อสุภฌาน
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 538
อสุภฌาน
[๑๙๑] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่สหรคตด้วยอุทธุมาตกสัญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?
โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่สหรคตด้วยวินีลกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยวิปุพพกสัญญาฯสฯ ที่สหรคตด้วยวิจฉิททกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยวิกขายิตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยวิกขิตตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรตด้วยหตวิกขิตตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยโลหิตกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยปุฬุวกสัญญา ฯลฯ ที่สหรคตด้วยอัฏฐิกสัญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
อสุภฌานแจกอย่างละ ๑๖
รูปาวจรกุศล จบ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 539
อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์
อธิบายอสุภฌาน
ว่าด้วยรูปาวจรกุศล
บัดนี้ เพื่อแสดงรูปาวจรกุศลที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลสมควรแก่สัตว์ผู้มีราคจริต ซึ่งเป็นไปด้วยอํานาจฌานเดียวในอารมณ์ต่างๆ นั่นแหละ จึงทรงเริ่มคําเป็นอาทิว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.
บรรดาบทเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อุทฺธุมาตกสฺาสหคตํ (สหรคตด้วยอุทธุมาตกสัญญา) เป็นต้นต่อไป.
ซากศพ ชื่อว่า อุทธุมาตะ เพราะพองขึ้นโดยความพองอืดขึ้นตามลําดับเพราะสิ้นชีวิต เหมือนลูกหนังพองด้วยลมฉะนั้น. ซากศพที่ชื่อว่าอุทธุมาตะ นั่นเอง ชื่อว่า อุทธุมาตกะ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอุทธุมาตกะ เพราะอรรถว่า เป็นซากศพพองขึ้นน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูล คําว่า อุทธุมาตกะ นี้เป็นชื่อของซากศพอย่างนั้น. ซากศพที่มีผิวแตกออกโดยประการต่างๆ (ที่เน่า) ท่านเรียกว่า วินีลกะ ซากศพที่ชื่อว่า วินีละ นั่นเองชื่อว่า วินีลกะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วินีลกะ เพราะเป็นของน่าเกลียดมีสีเขียวคล้ำเพราะปฏิกูล. ก็คําว่า วินีลกะ นี้ เป็นชื่อของซากศพที่มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่บ่มด้วยน้ำหนอง และมีสีเขียวโดยมากในที่สีเขียวเช่นกันคลุมด้วยผ้าสีเขียว. ซากศพที่มีน้ำหนองอันไหลออกไปในที่แตกออกแล้ว ชื่อว่า วิปุพพะ (น้ำหนองไหลออก) ซากศพที่มีน้ำหนองไหลออกนั่นเองชื่อว่า วิปุพพกะ อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วิปุพพกะ เพราะอรรถว่า น่าเกลียดมีน้ำหนองไหลออกเพราะเป็นของปฏิกูล. คําว่า วิปุพพกะ นี้เป็นชื่อชองซากศพที่เป็นเช่นนั้น.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 540
ซากศพที่ขาดเป็น ๒ ท่อน เรียกว่า วิฉิททะ ซากศพที่ชื่อว่าวิฉิททะนั่นเอง ชื่อว่า วิฉิททกะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิฉิททกะ เพราะอรรถว่าน่าเกลียดเป็นท่อนต่างๆ เพราะเป็นของปฏิกูล. คําว่า วิฉิททกะนี้เป็นชื่อของซากศพที่ขาดในท่ามกลาง.
ซากศพทั้งหลายที่มีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกกัดกินโดยอาการต่างๆ โดยกระจัดกระจายไป ชื่อว่า วิกขายิตะ ซากศพที่ชื่อว่า วิกขายิตะ นั่นเองชื่อว่า วิกขายิตกะ อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วิกขายิตกะ เพราะอรรถว่าเป็นของน่าเกลียดเป็นของสัตว์กัดกิน เพราะเป็นของปฏิกูล. คําว่าวิกขายิตกะนี้เป็นชื่อของซากศพเช่นนั้น.
ซากศพที่กระจัดกระจายไป ชื่อว่า วิกขิตตะ ซากศพที่ชื่อว่า วิกขิตตกะ นั่นเอง ชื่อว่า วิกขิตตกะ อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วิกขิตตกะเพราะอรรถว่า เป็นของน่าเกลียด เป็นของกระจัดกระจายไป เพราะเป็นของปฏิกูล. คําว่า วิกขิตตกะ นี้เป็นชื่อซากศพที่กระจัดกระจายไปแต่ที่นั้นๆ อย่างนี้คือ มือไปทางหนึ่ง เท้าไปทางหนึ่ง ศีรษะไปทางหนึ่ง.
ซากศพที่ถูกฟันยับเยิน กระจัดกระจายโดยนัยก่อนนั่นแหละ ชื่อว่า หตวิกขิตตกะ คําว่า หตวิกขิตตกะนี้ เป็นชื่อของซากศพที่ถูกสับฟันด้วยศัสตราในอวัยวะน้อยใหญ่ โดยอาการดังเพียงกากบาทกระจัดกระจายโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
ซากศพที่มีโลหิตหยดเรี่ยไหลไปข้างโน้นข้างนี้ ชื่อว่า โลหิตกะ คําว่า โลหิตกะ นี้ เป็นชื่อของซากศพที่เปื้อนโลหิตไหลไป.
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 541
หมู่หนอนทั้งหลาย ท่านเรียกว่า ปุลุวา ซากศพที่เกลื่อนไปด้วยหมู่หนอนชอนไช ชื่อว่า ปุลุวกะ คําว่า ปุลุวกะ นี้เป็นชื่อของซากศพที่เต็มไปด้วยหมู่หนอน.
ซากศพที่มีกระดูกเท่านั้น เรียกว่า อัฏฐิกะ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอัฏฐิกะ เพราะอรรถว่า เป็นกระดูกอันน่าเกลียด เพราะเป็นของปฏิกูลคําว่าอัฏฐิกะนี้ เป็นชื่อของซากศพที่มีร่างกระดูกบ้าง มีกระดูกท่อนหนึ่งบ้างก็ซากศพเหล่านี้แหละเป็นชื่อของนิมิตที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยซากศพที่ขึ้นพองเป็นต้นเหล่านี้บ้าง ของฌานที่ได้ในนิมิตทั้งหลายบ้าง.
พึงทราบวินิจฉัยในคําว่า อุทธุมาตกสัญญา เป็นต้นเหล่านั้นต่อไป. สัญญาที่เกิดขึ้นด้วยสามารถอัปปนา ในซากศพที่ขึ้นพองเป็นนิมิต ชื่อว่า อุทธุมาตกสัญญา. จิตที่สหรคตด้วยอุทธุมาตกสัญญานั้น เพราะอรรถว่าเป็นสัมปโยคะ ชื่อว่า อุทธุมาตกสัญญาสหคตะแม้ในจิตที่สหรคตด้วยวินีลกสัญญาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ในอธิการแห่งอสุภะนี้ วิธีเจริญอันใดที่พึงกล่าววิธีเจริญนั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคแม้โดยประการทั้งปวง การพรรณนาพระบาลีที่เหลือ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ ก็ในอสุภะนี้ แต่ละหมวดมีหมวดละ ๒๕ ด้วยอํานาจแห่งปฐมฌานอย่างเดียวเหมือนในอุเบกขาพรหมวิหารมีด้วยอํานาจจตุตถฌาน เพราะความที่อารมณ์ที่เป็นอสุภะไม่พึงขยาย. อารมณ์นิมิตที่เกิดขึ้นในที่ซากศพอุทธุมาตกะมีเล็กน้อยพึงทราบว่าเป็นปริตตารมณ์ที่เกิดขึ้นในอุทธุมาตกะอันใหญ่เป็นอัปปมาณารมณ์แม้ในอสุภะที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. (บาลีปกิณณกกถาว่า)
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 542
อิติ อสุภานิ สุภคุโณ
ทสสตโลจเนน ถุติกิตฺติ
ยานิ อโวจ ทสพโล
เอเกกชฺฌานเหตูนิ.
เอวํ ปาลินเยเนว ตาว สพฺพานิ ตานิ ชานิตฺวา
เตเสฺว อยํ ภิยฺโย ปกิณฺณกกถาปิ วิฺเยฺยา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทศพลทรงพระคุณอันงาม ทรงพระเกียรติ ควรแก่การสรรเสริญ ด้วยการแลเห็นตั้งพัน ควรแก่การอสุภะทั้งทลาย อันเป็นเหตุแห่งฌาน แต่ละอย่างไว้ ด้วยประการฉะนี้.
บัณฑิตทราบอสุภะทั้งหมดเหล่านั้นโดยนัยแห่งพระบาลีอย่างนี้ก่อนแล้ว พึงทราบแม้กถาเบ็ดเตล็ดนี้ในอสุภะเหล่านั้นนั่นแหละให้ยิ่งขึ้นไป.
จริงอยู่ บุคคลย่อมปราศจากความประพฤติโลเล (ความดิ้นรน) ได้ ในเพราะอสุภะใดอสุภะหนึ่งในบรรดาอสุภะเหล่านั้น เหมือนผู้มีราคะไปปราศแล้ว เพราะความทําราคะอันตนข่มไว้ในฌานที่บรรลุแล้ว แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น ประเภทแห่งอสุภะนี้ใด ประเภทแห่งอสุภะนั้น พึงทราบว่า ตรัสไว้โดยการถึงความเป็นไปเองแห่งซากศพ และด้วยอํานาจแห่งการทําลายราคจริตเพราะซากศพเมื่อความเป็นของปฏิกูล ก็จะพึงถึงสภาพขึ้นพองของซากศพหรือถึงสภาพเป็นซากศพอย่างใดอย่างหนึ่งมีสีเขียวคล้ำเป็นต้น ด้วยเหตุนี้กุลบุตรพึงกําหนดนิมิตในอสุภะอย่างใดเท่าที่จะหาได้อย่างนี้ว่า ซากศพที่พอง
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 543
ขึ้นเป็นของปฏิกูล ซากศพที่สีเขียวคล้ำเป็นของปฏิกูลเป็นต้น พึงทราบว่าตรัสประเภทอสุภะ ๑๐ อย่าง ด้วยสามารถการถึงความเป็นเองของซากศพดังนี้.
ว่าด้วยสัปปายะ ๑๐ อย่าง
อนึ่ง ว่าโดยความแปลกกันในอสุภะ ๑๐ เหล่านั้น ซากศพที่เป็นอุทธุมาตกะ (พองขึ้น) เป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในสรีรสัณฐาน เพราะประกาศความพิบัติลงสรีรสัณฐาน. ซากศพที่มีสีเขียวคล้ำเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในสรีรวรรณะ เพราะประกาศความพิบัติความยินดีในผิว. ซากศพที่มีน้ำหนองไหลเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในกลิ่นแห่งสรีระที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยดอกไม้และของหอมเป็นต้น เพราะประกาศความเป็นกลิ่นเหม็นอันเนื่องด้วยชนิดของศพ. ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อนเป็นสัปปยะแก่บุคคลผู้ยินดีในความเป็นฆนะ (แท่ง) แห่งสรีระ เพราะประกาศความโพรงแห่งกายในภายใน. ซากศพที่ถูกสัตว์แทะกินเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในที่มีเนื้อนูนในส่วนแห่งร่างกายมีถันเป็นต้น เพราะประกาศความพินาศแห่งการสมบูรณ์ด้วยเนื้อนูน. ซากศพที่มีอวัยวะกระจัดกระจายไปเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในการเยื้องกรายแห่งอวัยวะน้อยใหญ่ เพราะประกาศความกระจัดกระจายแห่งอวัยวะน้อยใหญ่. ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อนๆ เป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในการถึงพร้อมแห่งโครงร่างกายเพราะประกาศความพิการของโครงร่างกาย. ซากศพที่มีเลือดติดเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในความงามอันเกิดแต่การประดับตกแต่ง เพราะประกาศความปฏิกูลโดยการเปื้อนเลือด. ซากศพที่มีหมู่หนอนชอนไชเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในร่างกายว่าเป็นของเรา เพราะประกาศ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 544
ถึงความที่ร่างกายเป็นของสาธารณะแก่ตระกูลหมู่หนอนมิใช่น้อย. ซากศพที่เหลือแต่กระดูกเป็นสัปปายะแก่บุคคลผู้ยินดีในการสมบูรณ์แห่งฟัน เพราะประกาศความเป็นของปฏิกูลแห่งกระดูกในสรีระ พึงทราบว่า ประเภทแห่งอสุภะ ๑๐ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แม้ด้วยอํานาจการทําลายราคจริตด้วยประการฉะนี้.
ก็ในอสุภะ ๑๐ อย่างนี้ จิตจะสงบดํารงอยู่ได้โดยกําลังของวิตกเท่านั้น เว้นวิตกแล้วก็ไม่อาจดํารงอยู่ได้ เพราะความที่อารมณ์มีกําลังทรามโดยที่เป็นของปฏิกูล เหมือนเรือจอดอยู่ที่แม่น้ำมีกระแสอันไหลเชี่ยวไหลไปย่อมหยุดได้ด้วยกําลังไม้ถ่อเท่านั้น เว้นจากไม้ถ่อก็ไม่อาจจอดอยู่ได้ ฉะนั้น เพราะฉะนั้นในอสุภกรรมฐานนี้ ย่อมมีเพียงปฐมฌานเท่านั้น ทุติยฌานเป็นต้นหามีได้ไม่.
อนึ่ง ในอารมณ์แม้เป็นของปฏิกูลนี้ ปีติและโสมนัสก็ย่อมเกิด เพราะความที่พระโยคาวจรเห็นอานิสงส์อย่างนี้ว่า เราจักพ้นจากชราและมรณะเพราะปฏิปทานี้แน่แท้ และเพราะละความเร่าร้อนแห่งนิวรณ์ได้เหมือนคนเทดอกไม้เห็นอานิสงส์ว่า วันนี้เราจักได้ค่าจ้างมาก จึงเกิดปีติโสมนัสในกองคูถ และเหมือนคนมีโรคเป็นทุกข์ เพราะพยาธิที่เกิดขึ้น มีความปีติโสมนัสในการเป็นไปแห่งการถ่ายยา ฉะนั้น.
ก็อสุภะนี้แม้ทั้ง ๑๐ อย่าง โดยลักษณะก็มีอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยว่าอสุภะแม้ ๑๐ อย่างนี้ มีความเป็นของปฏิกูลโดยเป็นของไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็นน่ารังเกลียดเท่านั้นเป็นลักษณะ โดยลักษณะนี้ อสุภะนี้นั้นจึงไม่ปรากฏในสรีระที่ตายแล้วอย่างเดียว ย่อมปรากฏแม้ในร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ เหมือนพระมหาติสสเถระผู้อยู่ในวิหารเจติยบรรพตเกาะสีหลผู้เห็นกระดูกฟัน และ
พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 545
เหมือนปรากฏแก่สามเณรอุปัฏฐาก พระสังฆรักขิตเถระซึ่งแลดูพระราชาผู้ประทับเหนือคอช้าง ฉะนั้น เพราะว่า ร่างกายที่ตายแล้วเป็นอสุภะฉันใด แม้สรีระที่กําลังเป็นอยู่ก็เป็นอสุภะฉันนั้นนั่นแหละแต่ว่า ในร่างกายที่ยังเป็นอยู่นี้ลักษณะแห่งอสุภะ ย่อมไม่ปรากฏ เพราะเครื่องประดับจรมาปิดบังไว้ฉะนี้แล.
อสุภกถาจบ
ถามว่าก็รูปาวจรอัปปนานี้ มีปฐวีกสิณเป็นต้น มีอัฏฐิกสัญญาเป็นปริโยสานเป็นอารมณ์เท่านั้นหรือ หรือแม้อย่างอื่นก็มีอยู่. ตอบว่า แม้อย่างอื่นที่เป็นอารมณ์ก็มีอยู่. แต่ในอภิธรรมนี้ ไม่ได้ตรัสอานาปานฌานและกายคตาสติภาวนาไว้ แม้ไม่ตรัสไว้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ระบุถึงวาโยกสิณไว้ จึงเป็นอันระบุถึง แม้อานาปานฌานโดยแท้. อนึ่ง เมื่อระบุถึงวรรณกสิณทั้งหลายก็เป็นอันระบุถึงกายคตาสติที่เกิดขึ้นด้วยจตุกฌาน และปัญญจกฌานในโกฏฐาสมีผมเป็นต้น. และในอสุภะ ๑๐ อย่างทรงถือเอาแล้ว กายคตาสติที่เป็นไปด้วยอํานาจแห่งฌานที่มนสิการปฏิกูลในอาการ ๓๒ และด้วยอํานาจแห่งฌานอันเกิดขึ้นแต่วรรณะในป่าช้า ๙ ชนิด ก็ย่อมเป็นอันทรงถือเอาแล้วเหมือนกัน. อัปปนาที่เป็นรูปาวจรแม้ทั้งหมด ย่อมเป็นอันตรัสไว้แล้วในที่นี้ ด้วยประการฉะนี้.
รูปาวจรกถาจบ