สอบถามเรื่องการนั่งสมาธิค่ะ
เริ่มจริงจังกับการนั่งสมาธิมากขึ้น แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับการนั่งสมาธิที่ไม่เคยลืมเลยแม้เวลาจะผ่านมานานแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังสักเท่าไรว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แต่ทุกๆ ครั้งที่นั่งสมาธิเหมือนมันยึดติดว่าต้องทำแบบนั้นให้ได้อีก พอตอนนี้อยากเริ่มนั่งสมาธิอย่างจริงจัง จึงอยากจะว่ารู้สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นมันคืออะไร
เรื่องมีอยู่ว่า ตอนนั้นไปเข้าค่ายธรรมะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนม.ต้น ก็เป็นธรรมดาของค่ายธรรมะที่จะต้องมีการนั่งสมาธิ...
//ขออธิบายเฉพาะสิ่งที่รับรู้ รู้สึก และจำได้เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นนะคะ (ซึ่งตอนนั้นไม่มีความรู้เรื่องการนั่งสมาธิเลย)
จำได้ว่าตอนนั้นพยายามนั่งให้หลังตรงที่สุด พยายามหนักมาก แม้จะปวดหลังมากๆ และขาชามากๆ จนเหมือนไม่มีขาอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็ข่มใจตัวเองหนักมากที่จะไม่ขยับตัว (แล้วก็ไม่ขยับจริงๆ) จำได้ว่าเพราะตอนนั้นไม่กล้าขยับเปลี่ยนท่าทาง เพราะเราไม่รู้ว่ามีใครมองดูเราอยู่หรือไม่ แล้วก็อยากให้ท่านั่งมันออกมาดูดี (อภัยให้เด็กคนนี้ด้วยค่ะ)
ในขณะที่นั่งก็รับรู้ได้ว่า มีพี่ที่ค่ายมาถ่ายรูปเรานั่งสมาธิบ่อยมากๆ (นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พยายามนั่งหลังตรงมากๆ)
ซึ่งหลังจากจบค่ายพอลองมาคิดดูอีกที ก็ไม่รู้ว่ามีพี่มาถ่ายรูปเราบ่อยจริงหรือเปล่า หรือเป็นตัวเราที่คิดแต่งเรื่องไปเองจากการได้ยินเสียงฝีเท้าของพี่เขาและเสียงชัตเตอร์
ซึ่งจุดไคลแมกซ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและเริ่มสงสัยมากขึ้นในตอนนี้ คือ...
จำได้ว่าหลังจากที่พยายามนั่งหลังตรงมากๆ แล้วมารู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่ลืมตามาแล้ว แล้วที่สงสัยยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนลืมตาเราไม่ได้ยินเสียงใครบอกให้ลืมตาเลย ที่จริงคือไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย จำได้ว่าตัวเองค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ แล้วภาพที่เห็นหลังจากลืมตาไม่กี่วินาทีก็ค่อนข้างพร่ามัว หลังจากเริ่มปรับโฟกัสสายตาได้แล้วและเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้นก็พบว่าทุกคนลืมตาหมดแล้ว (แล้วถ้าจำไม่ผิดคือมีเพื่อนบางคนนั่งมองเรานั่งสมาธิด้วย น่าจะคิดว่าเราหลับ) พอเริ่มรู้สึกตัวมากยิ่งขึ้นก็งงมากๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แล้วก็จำได้ว่า หลังจากออกจากสมาธิ เพื่อนที่นั่งข้างๆ พูดกับเราว่าพี่เขามาถ่ายรูปเราบ่อยมาก
ซึ่งหลังจบจากค่ายพอลองมาคิดดูอีกที ก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เพื่อนพูดกับเราแบบนี้ มันเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า หรือเราแค่คิดไปเองสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่ทำให้งงมากๆ ในย่อหน้าก่อนหน้า
ซึ่งหลังจากนั้นก็พยายามมาถามตัวเองว่า ก่อนที่เราจะลืมตา มันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ได้คำตอบว่า "ไม่รู้" เหมือนเราไม่รับรู้อะไรเลย ความเจ็บ ความปวด ความชา เสียง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในห้อง ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เหมือนเราหายไปแล้ว แล้วสิ่งที่ยิ่งทำให้เราคิดว่าช่วงเวลาก่อนลืมตานั้นเราไม่รับรู้อะไรเลยจริงๆ คือ แม้แต่เสียงที่บอกให้เลิกนั่งสมาธิได้เราก็ไม่ได้ยิน แต่อยู่ดีๆ เรากลับค่อยๆ ลืมตาหลังจากที่เพื่อนลืมตาได้ไม่นาน
รู้สึกตัวในเสี้ยววินาทีแรกจริงๆ หลังจากที่ไม่รู้ว่าเริ่มไม่รู้สึกตัวตอนไหนคือ (1) รู้สึกว่าตัวเองค่อยๆ ลืมตา ลืมตามาอย่างช้าๆ (2) ตามมาด้วยการรับรู้ว่าภาพที่เห็นนั้นพร่ามัว แต่ภายใต้ภาพที่พร่ามัวนั้นก็เห็นเงาของเพื่อนเริ่มขยับร่างกายเพื่อคลายความปวดเมื่อย (3) ภาพของเพื่อนเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะสายตาเริ่มปรับโฟกัสได้ (4) แล้วก็ตามมาด้วยความรู้สึกงงว่า เราลืมตามาได้ยังไง เรารู้ได้ยังไงว่าลืมตาได้แล้วทั้งๆ ที่เราไม่ได้ยินเสียงใครบอกให้ลืมตาเลย
หลังจากเหตุการณ์นั้นก็พยายามคิดมาตลอดว่าเหตุการณ์นั้นมันคืออะไร ทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แล้วทั้งๆ ที่เราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ทำไมเรากลับค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ หลังจากที่เพื่อนถูกบอกให้ลืมตากันหมดแล้ว
ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นเพราะความสงสัยในเหตุการณ์ไคลแมกซ์ ประกอบกับความมัวๆ ขุ่นๆ ของภาพที่เห็นหลังจากลืมตา ทำให้พอลองมองย้อนกลับไปพิจารณาเหตุการณ์นั้นก็เกิดความสงสัยว่าเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (หลับตานั่งสมาธิอยู่แล้วคิดว่ามีพี่มาถ่ายรูปตัวเองบ่อย & เพื่อนบอกว่ามีพี่มาถ่ายรูปเราบ่อย) มันเกิดขึ้นจริงๆ ใช่ไหม หรือเราแค่คิดไปเอง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ประมาณนี้ค่ะ รบกวนท่านใดที่มีความรู้ในเรื่องนี้ช่วยไขข้อข้องใจให้ด้วยนะคะ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกสมาธิต่อไปค่ะ เพราะส่วนตัวรู้สึกว่าตัวเองยึดติดกับความรู้สึกก่อนลืมตานั้นมากๆ ความรู้สึกที่ไม่มีรู้สึก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลเสียต่อการฝึกสมาธิหรือเปล่า
รบกวนช่วยไขข้อข้องใจให้ด้วยนะคะ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งใดก็ตาม ที่ทำไปแล้ว ไม่ได้ทำให้เข้าใจถูก เต็มไปด้วยความงวยงง ไม่รู้ความจริง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงต้องได้อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งพระองค์ทรงแสดงพระธรรม นานถึง ๔๕ พรรษา โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระธรรมขององค์เลย ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูก ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า อะไรถูก อะไรผิด แต่ถ้าได้เข้าใจถูกต้องแล้ว ปัญญา ไม่รีรอที่จะทิ้งสิ่งที่ผิดเลย ย่ออมทิ้งทันที เพราะสิ่งที่ผิด ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น
จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อเข้าใจพระธรรมตามความเป็นจริง ดังนั้น เมื่อได้ยินได้ฟังคำอะไร ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า สิ่งนั้น คือ อะไร และประการที่สำคัญ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ทุกคำ ทุกพยัญชนะ เพื่อให้เข้าใจความจริง แม้แต่ คำว่า สมาธิ ก็เช่นเดียวกัน
สมาธิ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ว่าโดยสภาพธรรมแล้ว เป็นเจตสิกประการหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตรู้ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และ ก็จะต้องมีสมาธิซึ่งเป็นเอกัคคตาเจตสิกเกิดร่วมกับจิตทุกครั้งทุกขณะ ไม่เว้นเลย ตั้งมั่นในอารมณ์ที่จิตกำลังรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะนั่ง จะยืน จะนอน จะเดิน จึงไม่ปราศจากสมาธิเลย เพราะเกิดกับจิตทุกขณะ และที่ควรพิจารณาคือ สมาธิหรือเอกัคคตาเจตสิก เกิดกับอกุศล ก็เป็นอกุศลสมาธิ ไม่ควรเจริญ ไม่ควรประกอบ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มีปัญญาเป็นต้น มีแต่จะเพิ่มพูนความไม่รู้และอกุศลธรรมอื่นๆ ต่อไป
สมาธิที่ควรอบรม คือ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นไปพร้อมกับการอบรมเจริญปัญญา (ภาวนา) ในชีวิตประจำวัน ภาวนาไม่ใช่การท่องบ่น แต่เป็นการอบรมเจริญปัญญา จากที่ยังไม่มีก็มีขึ้น เมื่อมีแล้วก็อบรมเจริญให้มีมากยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งจะต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ
อีกคำหนึ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำ เพราะเหตุว่า ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปทำอะไรที่ผิดปกติขึ้นมาด้วยความเป็นตัวตนหรือความติดข้องต้องการ แต่ธรรมเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม นั่นก็คือ สติ และ สัมปชัญญะ (ปัญญา) เกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ตามความเป็นจริง ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมไปตามลำดับ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว การปฏิบัติถูกต้อง ย่อมมีไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก เห็นถูก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ จึงจะเข้าใจ และที่สำคัญ พระธรรม ทั้งหมดเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ที่สำคัญ คือ จะขาดการฟังพระธรรม ไม่ได้เลยทีเดียว
ดังนั้น จึงขอให้คุณผู้ใช้นามว่า "มนุษย์คนหนึ่ง" ได้เริ่มต้นฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความนี้เพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...