สัจจยมกที่ ๕ - ปริญญาวาระ
[เล่มที่ 82] พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑
พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๕
ยมก ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๑
สัจจยมกที่ ๕
ปริญญาวาระ
ปัจจุปปันนวาระอนุโลม 1017/1047
ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก 1017/1048
ปัจจุปปันนาตีตวาระอนุโลม 1020/1053
ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก 1020/1054
ปัจจุปปันนานาคตวาระอนุโลม 1020/1055
ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก 1020/1056
อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก 1022/1058
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 82]
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1047
ปริญญาวาระ
ปัจจุปปันนวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๑๗] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นกำลังละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดกำลังละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นกำลังรู้แจ้ง ทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปันนวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1048
ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่กำลังละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่กำลังละสมุทยสัจจะ บุคคลนั้นไม่ใช่ กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปปันนวาระ ปัจจนิก จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1049
อตีตวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๑๘] บุคคลใดเคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นเคยละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดเคยละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นเคยรู้แจ้ง ทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อตีตวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1050
อตีตวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่เคยละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่เคยละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่ เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจะมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อตีตวาระ ปัจจนิก จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1051
อนาคตวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๑๙] บุคคลใดจักรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นจักละสมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดจักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นจักรู้แจ้งทุกข สัจจะ ใช่ไหม? ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อนาคตวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1052
อนาคตวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่จักรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่ จักรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อนาคตวาระ ปัจจนิก จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1053
ปัจจุปปันนาตีตวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๒๐] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นเคยละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดเคยละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นกำลังรู้แจ้ง ทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปปันนาตีตวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1054
ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่เคยละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
พระอรหันต์ไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ แต่เคยละสมุทยสัจจะ, ยกเว้นอรหัตตมรรคบุคคลและพระอรหันต์เสียแล้ว บุคคลที่เหลือ นอกนั้นไม่ใช่กำลังแจ้งทุกขสัจจะและไม่เคยละสมุทยสัจจะ.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่เคยละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่ กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
อรหัตตมรรคบุคคลไม่เคยละสมุทยสัจจะ แต่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, ยกเว้นอรหัตตมรรคบุคคลและพระอรหันต์เสียแล้ว บุคคลที่เหลือ นอกนั้นไม่เคยละสมุทยสัจจะและไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปปันนาตีตวาระ ปัจจนิก จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1055
ปัจจุปปันนานาคตวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๒๑] บุคคลใดกำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นจักละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดจักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นกำลังรู้แจ้ง ทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปปันนานาคตวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1056
ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่จักละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
บุคคลเหล่าใดจะได้มรรค บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ แต่จักละสมุทยสัจจะ, พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ปุถุชนเหล่าใด จะไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ และ จักไม่ละสมุทยสัจจะ.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่ กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
พระอรหัตตมรรคบุคคลจักไม่ละสมุทยสัจจะ, แต่กำลังรู้แจ้งทุกข์ สัจจะ, พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี ปุถุชนเหล่าใดจะไม่ได้มรรค ปุถุชน เหล่านั้นก็ดี จักไม่ละสมุทยสัจจะ และไม่ใช่กำลังรู้แจ้งทุกขสัจจะ.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจะมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
ปัจจุปปันนานาคตวาระ ปัจจนิก จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1057
อตีตานาคตวาระ อนุโลม
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
[๑๐๒๒] บุคคลใดเคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นจักละ สมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
ก็หรือว่า บุคคลใดจักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นรู้เคยแจ้ง ทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
ไม่ใช่.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อตีตานาคตวาระ อนุโลม จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1058
อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก
ทุกขสัจจมูล
ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี :-
บุคคลใดไม่ใช่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ ใช่ไหม?
บุคคลเหล่าใดจะได้มรรค บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ แต่จักละสมุทยสัจจะ, อรหัตตมรรคบุคคลก็ดี ปุถุชนเหล่าใด จะไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ และ ไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ.
ก็หรือว่า บุคคลใดไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ, บุคคลนั้นไม่ใช่ เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ ใช่ไหม?
พระอรหันต์ไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ แต่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ, อรหัตตมรรคบุคคลก็ดี ปุถุชนเหล่าใดจะไม่ได้มรรค ปุถุชนเหล่านั้นก็ดี ไม่ใช่จักละสมุทยสัจจะ และไม่ใช่เคยรู้แจ้งทุกขสัจจะ.
จบ ทุกขสัจจมูละ สมุทยสัจจมูลี
ทุกขสัจจมูล จบ
อตีตานาคตวาระ ปัจจนิก จบ
ปริญญาวาระ จบ
สัจจยมกที่ ๕ จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1059
อรรถกถาสัจยมก
การพรรณนาสัจจยมกที่ท่านรวบรวมแสดงไว้แล้วในลำดับธาตุ ยมก ด้วยอำนาจสัจจะในธรรมมีกุศลเป็นต้น ที่ท่านแสดงไว้แล้วใน มูลยมกเหล่านั้นนั้นเที่ยว ย่อมมีในบัดนี้. พึงทราบมหาวาระ ๓ มี ปัณณัตติวาระเป็นต้น และประเภทแห่งวาระที่เหลือมีอันตรวาระเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นเทียว ในธาตุยมกแม้นั้น. แต่ในปัณณัตติวาระ ในสัจจยมกนี้ ด้วยอำนาจสัจจะ ๔ พึงทราบการนับยมกในวาระทั้งหลาย ๔ เหล่านี้ คือปทโสธนวาระ ปทโสธนมูลจักกวาระ สุทธสัจจวาระ สุทธสัจจมูลจักกวาระ. แต่ในปัณณัตติวารนิทเทส พึงทราบ เตภูมิกธรรมที่หลุดพ้นดีแล้วจากทุกขเวทนาและตัณหา ด้วยคำว่า อวเสสํ ทุกฺขสจฺจํ. ประเภทแห่งกามาวจรกุศลเป็นต้นที่ท่านแสดงไว้ แล้วในสัจจวิภังค์ว่า อวเสโส สมุทโย ดังนี้ ย่อมเป็นปัจจัยแห่ง ทุกขสัจจะ. สองบทว่า อวเสโส นิโรโธ ได้แก่ ตทังคนิโรธ วิกขัมภนนิโรธ สมุจเฉทนิโรธ ปฏิปัสสัทธินิโรธ และขณภังคนิโรธ. สองบทว่า อวเสโส มคฺโค ความว่าก็มรรคมีองค์ ๕ ย่อมมีในสมัย นั้นแล. มรรคมีอาทิอย่างนี้ คือ อัฏฐังคิกมรรค มิจฉามรรค ชังฆมรรค สกฏมรรค.
ก็ในปวัตติวาระ ในอนุโลมนัยแห่งปุคคลวาระ ในปัจจุบันกาลนี้ ทุกขสัจจมูล ๓ สมุทยสัจจมูล ๒ นิโรธสัจจมูล ๑ รวมเป็นยมก ๖
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1060
อย่าง ด้วยอำนาจพระบาลี เพราะถือเอาสัจจะที่ได้อยู่และไม่ได้อยู่ว่า ทุกขสัจจะย่อมเกิดแก่สัตว์ใด สมุทยสัจจะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์นั้น ก็ หรือว่า สมุทยสัจจะย่อมเกิดขึ้นแก่สัตว์ใด ทุกขสัจจะย่อมเกิดขึ้นเก่ สัตว์นั้นดังนี้. ในสัจจะทั้งหลายเหล่านั้น เพราะความเกิดและความดับ ย่อมไม่สมควรแก่นิโรธ ฉะนั้น ยมกทั้งหลาย ๓ คือ ยมกอันเป็นมูล แห่งทุกขสัจจะ ๒ กับด้วยสมุทยสัจจะ และมัคคสัจจะ ยมกอันเป็นมูล แห่งสมุทยสัจจะ ๑ กับด้วยมัคคสัจจะ จึงมาแล้ว. ในปฏิโลมนัยแห่ง ปุคคลวาระนั้นบ้าง ในโอกาสวาระเป็นต้นบ้าง ก็นัยนี้นั่นเทียว. พึง ทราบการนับยมก ด้วยอำนาจยมก ๓ อย่างๆ ในวาระทั้งหมดเหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้.
ก็ในอรรถวินิจฉัย พึงทราบลักษณะในสัจจยมกนี้ดังต่อไปนี้. ก็ ในปวัตติวาระแห่งสัจจยมกนี้ ใครๆ ย่อมไม่ได้นิโรธสัจจะก่อนนั่นเทียว. แต่ในวาระทั้งหลาย ๓ ที่เหลือ สมุทยสัจจะและมัคคสัจจะ บุคคลย่อม ได้ในปวัตติกาลโดยส่วนเดียวนั่นเทียว. ทุกขสัจจะ บุคคลย่อมได้ใน จตุและปฏิสนธิบ้าง ในปวัตติกาลบ้าง. แต่กาล ๓ มีปัจจุบันกาลเป็นต้น บุคคลย่อมได้ แม้ในจุติและปฏิสนธิบ้าง ในปวัตติกาลบ้าง. บุคคลย่อม ได้สัจจะใดๆ ในสัจจยมกนี้ พึงทราบอรรถวินิจฉัยด้วยอำนาจแห่งสัจจะ นั้นๆ ด้วยประการอย่างนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1061
พึงทราบนัยมุขในสัจจยมกนั้นดังต่อไปนี้. สองบทว่า สพฺเพสํ อุปปชฺชนฺตานํ ความว่า โดยที่สุด แม้แก่ชั้นสุทธาวาส. ก็เทวดา ชั้นสุทธาวาส แม้เหล่านั้น ย่อมเกิดด้วยทุกขสัจจะนั่นเทียว. คำนี้ว่า ตณฺหาวิปฺปยุตฺตจิตฺตสฺส ท่านกล่าวไว้แล้วเพื่อแสดงการอุบัติแห่งส่วน หนึ่งในทุกขสัจจะและสมุทยสัจจะ. เพราะฉะนั้น คำนั้นพึงถือเอาด้วย อำนาจปัญจโวการภพนั่นเทียว. แต่ในจตุโวการภพ คำนี้ว่า สัจจะแม้ อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นในอุปปาทักขณะของผลสมาบัติ จิตที่สัมปยุต ด้วยตัณหา ดังนี้ บัณฑิตไม่ควรถือเอาในสัจจยมกนี้. สองบทว่า เตสํ ทุกฺขสจฺจญฺจ ความว่า ชื่อว่า ทุกขสัจจะที่เหลือ เว้นตัณหาเสีย ย่อมมีในขณะนั้น คำนั้นท่านกล่าวหมายเอาทุกขสัจจะนั้น. แม้ในอุปปาทขณะแห่งมรรค ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่ในสัจจยมกนั้นรูปนั่น เทียว ชื่อว่า ทุกขสัจจะ ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยมรรคที่เหลือ เป็นธรรมที่พ้นดีแล้วจากสัจจะ. เพราะเหตุนั้นนั่นแล ท่านจึงกล่าว แล้วว่า มรรคสัจจะย่อมเกิดขึ้นแก่ชนเหล่านั้น ในอุปปาทักขณะแห่ง มรรคในอรูป แต่ทุกขสัจจะย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ชนเหล่านั้น. พึงทราบ โอกาสด้วยอำนาจขณะในสัจจยมกนี้อย่างนี้ว่า ในขณะแห่งการอุบัตินั้น และในขณะแห่งการอุบัติขึ้นของจิตที่วิปปยุตด้วยตัณหาของชนเหล่านั้น ว่า ในอุปปาทขณะแห่งจิตที่วิปปยุตด้วยตัณหาที่เป็นไปของผู้เกิดอยู่ ทั้งหมด ในอุปปาทขณะของผู้เกิดอยู่ทั้งหมดเหล่านั้น. ในสัจจะที่มีรูป
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๑ - หน้า 1062
อย่างนั้น แม้เหล่าอื่น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อนภิสเมตาวีนํ ได้แก่ สัตว์ผู้ไม่บรรลุอภิสมัย กล่าวคือจตุสัจจปฏิเวธ คือการแทงตลอด สัจจะ ๔. บทว่า อภิสเมตาวีนํ ได้แก่ อภิสมิตสัจจะ คือสัจจะที่ สงบยิ่ง. พึงทราบอรรถวินิจฉัยในบททั้งปวง โดยนัยมุขนี้. ก็ในปริญญวาระ บุคคลย่อมได้ปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา. ก็เพราะชื่อว่า ปริญญา ย่อมไม่มีใน โลกุตรธรรมทั้งหลาย ฉะนั้น สัจจะ ๒ ท่านจึงถือเอาแล้วในสัจจ- ยมกนี้. คำว่า ทุกขสจฺจํ ปริชานาติ ในสัจจยมกนั้น ท่านกล่าวไว้ แล้วด้วยอำนาจญาตปริญญา และตีรณปริญญา. คำว่า สมุทยสจฺจํ ปชหติ ท่านกล่าวไว้แล้วด้วยอำนาจญาตปริญญา และปหานปริญญา, พึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงด้วยอำนาจแห่งปริญญาทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
อรรถกถาสัจจยมก จบ