พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

อภิภายตนะ ปฏิปทา ๔ อารมณ์ ๒ และ แจกฌานอย่างละ ๘

  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 500

อภิภายตนะ

[๑๗๘] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ปฏิปทา ๔

[๑๗๙] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํา

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 501

รูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้เห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เป็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 502

รูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมที่หลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ปฏิปทา ๔ จบ

อารมณ์ ๒

[๑๘๐] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน มี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 503

กําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานมีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

อารมณ์ ๒ จบ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 504

แจกฌานอย่างละ ๘

[๑๘๑] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 505

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังเล็กน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 506

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌานฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน

เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 507

เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

แจกฌานอย่างละ ๘ จบ

[๑๘๒] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย มีสีงามหรือสีไม่งาม ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วบรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กน้อย มีสีงามหรือสีไม่งาม ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

อภิภายตนะแม้นี้ก็แจกอย่างละ ๘

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 508

[๑๘๓] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ปฏิปทา ๔

[๑๘๔] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 509

ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็น

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 510

สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจุตตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ปฏิปทา ๔ จบ

อารมณ์ ๒

[๑๘๕] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน มีกําลัง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 511

น้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

อารมณ์ ๒ จบ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 512

แจกฌานอย่างละ ๘ อีกอย่างหนึ่ง

[๑๘๖] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย อารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญาในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 513

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้เห็นครอบงํารูปรูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะฯสฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 514

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํานั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํานั้นสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใดผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน

เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 515

เป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา มีกําลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

แจกฌานอย่างละ ๘ อีกอย่าง จบ

[๑๘๗] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ มีสีงามหรือมีสีไม่งาม ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วบรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ไพบูลย์ ทั้งมีสีงามและมีสีไม่งามตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

อภิภายตนะแม้นี้ ก็แจกอย่างละ ๘

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 516

[๑๘๘] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เขียว มีวรรณเขียวเขียวแท้ มีรัศมีเขียวตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ ไม่มีบริกรรมสัญญา ในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เหลือง มีวรรณเหลือง เหลืองแท้ มีรัศมีเหลือง ฯลฯ เห็นรูปภายนอกที่แดง มีวรรณแดง แดงแท้ มีรัศมีแดง ฯลฯ เห็นรูปภายนอกที่ขาว มีวรรณขาว ขาวแท้ มีรัศมีขาว ตั้งใจว่าจะรู้จะเห็นครอบงํารูปนั้น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.

อภิภายตนะแม้เหล่านี้ ก็แจกอย่างละ ๑๖

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 517

อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์

อธิบายอภิภายตนะ

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงรูปาวจรกุศลในกสิณ ๘ ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงรูปาวจรกุศลกล่าวคืออภิภายตนะแม้อื่นอีกที่เป็นไปในกสิณ ๘ เหล่านี้ เพราะความที่อภิภายตนะเป็นภาวะที่ไม่เหมือนกันในภาวนาในอารมณ์แม้ที่มีอยู่นั้น เพราะฉะนั้น จึงเริ่มคําเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.

พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า กตเม ธมฺมา เป็นต้น.

บทว่า อชฺฌตฺตํ อรูปสฺี (ไม่มีบริกรรมรูปสัญญาในภายใน) ความว่า เว้นบริกรรมสัญญาในอัชฌัตติกรูป เพราะการไม่ได้อัชฌัตติกรูป หรือว่า เพราะไม่มีอัชฌัตติกรูป. บทว่า พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่าย่อมเห็นรูปในกสิณ ๘ ในภายนอกเหล่านั้น ด้วยอํานาจบริกรรม และอํานาจอัปปนา เพราะความที่ทําบริกรรมในกสิณ ๘ ภายนอก. บทว่า ปริตฺตานิ (เล็กน้อย) ได้แก่ มีอารมณ์ขยายไม่ได้. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย (ครอบงํารูปเหล่านั้น) ความว่า บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณ ผู้มีญาณบริสุทธิ์คิดว่า จะมีประโยชน์อะไรที่ตนพึงเข้าสมาบัติในอารมณ์อันเล็กน้อยนี้ เพราะฉะนั้น รูปธรรมนี้ จึงไม่ใช่ภาระของเราดังนี้ จึงครอบงํา (เว้น) รูปเหล่านั้นเสียแล้วเข้าสมาบัติ คือ ยังอัปปนาให้เกิดขึ้นในฌานนี้ พร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งนิมิต เปรียบเหมือนบุคคลผู้บริโภคอาหารได้ข้าวมาเพียงทัพพีเดียวก็คิดว่า เราจะพึงบริโภคอย่างไรในภัตเพียงช้อนเดียวนี้ จึงรวมทําเป็นเพียงคําเดียวเท่านั้นฉะนั้น. ก็บุรพภาคของฌานนั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยบทนี้ว่า ชานามิ ปสฺสามิ

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 518

(เราย่อมรู้ย่อมเห็น) แต่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาในนิกายที่มาทั้งหลายว่าท่านกล่าวถึงการผูกใจของฌานนั้น ด้วยบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ นี้. ก็ความผูกใจนั้นย่อมมีแก่พระโยคาวจรผู้ออกจากสมาบัติแล้ว มิใช่มีในภายในสมาบัติ. บทว่า อปฺปมาณานิ ได้แก่มีอารมณ์กว้างใหญ่.

    ก็ในคําว่า อภิภุยฺย นี้ มีอธิบายว่า บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณ ผู้มีญาณบริสุทธิ์ คิดว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะเข้าอรูปฌานนี้ อรูปฌานนี้ไม่มีอารมณ์กว้างใหญ่ การทําจิตให้แน่วแน่หาใช่เป็นภาระของเราไม่ เพราะฉะนั้น จึงครอบงํา (เว้น) อารมณ์นั้นเสีย แล้วเข้าสมาบัติ คือยังอัปปนาสมาธิให้เกิดขึ้นในอรูปฌานนี้ พร้อมกับให้นิมิตเกิดขึ้น เหมือนคนที่กินจุได้ภัตที่เขาคดให้ส่วนหนึ่ง ก็คิดว่า ส่วนอื่นๆ ยังมีอีก เพราะฉะนั้น ภัตส่วนนี้จักทําประโยชน์อะไรให้แก่เรา ดังนี้ จึงไม่เห็นภัตส่วนนั้นว่ามาก ฉะนั้น.

    ในคําว่า ปริตฺตํ ปริตฺตารมมณํ อปฺปมาณํ ปริตฺตารมมณํ (มีกําลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย มีกําลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย) นี้ มิได้ทรงถือเอาอรูปฌานมีอารมณ์หาประมาณมิได้ เพราะได้ตรัสมาแล้วว่า เป็นปริตตะ คือมีกําลังน้อย ส่วนในนัยที่สองมิได้ทรงถือว่าอรูปฌานนั้นมีอารมณ์ไม่มีประมาณ เพราะได้ตรัสข้างหน้าว่า อปฺปมาณานิ และในอรรถกถาก็ได้กล่าวไว้อย่างนั้น แต่ในที่นี้มิได้ทรงถือเอาอารมณ์อย่างละ ๔ แต่ทรงถือเอาอย่างละสองเท่านั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะเมื่อถือเอาอย่างละ ๔ เทศนาก็จะเป็น ๑๖ ครั้ง และเทศนา ๑๖ ครั้งก็จะเป็นเทศนาโดยกว้าง ดุจหว่านเมล็ดงาบนเสื่อลําแพน ในที่นี้พระองค์มีอัธยาศัยเพื่อทรงทําเทศนาแก่สัตว์เพียง ๘ ครั้ง เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า พระองค์ทรงถือเอาอย่างละ ๒ เท่านั้น.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 519

    บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺณานิ (มีสีงามและไม่งาม) ความว่า มีสีบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ จริงอยู่ อารมณ์มีสีเขียวเป็นต้นที่บริสุทธิ์ ทรงประสงค์เอาว่าสีงาม และอารมณ์มีสีไม่บริสุทธิ์ ทรงประสงค์เอาสีไม่งามในที่นี้. ส่วนในอรรถกถาที่มาในนิกายทั้งหลายกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอภิภายตนะเหล่านั้น ด้วยอํานาจที่เป็นปริตตารมณ์ และอัปปมาณารมณ์เท่านั้นว่าเป็นอารมณ์ที่มีสีงาม และอารมณ์ที่มีสีไม่งาม. อนึ่ง ในอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้อภิภายตนะที่เป็นปริตตารมณ์สมควรแก่บุคคลผู้มีวิตักกจริต อภิภายตนะที่เป็นอัปปมาณารมณ์สมควรแก่บุคคลผู้มีโมหจริต อภิภายตนะที่มีสีงามสมควรแก่บุคคลผู้มีโทสจริต อภิภายตนะที่มีสีไม่งามสมควรแก่บุคคลผู้มีราคจริต เพราะอารมณ์เหล่านี้เป็นสัปปายะแก่บุคคลเหล่านั้น. และความที่อารมณ์เหล่านั้นเป็นสัปปายะแก่บุคคลเหล่านั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในจริตนิทเทส ในวิสุทธิมรรคโดยพิสดารแล้ว.

    ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในพระอภิธรรมนี้จึงตรัสว่า ความที่บุคคลมีความสําคัญในรูปภายในว่ามิใช่รูป ในอภิภายตนะแม้ทั้ง ๔ ไม่ตรัสเหมือนที่ตรัสในพระสูตรซึ่งมีคําเป็นต้นว่า บุคคลคนหนึ่ง มีความสําคัญในรูปภายในว่าเป็นรูป เห็นรูปภายนอกว่ามีอารมณ์เล็กน้อย อย่างนี้เล่า?

    ตอบว่า เพราะไม่ครอบครองถึงรูปในภายใน จริงอยู่ ในพระสูตรนั้นหรือในพระอภิธรรมนี้ ตรัสคําเป็นต้นว่า เห็นรูปภายนอกมีอารมณ์เล็กน้อยดังนี้ รูปภายนอกนั่นแหละพระโยคาวจรครอบครองได้ เพราะฉะนั้น จึงตรัสไว้ในพระสูตรบ้าง ในพระอภิธรรมบ้างว่า รูปภายนอกเหล่านั้นพึงกล่าวถึงโดยจํากัด ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 520

    ก็ในคําว่า อชฺฌตฺตอรูปสฺี นี้เป็นเพียงความงามของเทศนาของพระศาสดาเท่านั้น. นี้เป็นการพรรณนาตามลําดับบทในอภิภายตนะทั้ง ๔ ก่อน. ส่วนความแตกต่างแห่งปฏิปทาในสุทธิกนัยในที่นี้พึงทราบในอภิภายตนะแต่ละอย่างโดยนัยที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณนั่นแหละว่า ก็ปฐวีกสิณในพระสูตรนั้นอภิภายตนะมีอารมณ์ ๔ อย่าง ในพระอภิธรรมนี้ มีอารมณ์ ๒ อย่าง และในปฐวีกสิณนั้นแสดงอภิภายตนะไว้ ๑๖ ครั้ง อภิภายตนะในอภิธรรมนี้แสดงไว้ ๘ ครั้ง ข้อความที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ บรรดาอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ อภิภายตนะแต่ละอย่างมีนวกะ ๑๕ คือ สุทธิกนวกะ ๑ ปฏิปทานวกะ ๔ อารัมมณนวกะ ๒ นวกะที่มีอารมณ์เจือกัปปฏิปทามี ๘ หมวด พึงทราบว่าในอภิภายตนะแม้ทั้ง ๔ รวมเป็นนวกะ ๖๐ หมวดพอดี.

    บทว่า นีลานิ (เขียว) ในอภิภายตนะที่ ๕ เป็นต้น ตรัสไว้โดยรวมอภิภายตนะทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ (สีเขียว) นี้ตรัสไว้ด้วยการเปรียบเทียบว่า ว่าโดยสีเป็นสีเขียวแท้. มีอธิบายว่า เขียวไม่ปรากฏมีช่องว่างเขียวไม่เจือปน เป็นสีเขียวล้วนทีเดียว. ก็บทว่า นีลนิภาสานิ (รัศมีเขียว) นี้ตรัสด้วยอํานาจการส่องแสง อธิบายว่า การส่องแสงสีเขียวเป็นการประกอบด้วยรัศมีเขียว ด้วยคําว่ารัศมีเขียวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงความที่รูปเหล่านั้นเป็นรูปบริสุทธิ์ดีแล้ว เพราะฉะนั้น จึงตรัสอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ด้วยอํานาจสีที่บริสุทธิ์ดีแล้วนั่นแหละ แม้ในคําเป็นต้นว่า ปีตานิ (เหลือง) ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้ ก็การทํากสิณก็ดี การบริกรรมก็ดี อัปปนาก็ดี ในนีลกสิณนี้ ซึ่งมีคําเป็นต้นว่า พระโยคาวจรผู้ศึกษานีลกสิณ ย่อมถือเอานิมิตเขียวในดอกไม้ หรือในวัตถุ หรือในวรรณธาตุ ทั้งหมดข้าพเจ้ากล่าวไว้โดยพิสดาร ในวิสุทธิมรรคนั่นแล. ในอภิภายตนะแต่ละอย่างในนีลกสิณนี้พึงทราบนวกะ ๒๕ นั่นแหละ เหมือนในปฐวีกสิณแล.

    อภิภายตนกถาจบ