้วยนิทานของพระอภิธรรมนจึงมิได้มีด้วยประการฉะนี้ เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว ปรวาทีก็ไม่อาจเพื่อจะยกอุทาหรณ์อันประกอบด้วยสหธรรมมาโต้ตอบได้.
ว่าด้วยพระอภิธรรมมีนิทาน
ส่วนพระติสสคุตตเถระผู้อยู่ในมัณฑลารามได้นําปเทสวิหารสูตรนี้มากล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นตรัสรู้
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 65
ครั้งแรก อยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อันใด เราก็อยู่ด้วยปเทสะ คือส่วนแห่งธรรมอันนั้น ดังนี้ เพื่อแสดงว่าพระอภิธรรมนี้ มีมหาโพธิเป็นนิทาน ดังนี้.
จริงอยู่ ชื่อว่า ปเทสะ (ในปเทสสูตร) มี ๑๐ อย่าง คือขันธปเทสะ อายตนปเทสะ ธาตุปเทสะ สัจจปเทสะ อินทรียปเทสะ ปัจจยาการปเทสะ สติปัฏฐานปเทสะ ฌานปเทสะ นามปเทสะ ธรรมปเทสะ บรรดาปเทสะ ๑๐ เหล่านั้น พึงทราบดังต่อไปนี้.
พระศาสดาทรงแทงตลอดเบญจขันธ์โดยสิ้นเชิง (นิปปเทสะ) ณ ควงไม้มหาโพธิ์ แล้วทรงประทับอยู่ด้วยเวทนาขันธ์นั้นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดอายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยอํานาจเวทนาในธัมมายตนะ และด้วยอํานาจเวทนาในธัมมธาตุนั้นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดสัจจะ ๔ โดยสิ้นเชิง แล้วประทับอยู่ด้วยอํานาจเวทนาในทุกขสัจจะนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดอินทรีย์ ๒๒ โดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยอํานาจแห่งอินทรีย์ในหมวด ๕ แห่งเวทนาตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดการหมุนเวียนแห่งปัจจยาการ ๑๒ บท โดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยเวทนาอันมีผัสสะเป็นปัจจัยตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดสติปัฏฐาน ๔ โดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาสติปัฏฐานตลอดไตรมาสนี้ทรงแทงตลอดฌาน ๔ ด้วยสามารถแห่งเวทนาในองค์ฌานนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดนามโดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาในนามนั้นนั่นแหละตลอดไตรมาสนี้ ทรงแทงตลอดธรรมทั้งหลายโดยสิ้นเชิงแล้วประทับอยู่ด้วยสามารถแห่งเวทนาติกะนั่นแหละตลอดธรรมทั้งหลายโดยพระเถระกล่าวนิทานแห่งพระอภิธรรม ด้วยสามารถแห่งปเทสวิหารสูตรไว้อย่างนี้
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 66
ฝ่ายพระสุธรรมเทวเถระผู้อยู่ในคามวาสี เมื่อจะเปลี่ยนแปลงธรรมที่ภายใต้โลหปราสาท กล่าวไว้ว่า ปรวาทีบุคคลนี้ เป็นเหมือนประคองแขนทั้งสองคร่ําครวญอยู่ในป่า และสร้างคดีที่ไม่มีพยาน จึงไม่ทราบแม้พระอภิธรรมว่ามีนิทาน แล้วกล่าวอย่างนี้อีกว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ณ ควงไม้ปาริชาต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในครั้งนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิธรรมกถาแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา เป็นต้น. ส่วนในพระสูตรอื่นๆ ก็มีนิทานอย่างเดียวกันนั่นแหละ.
พระอภิธรรมมีนิทาน ๒ อย่าง
ในพระอภิธรรมมีนิทาน ๒ อย่าง คือ อธิคมนิทาน และเทศนานิทาน. บรรดานิทานทั้ง ๒ นั้น อธิคมนิทาน พึงทราบตั้งแต่พระทศพลพระนามว่า ทีปังกร จนถึงมหาโพธิบัลลังก์ เทศนานิทาน พึงทราบจนถึงการประกาศพระธรรมจักร. เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในนิทานของพระอภิธรรมอันสมบูรณ์ด้วยนิทานทั้ง ๒ อย่างนี้บัณฑิตพึงทราบการตั้งปัญหาดังต่อไปนี้ก่อน.
ถามว่า พระอภิธรรมนี้ ให้เจริญมาด้วยอะไร? ให้งอกงามไว้ในที่ไหน? บรรลุแล้วในที่ไหน? บรรลุแล้วในกาลไร? ใครบรรลุ? วิจัยแล้วในที่ไหน? วิจัยแล้วในกาลไร? ใครวิจัยแล้ว? แสดงในที่ไหน?แสดงแล้วเพื่อประโยชน์แก่ใคร? แสดงแล้วเพื่ออะไร? พวกใครรับไว้?พวกไหนกําลังศึกษา? พวกไหนศึกษาแล้ว? พวกไหนย่อมทรงจําไว้?เป็นคําของใคร? ใครนํามา ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีวิสัชนาดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 67
คําถามว่า พระอภิธรรมนี้ให้เจริญมาด้วยอะไร มีคําตอบว่า ให้เจริญมาด้วยศรัทธามุ่งไปสู่ปัญญาเครื่องตรัสรู้. คําถามที่ว่า ให้งอกงามไว้ในที่ไหน? มีคําตอบว่า ให้งอกงามในชาดก ๕๕๐. คําถามที่ว่า บรรลุแล้วในที่ไหน? มีคําตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คําถามที่ว่า บรรลุในกาลไร มีคําตอบว่า ในวันเพ็ญเดือนหก. คําถามว่า ใครบรรลุ มีคําตอบว่า พระสัพพัญูพุทธเจ้า. คําถามว่า วิจัยที่ไหน ตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คําถามว่า วิจัยแล้วในกาลไร ตอบว่า ในเวลาตลอด ๗ วัน ณ เรือนแก้ว. คําถามว่า ใครวิจัย ตอบว่าพระสัพพัญูพุทธเจ้า. คําถามว่า แสดงที่ไหน ตอบว่า ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์. คําถามว่า แสดงแล้วเพื่อประโยชน์แก่ใคร ตอบว่า แก่เทวดาทั้งหลาย. คําถามว่า แสดงแล้วเพื่ออะไร ตอบว่า เพื่อออกไปจากโอฆะ ๔. คําถามว่า ใครรับไว้ ตอบว่า พวกเทพ. คําถามว่า ใครกําลังศึกษา ตอบว่า พระเสขะและกัลยาณปุถุชน. คําถามว่า ใครศึกษาแล้ว ตอบว่า พระอรหันต์ขีณาสพ. คําถามว่า ใครทรงไว้ ตอบว่า เป็นไปแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นย่อมทรงจําไว้. คําถามว่า เป็นถ้อยคําของใคร ตอบว่า เป็นพระดํารัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คําถามว่า ใครเป็นผู้นํามา ตอบว่า อันอาจารย์นําสืบต่อกันมา.
จริงอยู่ พระอภิธรรมนี้ อันพระเถระทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือพระสารีบุตรเถระ พระภัททชิ พระโสภิต พระปิยชาลี พระปิยปาละ พระปิยทัสสี พระโกสิยบุตร พระสิคควะ พระสันเทหะ พระโมคคลิบุตร พระติสสทัตตะ พระธัมมิยะ พระทาสกะ พระโสนกะ พระเรวตะเป็นผู้นํามาจนถึงกาลแห่งตติยสังคีติ ต่อจากนั้น ศิษยานุศิษย์ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 68
นํามาแล้วโดยสืบต่อกันมาตามอาจารย์ ในชมพูทวีปอย่างนี้ด้วยอาการอย่างนี้ก่อน.
ส่วนพระอภิธรรมที่พระมหานาคเหล่านั้นนํามาสู่เกาะนี้ ตามที่พระโบราณาจารย์ประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า
ในกาลนั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามาเหล่านี้ คือ พระมหินทเถระ ๑ พระอิฎฏิยเถระ ๑ พระอุตติยเถระ ๑ พระสัมพลเถระ๑ พระเถระผู้เป็นบัณฑิต ชื่อว่าภัททะ ๑ มาในเกาะสิงหลนี้ จากชมพูทวีป.
ต่อจากนั้น พระอภิธรรมนั้น อันอาจารย์อื่นๆ กล่าวคือศิษยานุศิษย์ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละนํามาจนถึงกาลปัจจุบันนี้ ก็กล่าวถึงอธิคมนิทานอันใดนั้น จําเดิมแด่พระทศพลพระนามว่า ทีปังกร จนถึงมหาโพธิบัลลังก์และกล่าวถึงเทศนานิทานจนถึงทรงประกาศพระธรรมจักร ของพระอภิธรรมนั้นอันพระมหานาคทั้งหลายนํามาแล้วอย่างนี้ และเพื่อความแจ่มแจ้งแห่งอธิคมนิทานนั้น พึงทราบอนุปุพพิกถา ดังต่อไปนี้.