พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๓. ธาตุวิภังค์

 
บ้านธัมมะ
วันที่  14 ก.พ. 2565
หมายเลข  42061
อ่าน  877

ท[เล่มที่ 77] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑

๓. ธาตุวิภังค์

สุตตันตภาชนีย์

ธาตุ ๖ นัยที่ ๑ 114/200

ธาตุ ๖ นัยที่ ๒ 121/205

ธาตุ ๖ นัยที่ ๓ 122/206

ธาตุวิภังคนิเทศ

วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ 209

นิเทศปฐวีธาตุ ๒ อย่าง 210

นิเทศปฐวีธาตุภายใน 211

ว่าด้วยอุคคหโกศล ๗ อย่าง 213

ว่าด้วยมนสิการโกศล ๑๐ อย่าง 213

ว่าด้วยวิธีมนสิการเกสา (ผมทั้งหลาย) 214

ว่าด้วยวิธีมนสิการโลมา (ขนทั้งหลาย) 215

ว่าด้วยวิธีมนสิการ นขา (เล็บทั้งหลาย) 215

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ทนฺตา (ฟันทั้งหลาย) 216

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ตโจ (หนัง) 216

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มํสํ (เนื้อ) 217

ว่าด้วยวิธีมนสิการ นหารู (เอ็นทั้งหลาย) 217

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อฏฺฐิ (กระดูก) 218

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อฏฺฐิมฺชํ (เยื่อในกระดูก) 219

ว่าด้วยวิธีมนสิการ วกฺกํ (ไต) 219

ว่าด้วยวิธีมนสิการ หทยํ (หัวใจ) 220

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ยกนํ (ตับ) 220

ว่าด้วยวิธีมนสิการ กิโลมกํ (พังผืด) 221

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปิหกํ (ม้าม) 222

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปปฺผาสํ (ปอด) 222

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อนฺตํ (ไส้ใหญ่) 223

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อนฺตคุณํ (ไส้น้อย) 223

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อุทริยํ (อาหารใหม่) 224

ว่าด้วยวิธีมนสิการ กรีสํ (อาหารเก่า) 224

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มตฺถลุงฺคํ (มันสมอง) 225

นิเทศปฐวีธาตุภายนอก 225

นิเทศอาโปธาตุภายใน 227

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปิตฺตํ (น้ําดี) 227

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เสมฺหํ (เสลด) 228

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปุพฺโพ (น้ําหนอง) 229

ว่าด้วยวิธีมนสิการ โลหิตํ (น้ําเลือด) 229

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เสโท (เหงื่อ) 230

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เมโท (มันข้น) 231

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อสฺสุ (น้ําตา) 231

ว่าด้วยวิธีมนสิการ วสา (มันเหลว) 232

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เขโฬ (น้ําลาย) 232

ว่าด้วยวิธีมนสิการ สิงฺฆาณิกา (น้ํามูก) 233

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ลสิกา (ไขข้อ) 233

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มุตฺตํ (น้ํามูตร) 234

นิเทศอาโปธาตุภายนอก 234

นิเทศเตโชธาตุภายใน 235

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เตโชธาตุ 236

นิเทศเตโชธาตุภายนอก 237

นิเทศวาโยธาตุภายใน 237

ว่าด้วยวิธีมนสิการ วาโยธาตุ 238

นิเทศวาโยธาตุภายนอก 239

นิเทศอากาสธาตุภายใน 240

นิเทศอากาสภายนอก 241

นิเทศวิญญาณธาตุ 242

นิเทศธาตุ ๖ นัยที่ ๒ 243

นิเทศธาตุ ๖ นัยที่ ๓ 245

อภิธรรมภาชนีย์

ธาตุ ๑๘ 124/ 250

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ 255

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยอรรถ 256

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยลักษณะเป็นต้น 258

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยมีจํานวนเท่านั้น 258

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยการนับ 261

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยปัจจัย 262

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยเป็นธรรมควรเห็น 262

ปัญหาปุจฉกะ

ธาตุ ๑๘ 131/267

ติกมาติกาปุจฉา 268

ติกมาติกาวิสัชนา 132/268

ทุกมาติกาวิสัชนา 133/271

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ 280


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 77]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 200

๓. ธาตุวิภังค์

สุตตันตภาชนีย์

ธาตุ ๖ นัยที่ ๑

[๑๑๔] ธาตุ คือ

๑. ปฐวีธาตุ

๒. อาโปธาตุ

๓. เตโชธาตุ

๔. วาโยธาตุ

๕. อากาสธาตุ

๖. วิญญาณธาตุ

[๑๑๕] ในธาตุ ๖ นั้น ปฐวีธาตุ เป็นไฉน?

ปฐวีธาตุมี ๒ อย่าง คือ ปฐวีธาตุภายใน ปฐวีธาตุภายนอก.

ในปฐวีธาตุ ๒ อย่างนั้น ปฐวีธาตุภายใน เป็นไฉน?

ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายในเฉพาะคน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรือ ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุภายใน.

ปฐวีธาตุภายนอก เป็นไฉน?

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 201

ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติกระด้าง ความแข็ง ภาวะที่แข็ง เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ เหล็ก โลหะ ดีบุกขาว ดีบุกดำเงิน แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงินตราทอง แก้วมณีแดง แก้วมณีลาย หญ้า ท่อนไม้ กรวด กระเบื้อง แผ่นดินแผ่นหิน ภูเขา หรือ ธรรมชาติที่แข็ง ธรรมชาติที่กระด้าง ความแข็งภาวะที่แข็ง เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุภายนอก.

ปฐวีธาตุภายใน ปฐวีธาตุภายนอก ประมวลทั้ง ๒ อย่างนั้นเขาเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า ปฐวีธาตุ.

[๑๑๖] อาโปธาตุ เป็นไฉน.

อาโปธาตุมี ๒ อย่าง คือ อาโปธาตุภายใน อาโปธาตุภายนอก.

ในอาโปธาตุ ๒ อย่างนั้น อาโปธาตุภายใน เป็นไฉน?

ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียวธรรมชาติที่เกาะกุมรูป เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างในได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร หรือ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะกุมรูป เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุภายใน.

อาโปธาตุภายนอก เป็นไฉน?

ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะในรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ รส

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 202

รากไม้ ลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำที่อยู่บนพื้นดิน หรือน้ำที่อยู่ในอากาศ หรือ ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ควานเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว ธรรมชาติที่เกาะกุมรูป เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อาโปธาตุภายนอก.

อาโปธาตุภายใน อาโปธาตุภายนอก ประมวลทั้ง ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า อาโปธาตุ.

[๑๑๗] เตโชธาตุ เป็นไฉน?

เตโชธาตุ มี ๒ อย่าง คือ เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายนอก.

ในเตโชธาตุ ๒ อย่างนั้น เตโชธาตุภายใน เป็นไฉน?

ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม เตโชธาตุที่ทำให้ร่างกายเร่าร้อน เตโชธาตุที่ทำให้ของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มถึงความย่อยไปด้วยดี หรือ ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ เรียกว่า เตโชธาตุภายใน.

เตโชธาตุภายนอก เป็นไฉน?

ความร้อน ธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ไฟฟืน ไฟสะเก็ดไม้ ไฟหญ้า ไฟมูลโค ไฟแกลบ ไฟหยากเยื่อ ไฟอสนีบาต ความร้อนแห่งไฟ ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ความร้อนแห่งกองฟืน ความร้อน

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 203

แห่งกองหญ้า ความร้อนแห่งกองข้าวเปลือก ความร้อนแห่งกองขี้เถ้า หรือความร้อนธรรมชาติที่ร้อน ความอุ่น ธรรมชาติที่อุ่น ความอบอุ่น ธรรมชาติที่อบอุ่น เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่าเตโชธาตุภายนอก.

เตโชธาตุภายใน เตโชธาตุภายนอก ประมวลทั้ง ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า เตโชธาตุ.

[๑๑๘] วาโยธาตุ เป็นไฉน?

วาโยธาตุมี ๒ อย่างคือ วาโยธาตุภายใน วาโยธาตุภายนอก.

ในวาโยธาตุ ๒ อย่างนั้น วาโยธาตุภายใน เป็นไฉน.

ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายในเฉพะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมศัสตรา ลมมีดโกน ลมเพิกหัวใจ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูป เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายใน.

วาโยธาตุภายนอก เป็นไฉน?

ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก ได้แก่ ลมตะวันออก ลมตะวันตก ลมเหนือ ลมใต้ ลมมีฝุ่นละออง ลมไม่มีฝุ่นละออง ลมหนาว ลมร้อน ลมอ่อน ลมแรง ลมดำ ลมบน ลมกระพือปีก ลมครุธ ลมใบตาล ลมใบพัด หรือ ความพัดไปมา ธรรมชาติที่พัดไปมา ความเคร่งตึงแห่งรูปเป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายนอก.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 204

วาโยธาตุภายใน วาโยธาตุภายนอก ประมวลทั้ง ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า วาโยธาตุ.

[๑๑๙] อากาสธาตุ เป็นไฉน?

อากาศธาตุมี ๒ อย่าง คือ อากาสธาตุภายใน อากาสธาตุภายนอก.

ในอากาสธาตุ ๒ อย่างนั้น อากาสธาตุภายใน เป็นไฉน?

อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายใน เฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน ได้แก่ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ช่องสำหรับกลืนของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม ช่องที่พักอยู่แห่งของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้ม และช่องสำหรับของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มไหลออกเบื้องต่ำ หรือ อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง เป็นภายในเฉพาะตน เป็นอุปาทินนรูปข้างใน แม้อื่นใดมีอยู่ นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายใน.

อากาสธาตุภายนอก เป็นไฉน?

อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง ที่อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง เป็นภายนอก เป็นอนุปาทินนรูปข้างนอก นี้เรียกว่า อากาสธาตุภายนอก.

อากาสธาตุภายใน อากาสธาตุภายนอก ประมวลทั้ง ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นหมวดเดียวกัน นี้เรียกว่า อากาสธาตุ.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 205

[๑๒๐] วิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนวิญญาณธาตุ นี้เรียกว่า วิญญาณธาตุ.

สภาวธรรมเหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖.

ธาตุ ๖ นัยที่ ๒

[๑๒๑] ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. สุขธาตุ

๒. ทุกขธาตุ

๓. โสมนัสสธาตุ

๔. โทมนัสสธาตุ

๕. อุเปกขาธาตุ

๖. อวิชชาธาตุ.

ในธาตุ ๖ นั้น สุขธาตุ เป็นไฉน?

ความสบายกาย ความสุขกาย ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขเกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า สุขธาตุ.

ทุกขธาตุ เป็นไฉน?

ความไม่สบายกาย ความทุกข์กาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์เกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์เกิดแต่กายสัมผัส นี้เรียกว่า ทุกขธาตุ.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 206

โสมนัสสธาตุ เป็นไฉน?

ความสบายใจ ความสุขใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า โสมนัสสธาตุ.

โทมนัสสชาตุ เป็นไฉน?

ความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์เกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์เกิดแต่เจโตสัมผัส นี้ เรียกว่า โทมนัสสธาตุ.

อุเปกขาธาตุ เป็นไฉน?

ความสบายใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายใจก็ใม่ใช่ ความเสวยอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดแต่เจโตสัมผัส นี้เรียกว่า อุเปกขาธาตุ.

อวิชชาธาตุ เป็นไฉน?

ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ (๑) ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูล คือโมหะ นี้เรียกว่า อวิชชาธาตุ.

สภาวธรรมเหล่านี้เรียกว่า ธาตุ ๖.

ธาตุ ๖ นัยที่ ๓

[๑๒๒] ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง คือ

๑. กามธาตุ

๒. พยาปาทธาตุ


(๑) ความที่ ฯลฯ พึงดูในธรรมสังคณีปกรณ์ ข้อ (๓๐๐).

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 207

๓. วิหิงสาธาตุ

๔. เนกขัมมธาตุ

๕. อัพยาปาทธาตุ

๖. อวิหิงสาขาธาตุ.

ในธาตุ ๖ นั้น กามธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ อันประกอบด้วยกาม ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มิจฉาสังกัปปะ นี้เรียกว่า กามธาตุ ชั้นต่ำมีอวีจินรกเป็นที่สุด ชั้นสูงมีเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเป็นที่สุด ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างนี้ นับเนื่องอยู่ในระหว่างนี้ นี้เรียกว่า กามธาตุ.

พยาปาทธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง อันประกอบด้วยพยาบาท ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะ นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ อีกนัยหนึ่ง ความที่จิตอาฆาต ในอาฆาฏวัตถุ ๑๐ ความอาฆาตมีกำลัง ความกระทบ ความแค้น ความโกรธ ความกำเริบ ความกำเริบหนัก ความคิดประทุษร้าย ความคิดประทุษร้ายยิ่ง ความคิดประทุษร้ายหนัก ความที่จิตพยาบาท ความมีใจประทุษร้ายยิ่ง ความโกรธ กิริยาที่โกรธ สภาพที่โกรธ ความคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย สภาพที่คิดประทุษร้าย ความพยาบาท กิริยาที่พยาบาท สภาพที่พยาบาท ความพิโรธ ความแค้น ความดุร้าย อาการที่พูดไม่ยั้ง ความที่จิตไม่แช่มชื่น นี้เรียกว่า พยาปาทธาตุ.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 208

วิหิงสาธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง อันประกอบด้วยวิหิงสา ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะ นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศัสตรา หรือเชือก ความข่มเหง ความข่มเหงอย่างแรง ความเบียดเบียน ความเบียดเบียนอย่างแรง ความขึ้งเคียด ความเคียดแค้น ความเข้าไปเบียดเบียนผู้อื่น เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า วิหิงสาธาตุ.

เนกขัมมธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง อันประกอบด้วยเนกขัมมะ ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า เนกขัมมธาตุ กุศลธรรมแม้ทั้งหมด ก็เรียกว่า เนกขัมมธาตุ.

อัพยาปาทธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง อันประกอบด้วยความไม่พยาบาท ฯลฯ สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ ความมีไมตรี กิริยาที่มีไมตรี สภาพที่มีไมตรี ในสัตว์ทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติ นี้เรียกว่า อัพยาปาทธาตุ.

อวิหิงสาธาตุ เป็นไฉน?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง อันประกอบด้วยอวิหิงสา ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ สัมมาสังกัปปะ นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ ความกรุณา กิริยาที่กรุณา ภาพที่กรุณา ในสัตว์ทั้งหลาย กรุณาเจโตวิมุตติ นี้เรียกว่า อวิหิงสาธาตุ.

สภาวธรรมเหล่านั้น ก็เรียกว่า ธาตุ ๖.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 209

[๑๒๓] ฉักกะ หมวดแห่งธาตุ ๖ ทั้ง ๓ นัยนี้ ประมวลเข้าเป็นหมวดเดียวกัน เป็นธาตุ ๑๘ ด้วยประการฉะนี้แล.

สุตตันตภาชนีย์ จบ

ธาตุวิภังคนิเทศ

วรรณนาสุตตันตภาชนีย์

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงย่อธาตุทั้งหมดไว้ด้วยธาตุหมวดละ ๖ แสดงสุตตันตภาชนีย์ ด้วยหมวดธาตุ ๖ รวม ๓ หมวด ในธาตุวิภังค์ ซึ่งเป็นลำดับต่อจากอายตนวิภังค์นั้น จึงตรัส คำมีอาทิว่า ฉ ธาตุโย (ธาตุ ๖) ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉ (๖) เป็นคำกำหนดจำนวน.

บทว่า ธาตุโย เป็นคำแสดงธรรมที่ทรงกำหนดไว้.

พึงทราบวินิจฉัยในบททั้งหลายมีคำว่า ปถวีธาตุ เป็นต้น ต่อไป.

ชื่อว่า อรรถว่าธาตุ มีความหมายว่า เป็นสภาวะ ชื่อว่า อรรถว่าสภาวะ มีความหมายว่าเป็นของสูญ ชื่อว่า อรรถว่าเป็นของสูญ มีความหมายว่า มิใช่สัตว์ เพราะฉะนั้น โดยอรรถที่อธิบายมานี้ ธาตุ คือ ปถวี (ดิน) นั้นแหละ ชื่อว่า ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ด้วยอรรถว่ามีสภาพสูญและไม่ใช่สัตว์ แม้ธาตุมีอาโปธาตุเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บัณฑิตทราบบทสมาสในคำว่า ปฐวีธาตุ เหล่านี้ อย่างนี้แล้วพึงทราบอรรถ (ความหมาย) ต่อไป.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 210

คำว่า ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ได้แก่ ธาตุตั้งมั่น.

คำว่า อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) ได้แก่ ธาตุเกาะกุม.

คำว่า เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ได้แก่ ธาตุแผดเผา.

คำว่า วาโยธาตุ (ธาตุลม) ได้แก่ ธาตุเคลื่อนไหว.

คำว่า อากาสธาตุ (ธาตุคือช่องว่าง) ได้แก่ ธาตุที่สัมผัสไม่ได้.

คำว่า วิญฺญาณธาตุ (ธาตุคือวิญญาณ) ได้แก่ ธาตุรู้แจ้ง.

นิเทศปฐวีธาตุ

บทว่า ปถวีธาตุทฺวยํ (ปฐวีธาตุ ๒ อย่าง) ได้แก่ ปฐวีธาตุนี้มี ๒ อย่าง อธิบายว่า ชื่อว่า ปฐวีธาตุนี้มิได้มีอย่างเดียวเท่านั้น แต่มี ๒ อย่าง โดยแยกเป็นปฐวีธาตุภายใน และปฐวีธาตุภายนอก ด้วยเหตุนั้นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อตฺถิ อชฺฌตฺติกา อตฺถิ พาหิรา (ปฐวีธาตุภายในมีอยู่ ปฐวีธาตุภายนอกมีอยู่).

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อชฺฌตฺติกา (ภายใน) ได้แก่ ที่นับเนื่องในสันดานของสัตว์ คือ ที่อยู่ภายในซึ่งเกิดในตน. คำว่า พาหิรา (ภายนอก) ได้แก่ ที่นับเนื่องในสันดาน (การสืบต่อ) ของสังขาร คือ ที่ไม่เกี่ยวด้วยอินทรีย์. คำว่า อชฺฌตฺตํ ปจฺจตฺตํ (เป็นภายในเฉพาะตน) นี้แม้ทั้ง ๒ ก็ เป็นชื่อของธาตุที่อยู่ภายในซึ่งเกิดในตนนั้นเอง.

บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปฐวีธาตุนั้นโดยอาการ (ลักษณะ) แห่งภาวะของตนจึงตรัสคำว่า กกฺขฬํ (แข็ง) เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า กกฺขฬํ (แข็ง) ได้แก่ ธรรมชาติที่แข็ง. คำว่า ขริคตํ (กระด้าง) ได้แก่

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 211

ธรรมชาติที่หยาบ. คำว่า กกฺขฬติตํ (ความแข็ง) ได้แก่ ภาวะที่แข็ง. คำว่า กกฺขฬภาโว (ภาวะที่แข็ง) ได้แก่ สภาวะที่แข็ง.

คำว่า อชฺฌตฺตํ อุปาทินฺนํ (อุปาทินนรูปที่เป็นภายใน) ได้แก่ อุปาทินนรูป กล่าวคือ รูปภายในเกิดในตน รูปที่ตั้งอยู่ในสรีระ ชื่อว่า อุปาทินนะ จริงอยู่ รูปที่ตั้งอยู่ในสรีระจะมีกรรมเป็นสมุฏฐานก็ตาม หรือไม่มีกรรมเป็นสมุฏฐานก็ตาม ทรงหมายเอารูปที่ตั้งอยู่ในสรีระอันเป็นอุปาทินนะบ้าง เป็นอนุปาทินนะบ้างนั้น. แต่เพื่อทรงแสดงว่า รูปที่ตั้งอยู่ในสรีระเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นอุปาทินนรูป ด้วยอำนาจแห่งรูปที่มีใจครองซึ่งถูกตัณหาและทิฏฐิยึดถือไว้แล้วนั่นแหละ จึงตรัสคำว่า อชฺฌตฺตํ อุปาทินฺนํ เป็นต้น.

นิเทศปฐวีธาตุภายใน

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะแสดงปฐวีธาตุนั้นนั่นแหละ ด้วยสามารถแห่งวัตถุ จึงตรัสคำว่า เสยฺยถีทํ เกสา โลมา ดังนี้เป็นต้น.

ในพระบาลีนั้น คำว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาต. คำว่า เสยฺยถีทํ นั้น มีอธิบายว่า ปฐวีธาตุที่เป็นภายในเป็นไฉน? หรือว่ารูปที่อยู่ภายในเป็นของเฉพาะตน ชื่อว่า เป็นธรรมชาติแข็งนั้น เป็นไฉน?

คำว่า เกสา โลมา เป็นต้น เป็นคำแสดงประเภทแห่งปฐวีธาตุที่เป็นภายในนั้นด้วยอำนาจที่เป็นวัตถุ มีคำอธิบายไว้อย่างนี้ว่า ชื่อว่า เกสา (ผมทั้งหลาย) อยู่ภายในเป็นอุปาทินนรูป เป็นของตั้งอยู่ในสรีระ มีความแข็งเป็นลักษณะ เป็นโกฏฐาส (ส่วน) หนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้. ชื่อว่า โลมา (ขนทั้งหลาย) ฯลฯ ชื่อว่า กรีสะ (อาหารเก่า). มัตถลุงคัง (มันสมอง)

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 212

แม้มิได้ตรัสไว้ในธาตุวิภังค์นี้ แต่ท่านก็ยกขึ้นสู่บาลีในปฏิสัมภิทามรรค ชื่อว่า มัตถลุงคัง ที่นำมาแล้วเป็นของภายใน เป็นอุปาทินนรูป ตั้งอยู่ในสรีระ มีความแข็งเป็นลักษณะ เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้. แม้ในน้ำดี เป็นต้นในนิเทศแห่งอาโปธาตุเป็นต้นข้างหน้า ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

ถามว่า ด้วยคำว่า เสยฺยถีทํ เกสา เป็นต้นนี้ ทรงแสดงอะไร.

ตอบว่า มนสิการธาตุ.

ถามว่า ก็กุลบุตรผู้ปรารถนาจะทำกรรมในมนสิการธาตุนี้แล้วเริ่มวิปัสสนาเพื่อบรรลุพระอรหัตอันเป็นประโยชน์สูงสุด จะพึงทำอย่างไร.

ตอบว่า พึงชำระปาริสุทธิศีล ๔ ให้บริสุทธิ์. เพราะว่าการเจริญ กรรมฐานย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้มีศีล วิธีทำการชำระจตุปาริสุทธิศีลนั้น พึง ทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั่นแหละ. ก็กุลบุตรผู้มีศีลบริสุทธิ์ตั้งอยู่ในศีลแล้วพึงตัดปลิโพธ (ความกังวลใจ) เบื้องต้น ๑๐ อย่าง วิธีการตัดปลิโพธ ๑๐ อย่างแม้เหล่านั้น ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นแหละ กุลบุตรผู้ตัดปลิโพธแล้วพึงเรียนเอากรรมฐานมนสิการธาตุ แม้อาจารย์ผู้ให้อันเตวาสิกเรียนกรรมฐานมนสิการธาตุ ก็พึงบอกอุคคหโกศล (๑) ๗ อย่าง และมนสิการโกศล (๒) ๑๐ อย่าง แม้อันเตวาสิกก็ควรทำการสาธยายในสำนักแห่งอาจารย์ให้มากแล้ว ทำกรรมฐานให้คล่องแคล่วหมดความยุ่งยาก. ข้อนี้สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า ภิกษุผู้แรกเริ่มกรรมฐานเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้นจากชราและมรณะพึงปรารถนาอุคคหโกศลโดยอาการ ๗ อย่าง พึงปรารถนามนสิการโกศลโดยอาการ ๑๐ อย่าง.


(๑) ผู้ฉลาดในการเรียน ๗ อย่าง.

(๒) ผู้ฉลาดในการมนสิการ ๑๐ อย่าง.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 213

ว่าด้วยอุคคหโกศล ๗ อย่าง

บรรดาอุคคหโกศล และมนสิการโกศลเหล่านั้น กุลบุตรพึงปรารถนาอุคคหโกศลในกรรมฐานมนสิการธาตุเหล่านั้น คือ

โดยวาจา ๑ โดยใจ ๑ โดยสี ๑ โดยสัณฐาน ๑ โดยทิศ ๑ โดยโอกาส ๑ โดยปริเฉท ๑

ว่าด้วยมนสิการโกศลมี ๑๐ อย่าง

กุลบุตรพึงปรารถนามนสิการโกศลโดยอาการ ๑๐ อย่างเหล่านี้ คือ โดยลำดับ ๑ โดยไม่เร็วเกินไป ๑ โดยไม่ช้าเกินไป ๑ โดยห้ามความฟุ้งซ่าน ๑ โดยก้าวล่วงบัญญัติ ๑ โดยละลำดับ ๑ โดยลักษณะ ๑ โดยสูตรทั้ง ๓. (๑)


(๑) อธิจิตตสูตร สิติภาวสูตร โพชฌงคโกสัลลสตร.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 214

โกศลแม้ทั้ง ๒ จักแจ่มแจ้งในสติปัฏฐานวิภังค์ข้างหน้า.

ก็กุลบุตรผู้มีกรรมฐานอันเรียนเอาอย่างนี้ พึงเว้นเสนาสนะที่เป็นโทษ ๑๘ แห่ง ความที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค อยู่ในเสนาสนะประกอบด้วยองค์ ๕ แม้คนเองก็ประกอบด้วยองค์แห่งภิกษุผู้ประกอบความเพียร ๕ (๑) กลับจากบิณฑบาตในเวลาภายหลังภัตแล้ว เข้าไปสู่ที่โอกาสอันสงัดมนสิการกรรมฐาน ก็กุลบุตรนั้นเมื่อมนสิการพึงมนสิการโกฏฐาส แต่ละอย่างในบรรดาโกฏฐาสทั้งหลายมีผมเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งสี สัณฐาน ทิศ โอกาส และ ปริจเฉท ในกาลเป็นที่สุด พึงให้มนสิการเป็นไปอย่างนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการเกสา (ผมทั้งหลาย)

ธรรมดา เกสา คือผมทั้งหลายเหล่านั้นเกิดในหนังหุ้มกะโหลกศีรษะในผมทั้งหลายเหล่านั้น. พระโยคีพึงมนสิการว่า บรรดาหญ้าแฝกหอมทั้งหลายซึ่งเกิดบนจอมปลวก จอมปลวกย่อมไม่รู้ว่า หญ้าแฝกหอมทั้งหลายเกิดในเรา แม้หญ้าแฝกหอมเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดบนจอมปลวก ดังนี้ ฉันใด หนังหุ้มกะโหลกศีรษะก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ผมทั้งหลายเกิดในเรา แม้ผมทั้งหลายเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดในหนังหุ้มกะโหลกศีรษะ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้น เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าผมทั้งหลายที่เป็นโกฏฐาส (ส่วน) หนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.


(๑) ในที่นี้ที่ท่านไม่ได้บอกไว้ ผู้แปลได้นำมาจากหมวดธรรมในพระไตรปิฏกกล่าวว่ามี ๕ เหมือนกัน คือ ๑. มีศรัทธา ๒. มีโรคน้อยเป็นผู้อดทน ๓. เป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ๔. มีความเพียร ไม่ท้อถอย ๕. มีปัญญา มีความสามารถเห็นความเกิดดับ.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 215

ว่าด้วยวิธีมนสิการโลมา (ขนทั้งหลาย)

โลมา ขนทั้งหลาย เกิดในหนังหุ้มสรีระ ในขนทั้งหลายเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า บรรดาหญ้าแพรกทั้งหลายซึ่งเกิดในที่สุญญาคาร สถานที่สุญญาคารย่อมไม่รู้ว่า หญ้าแพรกทั้งหลายเกิดในเรา แม้หญ้าแพรกเล่า ก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดในสถานที่สุญญาคาร ดังนี้ ฉันใด หนังที่หุ้มสรีระ ก็ฉันนั้น ย่อมไม่รู้ว่า ขนทั้งหลายเกิดในเรา แม้ขนทั้งหลายเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดในหนังหุ้มสรีระ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากการคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะเหตุนั้น ขึ้นชื่อว่า ขนทั้งหลายที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการนขา (เล็บทั้งหลาย)

นขา เล็บทั้งหลาย เกิดที่ปลายนิ้วทั้งหลาย ในเล็บทั้งหลายเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า พวกเด็กๆ เอาท่อนไม้เล็กๆ เสียบเม็ดมะซางเล่นอยู่ ท่อนไม้เล็กๆ ทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่า เม็ดมะซางตั้งอยู่ในพวกเรา แม้เม็ดมะซางเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราตั้งอยู่บนท่อนไม่เล็กๆ ทั้งหลาย ดังนี้ ฉันใด นิ้วทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เล็บทั้งหลายเกิดที่ปลายของพวกเรา แม้เล็บทั้งหลายเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดที่ปลายของนิ้วทั้งหลาย ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากการคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เล็บทั้งหลายที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 216

ว่าด้วยวิธีมนสิการทนฺตา (ฟันทั้งหลาย)

ทนฺตา ฟันทั้งหลาย เกิดที่กระดูกคางหลาย ในฟันทั้งหลายเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อนายช่างเอายางเหนียวอย่างใดอย่างหนึ่ง เชื่อมครกหินตั้งไว้บนเสา ครกหินย่อมไม่รู้ว่า เสาทั้งหลายตั้งอยู่ที่พวกเรา แม้พวกเสาเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราตั้งอยู่ที่ครกทั้งหลาย ดังนี้ ฉันใด กระดูกคางทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ฟันทั้งหลายเกิดในพวกเรา แม้ พวกฟันเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราเกิดที่กระดูกคางทั้งหลาย ดังนี้ ธรรมเหล่านี้ เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าฟันทั้งหลายที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการตโจ (หนัง)

ตโจ หนัง ตั้งหุ้มสรีระทั้งสิ้น ในหนังที่ตั้งหุ้มสรีระนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อพิณใหญ่ที่ถูกหุ้มด้วยหนังโคสด พิณใหญ่ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกหุ้มด้วยหนังโคสด แม้หนังโคสดเลาก็ไม่รู้ว่า พิณใหญ่ถูกเราหุ้มไว้ ดังนี้ ฉันใด สรีระก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกหนังหุ้มไว้ แม้หนังเล่าก็ไม่รู้ว่า เราหุ้มสรีระไว้ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากการคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า หนังที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 217

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มํสํ (เนื้อ)

มํสํ เนื้อ ตั้งฉาบติดอยู่ซึ่งร่างกระดูก ในเนื้อนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเอาก้อนดินเหนียวใหญ่มาฉาบปิดฝาเรือนไว้ ก้อนดินเหนียวใหญ่ย่อมไม่รู้ว่า ฝาเรือนถูกเราฉาบติดไว้ แม้ฝาเรือนเล่าก็ไม่รู้ว่า เราถูกก้อนดินเหนียวใหญ่ฉาบติดไว้ ดังนี้ฉันใด ร่างกระดูกก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกฉาบติดด้วยชิ้นเนื้อ ๙๐๐ ชิ้น แม้เนื้อเล่าก็ไม่รู้ว่า ร่างกระดูกถูกเราฉาบติดไว้ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เนื้อที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ นหารู (เอ็นทั้งหลาย)

นหารู เอ็นทั้งหลาย ตั้งรึงรัดกระดูกทั้งหลายในภายในสรีระ ในเอ็นเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า ท่อนไม้ นกระท่อมที่เขาเอาเถาวัลย์มาผูกมัดเป็นเกลียวไว้ ท่อนไม้ในกระท่อมทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่า พวกเราถูกเถาวัลย์ผูกเป็นเกลียวไว้ แม้เถาวัลย์ทั้งหลายก็ไม่รู้ว่า ท่อนไม้ในกระท่อม ถูกพวกเรามัดเป็นเกลียวไว้ ดังนี้ ฉันใด กระดูกทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า พวกเราถูกเอ็นทั้งหลายรึงรัดไว้ แม้เอ็นทั้งหลายเล่าก็ไม่รู้ว่า กระดูกทั้งหลายถูกพวกเรารึงรัดไว้ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้ เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เอ็นทั้งหลายที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากคะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 218

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อฏิ (กระดูก)

บรรดากระดูกทั้งหลาย กระดูกส้นเท้ายกกระดูกข้อเท้าตั้งไว้ กระดูกข้อเท้ายกกระดูกแข้งตั้งไว้ กระดูกแข้งยกกระดูกขาอ่อนตั้งไว้ กระดูกขาอ่อนยกกระดูกสะเอวตั้งไว้ กระดูกสะเอวยกกระดูกสันหลังตั้งไว้ กระดูกสันหลังยกกระดูกคอตั้งไว้ กระดูกคอยกกระดูกศีรษะตั้งไว้ กระดูกศีรษะตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวตั้งอยู่บนกระดูกขาอ่อน กระดูกขาอ่อนตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า. ในบรรดากระดูกเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า บรรดาของทั้งหลายที่กองสุมกันอยู่มีอิฐ เศษไม้ และโคมัยเป็นต้น สิ่งของที่อยู่ข้างล่างๆ ย่อมไม่รู้ว่า พวกเรายกของข้างบนๆ ขึ้นตั้งไว้ แม้ของข้างบนๆ ก็ไม่รู้ว่า พวกเราตั้งอยู่ในของข้างล่างๆ ดังนี้ ฉันใด กระดูกส้นเท้าเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกข้อเท้าตั้งไว้ กระดูกข้อเท้าเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกแข้งตั้งไว้ กระดูกแข้งเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกขาอ่อนตั้งไว้ กระดูกขาอ่อนเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกสะเอวตั้งไว้ กระดูกสะเอวเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกสันหลังตั้งไว้ กระดูกสันหลังเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกคอตั้งไว้ กระดูกคอเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายกกระดูกศีรษะตั้งไว้ กระดูกศีรษะเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกขาอ่อน กระดูกขาอ่อนก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกแข้ง กระดูกแข้งก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่บนกระดูกข้อเท้า กระดูกข้อเท้าก็ไม่รู้ว่า

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 219

เราตั้งอยู่บนกระดูกส้นเท้า ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า กระดูกที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อฏฺิมิญฺชํ (เยื่อในกระดูก)

อฏฺิมิญฺชํ เยื่อในกระดูก ตั้งอยู่ภายในกระดูกเหล่านั้นๆ ในเยื่อในกระดูกเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อบุคคลเอายอดหวายที่นั่งแล้วเป็นต้น ใส่เข้าไปภายในกระบอกไม้ไผ่เป็นต้น กระบอกไม้ไผ่เป็นต้น ย่อมไม่รู้ว่า ยอดหวายเป็นต้นขาใส่ไว้ในพวกเรา แม้ยอดหวายเป็นต้นเล่าก็ไม่รู้ว่า พวกเราตั้งอยู่ในกระบอกไม่ไผ่เป็นต้น ดังนี้ ฉันใด กระดูกทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เยื่อในกระดูกตั้งอยู่ภายในของพวกเรา แม้เยื่อในกระดูกเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในภายในของกระดูกทั้งหลาย ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เยื่อในกระดูกที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ วกฺกํ (๑) (ไต)

วกฺกํ ไต ตั้งแวดล้อมเนื้อหัวใจโดยผูกไว้ด้วยเอ็นใหญ่ มีโคนเดียวกันออกจากหลุมคอไปหน่อยหนึ่งแล้วแยกออกเป็น ๒ ในไตนั้นพระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อผลมะม่วงคู่ติดอยู่ที่ขั้ว ขั้วมะม่วงย่อมไม่รู้ว่า ผลมะม่วง


(๑) คำว่า วกฺกํ เคยแปลกัน ม้าม แต่ปัจจุบันแปลว่า ไต

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 220

คู่ติดอยู่กับเรา แม้ผลมะม่วงคู่ก็ไม่รู้ว่า เราติดอยู่กับขั้ว ดังนี้ ฉันใด แม้เอ็นใหญ่ทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ไตติดอยู่กับเรา แม้ไตเล่าก็ไม่รู้ว่า เราติดอยู่กับเอ็นใหญ่ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ไตที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแต่ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ หทยํ (หัวใจ)

หทยํ หัวใจ อาศัยตั้งอยู่ท่ามกลางซี่กรงกระดูกอกภายในสรีระ ในหัวใจนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อชิ้นเนื้ออาศัยตั้งอยู่ภายในซี่กรงของรถศึกเก่า ภายในซี่กรงของรถศึกเก่า ย่อมไม่รู้ว่า ชิ้นเนื้ออาศัยเราตั้งอยู่ แม้ชิ้นเนื้อก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยภายในซี่กรงรถศึกเก่าตั้งอยู่ ดังนี้ ฉันใด ภายในชี่กรงกระดูกอกก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า หทัยอาศัยเราตั้งอยู่ แม้หทัยเล่าก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยภายในซี่กรงกระดูกอกตั้งอยู่ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า หทัยที่เป็นโกฏฐาสหนึ่ง โดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ยกนํ (ตับ)

ยกนํ ตับ อาศัยตั้งอยู่ข้างขวาภายในระหว่างราวนมทั้งสองภายในสรีระ ในตับนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเขาห้อยก้อนเนื้อคู่ไว้ที่กระพุ้งหม้อข้าว ข้างกระพุ้งหม้อข้าว ย่อมไม่รู้ว่า ก้อนเนื้อคู่ห้อยไว้ในเรา แม้

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 221

ก้อนเนื้อคู่ก็ไม่รู้ว่า เราถูกห้อยไว้ที่ข้างกระพุ้งหม้อข้าว ดังนี้ ฉันใด สีข้างด้านขวาระหว่างราวนมทั้งคู่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ตับอาศัย เราตั้งอยู่ แม้ตับเล่าก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยตั้งอยู่ทางสีข้างด้านขวาระหว่างราวนมทั้งคู่ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ตับที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ กโลมกํ (พังผืด)

บรรดาพังผืดทั้งหลาย พังผืดที่ปิดบัง (ปฏิจฺฉนฺนกิโลมกํ) ล้อมหทัยและไตไว้ตั้งอยู่ (อย่างหนึ่ง) พังผืดที่ไม่ปิดบังหทัยและไต (อปฺปฏิจฺฉนฺนกิโลมกํ) แต่หุ้มเนื้อภายใต้หนังในสรีระทั้งสิ้นตั้งอยู่ (อย่างหนึ่ง).

ในพังผืดเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเนื้อถูกคลุมไว้ด้วยผ้า ผืนเก่า เนื้อย่อมไม่รู้ว่า เราถูกผ้าผืนเก่าคลุมไว้ แม้ผ้าเก่าก็ไม่รู้ว่า เนื้อถูกเราคลุมไว้ ดังนี้ ฉันใด ไต หัวใจ และเนื้อในสรีระทั้งสิ้น ก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกพังผืดปกปิดไว้ แม้พังผืดเล่าก็ไม่รู้ว่า ไต หัวใจ เนื้อ ในสรีระทั้งสิ้นถูกเราปกปิดไว้ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจาก ความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า พังผืดที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 222

ว่าด้วยวิธีวิธีมนสิการ ปิหกํ (๑) (ม้าม)

ปีหกํ ม้าม อาศัยตั้งอยู่ข้างบนเยื่อหุ้มท้องข้างซ้ายของหัวใจ ในม้ามนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อก้อนโคนัยวางแนบข้างบนยุ้งข้าว ข้างบน ยุ้งข้าวย่อมไม่รู้ว่า ก้อนโคมัยอาศัยเราตั้งอยู่ แม้ก้อนโคมัยก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยข้างบนยุ้งข้าวตั้งอยู่ ดังนี้ ฉันใด ข้างบนเยื่อหุ้มท้องก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ม้ามอาศัยเราตั้งอยู่ แต่ม้ามเล่าก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยข้างบน เยื่อหุ้มท้องตั้งอยู่ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ม้ามที่เป็นโกฏฐาสในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปปฺผาสํ (ปอด)

ปปฺผาสํ ปอด ห้อยปิดข้างบนหัวใจและตับตั้งอยู่ระหว่างนมทั้ง ๒ ภายในสรีระ ในปอดนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อรังนกห้อยอยู่ภายในยุ้งข้าวเก่า ภายในยุ้งข้าวเก่าย่อมไม่รู้ว่า รังนกห้อยอยู่ในเรา แม้รังนกก็ไม่รู้ว่า เราห้อยอยู่ภายในยุ้งข้าวเก่า ดังนี้ ฉันใด ภายในแห่งสรีระก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ปอดห้อยอยู่ในเรา แม้ปอดเล่าก็ไม่รู้ว่า เราห้อยอยู่ภายในสรีระเห็นปานนี้ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ปอดที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะใน สรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ. เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติ แข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.


(๑) ปีหกํ โบราณแปลว่า ไต

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 223

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อนฺตํ (ไส้ใหญ่)

อนฺตํ ไส้ใหญ่ ตั้งอยู่ภายในสรีระจากหลุมคอลงไปถึงทวารหนักเป็นที่สุด ในไส้ใหญ่นั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อร่างงูเรือนที่ถูกตัดศีรษะวางขดไว้ในรางเลือด รางเลือดย่อมไม่รู้ว่า ร่างงูเรือนเขาวางไว้ในเรา แม้ร่างงูเรือนก็ไม่รู้ว่า เราถูกวางไว้ในรางเลือด ดังนี้ ฉันใด ภายในสรีระก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ไส้ใหญ่ตั้งอยู่ในเรา แม้ไส้ใหญ่เล่า ก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ภายในสรีระ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ไส้ใหญ่ที่เป็นโกฏฐาสหนึ่ง โดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อนฺตคุณํ (ไส้น้อย)

อนฺตคุณํ ไส้น้อย ตั้งอยู่ระหว่างไส้ใหญ่โดยพันขนดไส้ใหญ่ ๒๑ ขนด ในไส้น้อยนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อบุคคลเอาเชือกเย็บมณฑลเชือกสำหรับเช็ดเท้าตั้งไว้ มณฑลเชือกสำหรับเช็ดเท้าย่อมไม่รู้ว่า เชือกเย็บเราตั้งไว้ แม้เชือกก็ไม่รู้ว่า พวกเราเย็บมณฑลเชือกสำหรับเช็ดเท้าตั้งไว้ ดังนี้ ฉันใด ไส้ใหญ่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ไส้น้อยพันตัวเราตั้งไว้ แม้ไส้น้อยเล่าก็ไม่รู้ว่า เราพันไส้ใหญ่ตั้งไว้ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน ขึ้นชื่อว่า ไส้น้อยที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 224

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อุทริยํ (อาหารใหม่)

อุทริยํ อหารใหม่ ได้แก่ ของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้ม ที่อยู่ในท้อง บรรดาอาหารใหม่เหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อรากสุนัขตั้งอยู่ในรางสุนัข รางสุนัขย่อมไม่รู้ว่า รากสุนัขตั้งอยู่ในเรา แม้รากสุนัขก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในรางสุนัข ดังนี้ ฉันใด ท้องก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า อาหารใหม่อยู่ในเรา แม้อาหารใหม่เล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในท้อง ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า อาหารใหม่ที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ กรีสํ (อาหารเก่า)

กรีสํ อาหารเก่า ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งไส้ใหญ่ กล่าวคือกระเพาะอาหารเก่า เช่นกับกระบอกไม้ไผ่ยาว ๘ นิ้ว ในอาหารเก่าเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเอาดินเหนียวละเอียดสีเหลืองขยำใส่ในปล้องไม้ไผ่ ปล้องไม้ไผ่ ย่อมไม่รู้ว่า ก้อนดินเหนียวสีเหลืองตั้งอยู่ในเรา แม้ก้อนดินเหนียวสีเหลือง ก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ ดังนี้ ฉันใด กระเพาะอาหารเก่าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า อาหารเก่าตั้งอยู่ในเรา แม้อาหารเก่าเล่าก็ย่อมไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในกระเพาะอาหารเก่า ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า อาหารเก่าที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติแข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 225

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มตฺถลุงฺคํ (มันสมอง)

มตฺถลุงฺคํ มันสมอง ตั้งอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ ในมันสมองนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อบุคคลเอาก้อนแป้งใส่ในกะโหลกน้ำเต้าเก่า กะโหลกน้ำเต้าเก่าย่อมไม่รู้ว่า ก้อนแป้งตั้งอยู่ในเรา แม้ก้อนแป้งก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในกะโหลกน้ำเต้า ดังนี้ ฉันใด ภายในกะโหลกศีรษะก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า มันสมองตั้งอยู่ในเรา แม้มันสมองเล่าก็ไม่รู้ว่า เรา ตั้งอยู่ในกะโหลกศีรษะ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณา ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า มันสมองที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะ ในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติ แข็ง ชื่อว่า ปฐวีธาตุ ดังนี้.

นิเทศปฐวีธาตุภายนอก

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศปฐวีธาตุภายนอก บทว่า อโย (เหล็ก) ได้แก่ โลหะดำ.

บทว่า โลหํ (โลหะ) ได้แก่ โลหะ ๔ ชนิด คือ ชาติโลหะ ๑ วิชาตโลหะ ๑ กิตติมโลหะ ๑ ปีสาจโลหะ ๑ บรรดาโลหะ เหล่านั้น โลหะ ๗ ชนิดเหล่านั้น คือ อโย (เหล็ก) สชฺฌุ (เงิน) สุวณฺณํ (ทอง) ติปุ (ดีบุก) สีสํ (ตะกั่ว) ตมฺพโลหํ (ทองแดง) เวกนฺตกโลหํ (ทองเหลือง) ชื่อว่า ชาติโลหะ โลหะมีลักษณะดังงวงช้าง ชื่อว่า วิชาติโลหะ โลหะ ๓ อย่าง คือ กังสโลหะ วัฏฏโลหะ อารกูฏ ชื่อว่า กิตติมโลหะ โลหะ ๘ คือ โมรักขกะ ปุถุกะ มลีนกะ จปลกะ เสลกะ อาฏกะ ตัลลกะ ทุสิโลหะ ชื่อว่า ปีสาจโลหะ บรรดาโลหะเหล่านั้น ชาติโลหะ ๕ (ข้างต้น) ตรัสไว้แผนกหนึ่งในพระบาลี แต่โลหะที่เหลือแม้ทั้งหมดกับชาติโลหะ ๒ เหล่านี้ คือ ทองแดง และทองเหลือง พึงทราบว่า โลหะ ในทีนี้.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 226

บทว่า ติปุ (ดีบุก) ได้แก่ ดีบุกขาว. บทว่า สีสํ ได้แก่ดีบุกดำ. บทว่า สชฺฌุ แปลว่า เงิน. บทว่า มุตฺตา (แก้วมุกดา) ได้แก่ แก้วมุกดา เกิดในทะเล. บทว่า มณี (แก้วมณี) ความว่า เว้นแก้วไพฑูรย์เป็นต้น ที่มาในพระบาลีแล้ว ที่เหลือแม้ทั้งหมด ชื่อว่า แก้วมณี อันต่างด้วยแก้วมณีโชติรสเป็นต้น. บทว่า เวฬุริโย (แก้วไพฑูรย์) ได้แก่แก้วมณีมีสีเหมือน สีผิวไม้ไผ่. บทว่า สํโข (สังข์) ได้แก่ หอยสังข์เกิดในทะเล. บทว่า สิลา (ศิลา) ได้แก่ ศิลาแม้ทั้งหมดอันต่างด้วยศิลาดำ ศิลาเหลือง ศิลาขาวเป็นต้น. บทว่า ปวาฬํ คือแก้วประพาฬนั่นเอง. บทว่า รชตํ (เงินตรา) ได้แก่ กหาปณะ. บทว่า ชาตรูปํ ได้แก่ ทอง. บทว่า โลหิตงฺโค ได้แก่ มณีแดง. บทว่า มสารคลฺลํ (แก้วลาย) ได้แก่ เพชรตาแมว.

พึงทราบวินิจฉัยในวัตถุมีหญ้าเป็นต้น พฤกษชาติที่มีข้างนอกแข็ง โดยที่สุดมีต้นมะพร้าวเป็นต้น ชื่อว่า หญ้า. วัตถุที่แก่นข้างในโดยที่สุดแม้ ท่อนฟืน ชื่อว่า ท่อนไม้. ก้อนหินโดยประมาณเม็ดถั่วเขียวจนถึงกำปั้น ชื่อว่า กรวด แต่กรวดที่เล็กกว่าเม็ดถั่ว เขียวลงมา เรียกว่า ทราย. คำว่า กระเบื้อง ได้แก่กระเบื้องอย่างใดอย่างหนึ่ง. คำว่า ภูมิ ได้แก่ แผ่นดิน. คำว่า ปาสาโณ (แผ่นหิน) ได้แก่ แผ่นหินมีขนาดตั้งแต่กำไม่มิดขึ้นไป แต่ไม่ถึงประมาณเท่าช้าง ชื่อว่า แผ่นหิน แต่ถ้ามีขนาดช้างขึ้นไป ชื่อว่า บรรพต.

ด้วยบทว่า ยํ วา ปน (หรือว่าธาตุอันใด) นี้ ท่านรวมเอาปถวี ที่เหลืออันต่างด้วยวัตถุมีเมล็ดตาลและผลมะพร้าวเป็นต้น. ด้วยคำว่า ยา จ อชฺฌตฺติกา ปถวีธาตุ ยา จ พาหิรา (ปฐวีธาตุภายในและปฐวีธาตุ

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 227

ภายนอกอันใด) นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดปฐวีธาตุแม้ทั้ง ๒ โดย ลักษณะว่าเป็นปฐวีธาตุอันเดียวเท่านั้น เพราะอรรถว่าเป็นธรรมชาติแข็ง ดังนี้.

นิเทศอาโปธาตุภายใน

ในนิเทศอาโปธาตุเป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในหนหลังนั่นแหละ. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อาโป อาโปคตํ (ควานเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ) ดังนี้เป็นต้น ที่ชื่อว่า อาโป (ความเอิบอาบ) ด้วยอำนาจความ เกาะกุม คำว่า อาโป นั้นนั่นแหละ ทีชื่อว่า อาโปคตํ (ธรรมชาติที่เอิบอาบ) เพราะความที่อาโปธาตุน้ำนั้นนั่นแหละ ถึงความเป็นสภาพแห่งอาโป. ที่ชื่อว่า สิเนโห (ความเหนียว) ด้วยอำนาจแห่งสิเนหา ความสิเนหานั้นนั่นแหละชื่อว่า สิเนหคตํ (ธรรมชาติที่เหนียว) เพราะถึงสภาพแห่งความเหนียว.

บทว่า พนฺนตฺตํ รูปสฺส (ธรรมชาติที่เกาะกุมรูป) ได้แก่ เครื่องผูกของอวินิโภครูป (รูปที่แยกออกไม่ได้ ๘ รูป). แม้คำว่า ปิตฺตํ (น้ำดี) เสมฺหํ (เสลด) เป็นต้น พระโยคีพึงมนสิการด้วยอำนาจแห่งความเป็นธาตุนั้นแหละ โดยกำหนดถือเอาด้วยสามารถแห่งสี สัณฐาน ทิศ โอกาส และปริจเฉท.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปิตฺตํ (น้ำดี)

ในอธิการแห่งอาโปธาตุนั้น มีนัยดังต่อไปนี้ ก็บรรดาน้ำดีทั้งหลาย น้ำดีที่ไม่อยู่ในถุง (อพทฺธปิตฺตํ) ตั้งอยู่ ซึมซาบสรีระทั้งสิ้นอันเนื่องด้วยชีวิตินทรีย์ น้ำดีที่อยู่ในถุง (พทฺธปิตฺตํ) ตั้งอยู่ในถุงของน้ำดี. บรรดาน้ำดีทั้ง ๒ เหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 228

เมื่อมีน้ำมันซึมซาบขนมตั้งอยู่ ขนมย่อมไม่รู้ว่า น้ำมันซึมซาบเราตั้งอยู่ แม้น้ำมันก็ไม่รู้ว่า เราซึมซาบขนมตั้งอยู่ ดังนี้ ฉันใด สรีระก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำดีที่ไม่อยู่ในถุงซึมซาบเราตั้งอยู่ แม้น้ำดีที่ ไม่อยู่ในถุงเล่าก็ไม่รู้ว่า เราซึมซาบสรีระตั้งอยู่ ดังนี้ และเหมือนรังบวบขม ที่เต็มด้วยน้ำฝน รังบวบขมย่อมไม่รู้ว่า น้ำฝนตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำฝนก็ย่อม ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในรังบวบขม ดังนี้ ฉันใด ถุงน้ำดีก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำดีในถุงตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำดีในถุงก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ใน ถุงของน้ำดี ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำดีที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มี เจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เสมฺหํ (เสลด)

เสมหํ เสลด มีประมาณเต็มกอบหนึ่งตั้งอยู่ที่เยื่อบุท้อง ในเสลดนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อบ่อน้ำคลำมีแผ่นฝาฟองขึ้นเบื้องบน บ่อน้ำคลำย่อมไม่รู้ว่า แผ่นฝาฟองตั้งอยู่ในเรา แม้แผ่นฝาฟองก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในบ่อน้ำคลำ ดังนี้ ฉันใด เยื่อบุท้องก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เสลดตั้งอยู่ในเรา แม้เสลดเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในเยื่อบุท้อง ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เสลดที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 229

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ปุพฺโพ (น้ำหนอง)

ปุพฺโพ น้ำหนอง ไม่ตั้งอยู่ประจำ เมื่อส่วนแห่งร่างกายถูกตอหนาม การประหาร และเปลวไฟเป็นต้นกระทบแล้วในที่ใดๆ โลหิตก็จะห้อขึ้นหรือว่าฝีและต่อมเป็นต้น ก็ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ในส่วนแห่งร่างกายนั้นๆ ทีเดียว ในน้ำหนองเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อต้นไม้มียางไหลออกด้วยอำนาจการประหารด้วยขวานเป็นต้น ส่วนแห่งต้นไม้ที่ถูกประหารด้วยขวานเป็นต้นย่อมไม่รู้ว่า ยางต้นไม้ตั้งอยู่ในพวกเรา แม้ยางต้นไม้ก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในส่วนแห่งต้นไม้ที่ถูกประหารด้วยขวานเป็นต้น ดังนี้ ฉันใด ประเทศแห่งร่างกายที่ถูกกระทบด้วยตอ หนามเป็นต้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำหนองตั้งอยู่ในพวกเรา แม้น้ำหนองเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในประเทศร่างกายเหล่านั้น ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำหนองที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะ ในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นสัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นของเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ โลหิตํ (น้ำเลือด)

โลหิต น้ำเลือด ที่ไหลไปมาตั้งซึมซาบสรีระทั้งสิ้นอยู่เหมือนน้ำดีที่ไม่อยู่ในถุง เลือดที่ตั้งอยู่มีประมาณเต็มกอบหนึ่ง ขังอยู่ภายใต้ฐานของตับ ทำให้ไต หัวใจ ตับ ปอด ชุ่มอยู่ ในเลือดเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยเลือดที่ไหลไปมาเช่นเดียวกับน้ำดีที่มิได้อยู่ในถุงนั่นแหละ ส่วนเลือดอีกอย่างหนึ่งนอกนี้ พระโยคีพึงมนสิการว่า น้ำขังอยู่ที่ภาชนะเก่ายังก้อนดินและท่อนไม้ ในภายใต้ให้ชุ่มอยู่ วัตถุมีก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น ย่อมไม่รู้ว่า พวกเรา

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 230

เปียกน้ำตั้งอยู่ แม้น้ำก็ไม่รู้ว่า เราทำก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้นให้เปียก ดังนี้ ฉันใด ที่อันเป็นส่วนเบื้องล่างของตับก็ดี ส่วนต่างๆ มีไตเป็นต้นก็ดี ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เลือดขังอยู่ในเรา เราเท่านั้นเปียกอยู่ แม้เลือดเล่าก็ไม่รู้ว่า เรายังไตเป็นต้นให้เปียกอยู่ ยังส่วนภายใต้ของตับให้เต็มแล้ว ดังนี้ ธรรมชาติเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เลือดที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เสโท (เหงื่อ)

เสโท เหงื่อ ย่อมตั้งอยู่เต็ม และไหลออกตามช่องผมและขุมขนในเวลาเร่าร้อนด้วยไฟเป็นต้น บรรดาเหงื่อเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อบุคคลถอนกำเหง้าบัว รากบัว และก้านดอกบัวขาวขึ้นจากน้ำ ช่องกำแห่งเหง้าบัวเป็นต้นย่อมไม่รู้ว่า น้ำย่อมไหลออกจากพวกเรา แม้น้ำที่ไหลออกจากช่องกำแห่งเหง้าบัวเป็นต้น ก็ย่อมไม่รู้ว่า เราย่อมไหลออกจากช่องกำแห่งเหง้าบัวเป็นต้น ดังนี้ ฉันใด ช่องผมและขุมขนก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า เหงื่อย่อมไหลออกจากพวกเรา แม้เหงื่อเล่าก็ไม่รู้ว่า เราย่อมไหลออกจากช่องผมและขุมขน ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า เหงื่อที่เป็นโกฏฐาสหนึ่ง โดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 231

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เมโท (มันข้น)

เมโท มันข้น เป็นมันเหนียวข้น ของคนอ้วนแผ่กระจายไปสู่สรีระทั้งสิ้น ของคนผอมอาศัยเนื้อปลีแข้งเป็นต้นตั้งอยู่ ในบรรดามันข้นเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อก้อนเนื้อถูกปกปิดด้วยผืนผ้าเก่าสีเหมือนขมิ้นอยู่ ก้อนเนื้อย่อมไม่รู้ว่า ผืนผ้าเก่าสีเหมือนขมิ้นอาศัยเราตั้งอยู่ แม้ผืนผ้าเก่าสีขมิ้นก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยก้อนเนื้อตั้งอยู่ ดังนี้ ฉันใด เนื้อในสรีระทั้งสิ้น หรือปลีแข้งเป็นต้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า มันข้นอาศัยเราตั้งอยู่ แม้มันข้นเล่าก็ไม่รู้ว่า เราอาศัยเนื้อตั้งอยู่ในสรีระทั้งสิ้น หรือที่ปลีแข้งเป็นต้น ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า มันข้นที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นยางข้น เป็นน้ำข้น มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ อสฺสุ (น้ำตา)

อสฺสุ น้ำตา ในเวลามันเกิดจะคลออยู่เต็มเบ้าตาบ้าง ย่อมไหลออกบ้าง ในน้ำตานั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเบ้าแห่งผลตาลอ่อนเต็มด้วยน้ำเบ้าแห่งผลตาลอ่อนทั้งหลายย่อมไม่รู้ว่า น้ำตั้งอยู่ในพวกเรา แม้น้ำก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในเบ้าแห่งผลตาลอ่อนทั้งหลาย ดังนี้ ฉันใด เบ้าแห่งตาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำตาตั้งอยู่ในพวกเรา แม้น้ำตาเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในเบ้าตาทั้งสอง ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำตาที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งมีอยู่โดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 232

ว่าด้วยวิธีมนสิการ วสา (มันเหลว)

วสา มันเหลว เป็นมันเหนียวที่ละลายในสรีระที่ตั้งอยู่ตามฝามือ หลังเท้า ฝาเท้า โพรงจมูก หน้าผาก และจะงอยบ่าในเวลาเกิดความร้อน ด้วยไฟเป็นต้น บรรดามันเหลวเหล่านั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า ในข้าวตังที่บุคคลใส่น้ำมันเข้าไปแล้ว ข้าวตังย่อมไม่รู้ว่า น้ำมันท่วมทับเราตั้งอยู่ แม้น้ำมันก็ไม่รู้ว่า เราท่วมทับข้าวตังตั้งอยู่ ดังนี้ ฉันใด ประเทศแห่งฝามือเป็นต้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า มัน เหลวท่วมทับเราตั้งอยู่ แม้มันเหลวก็ไม่รู้ว่า เราท่วมทับประเทศมีฝ่ามือเป็นต้นตั้งอยู่ ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกันเพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า มันเหลวที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสิ้น ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า เป็น อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ เขโฬ (น้ำลาย)

เขโฬ น้ำลาย เมื่อมีปัจจัยที่จะให้เกิดน้ำลายอย่างใดอย่างหนึ่ง มันจะไหลจากกระพุ้งแก้มทั้ง ๒ มาตั้งอยู่ที่ลิ้น บรรดาน้ำลายนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า บ่อใกล้ฝั่งแม่น้ำ มีน้ำไหลมาไม่ขาดสาย พื้นบ่อย่อมไม่รู้ว่า น้ำตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำก็ไม่รู้ว่า เร่าตั้งอยู่ในบ่อ ดังนี้ ฉันใด พื้นลิ้น ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำลายไหลจากกระพุ้งแก้มทั้ง ๒ มาตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำลายเล่าก็ไม่รู้ว่า เราไหลจากกระพุ้งแก้มทั้ง ๒ มาตั้งอยู่ที่พื้นลิ้น ดังนี้ ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำลายที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะโดยสรีระนี้ ไม่มี

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 233

เจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ สิงฺฆาณิกา (น้ำมูก)

สงฺฆาณิกา น้ำมูก ในเวลาที่มันเกิด มันจะตั้งอยู่เต็มโพรงจมูกบ้าง ย่อมไหลออกบ้าง ในน้ำมูกนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อช้อนหอยที่เขาตักในภาชนะที่เต็มด้วยนมส้ม บนช้อนหอยย่อมไม่รู้ว่า นมส้มบูดตั้งอยู่ในเรา แม้นมส้มบูดก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในช้อนหอย ดังนี้ ฉันใด โพรงจมูกก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำมูกตั้งอยู่ในพวกเรา แม้น้ำมูกเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในโพรงจมูก ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำมูกที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งในสรีระนี้ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีลักษณะเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ ลสิกา (ไขข้อ)

ลสิกา ไขข้อ ทำกิจหยอดข้อต่อกระดูก ตั้งอยู่ที่ข้อต่อ ๑๘๐ ข้อ ในไขข้อนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อเอาน้ำมันหยอดเพลารถ เพลารถย่อมไม่รู้ว่า มีน้ำมันหยอดเราอยู่ แม้น้ำมันก็ไม่รู้ว่า เราหยอดเพลารถอยู่ ดังนี้ ฉันใด ข้อต่อกระดูก ๑๘๐ ข้อ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า ไขข้อหยอดพวกเราอยู่ แม้ไขข้อเล่าก็ไม่รู้ว่า เราหยอดข้อต่อ ๑๘๐ ข้ออยู่ ดังนี้ ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดแสะพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะ ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า ไขข้อที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 234

เป็นอัพยากะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการ มุตฺตํ (น้ำมูตร)

มุตฺตํ (น้ำมูตร) ตั้งอยู่ภายในกระเพาะปัสสาวะ ในน้ำมูตรนั้น พระโยคีพึงมนสิการว่า เมื่อหม้อเกลือคว่ำปากถูกทิ้งไว้ในน้ำคลำ หม้อเกลือย่อมไม่รู้ว่า รสน้ำคลำตั้งอยู่ในเรา แม้รสน้ำคลำก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในหม้อเกลือ ดังนี้ ฉันใด กระเพาะปัสสาวะก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่รู้ว่า น้ำมูตรตั้งอยู่ในเรา แม้น้ำมูตรเล่าก็ไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ดังนี้. ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดและพิจารณาซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า น้ำมูตรที่เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สตว์ เป็นธรรมชาติเหลว มีอาการเกาะกุม ชื่อว่า อาโปธาตุ ดังนี้. คำว่า ยํ วา ปน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาอาโปธาตุในโกฏฐาส ๓ ที่เหลือ.

นิเทศแห่งอาโปธาตุนอก

พึงทราบวินิจฉัยนิเทศอาโปธาตุภายนอก ต่อไป

รสที่อาศัยรากไม้เกิดขึ้น ชื่อว่า มูลรส (รสรากไม้). แม้ในรสทั้งหลายมีรสเกิดแต่ลำต้นไม้เป็นต้น ชื่อ มูลรส (รสรากไม้). แม้ในรสแจ่มแจ้งแล้วทั้งหมดทีเดียว แต่ในทีนี้ไม่มีกำหนดแน่นอนเหมือนในสิกขาบทว่าด้วยเภสัช. น้ำมันอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า น้ำนมนั่นแหละ แม้ในบทที่เหลือทั้งหลาย ก็นัยนี้แล.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 235

บทว่า ภุมฺมานิ (พื้นดิน) ได้แก่ น้ำที่อยู่ในบ่อเป็นต้น.

บทว่า อมฺตกฺขานิ (อากาศ) ได้แก่ น้ำฝนที่ยังไม่ตกถึงแผ่นดิน.

บทว่า ยํ วา ปน (ก็หรือว่า น้ำใด) ได้แก่ น้ำหิมะ น้ำยังกับให้พินาศ น้ำรองแผ่นดินเป็นต้นจัดเข้าฐานะในเยวาปนกนัย ในที่นี้.

นิเทศเตโชธาตุภายใน

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศเตโชธาตุ ต่อไป

ที่ชื่อว่า เตโช (ธาตุไฟ) ด้วยสามารถแห่งความร้อน. เตโชนั่นแหละ ชื่อว่า เตโชคตํ (ธรรมชาติที่ร้อน) เพราะเป็นธรรมชาติถึงความเป็นของร้อน. บทว่า อุสฺมา (ความอุ่น) ได้แก่ อาการร้อน. ความอุ่นนั่นเอง ชื่อว่า อุสฺมาคตํ (ธรรมชาติที่อุ่น) เพราะเป็นธรรมชาติถึงความเป็นอาการร้อน.

บทว่า เยน จ ได้แก่ ธรรมชาติที่ร้อนอันกำเริบแล้ว.

บทว่า สนฺตปฺปติ (ย่อมร้อน) ได้แก่กายนี้ย่อมร้อน คือ เกิดไออุ่น โดยภาวะที่มีความแก่สิ้นวันหนึ่งเป็นต้น.

คำว่า เยน จ ชิรยติ (เตโชธาตุทำให้ทรุดโทรม) ได้แก่ กายนี้ย่อมทรุดโทรมย่อมถึงความขาดแคลนแห่งอินทรีย์ สิ้นกำลัง และภาวะมีหนังเหี่ยว และผมหงอกเป็นต้น ด้วยธาตุใด.

คำว่า เยน จ ปริฑยฺหติ (เตโชธาตุที่ทำให้เร่าร้อน) ได้แก่ กายนี้ถูกธาตุใดที่กำเริบแผดเผา และบุคคลนั้น ก็จะคร่ำครวญว่า เราร้อน เราร้อน ดังนี้ ก็จะหวังเอาเนยใสที่ชำระตั้งร้อยครั้งและจันทน์แดงเป็นต้นมาไล้ทา และลมจากพัดในตาล.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 236

คำว่า เยน จ อสิตปีติขายิตสายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ (เตโชธาตุที่ทำให้ของกินของดื่มของเคี้ยวของลิ้มถึงความย่อยไปด้วยดี) ความว่า ของกินมีข้าวสุกเป็นต้นก็ดี ของดื่มมีน้ำดื่มเป็นต้นก็ดี ของเคี้ยวมีของเคี้ยวที่เป็นแป้งก็ดี ของลิ้มมีผลมะม่วงสุกน้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้นก็ดี ย่อมถึงการย่อยคือย่อมละลายไปโดยความเป็นรสเป็นต้น ด้วยธาตุใด อนึ่ง ในเตโชธาตุ ๔ เหล่านี้ เตโชธาตุ ๓ ข้างนี้มีสมุฏฐาน ๔ อย่าง เตโชธาตุหลังมีกรรมเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว.

วรรณนาบทในเตโชธาตุมีเพียงเท่านี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการเตโชธาตุ

ก็วิธีมนสิการเตโชธาตุ มีดังต่อไปนี้.

ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมมนสิการว่า กายนี้ย่อมร้อน (อบอุ่น) ด้วยธาตุ ธาตุนี้เป็นโกฏฐาส (ส่วน) หนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ มีอาการทำให้ร้อน ชื่อว่า เตโชธาตุ ดังนี้ ย่อมมนสิการว่ากายนี้ย่อมทรุดโทรมด้วยธาตุใด ย่อมเร่าร้อนด้วยธาตุใด ย่อมยังของกิน ของดื่ม ของเคี้ยว ของลิ้มให้ถึงการย่อยด้วยดี ด้วยธาตุใด ธาตุนี้ เป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ มีอาการทำให้ร้อน ชื่อว่า เตโชธาตุ ดังนี้.

บทว่า ยํ วา ปน (หรือธาตุใด) ความว่า ในสรีระนี้ มีอุตุ (คือไออุ่น) ชนิดหนึ่งเป็นปกติ อุตุนั้นก็รวมเข้าฐานของเยวาปนกนัย.

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 237

นิเทศเตโชธาตุภายนอก

ไฟมีไม้เป็นเชื้อลุกโพลงเพราะอาศัยไม้ ชื่อว่า กัฏฐัคคิ (ไฟฟืน). แม้ในคำมีอาทิว่าไฟสะเก็ดไม้ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า สงฺการคฺคิ (ไฟหยากเยื่อ) ได้แก่ ไฟที่บุคคลลากเอาหยากเยื่อมาทำให้โพลงขึ้น ชื่อว่า ไฟหยากเยื่อ.

บทว่า อินฺทคฺคิ ได้แก่ ไฟอสนีบาต (ฟ้าผ่า).

บทว่า อคฺคิสนฺตาโป (ความร้อนแห่งไฟ) ได้แก่ ความร้อนของเปลวไฟ หรือของถ่านไฟที่ปราศจากเปลว.

บทว่า สุริยสนฺตาโป (ความร้อนแห่งดวงอาทิตย์ ได้แก่ แดด.

บทว่า กฏฺสนฺนิจยสนฺคาโป (ความร้อนแห่งกองฟืน) ได้แก่ ความร้อนในกองฟืน. ในบทแม้ที่เหลือก็นัยนี้แหละ.

บทว่า ยํ วา ปน (หรือว่าไฟธาตุใด) ได้แก่ ไฟไหม้เปรต ไฟที่ยังกัปให้พินาศ และไฟในนรกเป็นต้นก็รวมเข้าฐานะของเยวาปนกนัย ในที่นี้.

นิเทศวาโยธาตุภายใน

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศวาโยธาตุ ต่อไป

ที่ชื่อว่า วาโย ด้วยสามารถความพัดไปมา วาโยนั่นแหละ ชื่อว่า วาโยคตํ (ธรรมชาติที่พัดไปมา) เพราะถึงความเป็นวาโย.

บทว่า ถมฺภิตตฺตํ รูปสฺส (ความเคร่งตึงแห่งรูป) ได้แก่ ความเคร่งตึงแห่งอวินิโภครูป (รูปที่แยกจากกันไม่ได้ ๘ รูป).

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 238

บทว่า อุทฺธงฺคมา วาตา (ลมพัดขึ้นเบื้องบน) ได้แก่ ลมพัดขึ้นข้างบนทำให้อาเจียนและสะอึกเป็นต้น.

บทว่า อโธคมา วาตา (ลมพัดลงเบื้องคำ) ได้แก่ ลมพัดลงเบื้องต่ำซึ่งยังอุจจาระและปัสสาวะเป็นต้น ให้ออกไป.

บทว่า กุจฺฉิสยา วาตา (ลมในท้อง) ได้แก่ ลมที่อยู่ภายนอกลำไส้ใหญ่.

บทว่า โกฏฺาสยา วาตา (ลมในไส้) ได้แก่ ลมภายในไส้ใหญ่ทั้งหลาย.

บทว่า องฺคมงฺคานุสาริโน วาตา (ลมพัดไปตามควัน) ได้แก่ ลมที่พัดไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ในสรีระทั้งสิ้น โดยพัดไปตามช่องของเส้นเอ็น ทำให้เกิดงอมือและเหยียดมือเป็นต้น.

บทว่า สตฺถกวาตา (ลมศัสตรา) ได้แก่ ลมที่พัดไป เหมือนเอากรรไกรตัดข้อต่อและเส้นเอ็น. บทว่า ขุรกวาตา (ลมมีดโกน) ได้แก่ ลมผ่าหัวใจ เหมือนผ่าด้วยมีดโกน.

บทว่า อุปฺปลกวาตา (ลมเพิกหัวใจ) ได้แก่ ลมที่ทำลายเนื้อหัวใจนั่นแหละ.

บทว่า อสฺสาโส (ลมหายใจเข้า) ได้แก่ ลมจมูกเข้าไปในภายใน.

บทว่า ปสฺสาโส (ลมหายใจออก) ได้แก่ ลมจมูกออกไปภายนอก. ก็ลมในภายในนี้ ลมทั้งหมดข้างต้นมีสมุฏฐาน ๔ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกมีจิตเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว.

การพรรณนาบทในธาตุนี้ มีเพียงเท่านี้.

ว่าด้วยวิธีมนสิการวาโยธาตุ

อนึ่ง วิธีมนสิการ มีดังต่อไปนี้ ภิกษุในพระศาสนานี้กำหนดลมทั้งหลาย อันต่างด้วยลมพัดขึ้นเบื้องเป็นต้น ด้วยสามารถการพิจารณาลมพัดขึ้น

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 239

เบื้องบนเป็นต้นแล้ว มนสิการว่า ขึ้นชื่อว่า ลมพัดขึ้นเบื้องบนเป็นโกฏฐาสหนึ่งโดยเฉพาะในสรีระนี้ ไม่มีเจตนา เป็นอัพยากตะ เป็นของสูญ ไม่ใช่สัตว์ มีอาการเคร่งตึง ชื่อว่า วาโยธาตุ ดังนี้. แม้ในลมที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า ยํ วา ปน (ก็หรือลมใด) ได้แก่ ลมที่พัดไปในโกฏฐาส วาโยธาตุที่เหลือ ก็รวมเข้าฐานะของเยวาปนกนัยในที่นี้.

นิเทศวาโยธาตุภายนอก

บทว่า ปุรตฺถิมา วาตา (ลมตะวันออก) ได้แก่ ลมที่พัดมาจากทิศตะวันออก แม้ในลมที่พัดมาจากทิศตะวันตก ทิศเหนือ และทิศใต้ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า สรชา วาตา (ลมมีฝุ่นละออง) ได้แก่ลมพัดไปพร้อมกับฝุ่นละออง ชื่อว่า ลมมีฝุ่นละออง.

บทว่า อรชา วาตา (ลมไม่มีฝุ่นละออง) ได้แก่ ลมอย่างเดียว ปราศจากฝุ่นละออง ชื่อว่า ลมไม่มีฝุ่นละออง.

บทว่า สีตา (ลมหนาว) ได้แก่ลมที่มีฤดูหนาวเป็นสมุฏฐานตั้งขึ้น ในระหว่างเมฆที่เย็น.

บทว่า อุณฺหา (ลมร้อน) ได้แก่ลมที่มีฤดูร้อนเป็นสมุฏฐานตั้งขึ้น ในภายในเมฆที่ร้อน.

บทว่า ปริตฺตา (ลมอ่อน) ได้แก่ลมพัดมาอ่อนๆ คือพัดมาเบาๆ

บทว่า อุธิมตฺตา (ลมแรง) ได้แก่ ลมที่พัดมาแรง.

บทว่า กาฬา (ลมดำ) ได้แก่ ลมที่ตั้งขึ้นภายในเมฆดำ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า คำว่า ลมดำ นี้ เป็นชื่อของลมที่พัดทำให้ผิวดำดังนี้ก็มี.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 240

บทว่า เวรมฺภวาตา (ลมบน) (๑) ได้แก่ ลมพัดไปเกินหนึ่งโยชน์.

บทว่า ปกฺขวาตา (ลมกระพือปีก) ได้แก่ ลมที่ตั้งขึ้นแก่การกระพือปีกโดยที่สุดแม้แมลงวัน.

บทว่า สุปณฺณวาตา ได้แก่ ลมครุฑ แม้ลมครุฑนี้จะเป็นลมเกิดแต่ปีกก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ถือไว้ส่วนหนึ่งด้วยสามารถเป็นลมแรง.

บทว่า ตาลวณฺฑวาตา (ลมใบตาล) ได้แก่ ลมที่เกิดแต่ใบตาล หรือวัตถุมีสัณฐานกลมอย่างใดอย่างหนึ่ง.

บทว่า วิธูปนวาตา (ลมใบพัด) ได้แก่ ลมที่เกิดขึ้นด้วยใบพัด ก็ลมที่เกิดแต่ใบตาล และลมใบพัดเหล่านั้น ย่อมยังลมแม้ไม่เกิดในเกิด นี้ แม้ที่เกิดแล้วก็ให้เปลี่ยนไป.

ในบทว่า ยํ วา ปน นี้ ได้แก่ ลมที่เหลือ เว้นลมที่มาในบาลีแล้วรวมเข้าในฐานะเป็นเยวาปนกนัย.

นิเทศอากาสธาตุภายใน

พึงทราบวินิจฉัยนิเทศอากาสธาตุ ต่อไป

ที่ชื่อว่า อากาส เพราะอรรถว่า ย่อมไถไม่ได้ โดยอรรถว่ากระทบไม่ได้ อากาสนั่นเอง ชื่อว่า อากาสคตํ (ธรรมชาติอันนับว่าอากาส) เพราะถึงภาวะเป็นอากาส. ที่ชื่อว่า อฆํ (ความว่างเปล่า) เพราะเป็นสิ่งที่กระทบไม่ได้. บทว่า วิวโร (ช่องว่าง) ได้แก่ ช่องในระหว่าง ช่องว่างนั้นนั่นเองชื่อว่า ววรคตํ (ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง). บทว่า อสมฺผุฏํ มํสโลหิเตหิ (ที่อันเนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง) ได้แก่ ที่อันเนื้อและเลือดไม่


(๑) ค่าว่า เวรมฺภวาตา หมายถึงลมพายุใหญ่

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 241

ติดกัน. ก็บทว่า กณฺณจฺฉิทฺทํ (ช่องหู) เป็นต้นนี้ เป็นแสดงประเภทธรรมคือเนื้อและเลือดไม่ติดนั้นนั่นแหละ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณฺณจฺฉิทฺทํ ได้แก่ ช่อง คือ โพรงในหูเป็นโอกาส (คือช่องว่าง) ที่เนื้อและเลือดไม่ถูกต้อง. แม้ในคำที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า เยน (๑) (ด้วยช่อง ๒) ความว่า สัตว์ย่อมกลืนกินสิ่งที่ควรกลืนกินมีของกินเป็นต้นนี้ ให้เข้าไปภายใน ด้วยช่องใด. บทว่า ยตฺถ (ที่ใด) ความว่า อาหารที่กลืนกินเข้าไป ๔ อย่างนี้นั้นแหละ ย่อมตั้งอยู่ในโอกาส (ช่องว่าง) กล่าวคือในภายในกระเพาะอันใด. บทว่า เยน (โดยช่องใด) ความว่า อาหาร ๔ อย่างนั้นแม้ทั้งหมด ซึ่งย่อยแล้ว ถึงความเป็นกากแล้ว ย่อมออกไป โดยช่องใด ช่องนั้นจากเพดานท้องถึงทวารหนักมีประมาณ ๑ คืบ ๔ นิ้ว เป็นที่อันเนื้อและเลือดได้ถูกต้อง คือเป็นที่อันเนื้อและเลือดไม่ติดกัน พึงทราบว่า เป็นอากาสธาตุ.

ในบทว่า ยํ วา ปน นี้ ได้แก่ ช่องว่างทั้งหมดนี้ คือ ช่องว่างระหว่างหนัง ช่องว่างระหว่างเนื้อ ช่องว่างระหว่างเอ็น ช่องว่างระหว่างกระดูก ช่องว่างระหว่างขน ท่านรวมเข้าฐานะของเยวาปนกนัย.

นิเทศอากาสธาตุภายนอก

พึงทราบวินิจฉัยอากาสธาตุภายนอก ต่อไป

คำว่า อสมฺผุฏฺํ จตูหิ มหาภูเตหิ (ที่อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง) นั้น บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นช่องฝาเรือน ช่องประตูเป็นต้นอันมหาภูตรูป ๔


(๑) บทว่า เยน บทว่า ยตฺถ และบทว่า เยน โดยลำดับ สำนวนในพระไตรปิฎกฉบับแปลท่าน ตัดออก แต่ถ้าไม่ตัดออกจะมีเนื้อความตามที่ท่านอรรถกถากล่าวไว้นี้.

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 242

ไม่ติดกัน. เมื่อพระโยคาวจรทำบริกรรมในอากาสใด ฌานหมวด ๔ หรือฌานหมวด ๕ ย่อมเกิดขึ้น คำนั้น ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยคำที่เป็นอากาสภายนอกนี้.

นิเทศวิญญาณธาตุ

พึงทราบวินิจฉัยนิเทศวิญญาณธาตุ ต่อไป

ธาตุกล่าวคือ จักขุวิญญาณ ชื่อว่า จักขุวิญญาณธาตุ. แม้ในธาตุที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. เมื่อพระโยคาวจรกำหนดธาตุ ๖ เหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล้ว ธาตุ ๑๘ ชื่อว่า เป็นอันกำหนดแล้วได้อย่างไร? คือโผฏฐัพพธาตุ ย่อมเป็นอันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า ปถวี เตโช วาโย นั่นแหละก่อน. ธรรมธาตุ เป็นอันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า อาโปธาตุ และอากาสธาตุนั้นเป็นมโนธาตุ เป็นอันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่าวิญญาณ เพราะความที่มโนธาตุนั้นเป็นธรรมเกิดก่อนและเกิดหลังของวิญญาณธาตุนั้นทีเดียว มีจักขุวิญญาณธาตุเป็นต้นมาแล้วในสูตรนั่นแหละ ธาตุ ๙ อย่างที่เหลือบัณฑิตพึงนำมาแสดง.

จริงอยู่ จักขุธาตุอันเป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณธาตุนั้น และรูปธาตุอันเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณธาตุนั้น ย่อมเป็นอันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า จักขุวิญญาณธาตุ. ด้วยประการฉะนี้ โสตธาตุเป็นต้น ก็ย่อมเป็นอันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า โสตวิญญาณธาตุเป็นต้น ธาตุแม้ ๑๘ ก็ย่อมเป็นอันถือเอาแล้วด้วยประการฉะนี้.

บรรดาธาตุ ๑๘ เหล่านั้น ท่านกำหนดรูปธาตุไว้ ๑๐ กำหนดอรูปธาตุไว้ ๗ ในธรรมธาตุ ท่านกำหนดเอารูปธาตุก็ กำหนดเอาอรูปธาตุก็มี


(๑) มโนธาตุ ๓ คือ อเหตุกกิริยา (ปัญจทวาราวัชชนจิต) ๑ ดวง อเหตุกวิบาก (สัมปฏิฉันนจิต) ๒ ดวง.

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 243

ด้วยเหตุนี้ การกำหนดรูปธาตุจึงมี ๑๐ ครึ่ง (๑๐ ๑/๒) กำหนดอรูปธาตุจึงมี ๗ ครึ่ง (๗ ๑/๒) เพราะฉะนั้น การถือเอารูปธาตุแลอรูปธาตุ ชื่อว่า ท่านถือเอาแล้ว. บัณฑิตพึงแสดงขันธ์ ๕ ที่เป็นรูปและอรูป (อย่างนี้คือ) ธรรมที่เป็นรูปและอรูปนั้นเป็นทุกขสัจจะ ตัณหาในภพก่อนที่เป็นเหตุให้ทุกขสัจจะนั้นตั้งขึ้น เป็นสมุทยสัจจะ ความไม่เป็นไปแห่งทุกขสัจจะและสมุทยสัจจะทั้ง ๒ เป็นนิโรธสัจจะ มรรคอันเป็นเหตุรู้นิโรธสัจจะนั้น เป็นมรรคสัจจะ กรรมฐานคือสัจจะ ๔ นี้ ด้วยประการฉะนี้ พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมเป็นเครื่องออกเพราะบรรลุธรรมอันสุงสุดจนถึงพระอรหัตของภิกษุผู้มุ่งมั่นด้วยธาตุ ๑๘.

นิเทศธาตุ ๖ นัยที่สอง

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคจ้าเมื่อจะทรงแสดงธาตุ ๖ นัยที่สอง จึงตรัสว่า อปราปิ ฉ ธาตุโย (ธาตุ ๖ อีกนัยหนึ่ง) เป็นต้น.

ในพระบาลีนั้น คำว่า สุขธาตุ ทุกฺขธาตุ (สุขธาตุ ทุกขธาตุ) ได้แก่ สุขและทุกข์ที่อาศัยกายประสาทเกิด ทรงแสดงกระทำให้เป็นของคู่กัน ด้วยอำนาจความเป็นปฏิปักษ์กัน จริงอยู่ สุขเป็นปฏิปักษ์ (เป็นธรรมตรงกันข้าม) ต่อทุกข์ ทุกข์ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อสุข. ฐาน (ที่) อันสุขแผ่ไปแล้วมีประมาณเท่าไร (ในกายนี้) ทุกข์ก็แผ่ไปมีประเท่านั้น. ฐานอันทุกข์แผ่ไปแล้วมีประมาณเท่าไร สุขก็แผ่ไปมีประมาณเท่านั้น.

คำว่า โสมนสฺสธาตุ โทมนสฺสธาตุ (โสมนัสสธาตุ โทมนัสสธาตุ) แม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำให้เป็นคู่กัน เหมือนอย่างสุขและ

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 244

ทุกข์นั่นแหละ จริงอยู่ โสมนัสเป็นปฏิปักษ์ต่อโทมนัส. โทมนัสก็เป็นปฏิปักษ์ต่อโสมนัส ฐานที่โสมนัสแผ่ไปในสรีระนี้มีประมาณเท่าไร โทมนัสก็แผ่ไปมีประมาณเท่านั้น ฐานที่โทมนัส แผ่ไปมีประมาณเท่าไร โสมนัสก็แผ่ไปมีประมาณเท่านั้น.

อนึ่ง คำว่า อุเปกฺขาธาตุ อวิชฺชาธาตุ (อุเปกขาธาตุ อวิชชาธาตุ) ๒ บทนี้ ตรัสการทำให้คู่กันด้วยอำนาจเป็นธรรมคล้ายกัน. จริงอยู่ ธาตุทั้ง ๒ นี้เป็นธาตุคล้ายกัน เพราะความเป็นธาตุไม่แจ่มแจ้ง.

บรรดาธาตุเหล่านั้น กายธาตุที่ประกอบกันสุขและทุกข์นั้น เป็นที่อาศัยให้กายวิญญาณเกิด และโผฏฐัพพธาตุที่เป็นอารมณ์ประกอบกับสุขและทุกข์นั้น ย่อมเป็นอันถือเอาด้วยศัพท์ว่าสุขทุกขธาตุนั้นอง. มโนวิญญาณธาตุที่สัมปยุตด้วยโสมนัสและโทมนัสนั้น ย่อมเป็นอันนับถือเอาด้วยศัพท์ว่า โสมนัสและโทมนัสธาตุ ธรรมธาตุถือเอาด้วยอวิชชาธาตุ. จักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ และมโนธาตุ (๓) และจักขุธาตุรูปธาตุเป็นต้นที่เป็นวัตถุ (เป็นที่อาศัยให้วิญญาณเกิด) แต่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณธาตุเป็นต้น เหล่านั้นนั่นแหละ เป็นอันถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า อุเปกขาธาตุ เพราะฉะนั้น ธาตุแม้ ๑๘ อย่าง จึงเป็นอันถือเอาแล้ว ด้วยประการฉะนี้.

บัดนี้ พึงทราบคำทั้งหมดมีอาทิว่า บรรดาธาตุ ๑๘ เหล่านั้น ท่านกำหนดรูปธาตุไว้ ๑๐ อย่าง โดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นเอง และพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธรรมเป็นเครื่องออกไปแก่ภิกษุรุปหนึ่งผู้บรรลุธรรมอันสูงสุดจนถึงพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 245

คำว่า ตตฺถ กตมา สุขธาตุ ยํ กายิกํ สาตํ (ในธาตุ ๖ นั้น สุขธาตุ เป็นไฉน ความสบายกาย ความสุขใจ) เป็นต้น มีนัยตามที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแล.

นิเทศธาตุ ๖ นัยที่สาม

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศธาตุ ๖ นัยที่สาม ต่อไป

คำว่า กาม ได้แก่ กาม ๒ คือ วัตถุกาม และกิเลสกาม บรรดากามทั้ง ๒ นั้น ธาตุที่ประกอบด้วยกาม หมายถึงกิเลสกาม ชื่อว่า กามธาตุ กามธาตุนี้เป็นชื่อของกามวิตก (ความตรึกในกาม) ธาตุคือกามนั่นเอง หมายถึงวัตถุกาม ชื่อว่า กามธาตุ คำนี้เป็นชื่อของกามาวจรธรรม. ธาตุที่ประกอบด้วยพยาบาท ชื่อว่า พยาปาทธาตุ คำว่า พยาปาทธาตุนี้ เป็นชื่อของ พยาปาทวิตก (ความตรึกในพยาบาท) ธาตุคือ พยาบาทนั้นเอง ชื่อว่า พยาปาทธาตุ คำว่า พยาปาทธาตุนี้ เป็นชื่อของปฏิฆะมีอาฆาตวัตถุ (๑) ๑๐ ประการ. ธาตุที่ประกอบด้วยวิหิงสา (ความเบียดเบียน) ชื่อว่า วิหิงสาธาตุ คำว่า วิหิงสาธาตุนี้เป็นชื่อของวิหิงสาวิตก (ความตรึกในการเบียดเบียน) ธาตุคือวิหิงสานั่นเอง ก็ชื่อว่า วิหิงสาธาตุ คำนี้เป็นชื่อของการเบียดเบียน สัตว์อื่น.


(๑) อาฆาตวัตถุ ๑๐ ประการ คือ

๑. อาฆาตโดยคิดว่า เขาได้เคยทำความเสื่อมให้เรา

๒. อาฆาตโดยคิดว่า เขากำลังทำความเสื่อมให้เรา

๓. อาฆาตโดยความคิดว่า เขาจะทำความเสื่อมให้เรา

๔. อาฆาตโดยความคิดว่า เขาได้เคยทำความเสื่อมให้คนที่เรารัก

๕. อาฆาตโดยคิดว่า เขากำลังทำความเสื่อมให้คนที่เรารัก

๖. อาฆาตโดยคิดว่า เขาจะทำความเสื่อมให้คนที่เรารัก

๗. อาฆาตโดยคิดว่า เขาเคยทำคุณประโยชน์แก่คนที่เราชัง

๘. อาฆาตโดยคิดว่า เขากำลังทำคุณประโยชน์แก่คนที่เราชัง

๙. อาฆาตโดยคิดว่า เขาทำคุณประโยชน์แก่คนที่เราชัง

๑๐. อาฆาตในฐานอันไม่ควร มีการเดินสะดุดเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 246

อนึ่ง วิหิงสานี้ เพราะยังไม่มา (ยังไม่ได้กล่าวไว้) ในหนหลัง จึงควรทราบโดยการจำแนกอรรถเป็นต้น ดังต่อไปนี้

คำว่า วิหิํสํ มีวิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่า วิหิงสา เพราะอรรถว่า มีเจตนาเป็นเหตุเบียดเบียนสัตว์ หรือสัตว์มีความเบียดเบียน. วิหิงสานั้น บัณฑิตพึงทราบว่า มีความเบียดเบียนเป็นลักษณะ หรือว่ามีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกรุณาเป็นลักษณะ มีความให้เกิดความหวาดเสียวในสันดานของสัตว์อื่นเป็นรส หรือว่า มีความกำจัดความกรุณาในสันดานของคนเป็นรส มีความเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์เป็นปัจจุปัฏฐาน มีปฎิฆะเป็นปทัฏฐาน.

อโลภะ (ความไม่โลภ) เรียกว่า เนกขัมมะ เพราะออกจากความโลภ. ปฐมฌานก็เรียกว่า เนกขัมะ เพราะออกจากนิวรณ์ทั้งหลาย กุศลทั้งหมดก็เรียกว่า เนกขัมมะ เพราะออกจากอกุศลทั้งหมด. ธาตุประกอบด้วยเนกขัมมะ ชื่อว่า เนกขัมมธาตุ คำว่าเนกขัมมธาตุนี้ เป็นชื่อของเนกขัมมวิตก. ธาตุที่ประกอบด้วยความไม่พยาบาท ชื่อว่า อัพยาปาทธาตุ คำว่า อัพยาปาทธาตุนี้เป็นชื่อของเมตตา. ธาตุที่ประกอบความไม่เบียดเบียน ชื่อว่า อวิหิงสาธาตุ คำว่า อวิหิงสาธาตุนี้เป็นชื่อของอวิหิงสาวิตก ธาตุคืออวิหิงสา นั้นเอง ชื่อว่า อวิหิงสาธาตุ คำว่า อวิหิงสาธาตุนี้เป็นชื่อของกรุณา.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะแสดงเนื้อความ (ธาตุ ๖) นั้นนั่นแหละจึงเริ่มบทภาชนะ (บทขยายความ) ว่า ตตฺถ กตมา กามธาตุ (ในธาตุ ๖ นั้น กามธาตุเป็นไฉน) เป็นต้น.

ในพระบาลีนั้น บทว่า ปฏิสํยุตฺโต (ประกอบ) ที่ชื่อว่า ปฏิสํยุตฺโต (ประกอบ) ด้วยอำนาจสัมปโยคะ (๑) บทว่า ตกฺโก วิตกฺโก (ความตรึก


(๑) สัมปโยคะ ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน และ มีวัตถุที่อาศัยเกิดอันเดียวกัน

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 247

ความตรึกอย่างแรง) เป็นต้นมีเนื้อความตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. คำว่า วิเหเติ แปลว่า ย่อมเบียดเบียน คือย่อมให้รับทุกข์. คำว่า เหนา (ความข่มเหง) ได้แก่ การก่อให้เกิดความทุกข์ โดยการเบียดเบียนด้วยฝ่ามือเป็นต้น ความข่มเหงอย่างแรง ชื่อว่า วิเหนา เจตนาเป็นเหตุเบียดเบียน ชื่อว่า หิงสนา เจตนาเป็นเหตุเบียดเบียนมีกำลัง ชื่อว่า วิหิงสนา. คำว่า โรสนา ได้แก่ ความขึ้งเคียด คำว่า วิโรสนา ได้แก่ เคียดแค้น ในบททั้งหมดท่านเพิ่มบท ด้วยวิอุปสรรค. เจตนาเป็นเหตุเข้าไปเบียดเบียน ชื่อว่า อุปฆาตะ ความทำร้ายผู้อื่น ชื่อว่า ปรูปฆาตะ.

เจตนาเป็นเหตุมีไมตรี ชื่อว่า เมตฺติ (ความมีไมตรี) อาการแห่งความมีไมตรี ชื่อว่า เมตฺตายนา (กิริยาที่มีความไมตรี) ความเป็นของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยเมตตา ของบุคคลผู้ประกอบด้วยเมตตา ชื่อว่า เมตฺตายิตตฺตํ (สภาพที่มีไมตรี) ความหลุดพ้นทางใจของผู้หลุดพ้นจากพยาบาทชื่อว่า เจโตวิมุตฺติ ในที่นี้เมตตาที่กล่าวไว้ ๓ บทแรก (๑) ถึงอุปจารสมาธิบ้าง ถึงอัปปนาสมาธิบ้าง บทหลัง (คือ เจโตวิมุตติ) ตรัสเมตตาไว้ถึงอัปปนาเท่านั้น.

เจตนาเป็นเหตุให้เอ็นดู ชื่อว่า ความกรุณา อาการของความกรุณาชื่อว่า กรุณายนา (กิริยาที่กรุณา) ภาวะของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกรุณาของบุคคลผู้ประกอบด้วยความกรุณา ชื่อว่า กรุณายิตตฺตํ (สภาพที่กรุณา) ความหลุดพ้นทางใจของผู้หลุดพ้นจากความเบียดเบียน ชื่อว่า เจโตวิมุตติ. แม้ในข้อนี้ก็พึงทราบความต่างกันแห่งอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิโดยนัยก่อน


(๑) เมตตาที่กล่าวไว้ ๓ บทแรก คือ เมตฺติ (ความมีไมตรี) ๑ เมตฺตายนา (กิริยาที่มีไมตรี) ๑ เมตฺตายิตตฺตํ (ความเป็นของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยเมตตา ของบุคคลผู้ประกอบด้วยเมตตา) ๑

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 248

นั้นแหละ อนึ่ง ในบทสุดท้ายแม้ทั้ง ๒ คือ เมตตา กรุณาพระองค์ไว้เพื่อแสดงความแปลกกันของเจโตวิมุตติ.

อนึ่ง ในบรรดาธาตุ ๖ เหล่านี้ กามวิตกย่อมเกิดขึ้นในเพราะสัตว์ทั้งหลายบ้าง ในเพราะสังขารทั้งหลายบ้าง กามวิตก แม้เกิดขึ้นในเพราะสัตว์และสังขารทั้ง ๒ เป็นการทำลายกรรมบถโดยแท้ แต่ความพยาบาท เกิดขึ้นในสัตว์ทั้งหลายอย่างเดียว ก็ทำลายกรรมบถ นอกนี้ไม่ทำลาย. แม้ในวิหิงสาก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็ในอธิการนี้ มีกถา ๒ คือ สัพพสังคาหิกะ (รวมไว้ทั้ง หมด) และอสัมภินนะ (แยกกัน).

จริงอยู่ แม้พยาปาทธาตุ และวิหิงสาธาตุ ทรงถือเอาด้วยศัพท์ว่า กามธาตุ ก็แลความพยาบาทและวิหิงสานี้แม้ทั้ง ๒ ก็นำออกแล้วๆ จากกามธาตุนั่นเองทรงแสดงไว้ เพราะฉะนั้น กถานี้พึงทราบว่าชื่อ สัพพสังคาหิกกถา ในที่นี้ก่อน. ส่วนกถาที่ตรัสว่า เว้นพยาปาทและวิหิงสาธาตุแล้ว ธรรมที่เหลือ แม้ทั้งหมด เป็นกามธาตุเท่านั้น ดังนี้ นี้ ชื่อว่า อสัมภินนกถา.

อัพยาปาทธาตุ และอวิหิงสาธาตุ พระองค์ทรงถือเอาแม้ด้วยศัพท์ว่า เนกขัมมธาตุนั้นแหละ ก็ความไม่พยาบาทและความไม่เบียดเบียนแม้ทั้ง ๒ นั้น พระองค์ก็ทรงนำออกแล้วๆ จากเนกขัมมธาตุมาแสดง เพราะฉะนั้น กถานี้ จึงชื่อว่า สัพพสังคาหิกกถา แม้ในที่นี้. กถานี้ว่า อัพยาปาทธาตุและอวิหิงสาธาตุ ที่เหลือ ชื่อว่า เนกขัมมธาตุ ดังนี้ ชื่อว่า อสัมภินนกถา.

อนึ่ง ธาตุ ๖ เหล่านี้ ทรงถือเอาแล้ว ธาตุ ๑๘ ก็ชื่อว่า ทรงถือเอาแล้วเหมือนกัน เพราะธาตุแม้ทั้งหมดเหล่านั้นอันบุคคลนำออกแล้วๆ จากกามธาตุก็ได้ธาตุ ๑๘ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เมื่อว่าโดยธาตุหมวด ๖ ทั้ง

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 249

สามหมวด ก็ย่อมได้ธาตุ ๑๘ แต่ถ้าไม่ถือเอาธาตุด้วยอาการอย่างนี้ ก็พึงทราบ ว่า ในหมวดธาตุ ๖ แต่ละหมวดกระทำให้เป็นหมวดละ ๑๘ โดยนัยที่กล่าวแล้ว แม้ย่นธาตุ ๑๘ ทั้งหมดเหล่านั้นเป็นอันเดียวกัน ก็จะมีเพียง ๑๘ เท่านั้น. ใน สุตตันตภาชนีย์นี้ กามธาตุ ๑๖ ที่เป็นไปในภูมิ ๓ มี ๒ ธาตุ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า วาระว่าด้วยสัมมสนะ (การพิจารณา) ในอธิการแห่งธาตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ด้วยประการฉะนี้.

วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบ

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 250

อภิธรรมภาชนีย์

[๑๒๔] ธาตุ ๑๘ คือ

๑. จักขุธาตุ

๒. รูปธาตุ

๓. จักขุวิญญาณธาตุ

๔. โสตธาตุ

๕. สัททธาตุ

๖. โสตวิญญาณธาตุ

๗. ฆานธาตุ

๘. คันธธาตุ

๙. ฆานวิญญาณธาตุ

๑๐. ชิวหาธาตุ

๑๑. รสธาตุ

๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ

๑๓. กายธาตุ

๑๔. โผฏฐัพพธาตุ

๑๕. กายวิญญาณธาตุ

๑๖. มโนธาตุ

๑๗. ธรรมธาตุ

๑๘. มโนวิญญาณธาตุ.

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 251

[๑๒๕] ในธาตุ ๑๘ นั้น จักขุธาตุ เป็นไฉน?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ (๑) นี้เรียกว่า บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า จักขุธาตุ.

รูปธาตุ เป็นไฉน?

รูปใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ ได้แก่ สี ฯลฯ นี้เรียกว่า รูปธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รูปธาตุ.

จักขุวิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยจักขุปสาทและรูปารมณ์เกิด นี้เรียกว่า จักขุวิญญาณธาตุ.

[๑๒๖] โสตธาตุ เป็นไฉน?

โสตะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า โสตธาตุ.

สัททธาตุ เป็นไฉน?

เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เห็นไม่ได้ กระทบได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า สัททธาตุบ้าง นี้เรียกว่า สัททธาตุ.

โสตวิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ โสตวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยโสตปสาทและสัททารม์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า โสตวิญญาณธาตุ.


(๑) ความที่ ฯลฯ ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ พึงดูความเต็มในธรรมสังคณีปกรณ์ตั้งแต่ข้อ (๕๑๖) เป็นลำดับไป

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 252

[๑๒๗] ฆานธาตุ เป็นไฉน?

ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ฆานธาตุ.

คันธธาตุ เป็นไฉน?

กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า คันธธาตุบ้าง นี้เรียกว่า คันธธาตุ.

ฆานวิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนาตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ ฆานวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยฆานปสาทและคันธารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ฆานวิญญาณธาตุ.

[๑๒๘] ชิวหาธาตุ เป็นไฉน?

ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า ชิวหาธาตุ.

รสธาตุ เป็นไฉน?

รสใด อาศัยมหาภูตรูป เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ ฯลฯ นี้เรียกว่า รสธาตุบ้าง นี้เรียกว่า รสธาตุ.

ชิวหาวิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ ชิวหาวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยชิวหาปสาทและรสารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ชิวหาวิญญาณธาตุ.

 
  ข้อความที่ 54  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 253

[๑๒๙] กายธาตุ เป็นไฉน?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า บ้านว่างบ้าง นี้เรียกว่า กายธาตุ.

โผฏฐัพพธาตุ เป็นไฉน?

ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้เรียกว่า โผฏฐัพพาธาตุบ้าง นี้เรียกว่า โผฏฐัพพธาตุ.

กายวิยญาณธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยกายปสาทและโผฏฐัพพารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า กายวิญญาณธาตุ.

[๑๓๐] มโนธาตุ เป็นไฉน?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งกาเกิดดับของจักขุวิญญาณธาตุ จิต ฯลฯ ของโสตวิญญาณธาตุ จิต ฯลฯ ของฆานวิญญาณธาตุ จิต ฯลฯ ของชิวหาวิญญาณธาตุ จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับ แห่งการเกิดดับของกายวิญญาณธาตุ หรือความพิจารณาอารมณ์ที่แรกในธรรมทั้งปวง นี้เรียกว่า มโนธาตุ.

ธรรมธาตุ เป็นไฉน?

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ นับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ.

ในธรรมธาตุนั้น เวทนาขันธ์ เป็นไฉน?

 
  ข้อความที่ 55  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 254

เวทนาขันธ์หมวดละ ๑ คือ เวทนาขันธ์เป็นผัสสสัมปยุต เวทนาขันธ์หมวดละ ๒ คือ เวทนาขันธ์ เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ. เวทนาขันธ์หมวดละ ๓ คือ เวทนาขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ เวทนาขันธ์หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า เวทนาขันธ์.

สัญญาขันธ์ เป็นไฉน?

สัญญาขันธ์หมวดละ ๑ คือ สัญญาขันธ์เป็นผัสสสัมปยุต. สัญญาขันธ์หมวดละ ๒ คือ สัญญาขันธ์เป็นสเหตุกะ เป็นอเหตุกะ. สัญญาขันธ์หมวดละ ๓ คือ สัญญาขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ สัญญาขันธ์หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า สัญญาขันธ์.

สังขารขันธ์ เป็นไฉน?

สังขารขันธ์หมวดละ ๑ คือ สังขารขันธ์เป็นจิตตสัมปยุต. สังขารขันธ์หมวดละ ๒ คือ สังขารขันธ์เป็นเหตุ เป็นนเหตุ. สังขารขันธ์หมวดละ ๓ คือ สังขารขันธ์เป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นอัพยากฤต ฯลฯ สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า สังขารขันธ์.

รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ นับเนื่องในธรรมายตนะ เป็นไฉน?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร นี้เรียกว่า รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้ นับเนื่องในธรรมายตนะ.

อสังขตธาตุ เป็นไฉน?

ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อสังขตธาตุ. สภาวธรรมนี้เรียกว่า ธรรมธาตุ.

 
  ข้อความที่ 56  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 255

มโนวิญญาณธาตุ เป็นไฉน?

มโนธาตุเกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของจักขุวิญญาณธาตุ จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับแม้ของมโนธาตุอีกชั้นหนึ่ง มโนธาตุเกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของโสตวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุ เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของฆานวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุเกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของชิวหาวิญญาณธาตุ ฯลฯ มโนธาตุเกิดในลำดับแห่งการเกิดดับของกายวิญญาณธาตุ จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน เกิดในลำดับแห่งการเกิดดับแม้ของมโนธาตุอีกชั้นหนึ่ง จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อาศัยมโนและธรรมารมณ์เกิดขึ้น นี้เรียกว่า มโนวิญญาณธาตุ.

อภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงธาตุแม้ทั้งหมดในอภิธรรมภาชนีย์ โดยรวบรัดเท่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อฏฺารส ธาตุโย จกฺขุธาตุ รูปธาตุ (ธาตุ ๑๘ คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ) ดังนี้. ในการวรรณนาอภิธรรมภาชนีย์นั้น พึงทราบวาระด้วยอุเทศก่อน.

อตฺถโต ลกฺขณาทีหิ กมตาวตฺวสํขโต

ปจฺจยา อถ ทฏฺพฺพา เวทิตพฺโพ วินจฺฉโย

 
  ข้อความที่ 57  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 256

พึงทราบวินิจฉัยโดยอรรถ โดยลักษณะเป็นต้น โดยลำดับ โดยมีจำนวนเท่านั้น โดยการนับ โดยปัจจัย และโดยเป็นธรรมที่ควรเห็น.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยอรรถ

บรรดาอุทเทสเหล่านั้น คำว่า โดยอรรถ พึงทราบวินิจฉัยโดยอรรถที่แปลกกันของธรรมมีจักขุเป็นต้น โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ที่ชื่อว่า จักขุ เพราะอรรถว่า ย่อมเห็น ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่า ย่อมแสดงตนให้ปรากฏ ความรู้ (วิญญาณ) ทางจักขุ ชื่อว่า จักขุวิญญาณ ดังนี้ก่อน.

ส่วนโดยไม่แปลกกันมีวินิจฉัย ดังนี้

ที่ชื่อว่า ธาตุ เพราะอรรถว่า ย่อมจัดแจง เพราะอรรถว่าย่อมทรงไว้ เพราะอรรถว่าเป็นการจัดแจง เพราะอรรถว่าเป็นเหตุทรงไว้โดยประการต่างๆ หรือเพราะอรรถว่าเป็นที่ทรงไว้.

จริงอยู่ ธาตุทั้งหลายที่เป็นโลกีย์ เป็นธาตุที่กำหนดไว้โดยความเป็นเหตุ ย่อมจัดแจงสังสารทุกข์ไว้หลายประการ เหมือนธาตุที่เป็นทองและเงินเป็นต้น ที่บุคคลจัดทำเป็นทองและเงินเป็นต้น อนึ่ง ธาตุทั้งหลายอันสัตว์ย่อมทรงไว้ คือรองรับไว้ เหมือนของหนักที่แบกไปอยู่. อนึ่ง ธาตุเหล่านี้ชื่อว่า เป็นเพียงจัดแจงทุกข์ไว้เท่านั้น เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ อนึ่ง ธาตุเหล่านั้นเป็นเหตุให้พวกสัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวไปสู่สังสารทุกข์ อนึ่ง ธาตุที่เป็นเหตุเหล่านี้ เป็นที่ตั้ง คือเป็นที่ยังสังสารทุกข์ให้สถิตอยู่ ในบรรดาจักขุเป็นต้น

 
  ข้อความที่ 58  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 257

ธรรมแต่ละอย่างท่านเรียกว่า ธาตุ ด้วยอรรถว่า ย่อมจัดแจง ย่อมทรงไว้ เป็นต้น ด้วยอำนาจการมีอยู่ ตามที่มีอยู่จริง ดังพรรณนามาฉะนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ขึ้นชื่อว่า อัตตาของพวกเดียรถีย์ย่อมไม่มีโดยภาวะของตนฉันใด ธาตุเหล่านี้ย่อมเป็นฉันนั้น หามิได้ ก็ที่เรียกว่า ธาตุ เพราะ อรรถว่า ย่อมทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน เปรียบเหมือนส่วนแห่งศิลามีหรดาลและมโนศิลาเป็นต้น อันวิจิตรในโลก เรียกว่า ธาตุ ฉันใด ธาตุ (มีจักขุเป็นต้น) แม้เหล่านั้น ก็เรียกว่าธาตุฉันนั้นเหมือนกัน เพราะธาตุอันธรรมเหล่านั้นเป็น อวัยวะที่พึงรู้ได้ด้วยญาณเท่านั้น หรือว่าในส่วนทั้งหลายมีรสและเลือดเป็นต้น ซึ่งกำหนดด้วยลักษณะที่ตรงกันข้ามซึ่งกันและกัน อันเป็นส่วนของกายที่ตั้งขึ้น คือ สรีระ ท่านเรียกชื่อว่า ธาตุ ฉันใด ในส่วนของอัตภาพกล่าวคือเบญจขันธ์ แม้นี้ ก็พึงทราบว่า ชื่อว่า ธาตุ ฉันนั้นนั่นแหละ เพราะว่า จักขุเป็นต้น เหล่านี้ ท่านกำหนดโดยลักษณะที่ต่างซึ่งกันและกัน.

อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ธาตุ นี้ เป็นเพียงชื่อของสิ่งปราศจากชีวะ จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธาตุ เพื่อถอนความสำคัญว่ามี ชีวะไว้ในคำทั้งหลายมีอาทิว่า ฉ ธาตุโร อยํ ภิกฺขุ ปุริโส (ดูก่อนภิกษุ คน นี้มีธาตุ ๖) ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า ชื่อว่า จักขุธาตุ เพราะอรรถว่า เป็นจักขุด้วย เป็นธาตุด้วย ฯลฯ ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ เพราะอรรถว่า เป็นมโนวิญญาณด้วย เป็นธาตุด้วย โดยอรรถตามที่กล่าวแล้วแล.

พึงทราบวินิจฉัยในธาตุนี้โดยอรรถอย่างนี้ก่อน.

 
  ข้อความที่ 59  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 258

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยลักษณะเป็นต้น

ก็คำว่า โดยลักษณะเป็นต้น ในที่นี้ พึงทราบวินิจฉัยโดยลักษณะเป็นต้นเหล่านั้น แห่งธรรมมีจักขุเป็นต้นเหล่านั้น โดยนัยตามที่กล่าวไว้ใน หนหลังนั้นแล.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยลำดับ

ในข้อว่า โดยลำดับ แม้ในที่นี้ บรรดาลำดับทั้งหลายมีลำดับแห่งการเกิดเป็นต้นตามที่กล่าวไว้ก่อน ลำดับคือการแสดง (เทศนา) เท่านั้นสมควร ก็ลำดับแห่งการแสดงนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ด้วยอำนาจการกำหนดตามลำดับเหตุและผล. จริงอยู่ สองบทคือ จักขุธาตุและรูปธาตุ นี้เป็นเหตุ คำว่า จักขุวิญญาณธาตุ นี้เป็นผล. พึงทราบวินิจฉัยในบท ทั้งปวงโดยลำดับดังกล่าวมานี้.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยมีจำนวนเท่านั้น

ข้อว่า โดยมีจำนวนเท่านั้น ได้แก่ โดยจำนวนมีอยู่เท่านั้น คำนี้มี อธิบายว่า ก็ในบทแห่งพระสูตรและพระอภิธรรมเหล่านั้นๆ ธาตุแม้อื่นๆ ย่อมปรากฏมีอาทิอย่างนี้ว่า อาภาธาตุ สุภธาตุ อากาสานัญจายตนธาตุ วิญญาณัญจายตนธาตุ อากิญจัญญายตนธาตุ เนวสัญญานาสัญญายตนธาตุ สัญญาเวทยิตนิโรธธาตุ กามธาตุ พยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ เนกขัมมธาตุ อัพยาปาทธาตุ อวิหิงสาธาตุ สุขธาตุ ทุกขธาตุ โสมนัสสธาตุ โทมนัสสธาตุ อุเปกขาธาตุ อวิชชาธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ หีนธาตุ มัชฌิมธาตุ ปณีตธาตุ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ


(๑) ลำดับมี ๕ ตามที่กล่าวไว้ในเชิงอรรถหน้า ๑๖๘

 
  ข้อความที่ 60  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 259

วิญญาณธาตุ สังขตธาตุ อสังขตธาตุ โลกเป็นอเนกธาตุ และมีธาตุต่างๆ ดังนี้. (๑)

หากมีคำถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ทรงกำหนดจำนวนธาตุทั้งหมด ทรงกำหนดไว้ ๑๘ ธาตุเท่านั้น.

ตอบว่า เพราะธาตุทุกอย่างมีอยู่โดยสภาวะรวมอยู่ภายในธาตุ ๑๘ เหล่านั้น.

จริงอยู่ อาภาธาตุก็คือรูปธาตุนั่นเอง ก็สุภธาตุเป็นธาตุที่เนื่องด้วยรูปธาตุเป็นต้น เพราะเหตุไร เพราะเป็นสุภนิมิต (เครื่องหมายของความดี) จริงอยู่ สุภนิมิต ชื่อว่า สุภธาตุ และสุภนิมิตนั้นจะพ้นไปจากรูปเป็นต้น ก็ไม่มี. อีกอย่างหนึ่ง สุภธาตุก็คือรูปธาตุเป็นต้นที่เป็นอารมณ์ของกุศลวิบากนั่นแหละ เพราะฉะนั้น สุภธาตุนี้จึงเป็นเพียงรูปธาตุเป็นต้นนั่นเอง. จิตใน อากาสานัญจายตนธาตุเป็นต้นได้แก่มโนวิญญาณธาตุ. ธาตุที่เหลือเป็นธรรมธาตุ. ส่วนสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุโดยสภาวะย่อมไม่มี เพราะสัญญาเวทยิตนิโรธธาตุนั้นเป็นเพียงการดับธาตุทั้งสอง (คือสัญญาและเวทนา) เท่านั้น.

อีกอย่างหนึ่ง กามธาตุย่อมเป็นเพียงธรรมธาตุ เหมือนอย่างพระดำรัส ที่ตรัสไวุ้ (ข้อ ๑๒๒) ว่า ตตฺถ กตมา กามธาตุ กามปฏิสํยุตฺโต ตกฺโก ฯเปฯ มิจฺฉาสงฺกปฺโป ในธาตุ ๖ กามธาตุเป็นไฉน? ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริอันประกอบด้วยกาม ฯลฯ มิจฉาสังกัปปะ นี้เรียกว่า กามธาตุ. อีกอย่างหนึ่ง กามธาตุก็คือธาตุแม้ ๑๘ อย่าง เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า เบื้องล่างนับแต่อเวจีนรกเป็นที่สุด เบื้องบนกำหนดเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นที่สุด ในระหว่างนี้ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ รูป เวทนา


(๑) ธาตุมีมาก ในที่นี้ท่านแสดงไว้ ๓๕ ธาตุ

 
  ข้อความที่ 61  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 260

สัญญา สังขาร วิญญาณอันใดซึ่งท่องเที่ยวไปในที่นี้ นับเนื่องในเขตนี้ ธรรมนี้ เรียกว่า กามธาตุ.

เนกขัมมธาตุคือธรรมธาตุนั่นเอง. อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระบาลีว่า กุศลธรรมแม้ทั้งหมด ชื่อว่า เนกขัมมธาตุ ดังนี้ เนกขัมมธาตุนั้นก็ย่อมเป็น มโนวิญญาณธาตุได้เหมือนกัน. พยาปาทธาตุ วิหิงสาธาตุ อัพยาปาทธาตุ อวิหิงสาธาตุ สุขธาตุ ทุกขธาตุ โสมนัสสธาตุ โทมนัสสธาตุ อุเปกขาธาตุ อวิชชาธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ ปรักกมธาตุ เป็นธรรมธาตุนั่นเอง. หีนธาตุ มัชฌิมธาตุ ปณีตธาตุ เป็นเพียงสักว่าธาตุ ๑๘ เท่านั้น เพราะ จักขุธาตุเป็นต้นที่เป็นหีนะ (เลว) ชื่อว่า หีนธาตุ จักขุเป็นต้นที่เป็นมัชฌิมะ และปณีตะก็จัดเป็นมัชฌิมธาตุ และปณีตธาตุ.

แต่เมื่อว่าโดยนิปปริยาย (โดยตรง) ธรรมธาตุและมโนวิญญาณธาตุที่เป็นอกุศล เป็นหีนธาตุ. กุศลและอัพยากตะทั้ง ๒ ที่เป็นโลกิยะก็ดี จักขุธาตุเป็นต้นก็ดี เป็นมัชฌิมธาตุ ส่วนธรรมธาตุและมโนวิญญาณธาตุที่เป็นโลกุตระ เป็นปณีตธาตุ. ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ก็คือโผฏฐัพพธาตุ นั่นเอง. อาโปธาตุ และอากาศธาตุ ก็คือธรรมธาตุ วิญญาณธาตุย่อมเข้าในวิญญาณธาตุ ๗ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น. ธาตุ ๑๗ และส่วนหนึ่งแห่งธรรมธาตุ เป็นสังขตธาตุ แต่ส่วนหนึ่งแห่งธรรมธาตุนั้นแหละ เป็นอสังขตธาตุ ก็โลกที่เป็นอเนกธาตุและนานาธาตุ เป็นสักแต่ว่าประเภทของธาตุ ๑๘ เท่านั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธาตุไว้ ๑๘ เท่านั้น เพราะทั้งหมดมีโดยสภาวะ รวมอยู่ภายในแห่งธาตุ ๑๘ นั้น ดังพรรณหามาฉะนี้.

อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสธาตุไว้ ๑๘ เท่านั้น เพื่อจะถอนความสำคัญว่ามีชีวะของสัตว์ผู้มีความสำคัญว่ามีชีวะในวิญญาณซึ่งมีการรู้อารมณ์

 
  ข้อความที่ 62  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 261

เป็นสภาวะ. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายผู้มีความสำคัญว่ามีชีวะในวิญญาณซึ่งมีการรู้อารมณ์เป็นสภาวะมีอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เพื่อจะถอนขึ้นซึ่งความสำคัญว่ามีชีวะอันนอนเนื่องอยู่สิ้นกาลนานของสัตว์เหล่านั้น จึงประกาศความ มีมากมายแห่งธาตุนั้นโดยแยกเป็นจักขุวิญญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ และมโนวิญญาณธาตุ และประกาศความที่ธาตุเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยง เพราะต้องเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัยมีจักขุและรูปเป็นต้น จึงทรงประกาศธาตุไว้ ๑๘ อย่าง อนึ่ง เหตุอะไรๆ อื่นยิ่งที่พระองค์ทรงประกาศธาตุ ๑๘ อย่าง ด้วยอำนาจอัชฌาศัยของเวไนยสัตว์และด้วยอำนาจอัชฌาศัยเวไนยสัตว์โดยเทศนาที่ไม่ย่อและไม่พิสดาร เกินไปนี้โดยแท้.

จริงอยู่ ความมืดในหทัยของเวไนยสัตว์ จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัด ได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ได้ โดยประการใดๆ พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยนัยอันย่อและพิสดาร โดยประการ นั้นๆ แล.

พึงทราบวินิจฉัยในธาตุนี้ โดยจำนวนมีเท่านั้นอย่างนี้.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยการนับ

ข้อว่า โดยการนับ คือ ว่าโดยชาติ จักขุธาตุ ได้แก่ จักขุประสาท ย่อมถึงการนับว่าเป็นธรรมอันหนึ่งเท่านั้นก่อน โสตธาตุ ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ

 
  ข้อความที่ 63  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 262

กายธาตุ รูปธาตุ สัททธาตุ คันธธาตุ รสธาตุ ก็เป็นอย่างละหนึ่งเหมือนกัน ด้วยอำนาจเป็นโสตประสาทเป็นต้น แต่โผฏฐัพพธาตุย่อมถึงการนับว่าเป็น ธรรม ๓ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ.

จักขุวิญญาณธาตุย่อมถึงการนับว่าเป็นธรรม ๒ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งวิบากที่เป็นกุศลและอกุศล. โสตวิญญาณธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาวิญญาณธาตุ กายวิญญาณธาตุ ก็ถึงการนับว่าเป็นธรรมอย่างละ ๒ อย่างเหมือนกัน. แต่มโนธาตุย่อมถึงการนับว่าเป็นธรรม ๓ อย่าง คือ ด้วยสามารถเป็นอาวัชชนะของปัญจทวาร ๑ ด้วยสามารถเป็นสัมปฏิจฉันนะของกุศลวิบาก ๑ ของอกุศลวิบาก ๑ ธรรมธาตุย่อมถึงการนับว่าเป็นธรรม ๒๐ คือ ด้วยสามารถแห่งอรูปขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) ด้วยสามารถแห่งสุขุมรูป ๑๖ (๑) และด้วยสามารถ แห่งอสังขตธาตุ ๑. มโนวิญญาณธาตุ ย่อมถึงการนับว่าเป็นธรรม ๗๖ อย่าง ด้วยสามารถแห่งวิญญาณที่เป็นกุศล อกุศล และอัพยากตะที่เหลือแล.

พึงทราบวินิจฉัยในธาตุนี้โดยการนับอย่างนี้.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยปัจจัย

ข้อว่า โดยปัจจัย พึงทราบวินิจฉัยโดยความที่จักขุธาตุเป็นต้น เป็นปัจจัยในจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็ความที่จักขุธาตุเป็นต้นเหล่านั้นเป็นปัจจัยนั้นจักแจ่มแจ้งในนิเทศวาร.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยเป็นธรรมควรเห็น

ข้อว่า โดยเป็นธรรมควรเห็น พึงทราบวินิจฉัยในธาตุนี้ โดยเป็นธรรมที่ควรเห็น เพราะสังขตธาตุทั้งหมดทีเดียวพึงเห็นโดยความเป็นของ


(๑) สุขุมรูป ๑๖ คือ อาโปธาตุ ๑ หทัยรูป ๑ อาหารรูป ๑ ชีวิตรูป ๑ ปริจเฉทรูป ๑ ภาวรูป ๒ วิญญัตติรูป ๒ ลหุตารูป ๓ ลักขณรูป ๔

 
  ข้อความที่ 64  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 263

ว่างจากที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลาย โดยความเป็นของสูญจากความยั่งยืน ความงาม ความสุข ความเป็นอัตตา และโดยความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัย.

ก็ว่าโดยความแปลกกันในอธิการแห่งธาตุนี้ จักขุธาตุ พึงเห็นเหมือนพื้นกลอง รูปธาตุ พึงเห็นเหมือนไม้ตี จักขุวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนเสียงกลอง. อนึ่ง จักขุธาตุ พึงเห็นเหมือนพื้นกระจก รูปธาตุ พึงเห็นเหมือนหน้า จักขุวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนนิมิตของหน้า (เงาหน้า). อีกอย่างหนึ่ง จักขุธาตุ พึงเห็นเหมือนลำอ้อยและเมล็ดงา รูปธาตุ พึงเห็นเหมือนเครื่องหีบ จักขุวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนน้ำอ้อยและน้ำมันงา. อนึ่ง จักขุธาตุ พึงเห็นเหมือนไม้สีไฟอันล่าง รูปธาตุ พึงเห็นเหมือนไม้สีไฟอันบน จักขุวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนไฟ. ในโสตธาตุเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน.

ส่วน มโนธาตุ ว่าโดยตามที่เกิดขึ้นพึงเห็นเหมือนการเที่ยวไปก่อน (เกิดก่อน) และเที่ยวไปตาม (เกิดหลัง) ของธาตุมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ว่าโดยธรรมธาตุ เวทนาขันธ์ พึงเห็นเหมือนลูกศรและหลาว สัญญาและ สังขารขันธ์ พึงเห็นเหมือนคนกระสับกระส่าย เพราะถูกลูกศรและหลาว คือ เวทนาเสียบแทง. อีกอย่างหนึ่ง สัญญา ของพวกปุถุชน พึงเห็นเหมือน กำมือเปล่าเพราะเกิดความหวังอันเป็นทุกข์ และเหมือนเนื้อป่าเพราะถือนิมิตตามความเป็นจริงไม่ได้ สังขารทั้งหลาย พึงเห็นเหมือนบุรุษโยนของใส่หลุมถ่านเพลิง เพราะการส่งจิตไปปฏิสนธิ เป็นเหมือนพวกโจรถูกราชบุรุษติดตาม เพราะการติดตามของชาติทุกข์ และพึงเห็นเหมือนเมล็ดพืชต้นไม้มีพิษ เพราะเป็น เหตุแห่งความสืบต่อของขันธ์ อันนำมาซึ่งความฉิบหายทั้งปวง. รูป พึงเห็นเหมือนจักรกรด เพราะเป็นเครื่องหมายของอุปัทวะมีนานาชนิด.

 
  ข้อความที่ 65  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 264

แต่อสังขตธาตุ พึงเห็นโดยความเป็นอมตะ โดยความเป็นธรรมสงบ และโดยเป็นธรรมเกษม เพราะเหตุไร? เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อความฉิบหายทั้งมวล. มโนวิญญาณธาตุ พึงเห็นเหมือนลิงในป่าใหญ่ เพราะแม้ปล่อยอารมณ์ที่ตนจับไว้แล้วก็ยึดอารมณ์อื่นเป็นไปอีก เป็นเหมือนม้ากระจอก เพราะฝึกได้ยาก เป็นเหมือนท่อนไม้ที่โยนไปในอากาศ เพราะจะตกไปในอารมณ์ที่มันชอบ และเป็นเหมือนนักเต้นรำบนเวที เพราะประกอบด้วยกิเลสมีประการต่างๆ โดยมีโลภะและโทสะเป็นต้น.

พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศวาร ต่อไป (๑)

คำว่า จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ (อาศัยจักขุประสาทและรูปารมณ์) อธิบายว่า เพราะอาศัยจักขุประสาทและรูปารมณ์ทั้ง ๒ นี้ด้วย เพราะอาศัยธรรมอื่น คือ กิริยามโนธาตุและขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) ที่สัมปยุตด้วย เพราะจักขุ (ประสาท) เป็นนิสสยปัจจัย รูปเป็นอารัมมณปัจจัย กิริยามโนธาตุ (อาวัชชนจิต) เป็นวิคตปัจจัย อรูปขันธ์ ๓ (เวทนา สัญญา สังขารขันธ์) เป็นสหชาตปัจจัยของจักขุวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณธาตุนี้ จึงชื่อว่า ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ๔ เหล่านี้. แม้ในคำว่า อาศัยโสตประสาทเป็นต้นนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า นิรุทฺธสมนนฺตรา (๒) ตัดบทเป็น นิรุทฺธาย สมนนฺตรา แปลว่า ในลำดับแห่งการดับของจักขุวิญญาณธาตุ.

บทว่า ตชฺชา มโนธาตุ (มโนธาตุที่สมกัน) ได้แก่ มโนธาตุ ๒ อย่าง โดยเป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก ซึ่งเกิดในอารมณ์นั้นทำหน้าที่รับอารมณ์.


(๑) บาลีข้อ ๑๒๕ หน้า ๘๐๘

(๒) บาลีข้อ ๑๓๐ หน้า ๑๑๐

 
  ข้อความที่ 66  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 265

ข้อว่า สพฺพธมฺเมสุ วา ปน ปมสมนฺนาหาโร (หรือว่า ความพิจารณาอารมณ์ทีแรกในธรรมทั้งปวง) ความว่า เมื่อธรรมทั้งปวงมีจักขุวิญญาณเป็นต้นเหล่านี้เกิดขึ้น (มโนธาตุนี้) ก็พิจารณาอารมณ์ก่อน อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า มโนธาตุนี้พิจารณาอารมณ์ทีแรกในธรรมทั้งปวงกล่าวคืออารมณ์ของจักขุวิญญาณธาตุเป็นต้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอา กิริยามโนธาตุ (อาวัชชนจิต) ที่ทำกิจพิจารณาอารมณ์ทางปัญจทวารด้วยบทว่า สพฺพธมฺเมสุ วา ปน ปมสมนฺนาหาโร นี้.

ปิอักษร ในข้อว่า มโนธาตุยาปิ อุปฺปชฺชิตวา นิรุทฺธสมนนฺตรา นี้ มีอรรถว่า ประมวลมา เพราะฉะนั้น ในที่นี้ว่า มโนธาตุยาปิ มโนวิญญาณธาตุยาปิ (เมื่อมโนธาตุก็ดี เมื่อมโนวิญญาณธาตุก็ดี) พึงทราบเนื้อความว่า เมื่อมโนธาตุที่เป็นวิบาก (สัมปฏิจฉันนจิต) เกิดขึ้นดับไปแล้ว มโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบาก (สันติรณจิต) อันใดเกิดขึ้นทำกิจพิจารณาอารมณ์ต่อกันทันที เมื่อมโนวิญญาณธาตุที่เป็นวิบากนั้นเกิดขึ้นดับไปแล้ว มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกิริยา (โวฏฐัพพนจิต) อันใดเกิดขึ้นทำกิจตัดสินอารมณ์ ต่อจากนั้น เมื่อมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกิริยานั้นเกิดขึ้นดับไปแล้ว มโนวิญญาณธาตุอันใดเกิดขึ้นทำกิจชวนะในลำดับติดต่อกัน มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พึงทราบว่า ตรัสไว้ด้วยบทว่า มโนธาตุยาปิ นั้น ดังนี้.

บทว่า มนญฺจ ปฏิจฺจ (อาศัยมโน) ได้แก่ ภวังคจิต. บทว่า ธมฺเม จ (ธรรมารมณ์) ได้แก่ ธรรมารมณ์อันเป็นไปในภูนิ ๔. คำว่า อุปฺปชฺชติ วิญฺานํ

 
  ข้อความที่ 67  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 266

(มโนวิญญาณเกิดขึ้น) ได้แก่ ชวนจิตพร้อมกับอาวัชชนจิตย่อมเกิดขึ้น ก็ในฐานะนี้ พระมหาเถระทั้งหลายถือเอาปัญหาที่ได้เคยยึดถือกันมาแล้ว ได้ยินว่า พระมหาธัมมรักขิตเถระได้จับมือพระทีฆภาณกอภัยเถระกล่าวว่า ในอาคตสถานชื่อว่า ปฏิจฺจ (อาศัย) ดังนี้ ไม่ควรทำอาวัชชนจิตให้แยกกัน (กับภวังคจิต) ควรทำอาวัชชนจิตให้อาศัยภวังคจิตเท่านั้น เพราะฉะนั้น คำว่า มโน ในที่นี้ จึงได้แก่ ภวังคจิตพร้อมทั้งอาวัชชนจิต. ในคำว่า มโนวิญญาณ นี้ ก็ได้แก่ มโนวิญญาณคือชวนะ ดังนี้.

ก็ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ตรัสธาตุที่เป็นกามาวจร ๑๖ อย่าง ธาตุที่เป็นไปในภูมิ ๔ เจือกันไปทั้งโลกิยะและโลกุตระ ๒ อย่าง ด้วยประการฉะนี้.

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ

 
  ข้อความที่ 68  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 267

ปัญหาปุจฉกะ

[๑๓๑] ธาตุ ๑๘ คือ

๑. จักขุธาตุ

๒. รูปธาตุ

๓. จักขุวิญญาณ

๔. โสตธาตุ

๕. สัททธาตุ

๖. โสตวิญญาณธาตุ

๗. ฆานธาตุ

๘. คันธธาตุ

๙. ฆานวิญญาณธาตุ

๑๐. ชิวหาธาตุ

๑๑. รสธาตุ

๑๒. ชิวหาวิญญาณธาตุ

๑๓. กายธาตุ

๑๔. โผฏฐัพพธาตุ

๑๕. กายวิญญาณธาตุ

๑๖. มโนธาตุ

๑๗. ธรรมธาตุ

๑๘. มโนวิญญาณธาตุ.

 
  ข้อความที่ 69  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 268

ติกมาติกาปุจฉา - ทุกมาติกาปุจฉา

บรรดาธาตุ ๑๘ ธาตุไหนเป็นกุศล ธาตุไหนเป็นอกุศล ธาตุไหนเป็นอัพยากฤต ฯลฯ ธาตุไหนเป็นสรณะ ธาตุไหนเป็นอรณะ.

ติกมาติกาวิสัชนา

[๑๓๒] ธาตุ ๑๖ เป็นอัพยากฤต ธาตุ ๒ เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นอัพยากฤตก็มี ธาตุ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัปยุต แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต ธาตุ ๕ เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต กายวิญญาณธาตุ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี มโนวิญญาณธาตุ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี ธรรมธาตุ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นทุกขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรม ธาตุ ๕ เป็นวิบาก มโนธาตุเป็นวิบากก็มี เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี ธาตุ ๒ เป็นวิบากก็มี เป็นวิปากธัมมธรรมก็มี เป็นเนววิปากนวิปากธัมมธรรมก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ สัททธาตุ เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ ธาตุ ๕ เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี ธาตุ ๒ เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะ ธาตุ ๒ เป็นสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี เป็น อสังกิลิฏฐสังกิเลสิกะก็มี เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะก็มี ธาตุ ๑๕ เป็นอวิตัก-

 
  ข้อความที่ 70  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 269

กาวิจาระ มโนธาตุเป็นสวิตักกสวิจาระ มโนวิญญาณธาตุ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี ธรรมธาตุ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี เป็นอวิตักกวิจาระก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสวิตักกสวิจาระ แม้เป็นอวิตักกวิจารมัตตะ แม้เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี ธาตุ ๑๐ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะ ธาตุ ๕ เป็นอุเปกขาสหคตะ กายวิญญาณธาตุ ไม่เป็นปีติสหคตะ เป็นสุขสหคตะ ไม่เป็นอุเปกขาสหคตะ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสุขสหคตะก็มี ธาตุ ๒ เป็นปีติสหคตะก็มี เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปีติสหคตะ แม้เป็นสุขสหคตะ แม้เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพะ ธาตุ ๒ เป็นทัสสเนนปหาตัพพะก็มี เป็นภาวนายปหาตัพพะก็มี เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกะ ธาตุ ๒ เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นเนวทัสสเนนภาวนายปหาตัพพเหตุกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นเนวาจยคามินาปจยคามี ธาตุ ๒ เป็นอาจยคามีก็มี เป็นอปจยคามีก็มี เป็นเนวาจยคามินาปจยคามีก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นเนวเสกขนาเสกะ ธาตุ ๒ เป็นเสกขะก็มี เป็นอเสกขะก็มี เป็นเนวเสกขนาเสกขะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นปริตตะ ธาตุ ๒ เป็นปริตตะก็มี เป็นมหัคคตะก็มี เป็นอัปปมาณะก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอนารัมมณะ ธาตุ ๖ เป็นปริตตารัมมณะ ธาตุ ๒ เป็นปริตตารัมมณะก็มี เป็นมหัคคตารัมมณะก็มี เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปริตตารัมมณะ แม้เป็นมหัคคตารัมมณะ แม้เป็นอัปปมาณารัมมณะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นมัชฌิมะ ธาตุ ๒ เป็นหีนะก็มี เป็นมัชฌิมะก็

 
  ข้อความที่ 71  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 270

มี เป็นปณีตะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอนิยตะ ธาตุ ๒ เป็นมิจฉัตตนิยตะก็มี เป็นสัมมัตตนิยตะก็มี เป็นอนิยตะก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอนารัมมณะ ธาตุ ๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติ ธาตุ ๒ เป็นมัคคารัมมณะก็มี เป็นมัคคเหตุกะก็มี เป็นมัคคาธิปติก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นมัคคารัมมณะ แม้เป็นมัคคเหตุกะ แม้เป็นมัคคาธิปติก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอุปปันนะก็มี เป็นอุปปาทีก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอนุปปันนะ สัททธาตุ เป็นอุปปันนะก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที ธาตุ ๖ เป็นอุปปันนะก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี เป็นอุปปาทีก็มี ธรรมธาตุ เป็นอุปปันนะก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี เป็นอุปปาทีก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปปันนะ แม้เป็นอนุปปันนะ แม้เป็นอุปปาทีก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นอดีตก็มี เป็นอนาคตก็มี เป็นปัจจุบันก็มี ธรรมธาตุ เป็นอดีตก็มี เป็นอนาคตก็มี เป็นปัจจุบันก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอดีต แม้เป็นอนาคต แม้เป็นปัจจุบันก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอนารัมมณะ ธาตุ ๖ เป็นปัจจุปันนารัมมณะ ธาตุ ๒ เป็นอตีตารัมมณะก็มี เป็นอนาคตารัมมณะก็มี เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอตีตารัมมณะ แม้เป็นอนาคตารัมมณะ แม้เป็นปัจจุปปันนารัมมณะก็มี ธาตุ ๑๘ เป็นอัชฌัตตะก็มี เป็นพหิทธาก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอนารัมมณะ ธาตุ ๖ เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี เป็นพหิทธารัมมนะก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี ธาตุ ๒ เป็นอัชฌัตตารัมมณะก็มี เป็นพหิทธารัมมณะก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอัชฌัตตารัมมณะ แม้เป็นพหิทธารัมมณะ แม้เป็นอัชฌัตตพหิทธารัมมณะก็มี รูปธาตุ เป็นสนิทัสสนสัปปฏิฆะ ธาตุ ๙ เป็นอนิทัสสนสัปปฏิฆะ ธาตุ ๘ เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะ.

 
  ข้อความที่ 72  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 271

ทุกมาติกาวิสัชนา

๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา

[๑๓๓] ธาตุ ๑๗ เป็นนเหตุ ธรรมธาตุ เป็นเหตุก็มี เป็นนเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอเหตุกะ ธาตุ ๒ เป็นสเหตุกะก็มี เป็นอเหตุกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นเหตุวิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นเหตุสัมปยุตก็มี เป็นเหตุวิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุสเหตุกะ แม้เป็นสเหตุกนเหตุ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุสเหตุกะ เป็นสเหตุกนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสเหตุกนเหตุก็มี ธรรมธาตุ เป็นเหตุสเหตุกะก็มี เป็นสเหตุกนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุสเหตุกะ แม้เป็นสเหตุกนเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุเหตุสัมปยุต แม้เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุเหตุสัมปยุต เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี ธรรมธาตุ เป็นเหตุเหตุสัมปยุตก็มี เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นเหตุเหตุสัมปยุต แม้เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนเหตุอเหตุกะ มโนวิญญาณธาตุ เป็นนเหตุสเหตุกะก็มี เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี ธรรมธาตุ เป็นนเหตุสเหตุกะก็มี เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนเหตุสเหตุกะ แม้เป็นนเหตุอเหตุกะก็มี.

๒. จูฬันตรทุกวิสัชนา

[๑๓๔] ธาตุ ๑๗ เป็นสัปปัจจยะ ธรรมธาตุ เป็นสัปปัจจยะก็มี เป็นอัปปัจจยะก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นสังขตะ ธรรมธาตุ เป็นสังขตะก็มี เป็นอสังขตะก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นอนิทัสสนะ รูปธาตุ เป็นสนิทัสสนะ ธาตุ ๑๐

 
  ข้อความที่ 73  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 272

เป็นสัปปฏิฆะ ธาตุ ๘ เป็นอัปปฏิฆะ ธาตุ ๑๐ เป็นรูป ธาตุ ๗ เป็นอรูป ธรรมธาตุ เป็นรูปก็มี เป็นอรูปก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นโลกิยะ ธาตุ ๒ เป็นโลกิยะ ก็มี เป็นโลกุตระก็มี ธาตุ ๑๘ เป็นเกนจิวิญเญยยะ เป็นเกนจินวิญเญยยะ.

๓. อาสวโคจฉกวิสัชนา

[๑๓๕] ธาตุ ๑๗ เป็นโนอาสวะ ธรรมธาตุ เป็นอาสวะก็มี เป็นโนอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสาสวะ ธาตุ ๒ เป็นสาสวะก็มี เป็นอนาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอาสววิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นอาสวสัมปยุตก็มี เป็นอาสววิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวสาสวะ เป็นสาสวโนอาสวะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวสาสวะ เป็นสาสวโนอาสวะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสาสวโนอาสวะก็มี ธรรมธาตุ เป็นอาสวสาสวะก็มี เป็นสาสวโนอาสวะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวสาสวะ แม้เป็นสาสวโนอาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวอาสวสัมปยุต แม้เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวอาสวสัมปยุต เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะก็มี ธรรมธาตุ เป็นอาสวอาสวสัมปยุตก็มี เป็นอาสวสัมปยุตตโนอาสวะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสวอาสวสัมปยุต แม้เป็นอาสวอาสวสัมปยุต แม้เป็นอาสวสัมยุตตโน อาสวะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอาสววิปปยุตตสาสวะ ธาตุ ๒ เป็นอาสววิปปยุตตสาสวะก็มี เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอาสววิปปยุตตสาสวะ แม้เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะก็มี.

 
  ข้อความที่ 74  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 273

๔. สัญโญชนโคจฉกวิสัชนา

[๑๓๖] ธาตุ ๑๗ เป็นโนสัญโญชนะ ธรรมธาตุ เป็นสัญโญชนะก็มี เป็นโนสัญโญชนะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสัญโญชนิยะ ธาตุ ๒ เป็นสัญโญชนิยะ ก็มี เป็นอสัญโญชนิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสัญโญชนวิปปยุตก็มี ธาตุ ๒ เป็นสัญโญชนสัมปยุตก็มี เป็นสัญโญชนวิปปุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสัญโญชนสัญโญชนิยะ เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสัญโญชนสัญโญชนิยะ เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะก็มี ธรรมธาตุ เป็นสัญโญชนสัญโญชนิยะก็มี เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสัญโญชนสัญโญชนิยะ แม้เป็นสัญโญชนิยโนสัญโญชนะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสัญโญชนสัญโญชนสัมปยุต แม้เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสัญโญชนสัญโญชนสัมปยุต เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะก็มี ธรรมธาตุ เป็นสัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตก็มี เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสัญโญชนสัญโญชนสัมปยุต แม้เป็นสัญโญชนสัมปยุตตโนสัญโญชนะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะ ธาตุ ๒ เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะก็มี เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยะ แม้เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยะก็มี.

๕. คันถโคจฉกวิสัชนา

[๑๓๗] ธาตุ ๑๗ เป็นโนคันถะ ธรรมธาตุ เป็นคันถะก็มี เป็นโนคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นคันถนิยะ ธาตุ ๒ เป็นคันถนิยะก็มี เป็นอคันถ-

 
  ข้อความที่ 75  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 274

นิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นคันถวิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นคันถสัมปยุตก็มี เป็นคันถวิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถคันถนิยะ เป็นคันถนิยโนคันถะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถคันถนิยะ เป็นคันนิยโนคันถะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถนิยโนคันถะก็มี ธรรมธาตุ เป็นคันถคันถนิยะก็มี เป็นคันถนิยโนคันถะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นคันถคันถนิยะ แม้เป็นคันถนิยโนคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นคันถคันถสัมปยุต แม้เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถคันถสัมปยุต เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี ธรรมธาตุ เป็นคันถคันถสัมปยุตก็มี เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นคันถคันถสัมปยุต แม้เป็นคันถสัมปยุตตโนคันถะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยะ ธาตุ ๒ เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยะก็มี เป็นคันถวิปปยุตตอคันถนิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยะ แม้เป็นคันถวิปปยุตตอคันถนิยะก็มี.

๖.-๗.-๘ โอฆโคจฉกาทิวิสัชนา

[๑๓๘] ธาตุ ๑๗ เป็นโนโอฆะ ฯลฯ ธาตุ ๑๗ เป็นโนโยคะ ฯลฯ ธาตุ ๑๗ เป็นโนนีวรณะ ธรรมธาตุ เป็นนีวรณะก็มี เป็นโนนีวรณะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนีวรณิยะ ธาตุ ๒ เป็นนีวรณิยะก็มี เป็นอนีวรณิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนีวรณวิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นนีวรณสัมปยุตก็มี เป็นนีวรณวิปปยุตก็มี ธาตุ ๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนีวรณนีวรณยะ เป็นนีวรณิยโนนีวรณะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนีวรณนีวรณิยะ เป็นนีวรณิยโนนีวรณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนีวรณิยโนนีวรณะก็มี ธรรมธาตุ เป็นนีวรณนีวรณิยะก็มี

 
  ข้อความที่ 76  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 275

เป็นนีวรณิยโนนีวรณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณนีวรณิยะ แม้เป็น นีวรณิยโนนีวรณะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต แม้เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นนีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะก็มี ธรรมธาตุ เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุตก็มี เป็น นีวรณสัมปยุตตโนนีวรณะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณนีวรณสัมปยุต แม้เป็นนีวรณสัมปยุตคตโนนีวรณะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนีวรณวิปปยุตตนีวรณิยะ ธาตุ ๒ เป็นนีวรณวิปปยุตตนีวรณิยะก็มี เป็นนีวรณวิปปยุตตอนีวรณิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนีวรณวิปปยุตตนีวรณิยะ แม้เป็นนีวรณวิปปยุตตอนีวรณิยะก็มี.

๙. ปรามาสโคจฉกวิสัชนา

[๑๓๙] ธาตุ ๑๗ เป็นโนปรามาสะ ธรรมธาตุ เป็นปรามาสะก็มี เป็นโนปรามาสะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นปรามัฏฐะ ธาตุ ๒ เป็นปรามัฏฐะก็มี เป็นอปรามัฏฐะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นปรามาสวิปปยุต มโนวิญญาณธาตุ เป็น ปรามาสสัมปยุตก็มี เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี ธรรมธาตุ เป็นปรามาสสัมปยุตก็มี เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปรามาสสัมปยุต แม้เป็นปรามาสวิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสปรามัฏฐะ เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามาสปรามัฏฐะ เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี ธรรมธาตุ เป็นปรามาสปรามัฏฐะก็มี เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี กล่าว ไม่ได้ว่า แม้เป็นปรามาสปรามัฏฐะ แม้เป็นปรามัฏฐโนปรามาสะก็มี ธาตุ ๑๖

 
  ข้อความที่ 77  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 276

เป็นปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐะ ธาตุ ๒ เป็นปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐะก็มี เป็นปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐะ แม้เป็นปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐะก็มี.

๑๐. มหันตรทุกวิสัชนา

[๑๔๐] ธาตุ ๑๐ เป็นอนารัมมณะ ธาตุ ๗ เป็นสารัมมณะ ธรรมธาตุ เป็นสารัมมณะก็มี เป็นอนารัมมณะก็มี ธาตุ ๑๑ เป็นโนจิตตะ ธาตุ ๗ เป็น จิตตะ ธาตุ ๑๗ เป็นอเจตสิกะ ธรรมธาตุ เป็นเจตสิกะก็มี เป็นอเจตสิกะก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นจิตตวิปปยุต ธรรมธาตุ เป็นจิตตสัมปยุตก็มี เป็นจิตตวิปปยุต ก็มี ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นจิตตสัมปยุต แม้เป็นจิตตวิปปยุต ธาตุ ๑๐ เป็นจิตตวิสังสัฏฐะ ธรรมธาตุ เป็นจิตตสังสัฏฐะก็มี เป็นจิตตวิสังสัฏฐะก็มี ธาตุ ๗ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นจิตตสังสัฏฐะ แม้เป็นจิตตวิสังสัฏฐะ ธาตุ ๑๒ เป็นโนจิตตสมุฏฐานะ ธาตุ ๖ เป็นจิตตสมุฏฐานะก็มี เป็นโนจิตตสมุฏฐานะก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นโนจิตตสหภู ธรรมธาตุ เป็นจิตตสหภูก็มี เป็นโนจิตตสหภูก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นโนจิตตานุปริวัตติ ธรรมธาตุ เป็นจิตตานุปริวัตติก็มี เป็นโนจิตตานุปริวัตติก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะ ธรรมธาตุ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะก็มี เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภู ธรรมธาตุ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูก็มี เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูก็มี ธาตุ ๑๗ เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานนุปริวัตติ ธรรมธาตุ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติก็มี เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติก็มี ธาตุ ๑๒ เป็นอัชฌัตติกะ ธาตุ ๖ เป็นพาหิระ ธาตุ ๙

 
  ข้อความที่ 78  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 277

เป็นอุปาทา ธาตุ ๘ เป็นนอุปาทา ธรรมธาตุ เป็นอุปาทาก็มี เป็นนอุปาทาก็มี ธาตุ ๑๐ เป็นอุปาทินนะ สัททธาตุ เป็นอนุปาทินนะ ธาตุ ๗ เป็นอุปาทินนะก็มี เป็นอนุปาทินนะก็มี.

๑๑. อุปาทานโคจฉกวิสัชนา

[๑๔๑] ธาตุ ๑๗ เป็นนอุปาทานะ ธรรมธาตุ เป็นอุปาทานะก็มี เป็นนอุปาทิานะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอุปาทานิยะ ธาตุ ๒ เป็นอุปาทานิยะก็มี เป็นอนุปาทานิยะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอุปาทานวิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นอุปาทานสัมปยุตก็มี เป็นอุปาทานวิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานอุปาทานิยะ เป็นอุปาทษนิยโนอุปาทานะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานอุปาทานิยะ เป็นอุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็น อุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี ธรรมธาตุ เป็นอุปาทานอุปาทานิยะก็มี เป็น อุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานิยะ แม้เป็นอุปาทานิยโนอุปาทานะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานสัมปยุต แม้เป็นอุปาทานสัมยุตตโนอุปาทานะก็มี มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานอุปาทานสัมปยุต เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี ธรรมธาตุ เป็นอุปาทาน อุปาทานสัมปยุตก็มี เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานอุปาทานสัมปยุต แม้เป็นอุปาทานสัมปยุตตโนอุปาทานะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยะ ธาตุ ๒ เป็นอุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยะก็มี เป็นอุปาทานวิปปยุตตอนุปาทานิยะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยะ แม้เป็นอุปาทานวิปปยุตตอนุปาทานิยะก็มี

 
  ข้อความที่ 79  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 278

๑๒. กิเลสโคจฉกวิสัชนา

[๑๔๒] ธาตุ ๑๗ เป็นโนกิเลสะ ธรรมธาตุ เป็นกิเลสะก็มี เป็นโนกิเลสะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสังกิเลสิกะ ธาตุ ๒ เป็นสังกิเลสิกะก็มี เป็นอสังกิเลสิกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอสังกิลิฏฐะ ธาตุ ๒ เป็นสังกิลิฏฐะก็มี เป็นอสังกิลิฏฐะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นกิเลสวิปปยุต ธาตุ ๒ เป็นกิเลสสัมปยุตก็มี เป็นกิเลสวิปปยุตก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสสังกิเลสิกะ เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสสังกิเลสิกะ เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสะก็มี ธรรมธาตุ เป็นกิเลสังกิเลสิกะก็มี เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสสังกิเลสิกะ แม้เป็นสังกิเลสิกโนกิเลสะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสสังกิลิฏฐะ แม้เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสสังกิลิฏฐะ เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี ธรรมธาตุ เป็นสังกิเลสสังกิลิฏฐะก็มี เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสสังกิลิฏฐะ แม้เป็นสังกิลิฏฐโนกิเลสะก็มี ธาตุ ๑๖ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุต แม้เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะ มโนวิญญาณธาตุ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุต เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะก็มี ธรรมธาตุ เป็นกิเลสกิเลสสัมปยุตก็มี เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเสสกิเลสสัมปยุต แม้เป็นกิเลสสัมปยุตตโนกิเลสะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะ ธาตุ ๒ เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะก็มี เป็นกิเลสวิปปยุตตอสังกิเสสิกะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกะ แม้เป็นกิเลสวิปปยุตตอสังกิเลสิกะก็มี.

 
  ข้อความที่ 80  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 279

๑๓. ปิฏฐิทุกวิสัชนา

[๑๔๓] ธาตุ ๑๖ เป็นนทัสสเนนปหาตัพพะ ธาตุ ๒ เป็นทัสสเนนปหาตัพพะก็มี เป็นนทัสสเนนปหาตัพพะก็มี ธาตุ ๖ เป็นนภาวนายปหาตัพพะ ธาตุ ๒ เป็นภาวนายปหาตัพพะก็มี เป็นนภาวนายปหาตัพพะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนทัสสเนนปหาตัพพเหตุกะ ธาตุ ๒ เป็นทัสสเนนปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นนทัสสเนนปหาตัพพเหตุกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนภาวนายปหาตัพพเหตุกะ ธาตุ ๒ เป็นภาวนายปหาตัพพเหตุกะก็มี เป็นนภาวนายปหาตัพพเหตุกะก็มี ธาตุ ๑๕ เป็นอวิตักกะ มโนวิญญาณธาตุเป็นสวิตักกะ ธาตุ ๒ เป็นสวิตักกะก็มี เป็นอวิตักกะก็มี ธาตุ ๑๕ เป็นอวิจาระ มโนธาตุ เป็นสวิจาระ ธาตุ ๒ เป็นสวิจาระก็มี เป็นอวิจาระก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอัปปีติกะ ธาตุ ๒ เป็นสัปปีติกะก็มี เป็นอัปปีติกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนปีติสหคตะ ธาตุ ๒ เป็นปีติสหคตะก็มี เป็นนปีติสหคตะก็มี ธาตุ ๑๕ เป็นนสุขสหคตะ ธาตุ ๓ เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นนสุขสหคตะก็มี ธาตุ ๑๑ เป็นนอุเปกขาสคหคะ ธาตุ ๕ เป็นอุเปกขาสหคตะ ธาคุ ๒ เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี เป็นนอุเปกขาสหคตะก็มี ธาตุ ๖ เป็นกามาวจร ธาตุ ๒ เป็นกามาวจรก็มี เป็นนกามาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นนรูปาวจร ธาตุ ๒ เป็นรูปาวจรก็มี เป็นนรูปาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอรูปาวจร ธาตุ ๒ เป็นอรูปาวจรก็มี เป็นนอรูปาวจรก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นปริยาปันนะ ธาตุ ๒ เป็นปริยาปันนะก็มี เป็นอปริยาปันนะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอนิยยานิกะ ธาตุ ๒ เป็นนิยยานิกะก็มี เป็นอนิยยานิกะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอนิยตะ ธาตุ ๒ เป็นนิยตะก็มี

 
  ข้อความที่ 81  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 15 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 280

เป็นอนิยตะก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นสอุตตระ ธาตุ ๒ เป็นสอุตตระก็มี เป็นอนุตตระก็มี ธาตุ ๑๖ เป็นอรณะ ธาตุ ๒ เป็นสรณะก็มี เป็นอรณะก็มี ฉะนี้แล.

ปัญหาปุจฉกะ จบ

ธาตุวิภังค์ จบบริบูรณ์

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ (๑)

ก็ในปัญหาปุจฉกะ บัณฑิตพึงทราบความที่ธาตุทั้ง ๑๘ เป็นเป็นต้น โดยทำนองแห่งนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ ส่วนในอารัมมณติกะทั้งหลาย คำว่า ฉ ธาตุโย ปริตฺตารมฺมณา (ธาตุ ๖ เป็นปริตตารัมมณะ) นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาความเป็นไปของวิญญาณ ๕ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น และมโนธาตุ ในอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้นโดยส่วนเดียว แต่พึงทราบความที่ธรรมธาตุและมโนวิญญาณธาตุที่ตรัสว่า เทฺว ธาตุโย (ธาตุ ๒) ดังนี้ เป็นปริตตารัมมณะเป็นต้น โดยนัยที่กล่าวไว้ในมนายตนะและธรรมายตนะนั่นแหละ ในปัญหาปุจฉกะแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสธาตุที่เป็นกามาวจร ๑๖ เป็นไปในภูมิ ๔ ปนกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ ๒ อย่าง ดังพรรณนามาฉะนี้ ธาตุวิภังค์นี้ พระผู้มีพระภาคเจาก็ทรงนำออกจำแนกแสดงไว้ ๓ ปริวรรค (คือโดยสุตตันตภาชนีย์ อภิธรรมภาชนีย์ และปัญหาปุจฉกะ) ด้วยประการฉะนี้แล.

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ จบ

ธาตุวิภังคนิเทศที่ ๓ จบเพียงเท่านี้


(๑) พระบาลีข้อ ๑๓๒ หน้า ๑๑๔

 
หัวข้อถัดไป
หัวข้อก่อนหน้า

หน้าบัญชีเรื่อง