พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ (ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑)

 
บ้านธัมมะ
วันที่  11 มี.ค. 2565
หมายเลข  42767
อ่าน  428
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 132

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓

เรื่องพระฉัพพัคคีย์

[๒๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอกคือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะ เหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น.

บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้เก็บเอา คำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะถึงวิวาทกันไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยัง ไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาคเจ้า.

ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ไม่เพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอเก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความ บาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกันไปบอก คือ ฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 133

แก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อ ทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้น แล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น จริงหรือ.

พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกันไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย ฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะ เหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น การ กระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

๕๒.๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ.

เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ

สิกขาบทวิภังค์

[๒๕๖] ที่ชื่อว่า ส่อเสียด ขยายความว่า วัตถุสำหรับเก็บมาส่อเสียด มีได้ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ของคนผู้ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ของคนผู้ ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 134

ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลป ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑ คำด่า ๑.

บทภาชนีย์

ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่กำเนิด มี ๒ คือ กำเนิดทราม ๑ กำเนิดอุกฤษฎ์ ๑.

ที่ชื่อว่า กำเนิดทราม ได้แก่กำเนิดคนจัณฑาล กำเนิดคนจักสาน กำเนิดพราน กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ นี่ชื่อว่ากำเนิดทราม.

ที่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์ ได้แก่กำเนิดกษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์ นี่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์. ฯลฯ (๑)

ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่ามี ๒ คำ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑.

ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก สุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง ได้แต่ทุคติ คำด่าที่เกี่ยวด้วยยะอักษร ภะอักษร หรือนิมิตของชายและนิมิต ของหญิง นี่ชื่อว่า คำด่าทราม.

ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทุคติของท่านไม่มี ท่านต้องหวัง ได้แต่สุคติ นี่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฎ์.

อุปสัมบันส่อเสียดอุปสัมบัน

พูดเหน็บแนมกระทบชาติทราม

[๒๕๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติคนจัณฑาล ...


(๑) ที่ ฯลฯ ไว้นี้ หมายถึง นาม โคตรเป็นต้น พึงดูในสิกขาบทที่ ๒ ข้อ ๑๘๘

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 135

ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์

[๒๕๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็นชาติกษัตริย์.. เป็นชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชื่อทราม

[๒๕๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบัน ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อว่าอวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฎฐกะ ... ชื่อสวิฏฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์

[๒๖๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโคตรทราม

[๒๖๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่าเป็น โกสิยโคตระ ... ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์

[๒๖๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ ถูกเหน็บแนมท่านว่า เป็นโคตมโคตร ...

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 136

โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฎฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบการงานทราม

[๒๖๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงาน ช่างไม้ ... เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์

[๒๖๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานไถนา ... ทำงานค้าขาย ... ทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบศิลปทราม

[๒๖๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่าง จักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ...... มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบศิลปอุกฤษฏ์

[๒๖๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 137

พูดเหน็บแนมกระทบโรคทราม

[๒๖๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี.. โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ดังนี้เป็นต้น ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์

[๒๖๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอำคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเบาหวาน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม

[๒๖๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนสูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์

[๒๗๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม

[๒๗๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 138

พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสอุกฤษฏ์

[๒๗๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติทราม

[๒๗๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ต้องอาบัติ ปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติ ปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติอุกฤษฏ์

[๒๗๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ต้องโสดาบัติ ดังนี้ เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม

[๒๗๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นอูฐ ... เป็นแพะ ... เป็นโค ... เป็นลา ... เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ... เป็นสัตว์นรก สุคติของท่าน ไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์

[๒๗๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นบัณฑิต ... เป็น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 139

คนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็นพหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของ ท่านไม่มี ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม ว่ามีบางพวก

[๒๗๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคนจัณฑาล ... เป็นชาติคนจักสาน ... เป็นชาติพราน ... เป็นชาติคนช่างหนัง ... เป็นชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

[๒๗๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่อทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ ... ชื่อกุลวัฑฒกะ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 140

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชี่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร ... เป็นภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร ... บางพวกเป็นโมคคัลลานโคตร ... บางพวกเป็น กัจจายนโคตร ... บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานช่างไม้ ... เป็นคนทำงานเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 141

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานไถนา ... เป็นคนทำงานค้าขาย ... เป็นคนทำงานเลี้ยงโค ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่านดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนบกระทบโรคทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมมันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรค

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 142

ลมบ้าหมู ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า. มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ภิกษุนั้นไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 143

พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติ ปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องโสดาบัติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม ว่ามีบางพวก

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวัง ได้แต่ทุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 144

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่ามีบางพวก

[๒๗๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวัง ได้แต่สุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบชาติทราม ว่าพวกไรกันแน่

[๒๘๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติคนจัณฑาล ... ชาติคนจักสาน ... ชาติพราน ... ชาติคนช่างหนัง ... ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ เป็นชาติกษัตริย์ ... ชาติพราหมณ์ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่าพวกไรกันแน่

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสันบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ ... ชื่อชวกัณณกะ ... ชื่อธนิฏฐกะ ... ชื่อสวิฎฐกะ ... ชื่อ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 145

กุลวัฑฒกะ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต ... ชื่อธัมมรักขิต ... ชื่อสังฆรักขิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่เป็นโกสิยโคตร ... ภารทวาชโคตร ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร ... โมคคัลลานโคตร ... กัจจายนโคตร ... วาเสฏฐโคตร ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบการงานทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่เป็นช่างไม้ ... คนเทดอกไม้ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา ... เป็นคนทำงาน ค้าขาย ... เป็นคนทำงานเลี้ยงโค ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 146

พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน ... มีวิชาการช่างหม้อ ... มีวิชาการช่างหูก ... มีวิชาการช่างหนัง ... มีวิชาการช่างกัลบก ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ ... มีวิชาการช่างคำนวณ ... มีวิชาการช่างเขียน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน ... โรคฝี ... โรคกลาก ... โรคมองคร่อ ... โรคลมบ้าหมู ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกัน แน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 147

พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูก โมหะครอบงำ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ ... ปราศจากโมหะ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่นว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฎิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ อาบัติทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่นนี้ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องโสดาบัติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 148

พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าพวกไรกันแน่

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวก นั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้น ต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์

... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคน มีปัญญา ... เป็นพหูสูต ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุ พวกนั้น ต้องหวังได้แต่สุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

[๒๘๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติ คนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคน ช่างหนึ่ง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่า เฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไป บอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 149

พูดเปรยกระทบชื่อทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไป บอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่อ อวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อธนิฎฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อ สวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกุฎ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะ ท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโคตรทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่ กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่วาเสฏฐโคตร ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 150

พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่ทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่ คนทำงานเลี้ยงโค ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบศิลปทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างกัลบก ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบศิลปอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างเขียน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโรคทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่เป็นคนโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็น โรคกลาก ... ไม่ใช่เป็นโรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู.. ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่า เฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 151

พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกุๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ ปราศจากโมหะ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฏิเทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 152

พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่า เฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด..

พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... .ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวัง ได้แต่ทุคติ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ว่าไม่ใช่พวกเรา

... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่เป็นคนฉลาด ... ไม่ใช่เป็น คนมีปัญญา ... ไม่ใช่เป็นพหูสูต ... ไม่ใช่เป็นธรรมกถึก ทุคติของพวกเรา ไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.

ต้องอาบัติตามวัตถุ

[๒๘๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด. อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 153

อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอก แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.

อานาปัตติวาร

[๒๘๓] ภิกษุไม่ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เขา แตกกัน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ

มุสาวาทวรรค เปสุญญาวาทสิกขาบทที่ ๓

พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ ดังต่อไปนี้:-

[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์]

บทว่า ภณฺฑนซาตานํ ได้แก่ ผู้เกิดบาดหมางกันแล้ว. ส่วนเบื้องต้น แห่งความทะเลาะกัน ชื่อว่า ภัณฑนะ (ความบาดหมาง). คือ การปรึกษา กันในฝักฝ่ายของตน อาทิว่า เมื่อเขากล่าวคำอย่างนี้ว่า กรรมอย่างนี้ อัน คนนี้และคนนี้กระทำแล้ว พวกเราจักกล่าวอย่างนี้ (ชื่อว่า ภัณฑนะ ความ บาดหมาง). การล่วงละเมิดทางกายและวาจา ให้ถึงอาบัติ ชื่อว่า กลหะ (การทะเลาะ). การกล่าวขัดแยงกัน ชื่อว่า วิวาทะ. พวกภิกษุผู้ถึงความวิวาท กันนั้น ชื่อว่า วิวาทาปันนะ.

บทว่า เปสุญฺํ ได้แก่ ซึ่งวาจาส่อเสียด. มีคำอธิบายว่า ซึ่งวาจา ทำให้สูญเสียความเป็นที่รักกัน.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 154

บทว่า ภุกฺขุเปสุญฺเ ได้แก่ ในเพราะคำส่อเสียดภิกษุทั้งหลาย, อธิบายว่า ในเพราะคำส่อเสียดที่ภิกษุฟังจากภิกษุแล้วนำเข้าไปบอกแก่ภิกษุ.

สองบทว่า ทฺวีหิ อากาเรหิ ได้แก่ ด้วยเหตุ ๒ อย่าง.

บทว่า ปิยกมฺยสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาให้คนเป็นที่รักของเขาว่า เราจักเป็นที่รักของผู้นี้ อย่างนั้น หนึ่ง

บทว่า เภทาธิปฺปายสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาความแตกร้าว แห่งคนหนึ่งกับคนหนึ่ง ว่า คนนี้จักแตกกันกับคนนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ หนึ่ง.

บททั้งปวง มีบทว่า ชาติโต วา เป็นอาทิ มีนัยดังกล่าวแล้วใน สิกขาบทก่อนนั่นแล. แม้ในสิกขาบทนี้ ชนทั้งหมดจนกระทั่งนางภิกษุณีเป็นต้น ก็ชื่อว่า อนุปสัมบัน.

สองบทว่า น ปิยกมฺยสฺส น เภทาธิปฺปายสฺส มีความว่า ไม่ เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เห็น ภิกษุรูปหนึ่งกำลังด่า และรูปหนึ่งอดทนได้แล้วกล่าว เพราะคนเป็นผู้มักติคนชั่วอย่างเดียว โดยท่านองนี้ว่า โอ! คนไม่มียางอาย จักสำคัญคนดีชื่อแม้เช่นนี้ว่า ตนควรว่ากล่าวได้เสมอ บทที่เหลือมีอรรถตื้น ทั้งนั้น.

สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑ กายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนั้นแล.

เปสุญญวาทสิกขาบทที่ ๓ จบ