พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ (ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑)

 
บ้านธัมมะ
วันที่  11 มี.ค. 2565
หมายเลข  42768
อ่าน  482
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 155

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔

เรื่องพระฉัพพัคคีย์

[๒๘๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระ เชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบท พวกอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่.

บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ยังเหล่า อุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบท เหล่าอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติ ให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะ เหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอยังเหล่าอุบาสก ให้กล่าวธรรมโดยบท เหล่าอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ จริงหรือ.

พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท

พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบทเล่า พวกอุบาสกจึงไม่เคารพ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 156

ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ ดูก่อนโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ

๕๓.๔. อนึ่ง ภิกษุใดยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท เป็นปาจิตตีย์.

เรื่อง พระฉัพพัคคีย์ จบ

สิกขาบทวิภังค์

[๒๘๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...

บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.

ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่า อนุปสัมบัน.

[๒๘๖] ที่ชื่อว่า โดยบท ได้แก่ บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.

ที่ชื่อว่า บท คือ ขึ้นต้นพร้อมกัน ให้จบลงพร้อมกัน.

ที่ชื่อว่า อนุบท คือ ขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน.

ที่ชื่อว่า อนุอักขระ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบัน กล่าวพร้อมกันว่า รู ดังนี้ แล้วหยุด.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 157

ที่ชื่อว่า อนุพยัญชนะ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบัน เปล่งเสียงรับว่า เวทนา อนิจฺจา.

บท ก็ดี อนุบท ก็ดี อนุอักขระ ก็ดี อนุพยัญชนะ ก็ดี ทั้งหมด นั้น ชื่อว่าธรรมโดยบท.

ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่ บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.

บทว่า ให้กล่าว คือ ให้กล่าวโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ให้กล่าวโดยอักขระ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ อักขระ.

บทภาชนีย์

ติกปาจิตตีย์

[๒๘๗] อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน ให้กล่าวธรรม โดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.

ทุกกฏ

อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้อง อาบัติทุกกฏ.

อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 158

ไม่ต้องอาบัติ

อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ไม่ ต้องอาบัติ.

อานาปัตติวาร

[๒๘๘] ภิกษุให้สวดพร้อมกัน ๑ ท่องพร้อมกัน ๑ อนุปสัมบันผู้ กล่าวอยู่ สวดอยู่ ซึ่งคัมภีร์ที่คล่องแคล่วโดยมาก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุ อาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.

มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ

มุสาวาทวรรค ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔

พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ ดังต่อไปนี้

[แก้อรรถบางปาฐะว่าด้วยการสอนธรรมโดยบท]

บทว่า อปฺปติสฺสา ได้แก่ ไม่ยำเกรง, อธิบายว่า เมื่อพวกภิกษุ ฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย! แม้ถ้อยคำก็ไม่อยากฟัง คือ ไม่ เอื้อเฟื้อ. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่มีความยำเกรง ไม่ประพฤติอ่อนน้อม.

บทว่า อสภาควุตฺติกา ได้แก่ ผู้มีความเป็นอยู่ไม่ถูกส่วนกัน ; อธิบายว่า ผู้มีความประพฤติไม่ดำเนินไปเหมือนอย่างที่พวกอุบาสกควร ประพฤติในหมู่ภิกษุ

คำว่า ปทโส ธมฺมํ วาเจยฺย ความว่า ให้กล่าวธรรมเป็นบทๆ รวมกัน (กับ อนุปสัมบัน) , อธิบายว่า ให้กล่าว (ธรรม) เป็นโกฏฐาสๆ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 159

(เป็นต้นส่วนๆ). ก็เพราะบทที่มีชื่อว่าโกฎฐาสนั้น มีอยู่ ๔ อย่าง. ฉะนั้น เพื่อ แสดงบททั้ง ๔ อย่างนั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.

บรรดาบทเป็นต้นนั้น บท หมายเอาคาถาบาทหนึ่ง. อนุบท หมายเอา บาทที่สอง. อนุอักขระ หมายเอาอักขระตัวหนึ่งๆ (หมายเอาอักขระแต่ละตัว). อนุพยัญชนะ หมายเอาพยัญชนะตัวท้ายคล้ายกับพยัญชนะตัวต้น. ผู้ศึกษาพึง ทราบความต่างกัน ในบทเป็นต้นนั่นอย่างนี้ คือ อักขระแต่ละตัวชนิดใด ชนิดหนึ่ง ชื่อว่า อนุอักขระ ประชุมอักขระ ชื่อว่า อนุพยัญชนะ, ประชุม อักขระและอนุพยัญชนะ ชื่อว่า บท, บทแรก ชื่อว่า บทเหมือนกัน บท ที่สอง ชื่อว่า อนุบท.

บัดนี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปทํ นาม เอกโต ปฏฺ- เปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป เมื่อภิกษุให้กล่าวธรรม เนื่องด้วย คาถา เริ่มบทแต่ละบทนี้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา พร้อมกันกับอนุปสัมบัน แล้วให้จบลงก็พร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์ หลายตัวตามจำนวนบท.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุปทํ นาม ปาเฏกฺกํ ปฏฺเปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป :- เมื่อพระเถระกล่าวว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ดังนี้ สามเณรกล่าวบทนั้นไม่ทัน จึงกล่าวบทที่สองพร้อมกันว่า มโนเสฏฺา มโนมยา. ภิกษุและสามเณรทั้งสองรูปนี้ ชื่อว่าขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัว ตามจำนวนอนุบท.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 160

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนฺวกฺขรํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน รูติ โอปาเตติ ต่อไป:- ภิกษุสอนสามเณรว่า แน่ะสามเณร! เธอจงว่า รูปํ อนิจฺจํ กล่าวพร้อมกันเพียงรู- อักษรเท่านั้น แล้วหยุดอยู่. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตานจำนวนอนุ- อักขระ. และแม้ในคาถาพันธ์ บัณฑิตก็ย่อมได้นัยเช่นนี้เหมือนกันแท้ทีเดียว.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุพฺยญฺชนํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน เวทนา อนิจฺจาติ สทฺทํ นิจฺฉาเรติ ต่อไป:- สามเณร ให้บอกสูตรนี้ว่า รูปํ ภิกฺขเว อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา เป็นต้น พระเถระ บอกว่า รูปํ อนิจจํ ดังนี้ เปล่งวาจากล่าวอนิจจบทนี้ว่า เวทนา อนิจฺจา พร้อมกับอนิจจบทของพระเถระว่า รูปํ อนิจฺจํ นี้ เพราะเป็นผู้มีปัญญาว่องไว. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ พระวินัยธรก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตาม จำนวนอนุพยัญชนะ. ส่วนความสังเขปในบทเหล่านี้มีดังนี้ว่า บรรดาบท เป็นต้นนี้ ภิกษุกล่าวบทใดๆ พร้อมกัน ย่อมต้องอาบัติด้วยบทนั้นๆ.

[ว่าด้วยภาษิต ๔ มีพุทธภาษิตเป็นต้น]

วินัยปิฎกทั้งสิ้น อภิธรรมปิฎก ธรรมบท จริยาปิฎก อุทาน อติวุทคกะ ชาตกะ สุตตนิบาท วิมานวัตถุ เปตวัตถุ และพระสูตรทั้งหลาย มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น ชื่อว่า พุทธภาษิต.

ธรรมที่พวกสาวกผู้นับเนื่องในบริษัท ๔ ภาษิตไว้ มีอนังคณสูตร สัมมาทิฏฐิสูจร อนุมานสูตร จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตรเป็นต้น ชื่อว่า สาวกภาษิต.

ธรรมที่พวกปริพาชกภายนอกกล่าวไว้ มีอาทิอย่างนี้ คือ ปริพาชก วรรคทั้งสิ้น คำปุจฉาของพราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์ ชื่อพาวรี ชื่อว่า อิสิภาษิต.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 161

ธรรมที่พวกเทวดากล่าวไว้ ชื่อว่า เทวตาภาษิต. เทวจตาภาษิตธรรม นั้น บัณฑิตพึงทราบ ด้วยอำนาจแห่งเรื่องมีเทวดาสังยุตต์ เทวปุตตสังยุตต์ มารสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ และสักกสังยุตต์เป็นต้น.

บทว่า อตฺถูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยอรรถกถา.

บทว่า ธมฺมูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยพระบาลี. แม้ด้วยบท ทั้งสองนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฎฏะนั่นเอง. จะกล่าวถึงธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฎฏะ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ก็เป็น อาบัติแก่.ภิกษุผู้ให้กล่าวธรรมที่ขึ้นสู่สังคีติทั้ง ๓ คราว โดยบทเหมือนกัน. ไม่ เป็นอาบัติแม้ไม่คำที่อาศัยพระนิพพาน ซึ่งท่านรจนาไว้ โดยผูกเป็นคาถาโศลก เป็นต้น ด้วยอำนาจภาษาต่างๆ.

แม้ในสูตรที่ไม่ได้ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ คราว เช่นนี้ คือ กุลุมพสูตร ราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตร และนันโทปนันทสูตร ก็เป็น อาบัติเหมือนกัน ถึงการทรมานพญานาค ชื่อว่าอปลาละ อาจารย์ก็กล่าวไว้ (ด้วยอำนาจก่อให้เกิดอาบัติ) แต่ในมหาปัจจรีท่านปฎิเสธ (อธิบายว่าไม่ เป็น อาบัติ).

ในปฏิภาณส่วนตัวของพระเถระ ในเมณฑกมิลินทปัญหา ไม่เป็น อาบัติ. (แต่) เป็นอาบัติในถ้อยคำที่พระเถระนำมากล่าว เพื่อให้พระราชาทรง ยินยอม.

อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็ปกรณ์ทั้งหลายมีอาทิ คือ วัณณปิฎก อังคุลิมาลปิฎก รัฐปาลครรชิต อาลวกครรชิต คุฬหอุมมังคะ คุฬหเวสสันดร คุฬหวินัย เวทัลลปิฎก (๑) เป็นต้น ไม่เป็นพุทธพจน์แท้

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ธรรมชื่อว่า สีลูปเทส พระธรรมเสนาบดี กล่าวไว้ ในธรรมนั้น เป็นอาบัติเหมือนกัน ยังมีปกรณ์แม้อื่น เช่น มัคคกถา


(๑) เป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ของเราไม่มี-ผู้ชำระ.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 162

อารัมมณกถา วุฑฒิกรัณฑกญาณวัตถุ และอสุภกถาเป็นต้น ในปกรณ์ เหล่านั้น ท่านจำแนกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ไว้. ในธุดงคปัญหา ท่านจำแนก ปฏิปทาไว้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอาบัติในปกรณ์เหล่านั้น.

แต่ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวอาบัติไว้ ในจำพวก ราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตร นันโทปนันทสูตร กุลุมพสูตร (๑) นั่นแล ซึ่งไม่ขึ้นสู่สังคีติ แล้วกำหนดอรรถไว้ดังนี้ว่า บรรดาคำที่เหลือ เฉพาะคำที่ท่านนำมาจากพุทธพจน์กล่าวไว้เท่านั้น เป็นวัตถุแห่งอาบัติ นอกจากนี้ หาเป็นไม่.

คำว่า เอกโต อุทฺทิสาเปนฺโต มีความว่า ภิกษุแม้เรียนบาลีร่วม กับอนุปสัมบันกล่าวพร้อมกัน ไม่เป็นอาบัติ.

ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- อุปสัมบันกับอนุปสัมบันนั่นแล้ว ขอให้อาจารย์สวด อาจารย์คิดว่า เราจะสวดแก่อุปสัมบันและอนุปสัมบัน ทั้งสองผู้นั่งแล้ว จึงสวดพร้อมกันกับเธอเหล่านั้น. เป็นอาบัติแก่อาจารย์ เป็น อนาบัติแก่ภิกษุผู้เรียนเอาพร้อมกับอนุปสัมบัน. แม้อุปสัมบันกับอนุปสัมบัน ทั้งสองยืนเรียนอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน ภิกษุหนุ่มนั่ง สามเณรยืน, ไม่ เป็นอาบัติแก่อาจารย์ผู้บอก ด้วยคิดว่า เราจะกล่าวแก่ภิกษุผู้นั่ง. ถ้าภิกษุหนุ่ม ยืน ฝ่ายสามเณรนั่ง ไม่เป็นอาบัติแม้แก่อาจารย์ผู้ ล่าวอยู่ ด้วยติดว่า เราจะ กล่าวแก่ภิกษุผู้ยืน.

ถ้าสามเณรรูปหนึ่งงอยู่ในระหว่างภิกษุมากรูป เป็นอจิตตกาบัติแก่ อาจารย์ผู้ให้กล่าวธรรมโดยบทในเพราะสามเณรนั่งอยู่ด้วย.

ถ้าสามเณรยืนหรือนั่งละอุปจารเสีย เพราะสามเณรไม่นับเนื่องอยู่ใน พวกภิกษุที่อาจารย์ให้กล่าว (ธรรมโดยบท) เธอจึงถึงการนับว่า เรียนเอาคัมภีร์ เล็ดลอดออกไปโดยทิศาภาคหนึ่ง; เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ (แก่อาจารย์)


(๑) เป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ของเราไม่มี. - ผู้ชำระ.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค เล่ม ๒ - หน้า 163

คำว่า เอกโต สชฺฌายํ กโรนฺโต มีความว่า อุปสันบันเมื่อกระทำ การสาธยายร่วมกันกับอนุปสัมบัน สวดพร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้นแล ไม่เป็น อาบัติ. แม้ภิกษุเรียนอุเทศในสำนักแห่งอนุปสัมบัน สวดร่วมกับอนุปสัมบันนั้น ก็ไม่เป็นอาบัติ. เพราะว่า แม้อุปสัมบันนี้ก็ถึงอันนับว่า กระทำสาธยายพร้อม กันแท้.

คำว่า เยภุยฺเยน ปคุณํ คณฺํ ภณนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า ถ้าในคาถาเดียวกัน บาทหนึ่งๆ ยังจำไม่ได้ ที่เหลือจำได้ นี้ชื่อว่าคัมภีร์ที่ คล่องแคล่ว โดยมาก. แม้ในพระสูตร ผู้ศึกษาก็พึงทราบโดยนัยนี้. ไม่เป็น อาบัติแก่ภิกษุผู้ทักให้คัณฐะนั้นค้างอยู่ จึงสวดแม้พร้อมกันด้วยกล่าวว่า เธอ จงสวดอย่างนี้.

สองบทว่า โอสาเรนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ ภิกษุผู้กล่าวกะอนุปสัมบันผู้สวดสูตรวกวนอยู่ ในท่ามกลางบริษัทว่า เธอจง สวดอย่างนี้ แล้วสวดแม้พร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้น. ก็ดำใดที่ท่านกล่าวไว้ ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้นนี้ว่า ภิกษุผู้อันอนุปสัมบันกล่าวว่า ท่านอยู่สวด กับผม ถ้าสวดเป็นอนาบัติ ดังนี้. คำนั้นไม่มีในมหาอรรถกถา. ก็ภาวะแห่ง คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น นั้นไม่มีเลย ถูกแล้ว (ก็ความที่ อาบัติไม่มีแก่ภิกษุนั้นเลย ถูกแล้ว). เพราะเหตุไร? เพราะอาบัติเกิดจากการ กระทำ. แต่เมื่อมีการถือเอาอรรถนอกนี้ สิกขาบทนี้ จะพึงเป็นทั้งกิริยาทั้ง อกิริยาบท ที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.

สิกขาบทนี้ มีธรรมโดยบทเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางวาจา ๑ วาจา กับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.

ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔ จบ