ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๗

 
khampan.a
วันที่  13 ก.พ. 2565
หมายเลข  42050
อ่าน  989

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๗



~ ถ้าใครประมาท คนนั้นจะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ก็เป็นผู้ไม่รู้โดยตลอดจนกระทั่งตายไป เกิดอีก ก็ไม่รู้อีก ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วกี่พระองค์ คนนั้นก็ยังคงไม่รู้อยู่นั่นเอง

~ ธรรม คือสิ่งที่มีจริง พอได้ยินใครพูดว่าเห็น ไม่ต้องบอกเลย ก็รู้ว่าเห็นมีจริง และมีจริง ก็คือ ตรงกับคำว่าธรรม เพราะมีจริง เป็นภาษาไทย ธรรม (ธมฺม) เป็นภาษาบาลี เพราะฉะนั้น ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นชนชาติอะไร แต่ธรรมขณะนั้นมี แล้วก็เริ่มจากการฟังและก็สะสมความเข้าใจด้วยการอบรมด้วยความเคารพ ด้วยการที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มี

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ หวังดี เกื้อกูล เป็นประโยชน์ให้คนฟังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจริง ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจผิด ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวงที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ อาจหาญที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้วทิ้งส่วนที่ผิดทันที เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทิ้งทันที โอกาสที่จะเสพคุ้นกับสิ่งที่ผิด ย่อมเพิ่มขึ้นแล้วก็ยิ่งละลำบากมากขึ้น

~ ทุกวัน อยู่ไปโดยที่ว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมที่ปรากฏ ก็ยังมีความเข้าใจผิดๆ เหมือนเดิม แต่การที่จะเข้าใจถูก ไม่ง่าย เพราะเหตุว่าลึกซึ้งอย่างยิ่ง ยากที่ชาวโลกซึ่งเคยไม่รู้และติดข้อง จะได้เข้าใจถูกต้อง จนถึงการที่จะไม่ให้สภาพธรรมที่เป็นสิ่งที่เป็นโทษเกิดอีกได้เลย เพราะฉะนั้น จะประมาทแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย

~ ยากที่จะค่อยๆ น้อมใจไปในความเป็นจริงของธรรมที่ไม่ใช่เรา เพราะว่า วันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยชีวิตเดิม ไม่รู้อย่างเดิม ต้องการอย่างเดิม ไม่เห็นว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ หาใช่เราไม่ แล้วเป็นอะไร ยากไหมที่จะรู้ว่า เมื่อไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร? เป็นธรรม

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นวาจาสัจจะ เป็นความจริงที่ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ฟังพระธรรม เราก็มีความเห็นผิดอย่างเดิม

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจแต่ละสิ่งซึ่งมีจริงๆ ว่าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้น เกิดโดยเหตุปัจจัย ไม่มีใครที่สามารถจะไปทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะทั้งหมดเป็นธรรม ต้องเริ่มเข้าใจทีละคำอย่างมั่นคง ทั้งหมด เป็นธรรม คำนี้ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่มีเรา

~ สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มีสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่เพราะไม่รู้ จึงต้องการ แล้วก็เป็นทุกข์เพราะโลภะ ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็เป็นโทสะ ทั้งหมด ก็เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะหมดโลภะและโทสะได้ ก็ต่อเมื่อมีความรู้ (ปัญญา) ใครก็ตามที่หาทางที่จะไปละกิเลส ณ สำนักปฏิบัติ สำนักปฏิบัติรู้อะไร แม้แต่เดี๋ยวนี้ก่อนที่จะไปสำนักปฏิบัติ ก็ไม่รู้ แล้วจะไปทำให้รู้อะไร? ถ้าใครมีคำสอนโดยตัวเองเข้าใจเอง คิดเองว่าธรรมง่าย ผู้นั้น ไม่ได้เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้มีสำนักปฏิบัติหรือให้ใครไปสำนักหรือเปล่า? ไม่เลย เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่พูดคำที่ตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำลายคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ไปก็ด้วยความเป็นเราที่หวังที่จะรู้สภาพธรรม แต่หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนทางที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาสี่อสงไขยแสนกัปถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเป็นสาวกก็ไม่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะฉะนั้น เหตุกับผลต้องตรงกัน ใครก็ตามที่บอกให้ไปสำนักปฏิบัติ จะเข้าใจสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏได้ไหม?

~ เมื่อรู้ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะบังคับธรรมได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงความจริงว่า รู้เมื่อไหร่ ความรู้ต่างหาก ที่ทำให้ละบาป

~ ถ้ามีความเข้าใจธรรมมากขึ้น ความเข้าใจนั้นเองก็จะทำให้เกิดกุศลมากหลายขั้นทีเดียว ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะขั้นทานหรือเมตตา หรือความสงบของจิตเท่านั้น ก็เป็นการเห็นประโยชน์ของการฟัง เพื่อมีความเห็นถูก และเมื่อมีความเห็นถูก ความเห็นถูกนั้นเองก็เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งที่จะให้กุศลต่างๆ เกิด

~ เมตตาเกิดเมื่อไหร่ ขณะนั้นจะเป็นการพร้อมที่จะช่วยบุคคลอื่น มีความหวังดี ไม่ว่าจะเห็นก็มีความเป็นเพื่อน หรือไม่ว่าจะคิดถึงก็คิดถึงในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลนั้น

~ ที่กำลังฟังพระธรรมอยู่อย่างนี้ ก็อาจจะโกรธอะไรก็ได้ ความโกรธยังมีอยู่ แต่อาศัยการฟัง เข้าใจ นี่คือหนทาง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจแล้วจะไม่มีหนทางเลย ใครจะบอกวิธีไหนอย่างไรก็ตามแต่ ก็ไม่ใช่ว่าจะดับโกรธได้ เพราะเหตุว่า โกรธเกิดแล้วดับไปแล้วตามสภาพของความโกรธ ที่จะไม่ให้โกรธเกิดอีกต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น หนทางอื่นไม่มี

~
ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอการทำกุศลทุกประการทุกขณะด้วย ทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น

~ จะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไม่อยู่โลกนี้ในวันไหน อาจจะเป็นขณะต่อไปพรุ่งนี้หรือเดือนนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น วันนี้เป็นวันดีที่สุดที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดตามกำลังความสามารถ สิ่งที่ดีที่สุดประเสริฐเหนือสิ่งอื่นใดคือความเข้าใจพระธรรม

~ ทันทีที่จุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที ไม่มีใครที่จะยับยั้งได้เลย ก็เป็นการตั้งต้นของชาติ ชรา และมรณะต่อไปอีก

~ กุศลเจริญเพราะปัญญา ก็จะทำให้ค่อยๆ ละคลายหรือลดกำลังของอกุศล ปัญญาจะทำให้กุศลต่างๆ เจริญขึ้น ทั้งความอดทนเวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็อดทนได้ หรือประสบกับสิ่งที่น่าพอใจก็ยังอดทนที่จะไม่ให้เป็นโลภะอย่างรุนแรง หรือว่าแล้วแต่กำลังของปัญญา และกุศลอื่นๆ ก็เจริญด้วย

~ กิเลสมีจริงแน่นอน ถ้าไม่คิดที่จะขัดเกลากิเลส ปล่อยปละละเลยให้กิเลสเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นอย่างคนที่ประพฤติผิด ที่เราเห็นว่า กระทำสิ่งที่ผิด มาจากไหน?

~ ความเห็นที่ถูกต้อง คือ เห็นโทษของกิเลส ใครเกิดกิเลสที่จะทำอะไรก็ตามนั่นคือกิเลสของเขา เพราะฉะนั้น เราจะโกรธทำไม?

~ เกิดมา เป็นคนนี้ ไม่นานแน่นอนก็จะหมดความเป็นบุคคลนี้ แต่คนต่อไปที่จะเกิดต่อจากการเป็นบุคคลนี้จะเป็นอย่างไรแล้วแต่ชาตินี้ด้วย ที่เป็นส่วนประกอบที่จะทำให้บุคคลนั้นเป็นอย่างที่เคยเป็นหรือเคยสะสมมาแล้ว ถ้าไม่เคยเห็นประโยชน์ของการฟังธรรมเลย กี่ชาติให้ฟังธรรม แสดงประโยชน์ เขาก็ไม่ฟัง

~ คนที่ไม่รู้ ทำสิ่งที่ไม่รู้ ผล คือ อะไร ก็นำไปสู่ทางต่ำลงๆ ไม่มีวันที่จะขึ้นมาได้

~ ประโยชน์สูงสุด คือ ได้เกิดมาเป็นบุคคลนี้แล้ว ได้เข้าใจธรรมและได้ทำดี เพราะเหตุว่า ประมาทไม่ได้เลย ขณะไหนไม่ดี ขณะนั้นเป็นอกุศล



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๖

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 13 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 ก.พ. 2565

คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจแต่ละสิ่งซึ่งมีจริงๆ ว่าสิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้น เกิดโดยเหตุปัจจัย ไม่มีใครที่สามารถจะไปทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะทั้งหมดเป็นธรรม ต้องเริ่มเข้าใจทีละคำอย่างมั่นคง ทั้งหมด เป็นธรรม คำนี้ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่มีเรา

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sea
วันที่ 13 ก.พ. 2565

อาจหาญที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้วทิ้งส่วนที่ผิดทันที เพราะเหตุว่าถ้าไม่ทิ้งทันที โอกาสที่จะเสพคุ้นกับสิ่งที่ผิด ย่อมเพิ่มขึ้นแล้วก็ยิ่งละลำบากมากขึ้น


คนที่ไม่รู้ ทำสิ่งที่ไม่รู้ ผล คือ อะไร ก็นำไปสู่ทางต่ำลงๆ ไม่มีวันที่จะขึ้นมาได้


เขาจะไม่รู้ และไม่มีทางที่จะรู้ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คำจริง คำตรง ทีละหนึ่ง ละเอียด ลึกซึ้งอย่างที่ท่านอาจารย์ได้อธิบาย

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lai
วันที่ 13 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 13 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และยินดีในความดี อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Napong
วันที่ 13 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 13 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 14 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สุกัลยา
วันที่ 14 ก.พ. 2565

นอบน้อมกราบสาธุบูชา ท่าน อ.สุจินต์ ถึงที่สุดค่ะ เข้าใจธรรม แล้ว

ทำให้ใจมีปิติค่ะ อนุโมทนากุศลจิตค่ะ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
tim7755tim
วันที่ 15 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารและกัลยานมิตทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
tim7755tim
วันที่ 15 ก.พ. 2565

กราบบูชาพระศาสดาด้วยเศรียรเกล้าบูชาด้วยการเดินตามลอยพระบาท

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ