มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒ (ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑)
[เล่มที่ 4] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒
พระวินัยปิฎก เล่ม ๒
มหาวิภังค์ ทุติยภาค
ปาจิตติยภัณฑ์
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑
มุสาวาทวรรค
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบชาติ 197/32
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบชื่อ 201/34
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบโคตร 205/35
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบการงาน 209/36
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบศิลป 213/37
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบโรค 217/39
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบรูปพรรณ 221/40
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบกิเลส 225/41
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบอาบัติ 229/43
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดกดกระทบคําสบประมาท 233/44
อุปสัมบันด่าอุปสัมบันพูดเปรยกระทบชาติทรามว่าบางพวก 237/46
อุปสัมบันด่าอนุปสัมบันพูดกดกระทบชาติ 243/57
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก 244/70
อุปสัมบันล้ออุปสัมบันพูดล้อกดกระทบชาติ 246/80
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก 247/93
มุสาวาทวรรค โอมสวาทสิกขาบทที่ ๒ 128
แก้อรรถเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์และโคนันทิวิสาล 128
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 4]
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 26
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๑๘๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ - เชตวัน อารามของอานาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพวก ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มี ศีลเป็นที่รัก คือด่าว่า สบประมาท กระทบกำเนิดบ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูล บ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้าง.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์ ทะเลาะ กับภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก จึงได้กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือด่าว่า สบประมาท กระทบกำเนิดบ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้างเล่า แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า จริงหรือภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก คือคำว่า สบประมาท กระทบกำเนิด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 27
บ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่าที่ทรามบ้าง.
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
พระผู้มีพร ะภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก กล่าวเสียดแทงพวกภิกษุผู้มี ศีลเป็นที่รัก คือด่าว่า สบประมาท กระทบกำเนิดบ้าง ชื่อบ้าง วงศ์ตระกูลบ้าง การงานบ้าง ศิลปบ้าง โรคบ้าง รูปพรรณบ้าง กิเลสบ้าง อาบัติบ้าง คำด่า ที่ทรามบ้าง การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... ครั้นแล้ว ทรงกระทำธรรมีกถารับส่งกะภิกษุทั้งหลายดังต่อไปนี้.
เรื่องโคนันทิวิสาล
[๑๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พราหมณ์คนหนึ่ง ในเมื่องตักกศิลา มีโคถึกตัวหนึ่งชื่อนันทิวิสาล ครั้งนั้นโคถึกชื่อนันทิวิสาล ได้กล่าวคำนี้กะพราหมณ์นั้นว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ท่านจงไปพนันกับเศรษฐี ด้วยทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูก เนื่องกันไปได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จึงพราหมณ์นั้นได้ทำการพนันกับเศรษฐีด้วย ทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑,๐๐๐ เล่มที่ผูกเนื่อง กันไปได้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 28
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นแล้วพราหมณ์นั้นได้ผูกเกวียน ๑,๐๐๐ เล่มให้ เนื่องกัน เทียมโคถึกนันทิวิสาลเสร็จแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า จงฉุดไป เจ้าโคโกง จงลากไป เจ้าโคโกง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น โคถึกนันทิวิสาลได้ยืนอยู่ในที่เดิมนั่นเอง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้นแล พราหมณ์นั้นแพ้พนัน เสียทรัพย์ ๑,๐๐๐ กษาปณ์แล้วได้ซบเซา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมา โคถึกนันทิวิสาลได้ถามพราหมณ์นั้นว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหตุไรท่านจึงซบเซา.
พ. ก็เพราะเจ้าทำให้เราต้องแพ้ เสียทรัพย์ไป ๑,๐๐๐ กษาปณ์ นั่น ละซิ เจ้าตัวดี.
น. ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ก็ท่านมาเรียกข้าพเจ้าผู้ไม่โกง ด้วยถ้อยคำว่า โกงทำไมเล่า ขอท่านจงไปอีกครั้งหนึ่ง จงพนันกับเศรษฐีด้วยทรัพย์ ๒,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้า จักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูกเนื่องกันไปได้ แต่อย่าเรียกข้าพเจ้าผู้ไม่โกง ด้วยถ้อยคำว่าโกง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทันใดนั้นแล พราหมณ์นั้นได้พนันกับเศรษฐี ด้วยทรัพย์ ๒,๐๐๐ กษาปณ์ว่า โคถึกของข้าพเจ้าจักลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่ผูก เนื่องกันไปได้ ครั้นแล้วได้ผูกเกวียน ๑๐๐ เล่มให้เนื่องกัน เทียมโคถึก นันทิวิสาลแล้ว ได้กล่าวคำนี้ว่า เชิญฉุดไปเถิด พ่อรูปงาม เชิญลากไปเถิด พ่อรูปงาม.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โคถึกนันทิวิสาลได้ลากเกวียน ๑๐๐ เล่ม ซึ่งผูกเนื่องกันไปได้แล้ว.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 29
[๑๘๔] บุคคลควรกล่าวแต่ถ้อยคำ เป็นที่จำเริญใจ ไม่ควรกล่าวถ้อยคำอันไม่ เป็นที่จำเริญใจ ในกาลไหนๆ เพราะเมื่อ พราหมณ์กล่าวถ้อยคำเป็นที่จำเริญใจ โคถึก นันทิวิสาลได้ลากเกวียนหนักไป ยังพราหมณ์ นั้นให้ได้ทรัพย์ และได้ดีใจเพราะพราหมณ์ ได้ทรัพย์โดยการกระทำของตนนั้นแล.
[๑๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งนั้น คำด่า คำสบประมาทก็ มิได้เป็นที่พอใจของเรา ไฉน ในบัดนี้ คำด่า คำสบประมาท จักเป็นที่ พอใจเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้น แสดงอย่างนี้ว่า ดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๑.๒. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะโอมสวาท.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
[๑๘๖] ที่ชื่อว่า โอมสวาท ได้แก่คำพูดเสียดแทงให้เจ็บใจด้วย อาการ ๑๐ อย่าง คือ ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลป ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑ คำด่า ๑.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 30
บทภาชนีย์
[๑๘๗] ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่ชาติ ๒ คือ ชาติทราม ๑ ชาติอุกฤษฏ์ ๑
ที่ชื่อว่า ชาติทราม ได้แก่ชาติคนจัณฑาล ชาติคนจักสาน ชาติ พราน ชาติคนช่างหนัง ชาติคนเทดอกไม้ นี้ชื่อว่าชาติทราม.
ที่ชื่อว่า ชาติอุกฤษฏ์ ได้แก่ชาติกษัตริย์ ชาติพราหมณ์ นี้ชื่อว่า ชาติอุกฤษฎ์.
[๑๘๘] ที่ชื่อว่า ชื่อ ได้แก่ชื่อ ๒ คือ ชื่อทราม ๑ ชื่ออุกฤษฎ์ ๑.
ที่ชื่อว่า ชื่อทราม ได้แก่ ชื่ออวกัณณกะ ชวกัณณกะ ธนิฏฐะ สวิฎฐกะ กุลวัฑฒกะ ก็หรือชื่อที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าชื่อทราม ที่ชื่อว่า ชื่ออุกฤษฏ์ ได้แก่ชื่อที่เกี่ยวเนื่องด้วยพุทธะ ธัมมะ สังฆะ ก็หรือชื่อที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกัน ในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าชื่ออุกฤษฏ์.
[๑๘๙] ที่ชื่อว่า โคตร ได้แก่วงศ์ตระกูล มี ๒ คือ วงศ์ตระกูล ทราม ๑ วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลทราม ได้แก่วงศ์ตระกูลภารทวาชะ ก็หรือ วงศ์ตระกูล ที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันใน ชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวงศ์ตระกูลทราม.
ที่ชื่อว่า วงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์ ได้แก่วงศ์ตระกูลโคตมะ วงศ์ตระกูล โมคคัลลานะ วงศ์ตระกูลกัจจายนะ วงศ์ตระกูลวาเสฏฐะ ก็หรือวงศ์ตระกูลที่ เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบท นั้นๆ นี้ชื่อว่าวงศ์ตระกูลอุกฤษฏ์.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 31
[๑๙๐] ที่ชื่อว่า การงาน ได้แก่งานที่ทำ มี ๒ คือ งานทราม ๑ งานอุกฤษฎ์ ๑.
ที่ชื่อว่า งานทราม ได้แก่งานช่างไม้ งานเทดอกไม้ ก็หรืองานที่ เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่างานทราม.
ที่ชื่อว่า งานอุกฤษฏ์ ได้แก่งานทำนา งานค้าขาย งานเลี้ยงโค ก็หรืองานที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกัน ในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่างานอุกฤษฎ์.
[๑๙๑] ที่ชื่อว่า ศิลป ได้แก่วิชาการช่าง มี ๒ คือ วิชาการ ช่างทราม ๑ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า วิชาการช่างทราม ได้แก่ วิชาการช่างจักสาน วิชาการ ช่างหม้อ วิชาการช่างหูก วิชาการช่างหนัง วิชาการช่างกัลบก ก็หรือวิชาการ ช่างที่เขาเย้ยหยัน เหยียดหยาม เกลียดชัง ดูหมิ่น ไม่นับถือกันในชนบท นั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างทราม.
ที่ชื่อว่า วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ได้แก่วิชาการช่างนับ วิชาการช่าง คำนวณ วิชาการช่างเขียน ก็หรือวิชาการช่างที่เขาไม่เย้ยหยัน ไม่เหยียดหยาม ไม่เกลียดชัง ไม่ดูหมิ่น นับถือกันในชนบทนั้นๆ นี้ชื่อว่าวิชาการช่างอุกฤษฏ์.
[๑๙๒] โรค แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม แต่โรคเบาหวาน ชื่อว่า โรคอุกฤษฏ์.
[๑๙๓] ที่ชื่อว่า รูปพรรณ ได้แก่รูปพรรณมี ๒ คือ รูปพรรณ ทราม ๑ รูปพรรณอุกฤษฏ์ ๑.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 32
ที่ชื่อว่า รูปพรรณทราม คือ สูงเกินไป ต่ำเกินไป ดำเกินไป ขาวเกินไป นี้ชื่อว่ารูปพรรณทราม.
ที่ชื่อว่า รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก นี้ชื่อว่ารูปพรรณอุกฤษฎ์.
[๑๙๔] กิเลส แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม.
[๑๙๕] อาบัติ แม้ทั้งปวง ชื่อว่าทราม แต่โสตาบัติ สมาบัติ ชื่อว่า อาบัติอุกฤษฎ์.
[๑๙๖] ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่า มี ๒ คือ คำด่าทราม ๑ คำด่า อุกฤษฏ์ ๑.
ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง ได้แต่ทุคติ คำด่าที่เกี่ยวด้วย ยะอักษร ภะอักษร หรือนิมิตของชายและนิมิต ของหญิง นี้ชื่อว่าคำด่าทราม.
ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่ คำคำว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้อง หวังได้แต่สุคติ นี้ชื่อว่าคำด่าอุกฤษฏ์.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบชาติ
[๑๙๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ ทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 33
คนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบชาติ
[๑๙๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ ทราม คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดกษัตริย์ ... กำเนิดพราหมณ์ ว่าเป็นชาติ คนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบชาติ
[๑๙๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ อุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดคนจัณฑาล ... กำเนิดคนจักสาน ... กำเนิด พราน ... กำเนิดคนช่างหนัง ... กำเนิดคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่า เป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบชาติ
[๒๐๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันกำเนิดกษัตริย์ ... กำเนิดพราหมณ์ ว่าเป็นชาติ กษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 34
อุปสันบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบชื่อ
[๒๐๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทรามด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่า ท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฎฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบชื่อ
[๒๐๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่า ท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่า ท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบชื่อ
[๒๐๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีชื่อทรามด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่าน สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 35
พูดยกยอกระทบชื่อ
[๒๐๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสันบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฎ์ คือพูด กะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... สังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบโคตร
[๒๐๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตร ทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโคตร
[๒๐๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฎ์ด้วยกล่าวกระทบโคตร ทราม คือ พูดกะอุปสันบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบโคตร
[๒๐๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรทรามด้วยกล่าวกระทบโคตร
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 36
อุกฤกษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบโคตร
[๒๐๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฎ์ด้วยกล่าวกระทบโคตร อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกระทบการงาน
[๒๐๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่าน ทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบการงาน
[๒๑๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 37
การงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบการงาน
[๒๑๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่า ท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบการงาน
[๒๑๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคน เลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกระทบศิลป
[๒๑๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่าง
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 38
หม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่า ท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบศิลป
[๒๑๔] อุปสัมบันปรารถจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฎ์ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบศิลป
[๒๑๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการ ช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่าง เขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบศิลป
[๒๑๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ด้วยกล่าวกระทบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 39
วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่าง คำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบโรค
[๒๑๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก.. โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโรค
[๒๑๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค ทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่าน เป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรค ลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบโรค
[๒๑๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรค
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 40
อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรค มองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบโรค
[๒๒๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสันบัน
พูดกดกระทบรูปพรรณ
[๒๒๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนคำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
[๒๒๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ...
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 41
ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนคำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบรูปพรรณ
[๒๒๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบรูปพรรณ
[๒๒๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ ดำเกินไป ... ไม่ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ด่านัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบกิเลส
[๒๒๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 42
ทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ผู้ถูกโทสะย่ำยี ... ผู้ถูกโมหะ ครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบกิเลส
[๒๒๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะ ครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบกิเลส
[๒๒๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลส อุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะ ครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบกิเลส
[๒๒๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจาก โมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 43
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดกระทบอาบัติ
[๒๒๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่าน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบอาบัติ
[๒๓๐] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้คือโสดาบัติ ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้อง อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบอาบัติ
[๒๓๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆา-
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 44
ทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปฎิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านถึงโสดาบัติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบอาบัติ
[๒๓๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องโสดาบัติ ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
อุปสันบันด่าอุปสัมบัน
พูดกดระทบคำสบประมาท
[๒๓๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความ ประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความ ประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่า ท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ติรัจฉาน ว่าท่าน เป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบคำสบประมาท
[๒๓๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 45
กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มี ปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่าน เป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติ ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบคำสบประมาท
[๒๓๕] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความ ประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความ ประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นคนพหูสูต ว่าท่าน เป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบคำสบประมาท
[๒๓๖] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มี ปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของ ท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 46
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[๒๓๗] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวก เป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติดนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
[๒๓๘] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามทราม ว่ามีบางพวก
[๒๓๙] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวกชื่อธนิฎฐกะ บางพวกชื่อสวิฎฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อ ธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 47
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็น ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤกฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็น โมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นว่าเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวก ทำงานช่างไม้ บางพวกทำงาน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำงาน ค้าขาย บางพวกทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศีลปทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บาง พวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมี วิชาการช่างคำนวณ บางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 48
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็น โรคฝี บางพวกเป็นโรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรค ลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำเกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่ามีบางพวก
มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูก โทสะย่ำยี บางพวกถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 49
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวก ปราศจากโทสะ บางพวกปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถึงโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บาง พวกมีความประพฤติดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความ ประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความ ประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุรูปนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
[๒๔๐] ... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บาง พวกเป็นคนฉลาด บางพวกเป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวก
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 50
เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุบางพวกนั้นไม่มี ภิกษุบางพวกนั้นต้องหวังได้ แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันด่าอุปสัมบัน
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่าพวกไรกันแน่
[๒๔๑] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า ภิกษุจำพวกใดกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกใดกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อ ธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรฉันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อ สังฆรักขิ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 51
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... เป็นคนทำงาน ค้าขาย ... เป็นคนทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่.
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 52
พูดเปรยกระทบอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูก โมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ.. ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 53
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถึงโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้น ไม่มี ภิกษุ พวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... มีปัญญา ... พหูสูต ... ธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้น ไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวัง ได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
[๒๔๒] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติทราม ... ไม่ใช่ชาติคน ช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 54
พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฎฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่ กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่วาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่ คนทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 55
พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวีชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็น โรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 56
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษ ์ ว่าไม่ใช้พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ถึงโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมี ปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเรา ต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 57
อุปสัมบันด่าอนุอุปสัมบัน
พูดกดกระทบชาติ
[๒๔๓] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็น ชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติ คนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติ อุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติ - พราหมณ์ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 58
พูดยกยอกระทบชาติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ ชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ว่าเป็น ชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อ ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฎฐกะ ว่าท่านสวิฎฐกะ ว่า ท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 59
อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชี่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชี่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่า ท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อ อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบโคตร
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบ โคตรทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่าน โกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโคตร
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ โคตรทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฎฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 60
พูดประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบ โคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่าน โคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฎฐ- โคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโคตรอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบ โคตรอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร.. วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบการงาน
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่าน เป็นช่างไม้ ว่าท่านเป็นคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 61
พูดกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงาน เลี้ยงโค ว่าท่านเป็นช่างไม้ ว่าท่านเป็นคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่า ท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ การงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงาน เลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบศิลป
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าว
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 62
กระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชา การช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่าง กัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชา การช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบศิลป
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการ ช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่าน มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด..
พูดประชดกระทบศิลป
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบ วิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการ ช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่าง เขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 63
พูดยกยอกระทบศิลป
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชา การช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมี วิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบโรค
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรค ทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรค มองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่าน เป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบ โรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็นโรคมองคร่อ ว่าท่านเป็น โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 64
พูดประชดกระทบโรค
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรค อุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีโรคอุกฤษฦ ์ ด้วยกล่าวกระทบ โรคอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรค เบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำ นัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 65
กระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่าน เป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบ รูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่าเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็น คนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าว กระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคน ไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 66
กิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ผู้ถูก โมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะ ครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะ ครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสันบันมีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่าน ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันมีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ กิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจากโทสะ ว่าท่าน ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 67
พูดกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติ- สังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติ ปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่าน ต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบอาบัติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถึงอาบัติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องโสดาบัติ ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้องอาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ ว่าท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้อง อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 68
ปาฎิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติทุพภาสิต ว่าท่านถึง โสดาบัติ ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดยกยอกระทบอาบัติ
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถึงอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบ อาบัติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ถึงโสดาบัติ ว่าท่านถึงโสดาบัติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... มีความ ประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มี ความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดกดให้เลวกระทบคำคำสบประมาท
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วย กล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 69
... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดประชดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสันบันผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติดังอูฐ มีความ ประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มี ความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็น บัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด
พูดยกยอกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดกะอนุปสัมบันผู้มีความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าว กระทบคำด่าอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มี ปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของ ท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 70
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[๒๔๔] อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสันบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบัน ในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อชวกัณณกะ บางพวกชื่อ ธนิฎฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวก ชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 71
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บาง พวกเป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บาง พวกเป็นโมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวก ทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวก ทำงานค้าขาย บางพวกทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวกมีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่าง หนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 72
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บาง พวกมีวิชาการช่างคำนวณบางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็น โรคฝี บางพวกเป็นโรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรค ลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำ เกินไป บางพวกดำเกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำ นัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 73
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวก ถูกโทสะย่ำยี บางพวกถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บาง พวกปราศจากโทสะ บางพวกปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสันบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวกต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวก ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถึงโสดาบัติ ดังนี้เป็น ต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวกมีความประพฤติดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมี ความประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความ ประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของอนุปสัมบันพวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 74
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวก เป็นคนฉลาด บางพวกเป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็น ธรรมกถึก ทุคติของอนุปสัมบันพวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้ แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่าพวกไรกันแน่
[๒๔๕] อนุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า อนุปสัมบัน จำพวกไรกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบนามอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 75
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติทุกกฎ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... เป็นคน ทำงานค้าขาย ... เป็นคนทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการ ช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสันบันจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่าง คำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรค กลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 76
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ... ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ... สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำ เกินไป ... ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ถึงโสดาบัติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 77
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของอนุปสัมบันพวกนั้น ไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็น คนมีปัญญา ... พหูสูต ... ธรรมกถึก ทุคติของอนุปสัมบันพวกนั้นไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... อุปสัมบันปรารถนาจะด่า ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ปรารถนาจะทำให้อัปยศ พูดเปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคน จัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคน ช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะ ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 78
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่ กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่ คนทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฎ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 79
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็น โรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 80
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติ ถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ถึงโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่เป็นคนฉลาด ... ไม่ใช่เป็น คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันล้ออุปสัมบัน
พูดล้อกดกระทบชาติ
[๒๔๖] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะ อุปสัมบันชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือพูดกะอุปสันบันชาติคน จัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 81
เทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติ อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติ พราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็นชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบัน ชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันชาติ อุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชาติกษัตริย์ ... ชาติ พราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 82
พูดล้อกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี ชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อ ชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฎฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่าน กุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี ชื่ออุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่า ท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสมบันมี ชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฎฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน พุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 83
พูดล้อยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมีชื่อ อุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ลือพูดกะอุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่า ท่านสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอุปสัมบันโคตมโคตร โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันโกสิยโคตร
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 84
... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โครตอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบัน โคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฎฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี การงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี การงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือพูดกะอุปสัมบันเป็นชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ... ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงาน เทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 85
พูดล้อประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสันบันมี การงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็น ช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่าน ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี การงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันเป็น ชาวนา ... เป็นพ่อค้า..เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงาน ค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี วิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบันมี วิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการ ช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่าน มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 86
พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสันบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี วิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอุปสัมบัน มีวิชาช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมี วิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่าน มีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี วิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการ ช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยกกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี วิชาการช่างอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบัน มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่าน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 87
มีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น โรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าเป็นโรคกลาก ว่าเป็นโรคมองคร่อ ว่าเป็น โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ว่าท่านเป็นโรคฝี ว่าท่านเป็นโรคกลาก ว่าท่านเป็น โรคมองคร่อ ว่าท่านเป็นโรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสันบันมี โรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น โรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 88
พูดล้อยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี โรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้เป็นโรคเบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี รูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูง เกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่านเป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี รูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ไม่ สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ว่าท่าน เป็นคนต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนดำนัก ว่าท่านเป็นคนขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ. แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอุปสัมบันมี
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 89
รูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้สูง เกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี รูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาวเกินไป ว่าท่าน เป็นคนไม่สูงนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ต่ำนัก ว่าท่านเป็นคนไม่ดำนัก ว่าท่านเป็น คนไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี กิเลสทรามด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูก โทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนำจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี กิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจากราคะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 90
... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่านถูก โทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี กิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่านปราศจาก โทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันมี กิเลสอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ปราศจาก ราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ว่าท่าน ปราศจากโทสะ ว่าท่านปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ต้อง อาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้องอาบัติ ปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้องอาบัติ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 91
ทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้อง อาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ว่า ท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ ต้องอาบัติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้อง โสดาบัติ ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ว่าท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ว่าท่านต้อง อาบัติถุลลัจจัย ว่าท่านต้องอาบัติปาจิตตีย์ ว่าท่านไม่ต้องปาฏิเทสนียะ ว่า ท่านต้องอาบัติทุกกฏ ว่าท่านต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้ ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้ต้อง อาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้อง อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 92
ต้องอาบัติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ต้อง โสดาบัติ ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มี ความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้มี ความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค .. มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่าน เป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มี ความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอุปสัมบันผู้เป็น บัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน เป็นอูฐ ว่าท่านเป็นแพะ ว่าท่านเป็นโค ว่าท่านเป็นลา ว่าท่านเป็นสัตว์ ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มี
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 93
ความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอุปสัมบันผู้มี ความประพฤติดังอูฐ ... มีความประพฤติดังแพะ ... มีความประพฤติดังโค ... มีความประพฤติดังลา ... มีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็น คนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอุปสัมบันผู้มี ความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอุปสัมบันผู้ เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน เป็นบัณฑิต ว่าท่านเป็นคนฉลาด ว่าท่านเป็นคนมีปัญญา ว่าท่านเป็นพหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[๒๔๗] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรย อย่างนี้คือ กล่าวว่ามีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล บาง พวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวกเป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสันบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอุปสัมบัน ไม่ ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนั้น คือ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 94
กล่าวว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็น ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวกชื่อ ชวกัณณกะ บางพวกชื่อธนิฏฐกะ บางพวกชื่อสวิฎฐกะ บางพวกชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวกชื่อ ธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวกเป็น ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร บางพวกเป็น โมคคัลลานโคตร บางพวกเป็นกัจจายนโคตร บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ บางพวกทำ งานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 95
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา บางพวกทำการ ค้าขาย บางพวกทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน บางพวก มีวิชาการช่างหม้อ บางพวกมีวิชาการช่างหูก บางพวกมีวิชาการช่างหนัง บางพวกมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ บางพวกมี วิชาการช่างคำนวณบางพวกมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน บางพวกเป็น โรคฝี บางพวกเป็นโรคกลาก บางพวกเป็นโรคมองคร่อ บางพวกเป็นโรค ลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป บางพวกต่ำเกินไป บางพวกดำเกินไป บางพวกขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 96
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก บางพวกไม่ต่ำนัก บางพวกไม่ดำนัก บางพวกไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่ามีบางพวก
... ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม บางพวกถูก โทสะย่ำยี บางพวกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ บางพวก ปราศจากโทสะ บางพวกปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก บางพวก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส บางพวกต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกต้องอาบัติปาจิตตีย์ บางพวกต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกต้องอาบัติทุกกฏ บางพวกต้องอาบัติ ทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ บางพวก มีความประพฤติดังแพะ บางพวกมีความประพฤติดังโค บางพวกมีความ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 97
ประพฤติดังลา บางพวกมีความประพฤติดังสัตว์ดิรัจฉาน บางพวกมีความ ประพฤติดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต บางพวกเป็น คนฉลาด บางพวกเป็นคนมีปัญญา บางพวกเป็นพหูสูต บางพวกเป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่าพวกไรกันแน่
[๒๔๘] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด เปรยอย่างนี้ คือ กล่าวว่าภิกษุจำพวกไรกันแน่เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคน จักสาน.. ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อ ธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ ... ชี่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 98
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อ สังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 99
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูก โมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 100
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องโสดาบัติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบลำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมี ปัญญา ... เป็นพหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุ พวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
[๒๔๙] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด เปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 101
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อ ธนิฎฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อ สังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่ กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่ คนทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 102
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็น โรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก.. ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี.. ไม่ใช่ถูก โมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 103
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ ทุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤกฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่พหูสูต ... ไม่ใช่ธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้อง หวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
อุปสัมบันอุปสัมบัน
พูดล้อกดกระทบชาติ
[๒๕๐] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด กะอนุปสัมบันมีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน มีชาติคนจัณฑาล ... มีชาติคนจักสาน ... มีชาติพราน ... มีชาติคนช่างหนัง มีชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็น
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 104
ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ว่าเป็นชาติคนจักสาน ว่าเป็น ชาติพราน ว่าเป็นชาติคนช่างหนัง ว่าเป็นชาติคนเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชาติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ใม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชาติทราม ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบชาติ
... อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะลบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชาติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบชาติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันมีชาติกษัตริย์ ... มีชาติพราหมณ์ ว่าเป็นชาติกษัตริย์ ว่าเป็นชาติพราหมณ์ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 105
พูดล้อกดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฎฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน อวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฏฐกะ ว่าท่านสวิฏฐกะ ว่าท่าน กุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบชื่อ
อุปสันบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชื่ออุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่อทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านอวกัณณกะ ว่าท่านชวกัณณกะ ว่าท่านธนิฎฐกะ ว่าท่านสวิฎฐกะ ว่าท่านกุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชื่อทราม ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฏ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ว่าท่าน พุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 106
พูดล้อยกยอกระทบชื่อ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีชื่ออุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบชื่ออุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ว่าท่านพุทธรักขิต ว่าท่านธัมมรักขิต ว่าท่านสังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโครตอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรทราม คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ว่าท่านโกสิยโคตร ว่าท่านภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อประชดกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 107
มีโคตรทราม ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่าน กัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบโคตร
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโคตรอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโคตรอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฎฐโคตร ว่าท่านโคตมโคตร ว่าท่านโมคคัลลานโคตร ว่าท่านกัจจายนโคตร ว่าท่านวาเสฏฐโคตร ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น ช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำงานเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 108
มีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น ชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานช่างไม้ ว่าท่านทำ งานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีการงานทราม ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันเป็น ช่างไม้ ... เป็นคนเทดอกไม้ ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำงานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบการงาน
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีการงานอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบการงานอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบันเป็น ชาวนา ... เป็นพ่อค้า ... เป็นคนเลี้ยงโค ว่าท่านทำงานไถนา ว่าท่านทำ งานค้าขาย ว่าท่านทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชา
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 109
การช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมี วิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่านมีวิชาการช่างหนัง ว่าท่าน มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างทราม คือพูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมี วิชาการช่างจักสาน ว่าท่านมีวิชาการช่างหม้อ ว่าท่านมีวิชาการช่างหูก ว่าท่าน มีวิชาการช่างหนัง ว่าท่านมีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างทราม ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการ ช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ว่าท่านมีวิชาการช่างนับ ว่าท่านมีวิชาการ ช่างคำนวณ ว่าท่านมีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 110
พูดล้อยกยอกระทบศิลป
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอนุปสัมบัน มีวิชาการช่างอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบวิชาการช่างอุกฤษฏ์ คือ พูดกะ อนุปสัมบันมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ว่าท่านมีวิชาการช่างนบ ... ช่างคำนวณ ... ช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็น โรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศแต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโรคอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 111
พูดล้อประชดกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโรคทราม ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ว่าท่านเป็นโรค เบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อยกยอกระทบโรค
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีโรคอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบโรคอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้เป็นโรค เบาหวาน ว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อกดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... ดำนัก ... ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด
พูดล้อกดให้เลวกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 112
มีรูปพรรณอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ว่าท่านเป็นคนสูงนัก ... ต่ำนัก ... คำนัก ... ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีรูปพรรณทราม ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ว่าท่านเป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบรูปพรรณ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีรูปพรรณอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบรูปพรรณอุกฤษฎ์ คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้ไม่สูงเกินไป ... ไม่ต่ำเกินไป ... ไม่ดำเกินไป ... ไม่ขาวเกินไป ว่าท่าน เป็นต้นไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 113
กลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่าน ถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบันมี กิเลสอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสทรามคือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจาก ราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านถูกราคะกลุ้มรุม ว่าท่าน ถูกโทสะย่ำยี ว่าท่านถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีกิเลสทราม ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ถูกราคะ กลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ว่าท่านปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบกิเลส
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน มีกิเลสอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ปราศจาก ราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ว่าท่านปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 114
พูดล้อกดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง อาบัติปาราชิก ... ผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ... ผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย ... ผู้ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ... ผู้ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ... ผู้ต้องอาบัติทุกกฏ ... ผู้ต้อง อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฎิเทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิตดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกับอนุปสัมบัน ผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติทราม คือ พูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง โสดาบัติ ว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้ต้องอาบัติทราม ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ต้อง อาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... .อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ...
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 115
อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบอาบัติ
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้ต้องอาบัติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบอาบัติอุกฤษฎ์ คือพูดกะอนุปสัมบันผู้ ต้องโสดาบัติ ว่าท่านต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อกดให้เลวกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติอุกฤษฎ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าทราม คือ พูดกะอนุปสัมบัน
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 116
ผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน เป็นอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ว่าท่านเป็นสัตว์นรก สุคติ ของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อประชดกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติทราม ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... มีความ ประพฤติดังสัตว์นรก ว่าท่านเป็นบัณฑิต ... คนฉลาด ... คนมีปัญญา ... พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อยกยอกระทบคำสบประมาท
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดกะอนุปสัมบัน ผู้มีความประพฤติอุกฤษฏ์ ด้วยกล่าวกระทบคำด่าอุกฤษฏ์ คือพูดกะอนุปสัมบัน ผู้เป็นบัณฑิต ... ผู้ฉลาด ... ผู้มีปัญญา ... ผู้พหูสูต ... ผู้ธรรมกถึก ว่าท่าน เป็นบัณฑิต ... คนฉลาด ... คนมีปัญญา ... พหูสูต ว่าท่านเป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 117
อุปสัมบันล้ออนุปสัมบัน
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก
[๒๕๑] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อันปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด เปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติ คนจัณฑาล บางพวกเป็นชาติคนจักสาน บางพวกเป็นชาติพราน บางพวก เป็นชาติคนช่างหนัง บางพวกเป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาทอนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูดเปรยอย่างนั้น คือกล่าวว่า มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ บางพวกเป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ บางพวก ชื่อชวกัณณกะ บางพวกชื่อธนิฎฐกะ บางพวกชื่อสวิฏฐกะ บางพวกชื่อ กุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต บางพวก ชื่อธัมมรักขิต บางพวกชื่อสังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 118
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสันบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร บางพวก เป็นภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานช่างไม้ ... ทำงาน เทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกทำงานไถนา ... ทำการ ค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน ... ช่างหม้อ ... ช่างหูก ... ช่างหนัง ... ช่างกัลบก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ ... ช่างคำนวณ ... ช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 119
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน โรคฝี ...... โรคลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทรามว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม.. ถูก โทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 120
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิ- เทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องโสดาบัติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... โค ... ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติ ของท่านพวกนั้นไม่มี ท่านพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... มีอนุปสัมบันในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต ... เป็น คนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็นพหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของ ท่านพวกนั้นไม่มี ท่านพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 121
อุปสันบันล้ออนุปสัมบัน
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่าพวกไรกันแน่
[๒๕๒] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด เปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฎฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อ
สังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 122
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้ ... ช่างเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการ ช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันว่าพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่าง คำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 123
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทรามว่า พวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติ สังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ ต้องโสดาบัติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... แพะ ... โค ... ลา ... สัตว์ดิรัจฉาน ... สัตว์นรก สุคติของอนุปสัมบันพวกนั้น ไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 124
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่
... อนุปสัมบันจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็น คนมีปัญญา ... เป็นพหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของอนุปสัมบันพวกนั้น ไม่มี อนุปสัมบันพวกนั้น ต้องหวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
อุปสัมบันล้ออนุปสัมบัน
พูดล้อเปรยกระทบชาติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
[๒๕๓] อุปสัมบันไม่ปรารถนาจะด่า ไม่ปรารถนาจะสบประมาท อนุปสัมบัน ไม่ปรารถนาจะทำให้อัปยศ แต่มีความประสงค์จะล้อเล่น จึงพูด เปรยอย่างนี้ คือกล่าวว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฎฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อ
สังฆรักขิต ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 125
พูดล้อเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่ กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ... ต้องอาบัติ ทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่ คนทำงานเลี้ยงโค ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่าง กัลบก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเรื้อน..ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็น โรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ... ต้อง อาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 126
พูดล้อเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก.. ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ ถูกโมหะครอบงำ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ ปราศจากโมหะ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 127
พูดล้อเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเรา ต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
พูดล้อเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา
... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่คนฉลาด ... ไม่ใช่คนมีปัญญา ... ไม่ใช่เป็นพหูสูต ... ไม่ใช่เป็นธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเรา ต้องหวังได้แต่สุคติ ... ต้องอาบัติทุพภาสิต ทุกๆ คำพูด.
อานาปัตติวาร
[๒๕๔] ภิกษุมุ่งอรรถ ๑ ภิกษุมุ่งธรรม ๑ ภิกษุมุ่งสั่งสอน ๑ ภิกษุ วิกลจริต ๑ ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน ๑ ภิกษุกระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ ภิกษุ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 128
มุสาวาทวรรค โอมลวาทสิกขาบทที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ ดังต่อไปนี้:-
[แก้อรรถเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์และโคนันทิวิสาล]
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอมสนฺติ คือ ย่อมกล่าวเสียดแทง.
บทว่า ขุํสนฺติ คือ ย่อมด่า.
บทว่า วมฺเภนฺติ คือ ย่อมขู่กรรโชก.
ด้วยบทว่า ภูตปุพฺพํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องนี้มาแสดง เพื่อทรงตำหนิการกล่าวเสียดแทง.
คำว่า นนฺทิ ในคำว่า นนฺทิวิสาโล นาม (นี้) เป็นชื่อของโคถึก นั้น. ก็โคถึกนั้น มีเขายาวใหญ่ เพราะเหตุนั้น เจ้าของจึงตั้งชื่อว่า นันทิวิสาล, โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เป็นโคถึกชื่อนันทิวิสาล. พราหมณ์เลี้ยงดูโคถึกนั้น อย่างดีเหลือเกิน ด้วยอาหารมียาคูและข้าวสวยเป็นต้น. ครั้งนั้น โคนันทิวิสาล นั้น เมื่อจะอนุเคราะห์พราหมณ์ จึงกล่าวคำว่า เชิญท่านไปเถิด ดังนี้เป็นต้น.
สองบทว่า ตตฺเถวอฏฺาสิ มีความว่า แม้ในกาลแห่งอเหตุกปฏิสนธิ โคนันทิวิสาลย่อมรู้จักคำกล่าวเสียดแทงของผู้อื่นได้ โดยเป็นคำไม่เป็นที่พอใจ; เพราะฉะนั้น มันใคร่เพื่อแสดงโทษแก่พราหมณ์ จึงได้ยืนนิ่งอยู่.
หลายบทว่า สกฏสตํ อติพทฺธํ ปวฏฺเฏสิ มีความว่า พระโพธิสัตว์ เมื่อจะลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่จอดไว้ตามลำดับสอดไม้ไว้ภายใต้ กระทำให้ ต่อเนื่องกันอันบรรทุกเต็มด้วยถั่วเขียว ถั่วเหลือง และทรายเป็นต้น. เกวียน ๑๐๐ เล่ม เป็นของอันตนจะต้องลากไปอีก ในเมื่อกำถึงส่วนของกำแรกตั้งอยู่
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 129
ก่อนแล้ว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น (พระโพธิสัตว์) ก็ได้ลากไปตลอดที่ประมาณ ชั่ว ๑๐๐ เล่มเกวียน เพื่อให้เกวียนเล่มหลังจอดในที่เกวียนเล่มหน้าจอดอยู่. จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่มีการกระทำที่ย่อหย่อน.
บาทคาถาว่า เตน จตฺตมโน อหุ มีความว่า โคนันทิวิสาลนั้น มีใจเบิกบาน เพราะการได้ทรัพย์นั้นของพราหมณ์ และเพราะการงานของตน.
ก็ในคำว่า อกฺโกเสนปิ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะจำแนก ไว้ข้างหน้าว่า คำด่ามี ๒ อย่าง คือ คำด่าที่เลว ๑ คำด่าที่ดี ๑; เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสเหมือนอย่างที่ตรัสไว้ในก่อนว่า ย่อมด่าด้วยคำที่เลวบ้าง ตรัสไว้ อย่างนี้ว่า อกฺโกเสน (โดยคำสบประมาท) ดังนี้.
[แก้อรรถโอมสวาทเป็นต้น]
ชาติแห่งคนการช่างถากไม้ชื่อว่า เวณชาติ.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เวฬุการชาติ ดังนี้ก็มี.
ชาติแห่งพรานเนื้อเป็นต้น ชื่อว่า เนสาทชาติ.
ชาติแห่งคนการช่างทำหนัง ชื่อว่า รถการชาติ (ชาติแห่งคนทำรถ).
ชาติแห่งคนเทดอกไม้ ชื่อว่า ปุกฺกุสชาติ.
คำว่า อวกณฺณกา เป็นชื่อของพวกทาส; เพราะฉะนั้น จึงเป็น คำเลว.
บทว่า โอาตํ แปลว่า ที่เขาเย้ยหยัน. ภิกษุบางพวกสวดว่า อุญฺาตํ ดังนี้ก็มี.
บทว่า อวุญฺาตํ แปลว่า ที่เขาเหยียดหยาม.
บทว่า หีฬิตํ แปลว่า ที่เขาเกลียดชัง.
บทว่า ปริภูตํ แปลว่า ที่เขาดูหมิ่นว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยคนนี้.
บทว่า อจิตีกตํ แปลว่า ที่เขาไม่กระทำความเคารพยกย่อง.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 130
การงานช่างไม้ ชื่อว่า โกฏฐกกรรม. นิ้วหัวแม่มือ ชื่อว่า มุทธา (วิชาการช่างนับ). การนับที่เหลือมีการนับไม่ขาดสายเป็นต้น ชื่อว่า คณนา (วิชาการช่างคำนวณ). อักษรเลข ชื่อว่า เลขา (วิชาการช่างเขียน). โรค เบาหวาน ท่านเรียกว่า โรคอุกฤษฏ์ เพราะไม่มีเวทนา.
บทว่า ปาฎิกงฺขา แปลว่า พึงปรารถนา.
สองบทว่า ยกาเรน วา ภกาเรน วา มีความว่า คำด่าที่ประกอบ ย อักษร และ ภ อักษร (ชื่อว่า เป็นคำด่าที่เลว).
ในคำว่า กาฏโกฏจิกาย วา (นี้) นิมิตแห่งบุรุษชื่อว่า กาฏะ นิมิต แห่งสตรีชื่อว่า โกฏจิกา. คำด่าที่ประกอบด้วยบททั้งสองนั่นอันใด คำด่านั่น ชื่อว่า เลวแล.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงยกอาบัติขึ้นปรับ ด้วยอำนาจ แห่งชนิดของอักโกสวัตถุมีชาติเป็นต้นเหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อุปสมฺ- ปนฺโน อุปสมฺปนฺนํ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น สามบทว่า ขุํเสตุกาโม วมฺเภตุกาโม มงฺกุกตฺตุกาโม มีความว่า ผู้ประสงค์จะด่า ประสงค์จะติเตียน ประสงค์จะ ทำให้อัปยศ.
สองบทว่า หีเนน หีนํ ได้แก่ ด้วยคำกล่าวถึงชาติอันเลว คือ ด้วยชาติที่เลว. บัณฑิตพึงทราบอรรถในบททั้งปวง โดยอุบายอย่างนี้.
อนึ่ง บรรดาบทเหล่านี้ ภิกษุ เมื่อกล่าวให้เลวด้วยถ้อยคำอันเลว ถึงจะกล่าวคำจริงก็ตาม ถึงอย่างนั้น เธอก็ต้องปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด เพราะ เป็นผู้ประสงค์จะกล่าวเสียดแทง. และเมื่อกล่าวให้เป็นคนเลวด้วยคำที่ดี แม้ จะกล่าวคำไม่จริงก็ตาม, ถึงอย่างนั้น ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ เพราะเป็นผู้ประสงค์จะกล่าวเสียดสี ไม่ใช่ด้วยสิกขาบทก่อน. ฝ่ายภิกษุใด กล่าวคำเป็นต้นว่า เจ้าเป็นจัณฑาลดี เจ้าเป็นพราหมณ์ดี เจ้าเป็นจัณฑาลชั่ว
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 131
เจ้าเป็นพราหมณ์ชั่ว ดังนี้, แม้ภิกษุนั้น พระวินัยธรพึงปรับด้วยอาบัติ เหมือนกัน.
ก็ในวาระว่า สนฺติ อิเธกจฺเจ เป็นต้นนี้ เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะ เป็นคำกล่าวกระทบกระทั่ง. แม้ในวาระว่า เย-นูน-น-มยํ ดังนี้เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ในอนุปสัมบัน เป็นทุกกฏอย่างเดียว ในวาระทั้ง ๔. แต่ด้วยคำว่า โจโรสิ คณฺเภทโกสิ (เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนทำลายปม) เป็นต้น ทุกๆ วาระ เป็นทุกกฏเหมือนกัน ทั้งอุปสัมบันทั้งอนุปสัมบัน. อนึ่ง เพราะความประสงค์จะเล่น เป็นทุพภาษิตทุกๆ วาระ ทั้งอุปสัมบัน ทั้งอนุปสัมบัน. ความเป็นผู้มีความประสงค์ในอันล้อเลียนและหัวเราะ ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความประสงค์จะเล่น ก็ในสิกขาบทนี้ เว้นภิกษุเสีย สัตว์ทั้งหมด มีนางภิกษุณีเป็นต้น บัณฑิตพึงทิราบว่า ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอนุปสัมบัน. ในคำว่า อตฺถปุเรกขารสฺส เป็นต้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้กล่าว อรรถแห่งพระบาลี ชื่อว่า อัตถปุเรกขาระ (ผู้มุ่งอรรถ). ผู้บอกสอนพระบาลี พึงทราบว่า ธัมมปุเรกขาระ (ผู้มุ่งธรรม). ผู้ตั้งอยู่ในการพร่ำสอน กล่าว โดยนัยเป็นต้นว่า ถึงบัดนี้ เจ้าเป็นคนจัณฑาล, เจ้าก็อย่าได้ทำบาป, อย่าได้ เป็นคนมีมืดมามืดไปเป็นเบื้องหน้า ดังนี้, พึงทราบว่า ชื่อว่า อนุสาสนีปุเรกขาระ (ผู้มุ่งสอน). บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล.
สิกขาบทนี้ มีสมุฎฐาน ๓ เกิดทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
แต่ในอาบัติเหล่านี้ อาบัติทุพภาษิต เกิดทางวาจากับจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ อกุศลจิต มีเวทนา ๒ คือ สุขเวทนา ๑ อุเปกขาเวทนา ๑.
โอมสวาทสิกขาบทที่ ๒ จบ