พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

อายตนยมกที่ ๓ - ปริญญาวาระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  18 ก.พ. 2565
หมายเลข  42134
อ่าน  391

[เล่มที่ 82] พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑

พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๕

ยมก ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑

อายตนยมกที่ ๓

ปริญญาวาระ

ปัจจุปปันนวาระอนุโลม 758

จักขายตนมูล 788/758

ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก 788/759

อตีตวาระอนุโลม 760

จักขายตนมูล 789/760

อตีตวาระ ปัจจนิก 789/761

อนาคตวาระอนุโลม 762

จักขายตนมูล 790/762

อนาคตวาระ ปัจจนิก 790/763

ปัจจุปปันนาตีตวาระอนุโลม 764

จักขายตนมูล 791/764

ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก 791/765

ปัจจุปปันนานาคตวาระอนุโลม 766

จักขายตนมูล 792/766

ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก 792/767

อตีตานาคตวาระอนุโลม 768

จักขายตนมูล 793/768

อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก 793/769

อรรถกถาอายตนยมก 770


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 82]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 758

ปริญญาวาระ

ปัจจุปปันนวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๘๘] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็กำลังรู้ แจ้งโสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดกำลังรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็กำลังรู้ แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ปัจจุปปันนวาระ อนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 759

ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่กำลังรู้ แจ้งโสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, ใช่ไหม?

ใช่.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก จบ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 760

อตีตวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๘๙] บุคคลใดเคยรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็เคยรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดเคยรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็เคยรู้แจ้ง จักขายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

อตีตวาระ อนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 761

อตีตวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่เคยรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ เคยรู้แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

อตีตวาระ ปัจจนิก จบ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 762

อนาคตวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๙๐] บุคคลใดจักรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็จักรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดจักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็จักรู้แจ้ง จักขายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

อนาคตวาระอนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 763

อนาคตวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่จักรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่จักรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ จักรู้แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

ใช่.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

อนาคตวาระ ปัจจนิก จบ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 764

ปัจจุปปันนาตีตวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๙๑] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็เคยรู้
แจ้งโสตายตนะ ใช่ไหม ?

ไม่ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดเคยรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นกำลังรู้แจ้ง
จักขายตนะ ใช่ไหม ?

ไม่ใช่.

ปัจจุปปันนาตีตวาระ อนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 765

ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่เคยรู้ แจ้งโสตายตนะ ใช่ไหม?

อรหัตตผลบุคคลไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ แต่เคยรู้แจ้งโสตายตนะ, ยกเว้นอรหัตตมรรคบุคคลและอรหัตตผลบุคคลเสียแล้ว บุคคล ที่เหลือนอกจากนั้นไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ และก็ไม่ใช่เคยรู้แจ้ง โสตายตนะ.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งโสตายตนะ บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

อรหัตตมรรคบุคคลไม่ใช่เคยรู้แจ้งโสตายตนะ แต่กำลังรู้แจ้ง จักขายตนะ, ยกเว้นอรหัตตมรรคบุคคลและอรหัตตผลบุคคลเสียแล้ว บุคคลที่เหลือนอกนั้นไม่ใช่เคยรู้แจ้งโสตายนะ และก็ไม่ใช่กำลังรู้แจ้ง จักขายตนะ.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก จบ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 766

ปัจจุปปันนานาคตวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๙๒] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็จักรู้แจ้ง
โสตายตนะ ใช่ไหม?

ไม่ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดจักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็กำลังรู้แจ้ง
จักขายตนะ ใช่ไหม ?

ไม่ใช่.

ปัจจุปปันนานาคตวาระ อนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 767

ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่จักรู้ แจ้งโสตายตนะ ใช่ไหม?

บุคคลเหล่าใดจักได้มรรค บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่กำลังรู้แจ้ง จักขายตนะ แต่จักรู้แจ้งโสตายตนะ, อรหัตตผลบุคคลก็ดี ปุถุชน เหล่าใดจักไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ และก็ไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

อรหัตตมัคคบุคคลไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ แต่กำลังรู้แจ้ง จักขายตนะ, อรหัตตผลบุคคลก็ดี ปุถุชนเหล่าใดจักไม่ได้มรรค ปุถุชน เหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ และก็ไม่ใช่กำลังรู้แจ้งจักขายตนะ.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก จบ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 768

อตีตานาคตวาระ อนุโลม

จักขายตนมูล

จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี :-

[๗๙๓] บุคคลใดเคยรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็จักรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

ไม่ใช่.

ก็หรือว่า บุคคลใดจักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็เคยรู้แจ้ง จักขายตนะ ใช่ไหม?

ไม่ใช่.

อตีตานาคตวาระ อนุโลม จบ

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 769

อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก

บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งจักขายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่จักรู้แจ้ง โสตายตนะ ใช่ไหม?

บุคคลเหล่าใดจักได้มรรค บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่เคยรู้แจ้งจักขายตนะ แต่จักรู้แจ้งโสตายตนะ, อรหัตตผลบุคคลก็ดี ปุถุชนเหล่าใด จักไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่เคยรู้แจ้งจักขายตนะ และ ไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ.

ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ, บุคคลนั้นก็ไม่ใช่ เคยรู้แจ้งจักขายตนะ ใช่ไหม?

อรหัตตผลบุคคลไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ แต่เคยรู้แจ้งรูปขันธ์, อรหัตตมรรคบุคคลก็ดี ปุถุชนเหล่าใดจะไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่จักรู้แจ้งโสตายตนะ และก็ไม่ใช่เคยรู้แจ้งจักขายตนะ.

จบ จักขายตนมูละ โสตายตนมูลี

จักขายตนมูล จบ

อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก จบ

ปริญญาวาระ จบ

อายตนยมกที่ ๓ จบ

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 770

อรรถกถาอายตนยมก

บัดนี้ เป็นการวรรณนา อายตนยมก ที่ท่านรวบรวมไว้แม้ ด้วยอำนาจอายตนะ, ในธรรมมีกุศลเป็นต้น ที่แสดงไว้ในมูลยมกนั้น เทียว แล้วแสดงไว้ในลำดับแห่งขันธยมก บัณฑิตพึงทราบการกำหนด บาลี ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในขันธยมกนั้นนั่นแหละ ก็ในขันธยมก นั้น มหาวาระ ๓ อย่างคือ ปัณณัตติวาระ ปวัตติวาระ ปริญญาวาระ ย่อมมีฉันใด แม้ในอายตนยมกนั้นก็ย่อมมีฉันนั้น. แม้เนื้อความแห่งคำ แห่งมหาวาระเหล่านั้นบัณฑิตพึงทราบตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในขันธยมกนั้นนั่นเอง.

ก็ในอายตนยมกนี้ ปัณณัตติวาระ ท่านกำหนดไว้แล้ว ๒ อย่าง ด้วยอำนาจอุทเทสและนิทเทส. วาระทั้งหลายนอกนี้ ท่านกำหนดไว้ แล้วด้วยอำนาจนิทเทสนั่นเทียว. เพราะฉะนั้นในวาระเหล่านั้น บัณฑิต พึงทำบทว่า ทฺวาทสายตนานิ (อายตนะ ๑๒) ให้เป็นต้นแล้วเพียงใด พึงทราบอุทเทสวาระแห่งปัณณัตติวาระว่า มนายตนํ น มโน เพียง นั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฺวาทสายตนานิ ความว่า นี้เป็น อุทเทสแห่งอายตนะทั้งหลายที่ควรถามด้วยอำนาจยมก. บทว่า จฺกขฺวายตนํฯ เปฯ ธมฺมายตนํ ความว่า โดยประเภทนี้เป็นการกำหนด ชื่อของอายตนะเหล่านั้นนั่นเทียว. ก็ในที่นี้ท่านกล่าวอัชฌัตตรูปายตนะ (อายตนะที่เป็นรูปภายใน) ทั้งหลายไว้แล้วตามลำดับก่อน เพื่อสะดวก

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 771

แก่การถามด้วยอำนาจยมก. ภายหลังจึงกล่าวพาหิรรูปายตนะ (อายตนะ ที่เป็นรูปภายนอก) ทั้งหลาย. ในที่สุดจึงกล่าวมนายตนะและธัมมายตนะทั้งหลาย.

นัยวาระทั้งหลาย ๔ คือ ปทโสธนวาระ ปทโสธนมูลจักกวาระ สุทธายตนวาระ สุทธายตนมูลจักกวาระ ย่อมมีด้วยอำนาจแห่งอายตนะ ทั้งหลายเหล่านี้ในที่นี้ ด้วยอำนาจแห่งขันธ์นั่นเทียวในภายหลัง. ก็ใน อายตนยมกนี้ วาระหนึ่งๆ ย่อมมี ๒ อย่างนั่นเทียว ด้วยอำนาจอนุโลม และปฏิโลม. เนื้อความแห่งวาระเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบตามนัยที่ กล่าวแล้วในขันธยมกนั้นนั่นแหละ.

บัณฑิตพึงทราบอุทเทสวาระ แห่งปัณณัตติวาระที่ประกอบด้วย ยมก ๕๗๖ อย่าง การถาม ๑,๑๕๒ อย่าง และอรรถ ๒,๓๐๔ อย่าง ในอายตนยมกนี้ อย่างนี้คือ ก็ในอนุโลมวาระ แห่งปทโสธนวาระ ในขันธยมก ยมก ๕ อย่าง มีอาทิว่า รูปํ รูปกฺขนฺโธ รูปกฺขนฺโธ รูปํ ดังนี้ ย่อมมีฉันใด ในอายตนยมกนี้ ยมก ๑๒ อย่าง มีอาทิว่า จกฺขุํ จกฺขฺวายตนํ จกฺขฺวายตนํ จกฺขุํ ย่อมมีฉันนั้น. แม้ในปฏิโลม วาระ ก็มียมก ๑๒ อย่าง มีอาทิว่า น จกฺขุํ น จกฺขฺวายตนํ น จกฺขฺวายตนํ น จกฺขุํ. แต่ในอนุโลมวาระนี้ แห่งปทโสธนมูลจักการะ มียมก ๑๓๒ อย่าง เพราะทำมูลแห่งอายตนะหนึ่งๆ ให้เป็น ๑๑ อย่างๆ แม้ในปฏิโลมวาระ ก็มี ๑๓๒ อย่างนั่นเทียว. ในอนุโลมวาระ แม้แห่ง

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 772

สุทธายตนวาระ มียมก ๑๒ อย่าง ในปฏิโลมวาระ ก็มี ๑๒ อย่าง ในอนุโลมแห่งสุทธายตนมูลจักกวาระ มียมก ๑๓๒ อย่าง เพราะทำมูล แห่งอายตนะหนึ่งๆ ให้เป็น ๑๑ อย่างๆ. แม้ในปฏิโลมวาระ ก็มี ๑๓๒ อย่างเหมือนกัน. ก็ในนิทเทสวาระ แห่งอายตนยมกนั้น บัณฑิต พึงทราบเนื้อความตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในปัณณัตติวาระนิทเทสแห่ง ขันธยมกในภายหลังนั่นเทียว. ในวาระอื่นย่อมมีความแปลกกัน.

ในอายตนยมกนั้น พึงทราบความแปลกกันดังต่อไปนี้. บทว่า ทิพฺพจกฺขุ ได้แก่ ทุติยวิชชาญาณ. บทว่า ปญฺาจกฺขุ ได้แก่ ตติยวิชชาญาณ บทว่า ทิพฺพโสต ได้แก่ ทุติยอภิญญาญาณ. ตัณหา เทียว ชื่อว่า ตัณหาโสตะ คำมีอาทิว่า นามกาย รูปกาย หัตถิกาย อัสสกาย ชื่อว่า อวเสโส กาโย กายที่เหลือ. สองบทว่า อวเสสํ รูปํ ได้แก่ ภูตรูปอุปาทายรูปนั้นเทียว และปิยรูปสาตรูปที่เหลือจากรูปายตนะ. คำว่า สีลคนฺโธ เป็นชื่อของธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้นนั่น เทียว เพราะอรรถว่าฟุ้งไป แม้คำว่า อตฺถรโส เป็นต้น ก็เป็นชื่อ ของธรรมทั้งหลายมีอรรถเป็นต้น เพราะอรรถว่า ไพเราะดี. สองบทว่า อวเสโส ธมฺโม ได้แก่ ประเภทมิใช่หนึ่งแห่งธรรมมีปริยัติธรรม เป็นต้น นี้เป็นความแปลกกันในอายตนยมกนี้.

ก็ในอายตนยมกนี้ ในอันตรวาระ ๓ อย่าง มีอุปปาทวาระ เป็นต้น แห่งปวัตติวาระ มีประเภทแห่งกาล ๖ อย่างในประเภทแห่งกาล

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 773

หนึ่งๆ นั่นเทียว. บรรดาประเภทแห่งกาลเหล่านั้น วาระทั้งหลายมี ปุคคลวาระเป็นต้น ย่อมมีในกาลหนึ่งๆ. วาระเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ย่อมมี ๒ อย่างเทียว ด้วยอำนาจอนุโลมนัย และปฏิโลมนัย. ในวาระ เหล่านั้น ในปัจจุบันกาล ในอนุโลมนัยแห่งปุคคลวาระ ยมก ๑๐ อย่าง ย่อมมีด้วยการถือเอาแล้วไม่ถือเอาอีก คือ มูลแห่งรูปขันธ์ในขันธยมก ๔ มูลแห่งเวทนาขันธ์ ๓ มูลแห่งสัญญาขันธ์ ๒ มูลแห่งสังขารขันธ์ ๑ อายตนะ มูลแห่งจักขุอายาตนะ ๑๑ อย่าง ก็ย่อมมีฉันนั้นอย่างนี้ คือ จักขุ- อายตนะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด โสตายตนะย่อมเกิดขึ้นเก่สัตว์นั้น ก็ หรือว่า โสตายตนะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด จักขุอายตนะย่อมเกิดขึ้นแก่ สัตว์นั้น จักขุอายตนะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏ- ฐัพพายตนะ มนายตนะ ธัมมายตนะ ย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น ก็หรือว่า ธัมมายตนะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด จักขุอายตนะ ย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น. โดยนัยมีอาทิว่า ยสฺส โสตายตนํ อุปฺปชฺชติ ตสฺส ฆานายตนํ อุปฺปชฺชติ จึงมียมก ๖๖ อย่าง ด้วยการถือเอาแล้วไม่ถือเอาอีกคือ มูล แห่งโสตายตนะ ๑๐ มูลแห่งฆานายตนะ ๙ มูลแห่งชิวหายตนะ ๘ มูลแห่งกายายตนะ ๗ มูลแห่งรูปายตนะ ๖ มูลแห่งสัททายตนะ ๕ มูลแห่งคันธายตนะ ๔ มูลแห่งรสายตนะ ๓ มูลแห่งโผฏฐัพพายตนะ ๒ มูลแห่งมนายตนะ ๑. ในอายตนะ ๑๑ อย่าง อันเป็นมูลแห่งจักขุ- อายตนะนั้น จักขุอายตนะย่อมเกิดขั้นแก่สัตว์ใด อายตนะ ๕ อย่าง

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 774

เหล่านี้นั้นเทียวคือ โสตายตนะ ฆานายตนะ รูปายตนะ มนายตนะ ธัมมายตนะ ย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น อันท่านวิสัชนาแล้ว.

ในอายตนะเหล่านั้น อายตนะแรกควรวิสัชนาก่อน อายตนะ แรกนั้นท่านวิสัชนาแล้ว. อายตนะ ๒ เป็นการวิสัชนาเช่นเดียวกับ อายตนะแรกแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น อายตนะที่ ๒ ท่านก็วิสัชนาแล้ว เพื่อห้ามความสงสัยว่า ฆานายตนะ ไม่เป็นไปแล้ว โดยส่วนเดียวในที่ ปวัตติกาลของจักขุโสตายตนะ อายตนะอย่างหนึ่ง พึงวิสัชนาอย่างไร หนอแล. ยมก ๓ อย่างกับรูปายตนะ มนายตนะและธัมมายตนะ ชื่อว่า ท่านวิสัชนาแล้ว เพราะวิสัชนาไม่เหมือนกัน. ในอายตนะที่เหลือ ยมก ๒ อย่างกับชิวหายตนะและกายายตนะ เป็นการวิสัชนาเช่นเดียว กับอายตนะ ๒ อย่างเบื้องต้น.

การวิสัชนายมกนั่นเทียวกับด้วยอายตนะนั้น ย่อมไม่มีเพราะไม่ เกิดขึ้นในปฏิสนธิขณะแห่งสัททายตนะ. อายตนะทั้งหลาย ท่านย่อ ไว้แล้ว เพื่อความเบาแห่งแบบแผนว่า ยมก ๓ อย่าง แม้กับคันธายตนะ รสายตนะและโผฏฐัพพายตนะ ย่อมเป็นการวิสัชนาเช่นเดียวกับอาตนะ ๒ เบื้องต้นนั่นเทียว. ในมูลแห่งโสตายตนะ อายตนะแม้อย่างหนึ่ง ไม่ ขึ้นสู่พระบาลีแล้วว่า อายตนะใดอันบัณฑิตย่อมได้ อายตนะนั้นย่อม เป็นการวิสัชนาเช่นเดียวกับอายตนะทั้งหลายเบื้องต้น.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 775

ในมูลแห่งฆานายตนะทั้งหลาย. ยมกอย่างหนึ่งขึ้นพระบาลีแล้ว กับด้วยรูปายตนะยมก ๒ - ๓ อย่างขึ้นสู่พระบาลีแล้วกับด้วยมนายตนะ และธัมมายตนะ. ยมกทั้งหลายที่เหลือไม่ขึ้นแล้ว (สู่พระบาลี) เพราะ การวิสัชนาเช่นเดียวกันกับฆานายตนยมก. มูลแห่งชิวหายตนะและ กายายตนะก็อย่างนั้น.

ในมูลแห่งรูปายตนะทั้งหลาย ยมก ๒ อย่างนั่นเทียว ท่าน วิสัชนาแล้ว พร้อมกับมนายตนะและธัมมายตนะ. ยมก ๓ อย่าง พร้อม กับคันธะ รสะและโผฏฐัพพะ ย่อมเป็นการวิสัชนาเช่นเดียวกันกับด้วย รูปายตนะและมนายตนะ. คำว่า สรูปกานํ อจิตฺตกานํ เป็นต้น ท่าน กล่าวแล้วในภายหลังฉันใดนั่นเทียว แม้ในอายตนยมกนี้ก็ฉันนั้น พึง ทราบการรวบรวมว่า สรูปกานํ อคนฺธกานํ อรสกานํ อโผฏฺพฺพ กานํ ดังนี้.

ก็ความเป็นแห่งอายตนะทั้งหลาย มีคันธะเป็นต้นนั่นแหละ ท่านประสงค์เอาแล้วในอายตนยมกนี้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบ เนื้อความในอายตนยมกนี้ ด้วยอำนาจแห่งอายตนะว่า สรูปกานํ สคนฺ- ธายตนํ. มูลแห่งสัททายตนะทั้งหลาย ไม่ขึ้นแล้วสู่พระบาลีนั่นเทียว เพราะไม่มีเนื้อความ. อายตนะอันเป็นมูลแห่งคันธะ รสะและโผฏฐัพพะ ๔, ๓ และ ๒ อย่าง ไม่ขึ้นแล้วสู่พระบาลี เพราะวิสัชนาเช่นเดียวกัน กับด้วยอายตนะทั้งหลายอันมีในหนหลัง. ยมก ๖๖ อย่างเหล่านี้

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 776

บัณฑิตพึงทราบว่า ชื่อว่าเป็นอันท่านวิสัชนาแล้ว ด้วยการวิสัชนายมก ๒ - ๓ อย่างนั้นเทียว ในอนุโลมนัย แห่งปุคคลวาระในปัจจุบันกาล อย่างนี้ว่า มนายตนมูลกํ วิสชฺชิตเมว ดังนี้. ยมก ๑๙๘ อย่าง ย่อมมีในอนุโลมนัย ในวาระทั้งสาม ในปัจจุบันกาลว่า ก็ในปุคคลวาระมี ๖๖ ฉันใด แม้ในโอกาสวาระ แม้ในปุคคโลกาสวาระ ก็ฉันนั้น ดังนี้. ยมก ๓๙๖ อย่าง แม้ทั้งหมดย่อมมีในปัจจุบันกาลว่าก็ในอนุโลม นัย ฉันใด แม้ในปฏิโลมนัย ก็ฉันนั้น ดังนี้. การถาม ๗๙๒ อย่าง และเนื้อความ ๑,๕๘๔ อย่าง พึงทราบว่ามีอยู่ในยมกทั้งหลายเหล่านั้น. ยมก ๒,๓๗๖ แม้ทั้งหมดว่า ในการแยกกาล ๕ อย่างแม้ที่เหลือ ดังนี้ ย่อมมีอย่างนั้น. นี้เป็นการกำหนดพระบาลี ในอุปปาทวาระนี้ว่า คำ ถามที่ทวีคูณจากยมกนั้น อรรถที่ทวีคูณจากคำถามนั้น ยมก ๒,๑๒๘ ย่อมมีในปวัตติวาระแม้ทั้งหมดว่า แม้ในนิโรธวาระและอุปปาทะนิโรธวาระ ก็มีนัยนี้. พึงทราบการถามทวีคูณจากยมกนั้น พึงทราบเนื้อความ ที่ทวีคูณจากคำถามนั้น. ก็พระบาลีท่านกล่าวคำเป็นต้นว่า มนายตนะ และธัมมายตนะ ย่อมไม่มีความต่างกันกับอายตนะหนึ่ง แต่ความสังเขป ย่อมมีในวาระเบื้องบน ดังนี้แล้วจึงรวบรวมไว้ใน อายตนะนั้นๆ. เพราะ ฉะนั้น คำใดท่านรวบรวมไว้แล้วในที่นั้นๆ คำนั้นทั้งหมดบุคคลผู้ไม่ หลงลืมพึงกำหนดไว้.

ก็ในการวินิจฉัยเนื้อความ พึงทราบนัยมุขในอายตนยมกนี้ ดัง ต่อไปนี้. คำว่า สจกฺขุกานํ อโสตกานํ ท่านกล่าวหมายเอาโอปปา-

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 777

ติกะผู้หูหนวกโดยกำเนิดในอบาย. ก็ผู้มีจักขุนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีโสตเกิด ขึ้น. เหมือนพระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวแล้วว่า อายตนะ ๑๐ อย่าง อื่นอีกของใครๆ ย่อมปรากฏในอุปัตติขณะแห่งกามธาตุ. อายตนะ ๑๐ ย่อมปรากฏในอุปัตติขณะของพวกเปรตผู้โอปปาติกะ ของพวกอสูรผู้ โอปปาติกะ ของพวกสัตว์ดิรัจฉานผู้โอปปาติกะ ของพวกสัตว์นรกผู้ โอปปาติกะ ของพวกคนหูหนวกแต่กำเนิด. จักขุอายตนะ รูปายตนะ ฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏ- ฐัพพายตนะ มนายตนะ ธัมมายตนะ ย่อมปรากฏแก่พวกเปรตผู้โอปปาติกะ ฯลฯ แก่พวกคนหูหนวกมาแต่กำเนิด ในขณะอุบัติขึ้น. คำว่า สจกฺขุกานํ สโสตกานํ ท่านกล่าวหมายเอาอายตนะที่บริบูรณ์ในสุคติ และทุคติ. และรูปพรหมผู้โอปปาติกะก็ผู้มีจักขุเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้มี โสตเกิดขึ้น เหมือนพระธรรมสังคหกาจารย์กล่าวไว้แล้วว่า อายตนะ ๑๑ อย่าง ของใครๆ ย่อมปรากฏในอุปัตติขณะแห่งกามธาตุ. อายตนะ ๑๑ อย่างย่อมปรากฏแก่พวกเทวดาชั้นกามาวจร พวกมนุษย์ปฐมกัป พวกเปรตผู้โอปปาติกะ พวกอสูรผู้โอปปติกะ พวกสัตว์ดิรัจฉานผู้ โอปปาติกะ พวกสัตว์นรกผู้โอปปาติกะ พวกสัตว์มีอายตนะบริบูรณ์.

อายตนะ ๕ เหล่าไหน ย่อมปรากฏในอุปัตติขณะแห่งกามธาตุ อายตนะคือ จักขุอายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ มนายตนะ ธัมมายตนะ ย่อมปรากฏในอุปัตติขณะแห่งรูปธาตุ.

คำว่า อฆานกานํ ท่านกล่าวหมายเอาพรหมมีพรหมปาริสัชชา เป็นต้น. ก็มีผู้จักขุเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีฆานะเกิดขึ้น. ก็โอปปา-

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 778

ติกะผู้ไม่มีฆานะ ย่อมไม่มีในกามธาตุ ถ้าพึงมีแก่ใครๆ ไซร้ ก็พึง กล่าวได้ว่า อายตนะก็ย่อมปรากฏ ก็ผู้นอนในครรภ์ใด พึงเป็นผู้ไม่ มีฆานะ ผู้นอนในครรภ์นั้น ท่านไม่ประสงค์เอาแล้วในอายตนยมกนี้ เพราะคำว่า สจกฺขุกานํ.

คำว่า สจกฺขุกานํ สฆานกานํ ท่านกล่าวหมายเอาโอปปาติกะ สัตว์ผู้หูหนวกมาแต่กำเนิดบ้าง ผู้มีอายตนะบริบูรณ์บ้าง.

คำว่า สฆานกานํ อจกฺขุกานํ ท่านกล่าวหมายเอาโอปปาติกะ สัตว์ผู้ตาบอดมาแต่กำเนิดบ้าง ผู้หูหนวกมาแต่กำเนิดบ้าง.

คำว่า สจกฺขุกานํ สฆานกานํ ท่านกล่าวหมายเอาโอปปาติกะ สัตว์ผู้มีอายตนะบริบูรณ์นั่นเทียว.

ผู้อื่นบ้าง ผู้นอนในครรภ์บ้าง อันบัณฑิตย่อมได้นั่นเทียว ใน พวกโอปปาติกะสัตว์ผู้ตาบอดมาแต่กำเนิดและหูหนวกมาแต่กำเนิด ใน คำนี้ว่า สรูปกานํ อจกฺขุกานํ. แม้ไม่มีรูปกับบุคคล ๓ จำพวกมี บุคคลผู้ตาบอดมาแต่กำเนิดเป็นต้น ที่กล่าวไว้แล้วในหนหลัง อันบัณฑิตย่อมได้ในคำนี้ว่า สจิตฺตกานํ อจกฺขุกานํ.

แม้พวกอสัญญสัตว์กับบุคคล ๔ จำพวกที่กล่าวแล้วในบทเบื้องต้น อันบัณฑิตย่อมได้ในบทแรกนี้ว่า อจกฺขุกานํ. พวกคัพภเสยยกสัตว์ พวกอสัญญสัตว์ และพวกรูปพรหมที่เหลือ อันบัณฑิตย่อมได้ในคำนี้ ว่า สรูปกานํ อฆานกานํ. พวกคัพภเสยยกสัตว์ และพวกรูปพรหม

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 18 ก.พ. 2565

พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 779

และอรูปพรหม อันบัณฑิตย่อมได้ในคำนี้ว่า สจิตฺตกานํ อฆานกานํ. พึงทราบบุคคลวิภาคในปุคคลวาระทั้งหมด โดยนัยนี้ว่า ก็พวกเอกโวการสัตว์และจตุโวการสัตว์เทียว อันบัณฑิตย่อมได้ในบททั้งหลายว่า อจิตฺตกานํ อรูปกานํ.

ในโอกาสวาระ คำว่า ยตฺถ จกฺขวายตนํ ได้แก่ ย่อมถาม ซึ่งโลกแห่งรูปพรหม เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าวว่า อามนฺตา. อายตนะเหล่านั้น โดยนิยมในพื้นนั้น ย่อมเกิดในปฏิสนธิ. นี้เป็น นัยมุขในอายตนยมกนี้. พึงทราบเนื้อความในปวัตติวาระแม้ทั้งสิ้น โดยนัยมุขนี้. ปริญญาวาระพึงทราบว่า เป็นนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วใน ขันธยมกนั่นแหละ.

อรรถกถาอายตนยมก จบ