๙. อิทธิปาทวิภังค์
[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒
๙. อิทธิปาทวิภังค์
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร หน้า 198
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร หน้า 200
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร หน้า 202
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร หน้า 203
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร หน้า 205
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร หน้า 206
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร หน้า 207
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร หน้า 209
ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา หน้า 212
๒ - ๙. จูฬันตรทุกาทิวิสัชนา หน้า 214
๑๑ - ๑๓. อุปาทานโคจฉกาทิวิสัชนา หน้า 215
อรรถกถาอิทธิปาทวิภังค์ หน้า 216
กรรมฐานอันถึงซึ่งที่สุดของภิกษุ ๔ จําพวก หน้า 220
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 78]
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 198
๙. อิทธิปาทวิภังค์
สุตตันตภาชนีย์
[๕๐๕] อิทธบาท ๔ คือ
๑. ภิกษุในศาสนานี้ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
๒. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร
๓. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร
๔. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
[๕๐๖] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขารเป็นอย่างไร?
ถ้าภิกษุทำฉันทะให้เป็นอธิบดีแล้วจึงได้สมาธิ ได้เอกัคคตาแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า ฉันทสมาธิ ภิกษุนั้นทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียรเพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ทำฉันทะให้เกิดพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่ ความไม่สาบสูญ ความ
กพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 199
ภิญโญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว สภาวธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร.
ฉันทสมาธิและปธานสังขารดังกล่าวมานี้ ประมวลย่อ ๒ อย่างนั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า ฉันทสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๐๗] ในบทเหล่านั้น ฉันทะ เป็นไฉน?
ความพอใจ การทำความพอใจ ความใคร่เพื่อจะทำ ความฉลาด ความพอใจในธรรม นี้เรียกว่า ฉันทะ.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบสมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่น ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระความประคับประคองธุระไว้ด้วยดี วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ สัมมาวายามะอันใดนี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้าไปถึงแล้วด้วยดี เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี เข้าถึงแล้วด้วยดี ประกอบแล้วด้วยฉันทะ สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 200
[๕๐๘] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร
[๕๐๙] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขารเป็นอย่างไร?
ถ้าภิกษุทำความเพียรให้เป็นอธิบดีแล้วจึงได้สมาธิ ได้เอกัคคตาแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า วิริยสมาธิ ภิกษุนั้นทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ เพื่อสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นให้เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่ ความไม่สาบสูญ ความภิญโญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว สภาวธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร.
วิริยสมาธิและปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ประมวลย่อ ๒ อย่างนั้นเข้าเป็นอันเดียวกัน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า วิริยสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 201
[๕๑๐] ในบทเหล่านั้น วิริยะ เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียกว่าวิริยะ.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงแห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบสมาธินทรีย์ สมาธิพละ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุ เป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยวิริยะ สมาธิและปธานสังขารดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้นจึงเรียกว่า ประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๑๑] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 202
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร
[๕๑๒] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขารเป็นอย่างไร?
ถ้าภิกษุทำจิตให้เป็นอธิบดีแล้วจึงได้สมาธิ ได้เอกัคคตาแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า จิตตสมาธิ. ภิกษุนั้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ เพื่อสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่ ความไม่สาบสูญ ความภิญโญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว สภาวธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร.
จิตตสมาธิและปธานสังขารดังกล่าวมานี้ ประมวลย่อ ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นอันเดียวกัน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า จิตตสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๑๓] ในบทเหล่านั้น จิต เป็นไฉน?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่าจิต.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียกว่าปธานสังขาร.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 203
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยจิต สมาธิและปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๑๔] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรม เหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร
[๕๑๕] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธาน สังขารเป็นอย่างไร?
ถ้าภิกษุทำปัญญาให้เป็นอธิบดีแล้วจึงได้สมาธิ ได้เอคัคคตาแห่งจิต สมาธินี้เรียกว่า วีมังสาสมาธิ ภิกษุนั้นทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภ ความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อป้องกันบาปอกุศลธรรมที่ยัง ไม่เกิดขึ้นมิให้เกิดขึ้น ฯลฯ เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ เพื่อ สร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ทำฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ทำความเพียร เพื่อความดำรงอยู่ ความไม่สาบสูญ ความภิญโญยิ่ง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว สภาวธรรมเหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 204
วีมังสาสมาธิและปธานสังขารดังกล่าวมานี้ ประมวลย่อ ๒ อย่างนั้น เข้าเป็นอันเดียวกัน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า วีมังสาสมาธิปธานสังขาร ด้วย ประการฉะนี้.
[๕๑๖] ในบทเหล่านั้น วีมังสา เป็นไฉน?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด นี้เรียกว่า วีมังสา.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียก ว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้วด้วยวีมังสา สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยวีมังสา. สมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๑๗] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท. สุตตันตภาชนีย์ จบ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 205
อภิธรรมภาชนีย์
[๕๑๘] อิทธิบาท ๔ คือ ภิกษุในศาสนานี้
๑. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
๒. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร
๓. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร
๔. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิปธานสังขาร
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
[๕๑๙] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขารเป็นอย่างไร?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิทาทันธาภิญญาอยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร.
[๕๒๐] ในบทเหล่านั้น ฉันทะ เป็นไฉน?
ความพอใจ การทำความพอใจ ความใคร่เพื่อจะทำ ความฉลาด ความพอใจในธรรม อันใด นี้เรียกว่า ฉันทะ.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 206
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้าไปถึงแล้วด้วยดี เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี เข้าถึงแล้ว เข้าถึงแล้วด้วยดี ประกอบแล้ว ด้วยฉันทะ สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๒๑] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ ผัสสะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร
[๕๒๒] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร เป็นอย่างไร?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 207
[๕๒๓] ในบทเหล่านั้น วิริยะ เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนืองในมรรค อันใด นี้เรียกว่า วิริยะ.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภควานเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้วด้วยวิริยะ สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยวิริยสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๒๔] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้ดี ความดี ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ ผัสสะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร
[๕๒๕] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร เป็นอย่างไร?
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 208
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติ และสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร.
[๕๒๖] ในบทเหล่านั้น จิต เป็นไฉน?
จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียก ว่า จิต.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว ฯลฯ ประกอบแล้วด้วยจิต สมาธิ และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยจิตสมาธิ ปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๒๗] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การ สำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ ผัสสะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 209
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร
[๕๒๘] ก็ภิกษุ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร เป็นอย่างไร?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติ และสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ในสมัยนั้น ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร.
[๕๒๙] ในบทเหล่านั้น วีมังสา เป็นไฉน?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า วีมังสา.
สมาธิ เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ สมาธิสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า สมาธิ.
ปธานสังขาร เป็นไฉน?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค อันใด นี้เรียกว่า ปธานสังขาร.
ภิกษุเป็นผู้เข้าไปถึงแล้ว เข้าไปถึงแล้วด้วยดี เข้ามาถึงแล้ว เข้ามาถึงแล้วด้วยดี เข้าถึงแล้ว เข้าถึงแล้วด้วยดี ประกอบแล้วด้วยวีมังสา สมาธิ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 210
และปธานสังขาร ดังกล่าวมานี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ประกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร ด้วยประการฉะนี้.
[๕๓๐] คำว่า อิทธิ ได้แก่ ความสำเร็จ ความสำเร็จด้วยดี การสำเร็จ การสำเร็จด้วยดี ความได้ ความได้อีก ความถึง ความเข้าถึงด้วยดี ความถูกต้อง ความกระทำให้แจ้ง ความเข้าถึง ซึ่งธรรมเหล่านั้น.
คำว่า อิทธิบาท ได้แก่ ผัสสะ ฯลฯ ปัคคาหะ อวิกเขปะ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมเหล่านั้น.
คำว่า เจริญอิทธิบาท ได้แก่ ย่อมเสพ เจริญ ทำให้มาก ซึ่งธรรมเหล่านั้น ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เจริญอิทธิบาท.
[๕๓๑] อิทธิบาท ๔ คือ
๑. ฉันทิทธิบาท
๒. วิริยิทธิบาท
๓. จิตติทธิบาท
๔. วีมังสิทธิบาท
ฉันทิทธิบาท
[๕๓๒] ในอิทธิบาท ๔ นั้น ฉันทิทธิบาท เป็นไฉน?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ความพอใจ การทำความพอใจ ความใคร่เพื่อจะทำ ความฉลาด ความพอใจในธรรม ในสมัยนั้น อันใด นี้เรียกว่า ฉันทิทธิบาท. ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฉันทิทธิบาท.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 211
วิริยิทธิบาท
[๕๓๓] วิริยิทธิบาท เป็นไฉน?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ วิริยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้เรียกว่า วิริยิทธิบาท. ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยวิริยิทธิบาท.
จิตติทธิบาท
[๕๓๔] จิตติทธิบาท เป็นไฉน?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติ และสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด จิต มโน มานัส ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน อันใด นี้เรียกว่า จิตติทธิบาท. ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยจิตติทธิบาท.
วีมังสิทธิบาท
[๕๓๕] วีมังสิทธิบาท เป็นไฉน?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญ โลกุตตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลกให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 212
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา อยู่ในสมัยใด ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค ในสมัยนั้น อันใด นี้เรียกว่า วีมังสิทธิบาท. ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยวีมังสิทธิบาท.
อภิธรรมภาชนีย์ จบ
ปัญหาปุจฉกะ
[๕๓๖] อิทธิบาท ๔ คือ ภิกษุในศาสนานี้
๑. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร
๒. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมธิปธานสังขาร
๓. เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิปธานสังขาร
๔. เจริญอิทธิบาทอันปรกอบด้วยวีมังสาสมาธิปธานสังขาร
ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา
บรรดาอิทธิบาท ๔ อิทธิบาทไหนเป็นกุศล อิทธิบาทไหนเป็นอกุศล อิทธิบาทไหนเป็นอัพยากตะ ฯลฯ อิทธิบาทไหนเป็นสรณะ อิทธิบาทไหนเป็นอรณะ?
ติกมาติกาวิสัชนา
[๕๓๗] อิทธิบาท ๔ เป็นกุศลอย่างเดียว.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 213
อิทธิบาท ๔ เป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต ก็มี.
อิทธิบาท ๔ เป็นวิปากธัมมธรรม.
อิทธิบาท ๔ เป็นอนุปาทินนานุปาทานิยะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นสวิตักกสวิจาระก็มี เป็นอวิตักกวิจารมัตตะก็มี เป็นอวิตักกาวิจาระก็มี.
อิทธิบาท ๔ เป็นปีติสหคตะก็มี เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี.
อิทธิบาท ๔ เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพะ
อิทธิบาท ๔ เป็นเนวทัสสเนนนภาวนายปหาตัพพเหตุกะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอปจยคามี.
อิทธิบาท ๔ เป็นเสกขะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอัปปมาณะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอัปปมาณารัมมณะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นปณีตะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นสัมมัตตนิยตะ.
อิทธิบาท ๔ ไม่เป็นมัคคารัมมณะ เป็นมัคคเหตุกะ ไม่เป็นมัคคาธิปติ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอุปปันนะก็มี เป็นอนุปปันนะก็มี กล่าวไม่ได้ว่า เป็นอุปปาที.
อิทธิบาท ๔ เป็นอดีตก็มี เป็นอนาคตก็มี เป็นปัจจุบันก็มี.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 214
อิทธิบาท ๔ กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นอตีตารัมมณะ เป็นทั้งอนาคตารัมมณะ เป็นทั้งปัจจุปปันนารัมมณะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอัชฌัตตะก็มี เป็นพหิทธาก็มี เป็นอัชฌัตตพหิทธาก็มี.
อิทธิบาท ๔ เป็นพหิทธารัมมณะ.
อิทธิบาท ๔ เป็นอนิทัสสนอัปปฏิฆะ.
ทุกมาติกาวิสัชนา
๑. เหตุโคจฉกวิสัชนา
[๕๓๘] วีมังสิทธิบาทเป็นเหตุ อิทธิบาท ๓ เป็นเหตุ, อิทธิบาท ๔ เป็นสเหตุกะ, อิทธิบาท ๔ เป็นเหตุสัมปยุต, วีมังสิทธิบาท เป็นเหตุสเหตุกะ, อิทธิบาท ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุสเหตุกะ แต่เป็นสเหตุกนเหตุ, วีมังสิทธิบาท เป็นเหตุเหตุสัมปยุต, อิทธิบาท ๓ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นเหตุสัมปยุต เป็นเหตุสัมปยุตตนเหตุ, อิทธิบาท ๓ เป็นนเหตุสเหตุกะ, วีมังสิทธิบาท กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นนเหตุสเหตุกะ แม้เป็นนเหตุอเหตุกะ,
๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, จูฬันตรทุกาทิวิสัชนา
[๕๓๙] อิทธิบาท ๔ เป็นสัปปัจจยะ, อิทธิบาท ๔ เป็นสังขตะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอนิทัสสนะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอัปปฏิฆะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอรูป, อิทธิบาท ๔ เป็นโลกุตตระ, อิทธิบาท ๔ เป็นเกนจิวิญเญยยะ, เป็นเกนจินวิญเญยยะ, อิทธิบาท ๔ เป็นโนอาสวะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอนาสวะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอาสววิปปยุต, อิทธิบาท ๔ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นทั้งอาสวสาสวะ เป็นทั้ง
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 215
สาสวโนอาสวะ, อิทธิบาท ๔ กล่าวไม่ได้ว่า เป็นทั้งอาสวอาสวสัมปยุต เป็นทั้งอาสวสัมปยุตตโนอาสวะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวะ, อิทธิบาท ๔ เป็นโนสัญโญชนะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนคันถะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนโอฆะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนโยคะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนนีวรณะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนปรามาสะ ฯลฯ
๑๐. มหันตรทุกวิสัชนา
[๕๔๐] อิทธิบาท ๔ เป็นสารัมมณะ, อิทธิบาท ๓ เป็นโนจิตตะ, จิตติทธิบาท เป็นจิตตะ, อิทธิบาท ๓ เป็นเจตสิกะ, จิตติทธิบาท เป็นอเจตสิกะ, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสัมปยุต, จิตติทธิบาท กล่าวไม่ได้ว่า เป็นทั้งจิตตสัมปยุต เป็นทั้งจิตตวิปปยุต, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสังสัฏฐะ, จิตติทธิบาท กล่าวไม่ได้ว่าแม้เป็นจิตตสังสัฏฐะ แม้เป็นจิตตวิสังสัฏฐะ, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสมุฏฐานะ, จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตสมุฏฐานะ, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสหภู, จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตสหภู, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตานุปริวัตติ, จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตานุปริวัตติ, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะ,จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานะ, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภู, จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภู, อิทธิบาท ๓ เป็นจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติ, จิตติทธิบาท เป็นโนจิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติ, อิทธิบาท ๓ เป็นพาหิระ, จิตติทธิบาท เป็นอัชฌัตติกะ, อิทธิบาท ๔ เป็นนอุปาทา, อิทธิบาท ๔ เป็นอนุปาทินนะ.
๑๑,๑๒,๑๓, อุปาทานโคจฉกาทิวิสัชนา
[๕๔๑] อิทธิบาท๔ เป็นนอุปาทานะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นโนกิเลสะ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ เป็นนทัสสเนนปหาตัพพะ, อิทธิบาท ๔ เป็นนภาวนายปหา-
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 216
ตัพพ, อิทธิบาท ๔ เป็นนทัสสเนนปหาตัพพเหตุกะ, อิทธิบาท ๔ เป็นนภาวนายปหาตัพพเหตุกะ, อิทธิบาท ๔ เป็นสวิตักกะก็มี เป็นอวิตักกะก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นสวิจาระก็มี เป็นอวิจาระก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นสัปปีติกะก็มี เป็นอัปปีติกะก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นปีติสหคตะก็มี เป็นนปีติสหคตะก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นสุขสหคตะก็มี เป็นนสุขสหคตะก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นอุเปกขาสหคตะก็มี เป็นนอุเปกขาสหคตะก็มี, อิทธิบาท ๔ เป็นนกามาวจร, อิทธิบาท ๔ เป็นนรูปาวจร, อิทธิบาท ๔ เป็นนอรูปาวจร, อิทธิบาท ๔ เป็นอปริยาปันนะ, อิทธิบาท ๔ เป็นนิยยานิกะ, อิทธิบาท ๔ เป็นนิยตะ, อิทธิบาท ๔ เป็นอนุตตระ, อิทธิบาท ๔ เป็นอรณะ ฉะนี้แล.
ปัญหาปุจฉกะ จบ
อิทธิปาทวิภังค์ จบบริบูรณ์
อรรถกถาอิทธิปาทวิภังค์
วรรณนาสุตตันตภาชนีย์
บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยใน อิทธิปาทวิภังค์ อันเป็นลำดับต่อจาก สัมมัปปธานวิภังค์ นั้น ต่อไป.
คำว่า ๔ เป็นคำกำหนดจำนวน. ในคำว่า อิทฺธิปาทา นี้ ชื่อว่า อิทธิ (ฤทธิ์) เพราะอรรถว่า ย่อมรุ่งเรือง อธิบายว่า ย่อมรุ่งเรืองด้วยดี คือ ย่อมสำเร็จ. อีกอย่างหนึ่งสัตว์ทั้งหลายผู้สำเร็จ ผู้เจริญ ย่อมสำเร็จ ย่อมถึง ความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยสภาวะนี้ แม้เพราะเหตุนั้น สภาวะนั้น จึงชื่อว่า
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 217
อิทธิ. ว่าโดยอรรถที่หนึ่ง ปาโท บาท คือ อิทธินั่นแหละ ชื่อว่า อิทธิบาท อธิบายว่า เป็นส่วนหนึ่งของอิทธิ. ว่าโดยอรรถที่สอง ชื่อว่า อิทธิบาท เพราะเป็นบาทแห่งอิทธิ. คำว่า ปาโท ได้แก่ เป็นที่อาศัย คือ เป็นอุบายเครื่องบรรลุ. จริงอยู่ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมถึง ย่อมบรรลุซึ่ง อิทธิ กล่าวคือคุณวิเศษที่สูงๆ ขึ้นไปด้วยอุบายเป็นเครื่องบรรลุนั้น ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ปาทะ (คือ เป็นบาท). บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในคำว่า จตฺตาโร อิทฺธิปาทา (อิทธิบาท ๔) นี้ ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงจำแนกแสดงอิทธิบาทเหล่านั้น จึงเริ่มคำว่า อิธ ภิกฺขุ เป็นอาทิ. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า อิธ ภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุในพระศาสนานี้. ในคำว่า ฉนฺทสมาธิปธานสงฺขารสมนฺนาคตํ นี้ ได้แก่สมาธิ มีฉันทะเป็นเหตุ มีฉันทะอันยิ่ง ชื่อว่าฉันทสมาธิ. คำว่า ฉันทสมาธิ นี้ เป็นชื่อของสมาธิอันได้เฉพาะแล้ว เพราะกระทำกัตตุกัมมยตาฉันทะให้เป็นอธิบดี. สังขารทั้งหลายอันเป็นประธาน ชื่อว่า ปธานสังขาร. คำว่า ปธานสังขาร นี้ เป็นชื่อของความเพียรที่เป็นสัมมัปปธานซึ่งยังกิจ ๔ อย่างให้สำเร็จ. คำว่า สมนฺนาคตํ ได้แก่ เข้าไปถึงแล้วด้วย ฉันทสมาธิและปธานสังขารทั้งหลาย. คำว่า อิทฺธิปาทํ อธิบายว่า กองแห่งจิตและเจตสิกที่เหลือชื่อว่าเป็นบาท เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นแห่งฉันทสมาธิและปธานสังขารทั้งหลาย อันสัมปยุตด้วยกุศลจิตมีอุปจาระและฌาน เป็นต้น อันถึงซึ่งการนับว่าอิทธิโดยปริยายแห่งความสำเร็จ คือ โดยอรรถ แห่งความสำเร็จ (อรรถที่หนึ่ง) หรือว่า โดยปริยาย (คือ อรรถที่สอง) นี้ว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้สำเร็จ ผู้เจริญ ย่อมสำเร็จ ย่อมถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยสภาวะนี้ ดังนี้. จริงอยู่คำว่า อิทฺธิปาโท ข้างหน้า ที่ท่านกล่าวว่า
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 218
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ของบุคคลผู้บรรลุธรรมโดยอาการนั้น อันใด คำนั้น ย่อมถูกต้องด้วยอรรถนี้. แม้ในคำที่เหลือทั้งหลาย ก็พึงทราบเนื้อ ความโดยนัยนี้. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความทีท่านกล่าวไว้ว่า เหมือนอย่างว่า สมาธิอันได้เฉพาะแล้ว เพราะกระทำฉันทะให้เป็นอธิบดี ชื่อว่า ฉันทสมาธิ ฉันใดนั่นแหละ สมาธิอันได้เฉพาะแล้ว เพราะกระทำ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ให้เป็นอธิบดี ท่านก็เรียกว่าวิริยสมาธิ จิตตสมาธิ วีมังสาสมาธิฉันนั้น เถิด.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงจำแนกแสดงบททั้งหลายมี ฉันทสมาธิเป็นต้น จึงเริ่มคำว่า กถญฺจ ภิกฺขุ เป็นอาทิ. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ฉนฺทญฺจ ภิกฺขุ อธิปตึ กริตฺวา ความว่า ถ้าภิกษุทำฉันทะให้เป็นอธิบดี ทำฉันทะให้เจริญ ทำฉันทะให้เป็นธุระ ทำฉันทะให้เป็นหัวหน้าแล้วได้เฉพาะซึ่งสมาธิ คือ ย่อมให้สมาธิเกิดขึ้น. อธิบายว่า สมาธินี้อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ฉันทสมาธิ. แม้ในคำทั้งหลายมีคำ ว่า วิริยญฺเจ (แปลว่า ถ้าภิกษุทำความเพียร) เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. วิริยะอันยังกิจ ๔ อย่างให้สำเร็จ กล่าวคือปธานสังขารของภิกษุผู้เจริญอยู่ซึ่งฉันทิทธิบาท ท่านกล่าวแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้ว่า อิเม วุจฺจนฺติ ปธานสงฺขารา (แปลว่า สภาวธรรมเหล่านี้เรียกว่า ปธานสังขาร). คำว่า ตเทกชฺฌํ อภิสญฺญูหิตฺวา (แปลว่า ประมวลย่อ ๒ อย่างเข้าเป็นอันเดียวกัน) อธิบายว่า กระทำสภาวะแม้ทั้งหมดนั้นให้เป็นกองเดียวกัน. คำว่า สํขยํ คจฺฉติ อธิบายว่า ฉันทสมาธิปธานสังขารนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมถึงโวหารเดียวกัน ด้วยประการฉะนี้.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 219
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงจำแนกแสดงธรรมมีฉันทะเป็นต้น ที่ประชุมลงในบทว่าฉันทสมาธิปธานสังขารนี้ จึงเริ่มคำว่า ตตฺถ กตโม ฉนฺโท เป็นอาทิ. คำนั้น มีอรรถตื้นทั้งนั้น แล.
คำว่า อุเปโต โหติ คือ กองแห่งธรรมกล่าวคือ อิทธิบาทเป็นสภาวะที่เข้าไปถึงแล้ว. คำว่า เตสํ ธมฺมานํ คือ ธรรมมีฉันทะเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยปธานสังขารเหล่านั้น.
คำทั้งปวงมีคำว่า อิทฺธิ สมิทฺธิ เป็นต้น เป็นคำไวพจน์ของ นิปฺผตฺติ (คือ ความสำเร็จ อรรถแรก) ทั้งนั้น. เมื่อความเป็นอย่างนั้น ท่านจึงเรียกว่า อิทธิ เพราะอรรถว่า ความสำเร็จ. อิทธิอันสมบูรณ์แล้ว ท่านเรียกว่า สมิทธิ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมิทธิ นี้ เป็นบทที่เจริญแล้วด้วยอุปสรรค. อาการแห่งความสำเร็จ ท่านเรียกว่า อิชฺฌนา ความสำเร็จ. บทว่า สมิชฺฌนา เป็นบทที่เจริญด้วยอุปสรรค. ความได้ด้วยสามารถแห่งการปรากฏในสันดานของตน ท่านเรียกว่า ลาภะ. ความได้แม้ซึ่งธรรมอันเสื่อมไปแล้วด้วยสามารถแห่งการเริ่มความเพียรอีก ท่านเรียกว่า ปฏิลาภะ ความได้อีก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปฏิลาภะนี้ เป็นบทที่เจริญขึ้นด้วยอุปสรรค. บทว่า ปตฺติ (การถึง) คือ การบรรลุ. การบรรลุด้วยดีด้วยสามารถแห่งการไม่เสื่อมไป ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า สัมปัตติ (ความถึงด้วยดี). คำว่า ผุสนา (ความถูกต้อง) คือการถูกต้องด้วยสามารถแห่งความได้อีก (ปฏิลาภะ). คำว่า สจฺฉิกิริยา คือความกระทำให้แจ้งด้วยปฏิลาภะนั่นแหละ. คำว่า อุปสมฺปทา (ความเข้าถึง) บัณฑิตพึงทราบว่า ความเข้าถึงด้วยปฏิลาภะเหมือนกัน. คำว่า ตถาภูตสฺส ได้แก่ ของบุคคลผู้ปรากฏแล้วโดยอาการนั้น อธิบายว่า บุคคลผู้ได้เฉพาะแล้วซึ่งธรรมมีฉันทะเป็นต้นเหล่านั้นแล้วดำรงอยู่. ขันธ์แม้ทั้ง ๔
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 220
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยคำว่า เวทนากฺขนฺโธ เป็นต้น โดยกระทำฉันทะเป็นต้นไว้ภายใน. คำว่า เต ธมฺเม ได้แก่ อรูปขันธ์ทั้ง ๔ เหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง คำนี้ท่านกล่าวว่า ธรรมทั้ง ๓ (คือ ฉันทะ สมาธิ ปธานสังขาร) มีฉันทะเป็นต้น. คำว่า อาเสวติ เป็นต้น มีอรรถตามที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นแหละ. แม้ในนิทเทสแห่งอิทธิบาทที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้เหมือนกัน.
ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ ท่านกล่าวไว้อย่างไร พึงทราบดังนี้.
กรรมฐานอันถึงซึ่งที่สุดของภิกษุ ๔ จำพวก
ท่านกล่าวกรรมฐานของภิกษุ ๔ จำพวกอันถึงที่สุด คือ ภิกษุพวกหนึ่งอาศัยฉันทะ เมื่อมีความต้องการด้วยฉันทะในกุศลธรรมของผู้ใคร่เพื่อจะทำมีอยู่ เธอก็กระทำฉันทะให้เป็นใหญ่ ทำฉันทะให้เป็นธุระ ทำฉันทะให้เป็น หัวหน้า ด้วยการคิดว่า เราจักยังโลกุตตรธรรมให้เกิด ความหนักใจของเราด้วยการเกิดขึ้นแห่งฉันทะนี้ไม่มีดังนี้ แล้วจึงยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น ภิกษุพวกหนึ่งอาศัยวิริยะ ภิกษุพวกหนึ่งอาศัยจิตตะ ภิกษุพวกหนึ่งอาศัยปัญญาอยู่ เมื่อมีความต้องการด้วยปัญญา เธอก็จะกระทำปัญญาให้เป็นใหญ่ ทำปัญญาให้เป็นธุระ ทำปัญญาให้เป็นหัวหน้า ด้วยการคิดว่า เราจักยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น ความหนักใจด้วยการเกิดขึ้นแห่งปัญญานี้ของเราไม่มี ดังนี้แล้วจึงยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น.
เหมือนอย่างว่า บุตรของอำมาตย์ ๔ คน ปรารถนาฐานันดรแล้วเที่ยวไปอยู่ คนหนึ่งอาศัยการบำรุง คนหนึ่งอาศัยความกล้า คนหนึ่งอาศัยชาติ คนหนึ่งอาศัยความรู้. คือ อย่างไร. คือว่า ในบุตรอำมาตย์เหล่านั้น คนที่หนึ่ง เมื่อมีความต้องการด้วยฐานันดร จึงคิดว่า เราจักได้ฐานันดรนั้น ดังนี้
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 221
แล้วอาศัยการบำรุง เพราะความที่ตนเป็นผู้มีปกติทำความไม่ประมาทในการบำรุง. คนที่สอง แม้มีความไม่ประมาทในการบำรุงแล้วยังคิดว่า บางคน เมื่อสงครามเกิดขึ้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะตั้งมั่น ก็แลประเทศชายแดนของพระราชาจักกำเริบแน่แท้ เมื่อประเทศชายแดนกำเริบแล้ว เราจักกระทำการงานในหน้าที่แห่งรถ (ขับรถ) จักให้พระราชาพอพระทัยแล้ว ก็จักให้นำมาซึ่งฐานันดรนั้น ดังนี้ ชื่อว่า อาศัยแล้วซึ่งความเป็นผู้กล้าหาญ. คนที่สาม แม้ความเป็นผู้กล้าหาญมีอยู่ ก็คิดว่า คนบางคนเป็นผู้มีชาติต่ำ ชนทั้งหลายเมื่อคัดเลือกชาติกำเนิดให้ฐานันดรจักให้แก่เรา ดังนี้ ชื่อว่า อาศัยแล้วซึ่งชาติ. คนที่สี่ แม้มีชาติ ก็คิดว่า บางคนไม่มีมนต์ (ความรู้) มีอยู่ เมื่อการงานที่พึงกระทำด้วยมนต์ (ความรู้) เกิดขึ้นแล้ว เราผู้มีมนต์จักให้พระราชานำมาซึ่งฐานันดรนั้น ดังนี้ จึงชื่อว่า อาศัยแล้วซึ่งมนต์. บุตรอำมาตย์เหล่านั้นทั้งหมดถึงแล้วซึ่งฐานันดรโดยกำลังแห่งภาวะอันเป็นที่อาศัย (โดยความสามารถ) ของตนๆ.
ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้อาศัยฉันทะ เมื่อมีความต้องการด้วยกุศลธรรมฉันทะของผู้ใคร่เพื่อจะทำมีอยู่ เธอจึงทำฉันทะให้เป็นใหญ่ ทำฉันทะให้เป็นธุระ ทำฉันทะให้เป็นหัวหน้า โดยคิดว่า เราจักยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น ความหนักใจด้วยการเกิดขึ้นแห่งฉันทะของเราไม่มี ดังนี้ แล้วจึงยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น บัณฑิตพึงเห็นเหมือนบุตร อำมาตย์ผู้ไม่ประมาทในการบำรุงแล้วจึงได้ฐานันดร ราวกะพระรัฐบาลเถระ. จริงอยู่ ท่านพระรัฐบาลเถระนั้นทำฉันทะให้เป็นธุระแล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น.
ภิกษุผู้ทำวิริยะให้เป็นใหญ่ ทำวิริยะให้เป็นธุระ ทำวิริยะให้เป็นหัวหน้า แล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น บัณฑิตพึงเห็นเช่นกับ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 222
บุตรอำมาตย์ ผู้ยังพระราชาให้พอพระทัย โดยความเป็นผู้กล้าหาญแล้วได้ฐานันดร ราวกะพระโสณเถระ จริงอยู่ท่านพระโสณเถระนั้น ทำวิริยะให้เป็นธุระแล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น.
ภิกษุผู้ทำจิตตะให้เป็นใหญ่ ทำจิตตะให้เป็นธุระ ทำจิตตะให้เป็นหัวหน้า แล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น บัณฑิตพึงเห็นเช่นกับบุตรอำมาตย์ผู้ได้ฐานันดร เพราะความถึงด้วยดีแห่งชาติ เป็นราวกะว่าพระสัมภูตเถระ. จริงอยู่ พระสัมภูตเถระนั้น ทำจิตตะให้เป็นธุระแล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น.
ภิกษุผู้ทำวีมังสาให้เป็นใหญ่ ทำวีมังสาให้เป็นธุระ ทำวีมังสาให้เป็นหัวหน้า แล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น บัณฑิตพึงเห็นเช่นกับบุตรอำมาตย์ผู้ได้ฐานันดร เพราะอาศัยมนต์ ราวกะพระโมฆราชเถระ. จริงอยู่ ท่านพระโมฆราชเถระนั้น ทำวีมังสาให้เป็นธุระแล้วยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น.
อนึ่ง ในอธิการนี้ ธรรมทั้ง ๓ กล่าวคือ ฉันทะ สมาธิ และปธานสังขาร เป็นอิทธิด้วย เป็นอิทธิบาทด้วย ส่วนขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันที่เหลือ เป็นอิทธิเท่านั้น. ธรรมทั้ง ๓ (อย่างละ ๓) แม้กล่าวคือ วิริยะ, จิตตะ, วิมังสา แต่ละอย่างรวมกับสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเป็นอิทธิด้วย เป็นอิทธิบาทด้วย ส่วนขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันที่เหลือ เป็นอิทธิบาทเท่านั้น.
นี้เป็นกถา ว่าโดยความไม่แตกต่างกันก่อน.
อนึ่ง เมื่อว่าโดยความแตกต่างกัน ฉันทะ ชื่อว่า อิทธิ. นามขันธ์ ๔ อันอบรมแล้วด้วยฉันทธุระ ชื่อว่า ฉันทิทธิบาท. ธรรมทั้งสองคือ สมาธิและปธานสังขาร ย่อมเข้าไปในฉันทิทธิบาท ด้วยสามารถแห่งสังขารขันธ์ แม้จะกล่าวว่า ธรรมทั้งสองนั้นเข้าไปแล้วในบาท ดังนี้ ก็ควรเหมือนกัน ในธรรม
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 223
เหล่านั้นนั่นแหละ สมาธิ ชื่อว่า อิทธิ, ขันธ์ ๔ อันอบรมแล้วด้วยสมาธิธุระ ชื่อว่า สมาทิทธิบาท. ธรรมทั้งสองคือ ฉันทะและปธานสังขาร ย่อมเข้าไปในสมาธิทธิบาท ด้วยสามารถแห่งสังขารขันธ์. แม้จะกล่าวว่า ธรรมทั้งสองนั้นเข้าไปแล้วในบาท ดังนี้ ก็ควรเหมือนกัน. ในธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ ปธานสังขาร ชื่อว่า อิทธิ. ขันธ์ ๔ อันอบรมแล้วด้วยปธานสังขาร ชื่อว่า ปธานสังขาริทธิบาท. ธรรมทั้งสองคือ ฉันทะและสมาธิ ย่อมเข้าไปในปธานสังขาริทธิบาท ด้วยสามารถแห่งสังขารขันธ์. แม้จะกล่าวว่า ธรรมทั้งสองนั้นเข้าไปแล้วในบาท ดังนี้ ก็ควรเหมือนกัน.
ในธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ วิริยะ ชื่อว่า อิทธิ, จิตตะ ชื่อว่า อิทธิ, วีมังสา ชื่อว่า อิทธิ ฯลฯ แม้จะกล่าวว่า ธรรมทั้งสองนั้นเข้าไปแล้วในบาท ดังนี้ ก็ควรเหมือนกัน. นี้ ชื่อกถาโดยความต่างกัน.
ก็ในอธิการที่ท่านได้กล่าวแล้วนี้ หาใช่เป็นของใหม่ไม่ เป็นคำที่ท่านกระทำอธิบายไว้แจ่มแจ้งแล้ว ก็ถือเอาทีเดียว. คืออย่างไร คือว่า ธรรม ๓ อย่างนี้คือ ฉันทะ สมาธิ ปธานสังขาร เป็นอิทธิก็ได้ เป็นอิทธิบาทก็ได้ ส่วนขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันที่เหลือ เป็นเพียงอิทธิบาทเท่านั้น. จริงอยู่ ธรรม ๓ เหล่านี้ เมื่อสำเร็จย่อมสำเร็จพร้อมกันกับขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันนั่นแหละ เว้นจากขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตกันแล้วหาสำเร็จได้ไม่. อนึ่ง ขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกัน ชื่อว่า อิทธิ เพราะอรรถว่าสำเร็จ ชื่อว่าเป็นบาท เพราะอรรถว่าเป็นที่อาศัย. คำว่า อิทฺธิ หรือว่า อิทฺธิปาโท มิใช่เป็นชื่อของธรรมอะไรๆ อย่างอื่น คือ เป็นชื่อของขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันนั่นแหละ. ธรรมทั้ง ๓ คือ วิริยะมาธิปธานสังขาร, จิตตมาธิปธานสังขาร, วีมังสาสมาธิปธานสังขาร ฯลฯ ก็เป็นชื่อของขันธ์ ๔ เท่านั้นเหมือนกัน.
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 224
อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบว่า ปุพพภาค (ส่วนเบื้องต้น) ชื่อว่า อิทธิบาท อันเป็นปุพพภาค ปฏิลาภะ (ส่วนที่ได้มา) ชื่อว่า อิทธิ อันเป็นปฏิลาภะ. พึงแสดงเนื้อความนี้ ด้วยอุปจาระหรือวิปัสสนา.
จริงอยู่บริกรรมของปฐมฌาน ชื่อว่า อิทธิบาท. ปฐมฌาน ชื่อว่า อิทธิ. บริกรรมแห่งทุติยะ ตติยะ จตุตถะ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ชื่อว่า อิทธิบาท, เนวสัญญานาสัญญายตนะ ชื่อว่า อิทธิ. วิปัสสนาแห่งโสดาปัตติมรรค ชื่อว่าอิทธิบาท, โสดาปัตติมรรค ชื่อว่า อิทธิ. วิปัสสนาแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ชื่อว่า อิทธิบาท. อรหัตตมรรค ชื่อว่า อิทธิ. การแสดงแม้ด้วยปฏิลาภะ ก็ควรเหมือนกัน.
จริงอยู่ ปฐมฌาน ชื่อว่า อิทธิบาท. ทุติยฌาน ชื่อว่า อิทธิ. ทุติยฌาน ชื่อว่า อิทธิบาท. ตติยฌาน ชื่อว่า อิทธิ. ฯลฯ อนาคามิมรรค ชื่อว่า อิทธิบาท. อรหัตตมรรค ชื่อว่า อิทธิ.
ถามว่า ชื่อว่า อิทธิ เพราะอรรถว่าอะไร ชื่อว่า บาท เพราะ อรรถว่าอะไร?
ตอบว่า ชื่อว่า อิทธิ เพราะอรรถว่า เป็นที่สำเร็จนั่นแหละ ชื่อว่า บาท เพราะอรรถว่า เป็นที่อาศัยนั่นแหละ. ด้วยประการฉะนี้ คำว่า อิทฺธิ หรือ อิทฺธิปาโท แม้ในที่นี้ จึงมิใช่เป็นชื่อของธรรมอะไรอื่น แต่เป็นชื่อของขันธ์ ๔ อันสัมปยุตกันนั่นแล.
ก็เมื่อข้าพเจ้ากล่าวแล้วอย่างนี้ อาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวคำนี้ว่า ถ้าว่า คำนี้พึงเป็นชื่อของขันธ์ ๔ นั่นแหละไซร้ พระศาสดาก็ไม่พึงทรงนำชื่ออุตตร-
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 225
จูฬภาชนีย์มาไว้ข้างหน้า ก็ในอุตตรจูฬภาชนีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฉันทะเท่านั้น ชื่อว่า ฉันทิทธิบาท วิริยะเท่านั้น จิตตะเท่านั้น วีมังสาเท่านั้น ชื่อว่า วีมังสิทธิบาท ดังนี้. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า สภาวะที่ยังไม่สำเร็จแล้ว ชื่อว่า อิทธิ สภาวะที่สำเร็จแล้ว ชื่อว่า อิทธิบาท ดังนี้. ข้าพเจ้าปฏิเสธถ้อยคำของอาจารย์เหล่านั้นแล้ว จึงทำการสันนิษฐานว่า "อิทธิก็ดี อิทธิบาทก็ดี เป็นภาวะอันกระทบแล้วด้วยไตรลักษณ์" ดังนี้ ในสุตตันตภาชนีย์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอิทธิบาททั้งหลายเจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระดังพรรณนามา ฉะนี้แล.
วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบ
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์
ในอภิธรรมภาชนีย์มีอรรถตื้นทั้งนั้น. ก็บัณฑิตพึงนับจำนวนในอภิธรรมภาชนีย์นี้ จริงอยู่ ในฐานะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า "ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิปธานสังขาร" ดังนี้ ท่านจำแนกโลกุตตระไว้ ๔,๐๐๐นัย แม้ในวิริยสมาธิเป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. โดยทำนองนั้น ในอุตตรจูฬภาชนีย์ ท่าน จึงจำแนกอิทธิบาทแม้ทั้งหมดไว้ ๓๒,๐๐๐ นัย ด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็นหมวด ๔ หมวดๆ ละ ๘ นัย (ด้วยสามารถแห่งจตุกกะ ๘ จตุกกะ) คือ ในฉันทิทธิบาท ๔,๐๐๐ นัย ใน วิริยะ จิตตะ วีมังสา อย่างละ ๔,๐๐๐ นัย (๔ * ๘ = ๓๒). บัณฑิตพึงทราบคำนี้ว่า ท่านกล่าวแล้วในอภิธรรมภาชนีย์ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยนัย ๓๒,๐๐๐ นัย ด้วย สามารถแห่งอิทธิบาททั้งหลาย อันเป็นโลกุตตระที่บังเกิดแล้วนี้นั่นแหละ ดังพรรณนามาฉะนี้.
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 226
วรรณนาปัญหาปุจฉกะ
ในปัญหาปุจฉกะ บัณฑิตพึงทราบความที่อิทธิบาททั้งหลายเป็นกุศลเป็นต้น โดยทำนองแห่งพระบาลีนั่นแหละ. แต่ในอารัมมณติกะทั้งหลาย อิทธิบาทเหล่านี้แม้ทั้งหมด เป็นอัปปมาณารัมมณะเท่านั้น เพราะปรารภพระนิพพานอันเป็นอัปปมาณธรรมเป็นไป ไม่เป็นมัคคารัมมณะ. แต่เป็นมัคคเหตุกะ ด้วยสามารถแห่งสหชาตเหตุ ไม่เป็นมัคคาธิปติ. เพราะว่า อธิปติ ๔ ย่อมไมกระทำซึ่งกันและกันให้เป็นใหญ่. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะความที่ตนเองเป็นใหญ่ที่สุด.
เหมือนอย่างว่า พระราชบุตร ๔ องค์ ผู้มีพระชาติเสมอกัน มีวัย เสมอกัน มีกำลังเสมอกัน มีศิลปะเสมอกัน ย่อมไม่ให้ความเป็นใหญ่แก่กัน เพราะความที่พระราชบุตรทั้ง ๔ พระองค์เป็นผู้สูงสุด ฉันใด อธิปติทั้ง ๔ แม้เหล่านี้ ก็ฉันนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกันและกันให้เป็นใหญ่ เพราะความที่ธรรมเหล่านั้น แต่ละข้อต่างก็เป็นใหญ่ที่สุดด้วยกัน เพราะฉะนั้น อธิปติเหล่านั้น จึงไม่เป็นมัคคาธิปติโดยส่วนเดียวเท่านั้น. ในอดีตเป็นต้นก็ไม่พึงกล่าวแม้ในความเป็นเอการัมมณะ. ก็อธิปติเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นพหิทธารัมมณะ เพราะความที่พระนิพพานเป็นธรรมภายนอก ดังนี้แล. ในปัญหาปุจฉกะนี้ ท่านกล่าวว่า อิทธิบาททั้งหลายเป็นโลกุตตระที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ทีเดียว. จริงอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอิทธิบาททั้งหลายอันเป็นโลกิยะและโลกุตตระปนกัน ไว้ในสุตตันตภาชนีย์นั่นแหละ แต่ในอภิธรรมภาชนีย์ และในปัญหาปุจฉกะ ตรัสว่าเป็นโลกุตตระอย่างเดียว. แม้อิทธิปาทวิภังค์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ ทรงนำออกจำแนกแสดงแล้ว ๓ ปริวัฏอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
วรรณนาปัญหาปุจฉกะ จบ
อรรถกถาอิทธิปาทวิภังค์ จบ