มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร
[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๘
ปริวาร
มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร
คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ 2/2
คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ 4/7
คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ 5/8
คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ 6/8
สังฆาทิเสสกัณฑ์
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ 9/10
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ 10/14
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ 11/15
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ 12/15
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕ 13/16
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖ 14/16
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗ 15/17
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘ 16/18
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙ 17/18
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐ 18/19
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑ 19/19
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒ 20/20
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓ 21/21
อนิยตกัณฑ์
คําถามและคําตอบอนิยตสิกขาบทที่ ๑ 24/22
คําถามและคําตอบอนิยตสิกขาบทที่ ๒ 25/26
นิสสัคคียกัณฑ์
คําถามและคําตอบกฐินวรรคที่ ๑ 27/29
คําถามและคําตอบโกสิยวรรคที่ ๒ 38/34
คําถามและคําตอบปัตตวรรคที่ ๓ 49/40
ปาจิตติยกัณฑ์
คําถามและคําตอบมุสาวาทวรรคที่ ๑ 60/45
คําถามและคําตอบภูตคามวรรคที่ ๒ 71/51
คําถามและคําตอบโอวาทวรรคที่ ๓ 82/56
คําถามและคําตอบโภชนวรรคที่ ๔ 93/62
คําถามและคําตอบอเจลกวรรคที่ ๕ 104/67
คําถามและคําตอบสุราเมรยวรรคที่ ๖ 115/72
คําถามและคําตอบสัปปาณกวรรคที่ ๗ 126/78
คําถามและคําตอบสหธรรมมิกวรรคที่ ๘ 137/83
คําถามและคําตอบราชวรรคที่ ๙ 150/90
ปาฏิเทสนียกัณฑ์
คําถามและคําตอบสิกขาบทที่ ๑ 162/95
คําถามและคําตอบสิกขาบทที่ ๒ 163/96
คําถามและคําตอบสิกขาบทที่ ๓ 164/96
คําถามและคําตอบสิกขาบทที่ ๔ 164/97
เสขิยกัณฑ์
คําถามและคําตอบปริมัณฑลวรรคที่ ๑ 167/98
คําถามและคําตอบอุชชัคฆิกวรรคที่ ๒ 177/103
คําถามและคําตอบขัมภกตวรรคที่ ๓ 189/108
คําถามและคําตอบปิณฑปาตวรรคที่ ๔ 197/113
คําถามและคําตอบกพฬวรรคที่ ๕ 207/118
คําถามและคําตอบสุรุสุรุวรรคที่ ๖ 217/123
คําถามและคําตอบปาทุกาวรรคที่ ๗ 227/128
หัวข้อบอกวรรคเหล่านั้น 243/136
กตาปัตตวารที่ ๒
คําถามและคําตอบในปาราชิกกัณฑ์ปาราชิก ๔ สิกขาบท 244/137
คําถามและคําตอบในสังฆาทิเสสกัณฑ์สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท 248/138
คําถามและคําตอบอาบัติในปาจิตติยกัณฑ์ 145
คําถามและคําตอบในปาฏิเทสนียกัณฑ์ 158
คําถามและคําตอบอาบัติในเสขิยกัณฑ์ 159
กัตถบัญญัติวารที่ ๑
คําถามและคําตอบปาราชิก ๔ สิกขาบท 469/172
คําถามและคําตอบสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท 473/177
กตาปัตติวารที่ ๒
คําถามและคําตอบอาบัติในปาราชิกกัณฑ์ 487/187
คําถามและคําตอบอาบัติในสังฆาทิเสสกัณฑ์ 491/189
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 10]
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1
พระวินัยปิฎก เล่ม ๘
ปริวาร
มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร
กัตถปัญญัติวาร ที่ ๑
[๑] พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุ- ปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบท ที่ ๑ นั้น จัดเข้าในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ เท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติ กองไหน บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะ เท่าไร ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์ อะไรเป็นวิบัติ อะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 2
เป็นสมบัติ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบท ที่ ๑ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร พวกไหนศึกษา พวกไหนมีสิกขา อันศึกษาแล้ว ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร พวกไหนย่อมทรงไว้ เป็นถ้อยคำของใคร ใครนำมา.
ปาราชิกกัณฑ์
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
[๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระสุทิน กลันทบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระสุทิน กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกา
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ อนุปันนบัญญัติ ไม่มี ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 3
ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัดเข้าใน อุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. เป็นศีลวิบัติ
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในปาราชิกสิกขาบท ที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 4
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์
ถ. อะไรเป็นวิบัติ
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ
ถ. อะไรเป็นสมบัติ
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรม เห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ
ถ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง อาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร
ต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มี ศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส เพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
ถ. พวกไหนศึกษา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 5
ต. พระเสกขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้
ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระ พวกนั้นย่อมทรงไว้
ถ. เป็นถ้อยคำของใคร
ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
[๓] พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณถะ พระสิคควะ รวม เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่าชมพู อันมีสิริ แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระ มหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะผู้เป็น บัณฑิต ๑ มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 6
พวกท่านสอน พระวินัยปิฎกในเกาะตามพปัณณิ สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ ๗ แล้ว ภายหลังพระอริฏฐะผู้มีปัญญา พระติสสทัตตะผู้ฉลาด พระกาฬสุมนะผู้องอาจ พระเถระมีชื่อว่าทีฆะ พระทีฆสุมนะผู้บัณฑิต ต่อมาอีก พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระ พระพุทธรักขิต พระติสสเถระผู้มีปัญญา พระเทวเถระผู้ฉลาด ต่อมาอีก พระสุมนะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระจูฬนาค ผู้พหูสูต ดุจช้างซับมัน พระเถระ ชื่อธัมมปาลิตะ อันสาธุชนบูชาแล้วในโรหน ชนบท ศิษย์ของพระธรรมปาลิตะนั้น มี ปัญญามาก ชื่อพระเขมะ ทรงจำพระไตรปิฎกรุ่งเรืองอยู่ในเกาะ ด้วยปัญญา ดุจ พระจันทร์ พระอุปติสสะผู้มีปัญญา พระปุสสะเทวะผู้มหากถึก ต่อมาอีก พระสุมนะ ผู้มีปัญญา พระเถระชื่อบุปผะ ผู้พหูสูต พระ มหาสีวะผู้มหากถึก ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวง ต่อมาอีก พระอุบาลี ผู้มีปัญญา เชี่ยว ชาญในพระวินัย พระมหานาค ผู้มีปัญญา มาก ฉลาดในวงศ์พระสัทธรรม ต่อมาอีก
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 7
พระอภยะ ผู้มีปัญญา ฉลาดในพระปิฎก ทั้งปวง พระติสส เถระ ผู้มีปัญญาเชี่ยวชาญ ในพระวินัย ศิษย์ของพระติสสเถระนั้น มี ปัญญามาก ชื่อปุสสะ เป็นพหูสูต ตามรักษา พระศาสนา อยู่ในชมพูทวีป พระจูฬาภยะ ผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา ฉลาดในวงศ์พระ สัทธรรม พระจูฬาเทวะ ผู้มีปัญญาและ เชี่ยวชาญในพระวินัย และพระสิวเถระ ผู้ มีปัญญา ฉลาดในพระวินัยทั้งมวล พระเถระ ผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ ในเกาะตามพปัณณิ.
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
[๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระธนียะ กุมภการบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 8
ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวง ซึ่ง ไม่ได้รับพระราชทาน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิตมิ ใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
[๕] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๓ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุมากรูปด้วยกัน
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุมากรูปด้วยกัน ปลงชีวิตกันและกัน. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี บรรดาสมุฏฐานแห่ง อาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
[๖] ถามว่า ปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 9
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญ อุตริ- มนุสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี บรรดาสมุฏฐานแห่ง อาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต ไม่ใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำกัณฑ์
[๗] ปาราชิก ๔ คือ เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิคคหะ ๑ อุตริมนุสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่งมูลเฉท หาความสงสัยมิได้ ดังนี้แล.
กัตถปัญญัติวาร
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลงในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง ย่อมเกิดขึ้น ด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน บรรดาสมถะ ๗
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 10
ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิ- ปาติโมกข์ อะไรเป็นวิบัติ อะไรเป็นสมบัติ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ เพราะทรง อาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร พวกไหนศึกษา พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร พวกไหนย่อมทรงไว้ เป็นถ้อยคำ ของใคร ใครนำมา.
สังฆาทิเสสกัณฑ์
คำถามและตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
[๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระเสยยสกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเสยยสกะพยายามปล่อยอสุจิด้วยมือ
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 11
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลง ในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. เป็นศีลวิบัติ
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. เป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. ย่อมเกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิตมิใช่วาจา
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 12
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ใน สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์
ถ. อะไรเป็นวิบัติ
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ
ถ. อะไรเป็นสมบัติ
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรม เห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ
ถ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายาม ปล่อยอสุจิ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร
ต. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พยายาม ปล่อยอสุจิ เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับ ว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่อ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 13
อยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อ ความดำรงมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
ถ. พวกไหนศึกษา
ต. พระเสกขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ถ. ตั้งอยู่ในใคร
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้
ต. สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระ พวกนั้นย่อมทรงไว้
ถ. เป็นถ้อยคำของใคร
ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 14
เป็นห้าทั้งพระโมคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่า ชมพู อันมีสิริ แต่นั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎก ไว้ในเกาะตามพปัณณิ.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
[๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเคล้าคลึง ด้วยกายกับมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 15
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
[๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้พูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
[๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้กล่าวคุณแห่งการ บำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 16
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕
[๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถึงความเป็นผู้เที่ยวชัก สื่อ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖
[๑๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอ เอาเอง ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 17
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองอาฬวี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวีให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗
[๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ให้ทำวิหารใหญ่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะแผ้วถางพื้นที่วิหาร ได้สั่งให้ตัดต้นไม้ ที่เขาสมมติว่าเป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 18
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
[๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ตามกำจัดภิกษุ ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะ และพระภุมมชกะตามกำจัดท่านพระ ทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
[๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ถือเอาเอกเทศ บางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วย ธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 19
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ถือเอาเอกเทศบาง อย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐
[๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ผู้ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเทวทัต
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัต ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ผู้พร้อม เพรียง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับ จิต ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑
[๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่พวกภิกษุผู้ประพฤติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 20
ตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป ได้ประพฤติตามพระเทวทัตผู้ตะเกียก ตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับ จิต ...
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒
[๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ว่ายาก ไม่สละ กรรมเพราะสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดย ชอบธรรม ได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 21
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓
[๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะถูกสงฆ์ลง ปัพพาชนียกรรม แล้วกลับหาว่า ภิกษุทั้งหลายถึงความพอใจ ถึงความขัดเคือง ถึงความหลง ถึงความกลัว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำกัณฑ์
[๒๒] สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท คือ ปล่อยน้ำสุกกะ ๑ เคล้าคลึง กาย ๑ วาจาชั่วหยาบ ๑ บำเรอตนด้วยกาม ๑ เที่ยวชักสื่อ ๑ สร้างกุฎี ๑ สร้างวิหาร ๑ ปาราชิกาบัติไม่มีมูล ๑ อ้างเลศบางอย่าง ๑ ทำลายสงฆ์ ๑ ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ๑ ว่ายาก ๑ ประทุษร้ายสกุล ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 22
กัตถปัญญัติวาร
[๒๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันน บัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือบรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบท ที่ ๑ นั้น หยั่งลงในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ เท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน บรรดาอาบัติ ๗ กองเป็นอาบัติ กองไหน บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา อธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อย่างไหน บรรดาสมถะ ๗ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไร เป็นอภิวินัย ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในอนิยต สิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์ อะไรเป็นวิบัติ อะไรเป็นสมบัติ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ อนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะ ทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร พวกไหนศึกษา พวกไหนมีสิกขาอันศึกษา แล้ว อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร พวกไหนย่อมทรงไว้ เป็นถ้อยคำ ของใคร ใครนำมา.
อนิยตกัณฑ์
คำถามและคำตอบ อนิยตสิกขาบทที่ ๑
[๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 23
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับคือใน อาสนะกำบัง พอจะทำการได้ กับมาตุคามผู้เดียว
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในอนิยตสิกขาบท ที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ค. มีแต่เอกโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น หยั่งลงใน อุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 24
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ.
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. บางทีเป็นอาบัติกองปาราชิก บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส บางทีเป็นอาบัติกองปาจิตตีย์
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับ ปฏิญญาตกรณะ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นวินัย ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย
ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในอนิยตสิกขาบท ที่ ๑ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์
ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์
ถ. อะไรเป็นวิบัติ
ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 25
ถ. อะไรเป็นสมบัติ
ต. ความสังวรเป็นสมบัติ
ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ
ต. ข้อที่ภิกษุสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรม เห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ
ถ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง อาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร
ต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๑ เพราะทรง อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุ ผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัด อาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระ สัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
ถ. พวกไหนศึกษา
ต. พระเสกขะและกัลยาณปุถุชนศึกษา
ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ต. พระอรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว
ถ. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ นั้น ตั้งอยู่ในใคร
ต. ตั้งอยู่ในสิกขากามบุคคล
ถ. พวกไหนย่อมทรงไว้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 26
ต. อนิยตสิกขาบทที่ ๑ ย่อมเป็นไปแก่พระเถระพวกใด พระเถระ พวกนั้น ย่อมทรงไว้
ถ. เป็นถ้อยคำของใคร
ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวม เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่า ชมพูอันมีสิริ แต่นั้นพระเถระ ผู้ประเสริฐ มีปัญญามาก เหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐ มี ปัญญามากเหล่านี้รู้พระวินัยฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะตามพปัณณิ.
คำถามและคำตอบอนิยตสิกขาบทที่ ๒
[๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติอนิยตสิกขาบทที่ ๒ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 27
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับ มาตุคามผู้เดียว
ถ. ในอนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในอนิยต สิกขาบทที่ ๒ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น หยั่งลงใน อุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. หยั่งลงในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 28
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. บางทีเป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส บางทีเป็นอาบัติกองปาจิตตีย์
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ อย่าง อนิยตสิกขาบทที่ ๒ นั้น เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต
ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร
ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์
ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับ ปฏิญญาตกรณะ บางทีระงับด้วยสัมมุขาวินัย บางทีระงับด้วยติณวัตถารกะ.
อนิยต ๒ สิกขาบท จบ
หัวข้อประจำกัณฑ์
[๒๖] อนิยต ๒ สิกขาบท คือ สิกขาบทว่าด้วยอาสนะกำบังพอจะทำ การได้ ๑ อาสนะกำบังไม่ถึงขนาดนั้น ๑ อันพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้คงที่ ทรงบัญญัติไว้ดีแล้วแล.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 29
นิสสัคคิยกัณฑ์
คำถามและคำตอบกฐินวรรคที่ ๑
[๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บ อดิเรกจีวรล่วง ๑๐ วัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอดิเรกจีวร. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
[๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัดินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อยู่ ปราศจากไตรจีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 30
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปฝากจีวร ไว้ในมือของภิกษุทั้งหลาย แล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก หลีกไปสู่จาริกในชนบท.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
[๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับอกาล จีวรแล้วเก็บไว้เกินเดือนหนึ่ง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้เกินเดือนหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
[๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ใช้ ภิกษุณีมิใช่ญาติให้ซักจีวรเก่า ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 31
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักจีวรเก่า.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตีย์ แก่ภิกษุผู้รับจีวร จากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี รับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวร กะพ่อเจ้าเรือนก็ดี กะแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 32
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ขอจีวร กะเศรษฐีบุตรผู้ มิใช่ญาติ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอจีวร ยิ่งกว่านั้น กะพ่อเจ้าเรือนก็ดี กะแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ไม่รู้ประมาณแล้วขอจีวรเป็นอันมาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขา ไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการกำหนดในจีวร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 33
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องท่านพระอุปนันทศากยบุตร เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำหนดในจีวร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขา ไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลายผู้มิใช่ญาติแล้วถึงการ กำหนดในจีวร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ น พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลายผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำหนดในจีวร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ยังจีวร ให้สำเร็จด้วยการทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 34
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร อันอุบาสกกราบเรียนว่า ขอพระคุณเจ้าจงรอสักวัน หนึ่ง ก็มิได้รอ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
กฐินวรรค ที่ ๑ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๓๗] อดิเรกจีวร ๑ ราตรีเดียว ๑ อกาลจีวร ๑ ซักจีวรเก่า ๑ รับ จีวรเป็นข้อที่ ๕ ขอจีวร ๑ ขอเกินกำหนด ๑ เขามิได้ปวารณา ๒ สิกขาบทกับ ทวง ๓ ครั้ง.
คำถามและคำตอบโกสิยวรรคที่ ๒
[๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำ สันถัตเจือด้วยไหม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 35
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกช่างไหน แล้วพูดอย่างนี้ ว่าท่านทั้งหลาย ขอจงต้มตัวไหมให้มาก จงให้แก่พวกฉันบ้าง แม้พวกฉัน ก็ปรารถนาจะให้ทำสันถัตเจือด้วยไหม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำ สันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาขน เจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน แล้วให้ทำสันถัตใหม่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 36
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถือเอาชายขนเจียมขาวนิดหน่อย เท่านั้น แล้วให้ทำสันถัตขนเจียมดำล้วนเช่นนั้นแหละ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำ สันถัตทุกปี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปให้ทำสันถัตทุกปี.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือ เอาสันถัตเก่าโดยรอบหนึ่งคืบพระสุคต แล้วให้ทำสันถัตสำหรับนั่งใหม่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 37
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปทิ้งสันถัต แล้วสมาทานอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ ปังสุกูลิกธุดงค์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ ขนเจียมแล้วเดินทางไปเกิน ๓ โยชน์ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง รับขนเจียมแล้วเดินทางไปเกิน ๓ โยชน์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา ...
[๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุใช้ภิกษุณี ผู้มิใช่ญาติให้ซักขนเจียม ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 38
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขนเจียม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ รูปิยะ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร รับรูปียะ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๖ ...
[๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงความ แลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 39
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมี ประการต่างๆ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ถึงการ ซื้อและขายมีประการต่างๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ถึงการซื้อและขายกับ ปริพาชก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
โกสิยวรรค ที่ ๒ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๔๘] สันถัตเจือไหม ๑ ดำล้วน ๑ ไม่ได้ส่วน ๑ ทำทุกปี ๑ สันถัตเก่า ๑ กับการนำขนเจียมไป ๑ ซักขนเจียม ๑ รับรูปิยะ ๑ แลกเปลี่ยน และซื้อขาย มีประการต่างๆ ๒ สิกขาบท.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 40
คำถามและคำตอบปัตตวรรคที่ ๓
[๔๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บ อดิเรกบาตรไว้เกิน ๑๐ วัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บอดิเรกบาตร.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา กับจิต ...
[๕๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้มีบาตร มีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรใหม่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สิกกชนบท
ถ. ปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ผู้มีบาตรทะลุเพียงเล็กน้อยบ้าง ร้าว เพียงเล็กน้อยบ้าง เพียงเป็นรอยขีดบ้าง ก็ขอบาตรเป็นอันมาก.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 41
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๕๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ ประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนในกฐินสิกขาบท) ...
[๕๒] ถามว่า พระผู้พระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แสวงหา ผ้าอาบน้ำฝน เมื่อฤดูร้อนเหลือเกินกว่า ๑ เดือน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสวงหาผ้าอาบน้ำฝน เมื่อฤดูร้อน เหลือเกินกว่า ๑ เดือน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 42
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๕๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ให้จีวร แก่ภิกษุเอง แล้วโกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๕๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอด้าย มาเอง ให้ช่างหูกทอจีวร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ขอด้ายมาเองแล้ว ใช้ช่างหูกทอจีวร.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 43
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๕๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตีย์ แก่ภิกษุผู้อันเขา ไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกของพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงความ กำหนดในจีวร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เขาไม่ได้ปวารณาไว้ ก่อนเข้าไปหาช่างหูกของพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงความกำหนดในจีวร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบทที่ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๕๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ อัจเจกจีวร แล้วเก็บไว้เลยสมัยจีวรกาล ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 44
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับอัจเจกจีวร แล้วเก็บไว้เลยสมัย จีวรกาล.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนในกฐินสิกขาบท) ...
[๕๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้เก็บจีวร ๓ ผืน ผืนใดผืนหนึ่งไว้ในละแวกบ้าน แล้วอยู่ปราศเกิน ๖ ราตรี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปเก็บจีวร ๓ ผืน ผืนใดผืนหนึ่งไว้ใน ละแวกบ้าน แล้วอยู่ปราศเกิน ๖ ราตรี.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนในกฐินสิกขาบท) ...
[๕๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมมาจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 45
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมมาจะถวายสงฆ์ มาเพื่อตน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
ปัตตวรรค ที่ ๓ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๕๙] อดิเรกบาตร ๑ กับบาตรมีรอยร้าวหย่อน ๑ เภสัช ๑ ผ้า อาบน้ำฝน ๑ โกรธชิงจีวร ๑ ช่างหูก ๒ สิกขาบท กับอัจเจกจีวร ๑ อยู่ปราศ ๖ ราตรี ๑ น้อมลาภมาเพื่อตน ๑.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท จบ
ปาจิตติยกัณฑ์
คำถามและคำตอบมุสาวาทวรรคที่ ๑
[๖๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะสัมปชานมุสาวาท ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระหัตถกศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 46
ต. เพราะเรื่องที่พระหัตถกศากยบุตร เจรจากับพวกเดียรถีย์กล่าว ปฏิเสธแล้วรับ กล่าวรับแล้วปฏิเสธ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
[๖๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะโอมสวาท ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ด่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๖๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะส่อเสียดภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 47
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่ภิกษุ ผู้หมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๖๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้สอนธรรมแก่ อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์สอนธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกาว่าพร้อม กัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่ กาย ...
[๖๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้สำเร็จการนอนร่วมกัน อนุปสัมบันยิ่งกว่า ๒ - ๓ คืน ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 48
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแก่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๖๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้สำเร็จการนอนร่วมกับ มาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอนุรุทธะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอนุรุทธะนอนร่วมกับมาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๖๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้แสดงธรรมแก่มาตุคาม ยิ่งกว่า ๕ - ๖ คำ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 49
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านอุทายีแสดงธรรมแก่มาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนปทโสธัมมสิกขาบท) ...
[๖๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้บอกอุตริมนุสธรรม อันมีจริงแก่อนุปสัมบัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา พรรณนาคุณแห่งอุตริ- มนุสธรรมของกันและกัน แก่พวกคฤหัสถ์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิต ...
[๖๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้บอกอาบัติชั่วหยาบของ ภิกษุแก่อนุปสัมบัน ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 50
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ (เหมือนอทินนาทานสิกขาบท) ...
[๖๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ขุดดิน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกเมืองอาฬวี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวีขุดดิน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
มุสาวาทวรรค ที่ ๑ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๗๐] พูดเท็จ ๑ ด่า ๑ ส่อเสียด ๑ สอนว่าพร้อมกัน ๑ นอน ๒ แสดงธรรม ๑ บอกอุตริมนุสธรรม ๑ อาบัติชั่วหยาบ ๑ ขุดดิน ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 51
คำถามและคำตอบภูตคามวรรคที่ ๒
[๗๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ ในเพราะพรากภูตคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกเมืองอาฬวี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวีตัดต้นไม้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
[๗๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะแกล้งกล่าวคำอื่น ใน เพราะทำให้ลำบาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉันนะ ถูกสงฆ์ซักถามอยู่ด้วยอาบัติในท่ามกลาง สงฆ์กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนเสีย.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 52
[๗๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้โพนทะนา ในเพราะความเป็นผู้บ่นว่า ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะยังภิกษุทั้งหลายให้ยก โทษท่านพระทัพพมัลลบุตร.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
[๗๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้วางเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูก ก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ในที่แจ้งแล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป วางเสนาสนะอันเป็นของสงฆ์ ในที่ แจ้งแล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 53
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๖๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ปูที่นอนในวิหารเป็น ของสงฆ์แล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระสัตตรสวัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระสัตตรสวัคคีย์ปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์ แล้ว ไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๗๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ สำเร็จการนอน แซกแซงภิกษุผู้เข้าไปก่อนในวิหารของสงฆ์ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์สำเร็จการนอนแซกแซงภิกษุผู้เถระ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 54
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๗๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้โกรธขัดใจ ฉุดคร่า ภิกษุจากวิหารของสงฆ์ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าภิกษุทั้งหลายจาก วิหารของสงฆ์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
[๗๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้นั่งทับเตียงก็ดี ตั้งก็ดี อันมีเท้าเสียบบนร้านในวิหารเป็นของสงฆ์ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง นั่งทับเตียงอันมีเท้าเสียบบนร้านใน วิหารเป็นของสงฆ์โดยแรง.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 55
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา ...
[๗๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อำนวยให้พอก ๒ - ๓ ชั้น แล้วอำนวยยิ่งกว่านั้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะให้มุงวิหารที่สร้างสำเร็จแล้วบ่อยๆ ให้โบกฉาบบ่อยๆ วิหารหนักเกินไปก็ทลายลง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๘๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ว่า น้ำมีตัว สัตว์ เอารดหญ้าก็ดี ดินก็ดี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกเมืองอาฬวี
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 56
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกเมืองอาฬวี รู้อยู่ว่าน้ำมีตัวสัตว์ เอารด หญ้าบ้าง รดดินบ้าง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
ภูตคามวรรค ที่ ๒ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๘๑] ตัวต้นไม้ ๑ กล่าวส่อเสียด ๑ โพนทะนา ๑ ที่แจ้ง ๑ วิหาร ๑ นอนเบียด ๑ ฉุดคร่า ๑ บนร้าน ๑ โบกฉาบ ๑ เอาน้ำมีตัวสัตว์รดทิ้งเสีย ๑.
คำถามและตอบโอวาทวรรคที่ ๓
[๘๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ได้รับสมมติ สั่งสอนภิกษุณี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ไม่ได้รับสมมติ สั่งสอนภิกษุณี
ถ. ในสิกขาบทนั้นมีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มีในสิกขาบทนั้น
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 57
บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ...
[๘๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้สั่งสอนภิกษุณี เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระจูฬปันถก
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระจูฬปันถก สั่งสอนภิกษุณี เมื่อพระอาทิตย์ อัสดงแล้ว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนปทโสธัมมสิกขาบท) ...
[๘๔] ถามว่า พระผู้พระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เข้าไปสู่ที่อาศัย แห่งภิกษุณีแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เข้าไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณีแล้วสั่งสอน พวกภิกษุณี.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 58
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนในกฐินสิกขาบท) ...
[๘๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กล่าวว่า พวก ภิกษุกล่าวสอนพวกภิกษุณีเพราะเหตุอามิส ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่า พวกภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เพราะเหตุอามิส.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๘๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณี ผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่งได้ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 59
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๘๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เย็บจีวรเพื่อ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีเย็บจีวร เพื่อภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๘๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ชักชวนภิกษุณี แล้วเดินทางไกลร่วมกัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ชักชวนพวกภิกษุณี เดินทางไกล ร่วมกัน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 60
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ...
[๘๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ชักชวนภิกษุณี แล้วโดยสารเรือลำเดียวกัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ชักชวนพวกภิกษุณีแล้วโดยสารเรือ ลำเดียวกัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ ...
[๙๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ฉันบิณฑบาต อันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเทวทัต
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 61
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัตรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ ถวาย.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๙๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เดียว สำเร็จการ นั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีผู้เดียว สำเร็จการนั่งในที่ลับกับ ภิกษุณีผู้เดียว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
โอวาทวรรค ที่ ๓ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๙๒] ไม่ได้รับสมมติสั่งสอน ๑ พระอาทิตย์อัสดง ๑ ที่อาศัย ๑ เหตุอามิส ๑ ให้จีวร ๑ เย็บจีวร ๑ ชักชวนกันแล้วเดินทาง ๑ ชักชวนกัน แล้วโดยสารเรือ ๑ ภัตรที่ภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ๑ นั่งในที่ลับ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 62
คำถามและคำตอบโภชนวรรคที่ ๔
[๙๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารใน โรงทานยิงกว่าครั้งหนึ่งนั้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ อยู่ฉันอาหารในโรงทานเป็นประจำ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๙๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ ในเพราะฉันเป็นหมู่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงประรภพระเทวทัต
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัตพร้อมด้วยบริษัท เที่ยวขอในสกุลทั้งหลาย มาฉัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๗ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 63
[๙๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ ในเพราะโภชนะทีหลัง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป รับนิมนต์ไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้ว ฉัน ในที่อื่น.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๓ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๙๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับขนมเต็ม ๒ - ๓ บาตร แล้วรับยิ่งกว่านั้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปไม่รู้จักประมาณรับ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 64
[๙๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันเสร็จ ห้าม ภัตรแล้ว ฉันของขบเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ที่ไม่เป็นเดน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปฉันเสร็จ ห้ามภัตรแล้ว ฉันในที่แห่งอื่น.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้นำของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันไม่เป็นเดน ไปล่อภิกษุผู้ฉันเสร็จ ห้ามภัตรแล้ว ให้ฉัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง นำของฉันอันไม่เป็นเดนไปล่อภิกษุผู้ ฉันเสร็จ ห้ามภัตรแล้ว ให้ฉัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 65
[๙๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระสัตตรสวัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระสัตตรสวัคคีย์ฉันโภชนะในเวลาวิกาล
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๑๐๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระเวลัฏฐสีสะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเวลัฏฐสีสะ ฉันโภชนะที่รับประเคนไว้ ค้างคืน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 66
[๑๐๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอโภชนะอัน ประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ขอโภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์ แก่ตนมาฉัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ ...
[๑๐๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กลืนอาหารที่เขา ไม่ได้ให้ล่วงช่องปาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง กลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วง ช่องปาก.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 67
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
โภชนวรรค ที่ ๔ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑๐๓] อาหารในโรงทาน ๑ ฉันเป็นหมู่ ๑ โภชนะทีหลัง ๑ เต็ม ๒ บาตร ๑ ห้ามภัตร ๑ เวลาวิกาล ๑ ของเคี้ยว ๑ รับประเคนไว้ค้างคืน ๑ โภชนะประณีต ๑ อาหารที่เขาไม่ได้ให้ล่วงช่องปาก ๑.
คำถามและคำตอบอเจลกวรรค ที่ ๕
[๑๐๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอานนท์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอานนท์เข้าใจว่า ขนมชิ้นหนึ่ง ได้ให้ขนม ๒ ชิ้น แก่ปริพาชิกานางหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 68
[๑๐๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ชวนภิกษุว่า มาเถิด คุณ เราจักเข้าไปสู่บ้านหรือสู่นิคม เพื่อบิณฑบาตด้วยกัน แล้วให้ เขาถวายก็ดี ไม่ให้ถวายก็ดีแก่เธอ แล้วส่งกลับไปเสีย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ชวนภิกษุว่า มาเถิด คุณ เราจักเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตด้วยกัน ไม่ให้เขาถวายแก่เธอ แล้วส่ง กลับไป.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๐๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้สำเร็จการนั่ง แทรกแซงในสโภชนสกุล ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร สำเร็จการนั่งแทรกแซง ในสโภชนสกุล.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 69
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๐๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้สำเร็จการนั่งใน ที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง กับมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร สำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบัง กับมาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๐๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เดียว สำเร็จ การนั่งในที่ลับกับมาตุคามผู้เดียว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ผู้เดียวสำเร็จการนั่ง ในที่ลับกับมาตุคามผู้เดียว.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 70
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๐๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่ ไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในสกุลทั้งหลาย ก่อน เวลาฉันก็ดี หลังเวลาฉันก็ดี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร รับนิมนต์แล้ว มีภัตร อยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในสกุลทั้งหลาย ก่อนเวลาฉัน หลังเวลาฉัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๑๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ขอเภสัชยิ่งกว่า กำหนดนั้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ท. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 71
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ อันมหานามศากยะกล่าวว่า วันนี้ ขอท่านจงรอ ก็มิได้รอ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๑๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไปเพื่อดูกองทัพ ซึ่งยกออกไป ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ได้ไปเพื่อจะดูกองทัพซึ่งยกออกไป.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๑๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อยู่ในกองทัพ เกินกว่า ๓ คืน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์อยู่ในกองทัพเกินกว่า ๓ คืน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 72
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๑๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไปสู่สนามรบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ได้ไปสู่สนามรบ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
อเจลกวรรรค ที่ ๕ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑๑๔] ให้แก่อเจลก ๑ ส่งภิกษุกลับไป ๑ สโภชนสกุล ๑ นั่งใน ที่ลับ ๒ สิกขาบท ภิกษุมีอยู่ ๑ เภสัช ๑ ดูกองทัพที่ยกออกไป ๑ อยู่เกิน ๓ ราตรี ๑ ไปสู่สนามรบ ๑.
คำถามและคำตอบสุราเมรยวรรค ที่ ๖
[๑๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ ในเพราะดื่มสุราและเมรัย ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 73
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระสาคตะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระสาคตะดื่มน้ำเมา.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ใช้นิ้วมือจี้ภิกษุให้หัวเราะ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[ํ๑๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะเล่นน้ำ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 74
ต. ทรงปรารภพระสัตตรสวัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระสัตตรสวัคคีย์เล่นน้ำในแม่น้ำอจิรวดี.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะความไม่เอื้อเฟื้อ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะได้ทำความไม่เอื้อเฟื้อ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผูหลอนภิกษุ ณ ที่ไหน.
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 75
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์หลอนภิกษุ
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ติดไฟผิง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ ภัคคชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปก่อไฟผิง.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๑๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อาบน้ำหย่อน กึ่งเดือน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปเห็นพระราชาแล้ว ก็ยังไม่รู้จักประมาณ อาบน้ำ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 76
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่ปเทสบัญญัติ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๖ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๑๒๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ถือเอาวัตถุ สำหรับทำให้เสียสี ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วใช้จีวรใหม่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปจำจีวรของตนไม่ได้
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท) ...
[๑๒๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้วิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี แก่ภิกษุณีก็ดี แก่สิกขมานาก็ดี แก่สามเณรก็ดี แก่สามเณรีก็ดี แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทศากยบุตร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 77
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร วิกัปจีวรเองแก่ภิกษุ แล้วใช้สอยจีวรนั้น ซึ่งไม่ให้เขาถอนก่อน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๑๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ซ่อนบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ผ้าปูนั่งบ้าง กล่องเข็มบ้าง ประคดเอวบ้าง ของภิกษุทั้งหลาย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
สุราเมรยวรรค ที่ ๖ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑๒๕] สุรา ๑ จี้ด้วยนิ้วมือ ๑ เล่นน้ำ ๑ ไม่เอื้อเฟื้อ ๑ หลอน ภิกษุ ๑ ติดไฟผิง ๑ อาบน้ำ ๑ วัตถุทำให้เสียสี ๑ วิกัป ๑ ซ่อนจีวร ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 78
คำถามและคำตอบสัปปาณกวรรคที่ ๗
[๑๒๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้แกล้งฆ่าสัตว์ ให้ตาย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่บริโภคน้ำ มีตัวสัตว์ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 79
[๑๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่พื้นอธิกรณ์ ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ พื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตาม ธรรมเพื่อทำอีก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ปิดอาบัติ ชั่วหยาบของภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่งรู้อยู่ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 80
[๑๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ยังบุคคลผู้มี อายุหย่อน ๒๐ ปี ให้อุปสมบท ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรู้อยู่ยังบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้ อุปสมบท.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่งรู้อยู่ ชักชวนเดินทางไกลสายเดียวกัน กับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจร.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 81
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
[๑๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ชักชวนเดินทาง ไกลสายเดียวกันกับมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่งชักชวน เดินทางไกลสายเดียวกันกับ มาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๔ ...
[๑๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่สละทิฏฐิอัน ชั่วช้า เมื่อสวดสมนุภาสน์จบหนที่ ๓ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระอริฏฐะ ผู้เคยเป็นคนฆ่าแร้ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 82
ต. เพราะเรื่องที่พระอริฏฐะ ผู้เคยเป็นคนฆ่าแร้ง ไม่สละทิฏฐิอัน ชั่วช้า เมื่อสวดสมนุภาสน์จบหนที่ ๓.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เถิดแต่กาย วาจา และจิต ...
[๑๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่กินร่วมกับ พระอริฏฐะผู้กล่าวอย่างนั้น มีธรรมอันสมควรยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สละทิฏฐิ นั้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรืองอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ รู้อยู่กินร่วมกับพระอริฏฐะ ผู้กล่าว อย่างนั้น มีธรรมอันสมควรยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่เกลี้ยกล่อม สมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 83
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ รู้อยู่เกลี้ยกล่อมกัณฑกะ สมณุทเทส ผู้ถูกสงฆ์นาสนะอย่างนั้นแล้ว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
สัปปาณกวรรค ที่ ๗ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑๓๖] แกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ๑ บริโภคน้ำที่มีตัวสัตว์ ๑ พื้นอธิกรณ์ ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม ๑ รู้อยู่ปิดอาบัติชั่วหยาบ ๑ อายุหย่อน ๒๐ ปี ๑ ชักชวนเดินทางกับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจร ๑ ชักชวนเดินทางกับมาตุดาม ๑ํ กิน ร่วม ๑ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้ว ๑.
คำถามและคำตอบสหธรรมิกวรรคที่ ๘
[๑๓๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสันพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้อันภิกษุทั้งหลาย ว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม กล่าวว่า แนะเธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอดเวลาที่ยังไม่ได้สอบถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 84
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่าท่านอยู่โดยชอบ ธรรม กล่าวว่า แนะเธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ ตลอดเวลาที่ยัง ไม่ได้สอบถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรงวินัย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ก่นพระวินัย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ก่นพระวินัย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
[๑๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ในเพราะความ เป็นผู้แสร้งทำหลง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 85
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสร้งทำหลง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๓ ...
[๑๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้โกรธ ขัดใจ ให้ประหารภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์โกรธ ขัดใจ ให้ประหารแก่ภิกษุ ทั้งหลาย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๑ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๔๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้โกรธ ขัดใจ เงื้อหอกคือฝ่ามือแก่ภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 86
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์โกรธ ขัดใจ เงื้อหอกคือฝ่ามือ แก่ ภิกษุทั้งหลาย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้กำจัดภิกษุด้วย อาบัติสังฆาทิเสสหามูลมิได้ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์กำจัดภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหามูล มิได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๓ ...
[๑๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้แกล้งก่อความ รำคาญแก่ภิกษุ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 87
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แกล้งก่อความรำคาญแก่ภิกษุทั้งหลาย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๓ ...
[๑๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ยืนแอบฟังความ เมื่อภิกษุทั้งหลายเกิดบาดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ยืนแอบฟังความ เมื่อภิกษุทั้งหลายเกิด บาดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจา และ จิต ...
[๑๔๕] ถามว่า พระมีผู้พระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ฉันทะ เพื่อ กรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 88
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะ เพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ ...
[๑๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เมื่อเรื่องอันจะ พึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ ไม่ให้ฉันทะแล้วลุกจากอาสนะกลับไปเสีย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ ในสงฆ์ ไม่ให้ฉันทะแล้วลุกจากอาสนะกลับไปเสีย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต ... .
[๑๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้พร้อม.กับ สงฆ์ผู้ พร้อมเพรียงกันให้จีวร แล้วถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 89
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ผู้พร้อมกับสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันให้ จีวรแก่ภิกษุ แล้วถึงธรรมคือความบ่นว่าในภายหลัง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๓ ...
[๑๔๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รู้อยู่ น้อมลาภ ที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์ มาเพื่อบุคคล ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ผู้รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวาย สงฆ์มาเพื่อบุคคล.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓ ...
สหธรรมมิกวรรคที่ ๘ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑๔๙] ภิกษุกล่าวโดยชอบธรรม ๑ ก่นวินัย ๑. แสร้งทำหลง ๑ ให้ประหาร ๑ เงื้อหอกคือฝ่ามือ ๑ อาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑ ก่อความ รำคาญ ๑ ยืนแอบฟังความ ๑ กรรมอันเป็นธรรม ๑ วินิจฉัย ๑ สงฆ์ผู้ พร้อมเพียงกันให้ ๑ น้อมลาภมาเพื่อบุคคล ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 90
คำถามและคำตอบราชวรรคที่ ๙
[๑๕๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่ได้รับบอก ก่อน เข้าไปสู่ภายในพระตำหนักหลวง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอานนท์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอานนท์ยังไม่ได้รับบอก่อน เข้าไปสู่ภาย ในพระตำหนักหลวง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๑๕๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้เก็บรัตนะ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่งเก็บรัตนะ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 91
[๑๕๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต ส้มมาสันพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไม่บอกลาภิกษุ ที่มีอยู่เข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ แล้วเข้าไปสู่ บ้านในเวลาวิกาล.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๓ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท) ...
[๑๕๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำกล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แล้วด้วยงาก็ดี แล้วด้วยเขาก็ดี ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปไม่รู้จักประมาณ ขอกล่องเข็มเป็นจำนวนมาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 92
[๑๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เกินประมาณ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุปนันทะ ศากยบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุปนันทะ ศากยบุตร ให้ทำเตียงสูง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
[๑๕๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของหุ้มนุ่น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของ หุ้มนุ่น.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 93
[๑๕๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำผ้าปูนั่ง เกินประมาณ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ให้ทำผ้าปูนั่งไม่มีประมาณ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ...
[๑๕๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำผ้าปิดฝี เกินประมาณ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าปิดฝีไม่มีประมาณ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 94
[๑๕๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสันพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำผ้าอาบน้ำ ฝนเกินประมาณ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบน้ำฝน ไม่มีประมาณ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๖ ...
[๑๕๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอานนท์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอานนท์ ใช้จีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคต. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๖ ...
ราชวรรค ที่ ๙ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 95
หัวข้อประจำวรรค
[๑๖๐] ภายในพระตำหนักหลวง ๑ เก็บ ๑ ไม่อำลาแล้วเข้าบ้าน ๑ กล่องเข็ม ๑ เตียง ๑ เตียงหุ้มนุ่น ๑ ผ้าปูนั่ง ๑ ผ้าปิดฝี ๑ ผ้าอาบน้ำฝน ๑ ใช้ จีวรเท่าสุคตจีวร ๑.
ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท จบ
หัวข้อบอกวรรคเหล่านั้น
[๑๖๑] วรรคเหล่านั้น คือ มุสาวาทวรรค ๑ ภูตคามวรรค ๑ โอวาทวรรค ๑ โภชนวรรค ๑ อเจลกวรรค ๑ สุราเมรยวรรค ๑ สัปปาณกวรรค ๑ สหธรรมิกวรรค ๑ รวมเป็น ๙ กับราชวรรค.
ปาฏิเทสนียกัณฑ
คำถามและคำตอบสิกขาบทที่ ๑
[๑๖๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุผู้เข้าไปสู่ละ แวกบ้านแล้วรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตนจากมือของภิกษุณีผู้ มิใช่ญาติแล้วฉัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 96
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปสู่ละแวกบ้านแล้วรับอามิสจาก มือของภิกษุณี ผู้มิใช่ญาติ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
คำถามและคำตอบสิกขาบทที่ ๒
[๑๖๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุผู้ไม่ห้ามภิกษุณี ผู้สั่งเสียแล้วฉัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ไม่ห้ามภิกษุณีผู้สั่งเสียอยู่.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๒ คือ บางที่เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายวาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบสิกขาบทที่ ๓
[๑๖๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุ ผู้รับของเคี้ยว ก็ดี ของฉันก็ดี ในสกุลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสกขะด้วยมือของตนแล้วฉัน ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 97
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปไม่รู้ประมาณแล้วรับ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา ...
คำถามและคำตอบสิกขายบทที่ ๔
[๑๖๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุผู้รับของเคี้ยว ก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ในเสนาสนะป่า ด้วยมือของ ตนในวัดที่อยู่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปไม่บอกว่าโจรอาศัยอยู่ในอาราม.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิด ด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 98
หัวข้อประจำกัณฑ์
[๑๖๖] ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท คือ ภิกษุณีมิใช่ญาติ ๑ ภิกษุณี สั่งเสีย ๑ สกุลเสกขะ ๑ เสนาสนะป่า ๑ อันพระสัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว.
เสขิยกัณฑ์
คำถามและคำตอบปริมัณฑลวรรคที่ ๑
[๑๖๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้าหรือเลื้อยหลัง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นุ่งผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้าง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๖๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ห่มผ้าเลื้อยหน้าหรือเลื้อยหลัง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 99
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ห่มผ้าเลื้อยหน้าบ้าง เลื้อยหลังบ้าง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายจับจิต มิใช่วาจา ...
[๑๖๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกายเดินไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทองปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เปิดกายเดินไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกายนั่งในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 100
ต. เพระเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เปิดกายนั่งในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือหรือเท้า เดินไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปราภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เปิดกายเดินไปในละแวกบ้าน
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือหรือเท้า นั่งในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์คะนองมือบ้างเท้าบ้าง นั่งในละแวก บ้าน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 101
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ เดินไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แลดูในที่นั้นๆ เดินไปในละแวกบ้าน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทน เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ นั่งในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์และในที่นั้นๆ นั่งในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 102
[๑๗๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๗๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งเวิกผ้าในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ นั่งเวิกผ้าในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
ปริมัณฑลวรรค ที่ ๑ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 103
คำถามและคำตอบอุชชัคฆิกวรรคที่ ๒
[๑๗๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินหัวเราะเสียงดังไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต.
[๑๗๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งหัวเราะในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งหัวเราะเสียงดังในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย กาจา และจิต.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 104
[๑๗๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินพูดเสียงดังลั่นในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินพูดเสียงดังลั่นในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนสมนุภาสนสิกขาบท).
[๑๘๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งพูดเสียงดังลั่นในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งพูดเสียงดังลั่นในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนสมนุภาสนสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 105
[๑๘๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งสมบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๘๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 106
[๑๘๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๘๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งไกวแขนในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งไกวแขนในสะแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 107
[๑๘๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๘๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
อุชชัคฆิกวรรค ที่ ๒ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 108
คำถามและคำตอบขัมภกตวรรคที่ ๓
[๑๘๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๘๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 109
[๑๘๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ เดินคลุมกายตลอดศีรษะไปในละแวก บ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๙๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งคลุมศีรษะในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งคลุมกายตลอดศีรษะ ในละแวกบ้าน
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๑ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 110
[๑๙๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่พระภิกษุผู้อาศัยความไม่ เอื้อเฟื้อเดินกระโหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินกระโหย่งเท้าไปในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๙๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งรัดเข่าในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์นั่งรัดเข่าในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 111
[๑๙๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ รับบิณฑบาต ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แลดูในที่นั้นๆ รับบิณฑบาต.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 112
[๑๙๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่แกงมาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รับแต่แกงมาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกขาบท).
[๑๙๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนพูนบาตร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์รับบิณฑบาตจนพูนบาตร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
ขัมภกตวรรคที่ ๓ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 113
คำถามและคำตอบปิณฑปาตวรรคที่ ๔
[๑๙๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๑๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดู ในที่นั้นๆ ฉันบิณฑบาต ณ ที่ไหน
ต. ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ฉัพพัคคีย์แลดูในที่นั้นๆ ฉันบิณฑบาต.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 114
[๑๙๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต. สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตให้แหว่งในที่นั้นๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตให้แหว่งในที่นั้นๆ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๐๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต. สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแต่แกงมาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ฉันแต่แกงมาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 115
[๒๐๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความ ไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตขยุ้มแต่ยอดลงไป ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันบิณฑบาตขยุ้มแต่ยอดลงไป.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๐๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กลบแกงบ้าง กับบ้าง ด้วยข้าวสุก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์กลบแกงบ้าง กับบ้าง ด้วยข้าวสุก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 116
[๒๐๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ขอแกงบ้าง ข้าวสุกบ้าง เพื่อประโยชน์ แก่ตนมาฉัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจ และจิต.
[๒๐๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูบาตรของภิกษุรูปอื่น ด้วยหมายจะยกโทษ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แลดูบาตรของภิกษุรูปอื่นด้วยหมายจะ ยกโทษ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 117
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๐๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ใหญ่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ทำคำข้าวให้ใหญ่.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๐๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ยาว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปราภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ทำคำข้าวให้ยาว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
ปิณฑปาตวรรค ที่ ๔ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 118
คำถามและคำตอบกพฬวรรค ที่ ๕
[๒๐๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก อ้าปากไว้ท่า ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปากอ้าปากไว้ท่า.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๐๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันสอดมือทั้งหมดเข้าไปในปาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันสอดมือทั้งหมดเข้าปาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 119
[๒๐๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ พูดทั้งคำข้าวมีในปาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์พูดทั้งคำข้าวมีในปาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่ กายวาจา และจิต.
[๒๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเคาะคำข้าว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันเคาะคำข้าว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 120
[๒๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันกัดคำข้าว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันกัดคำข้าว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 121
[๒๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันสลัดมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันสลัดมือ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหัต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันโปรยเมล็ดข้าว ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันโปรยเมล็ดข้าว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 122
[๒๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแลบลิ้น ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันแลบลิ้น.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังจั๊บๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันดังจั๊บๆ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
กพฬวรรค ที่ ๕ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 123
คำถามและคำตอบสุรุสุรุวรรคที่ ๖
[๒๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สันมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏเก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังซู้ดๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปดื่มนมสดดังซู้ดๆ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันเลียมือ.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 124
[๒๖๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันขอดบาตร ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันขอดบาตร.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
[๒๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียริมฝีปาก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ฉันเลียริมฝีปาก.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 125
[๒๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ ภัคคชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปรับโอน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
[๒๒๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ ภัคคชนบท
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปเทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวในละแวกบ้าน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ กายกับจิต มิใช่วาจา.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 126
[๒๒๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีไม้พลองในมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ นครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลมีไม้พลองในมือ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายวาจากับจิต มิใช่กาย.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 127
[๒๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีศาสตราในมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ นครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลมีศาสตราในมือ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๒๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีอาวุธในมือ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลมีอาวุธในมือ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
สุรุสุรุวรรค ที่ ๖ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 128
คำถามและคำตอบปาทุกาวรรคที่ ๗
[๒๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมเขียงเท้า ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมเขียงเท้า.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมรองเท้า ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมรองเท้า.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 129
[๒๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลไปในยาน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปราภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลไปในยาน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้อยู่บนที่นอน ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้อยู่บนที่นอน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งรัดเข่า ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 130
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งรัดเข่า.
มีบัญญัติ ๑ อันบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้โพกศีรษะ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้โพกศีรษะ
มีบัญญัติ ๑ อันบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้คลุมศีรษะ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 131
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์แสดงธรรมแก่บุคคลผู้คลุมศีรษะ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งอยู่ที่แผ่นดินแสดงธรรม แก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ นั่งอยู่ที่แผ่นดินแสดงธรรมแก่บุคคล ผู้นั่งบนอาสนะ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรม แก่บุคคลผู้นั่งบนอาสนะสูง ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 132
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรมแก่บุคคล ผู้นั่งบนอาสนะสูง.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา. *
[๒๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนอยู่แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่ง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ยืนอยู่แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่ง.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย.
[๒๓๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปข้างหลัง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินไปข้างหน้า ณ ที่ไหน
* มีลักลั่นอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นวาจากับจิต มิใช่กาย ว.ส.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 133
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินไปข้างหลัง แสดงธรรมแก่บุคคล ผู้เดินไปข้างหน้า.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
[๒๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยควานไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดินในทาง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคล ผู้เดินในทาง.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
[๒๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 134
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ยืนถ่ายอุจจาระ หรือถ่ายปัสสาวะ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
[๒๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงบนของเขียวสด ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วน เขฬะลงบนของเขียวสด.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
[๒๘๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 135
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วน เขฬะบ้าง ลงในน้ำ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
ปาทุกาวรรค ที่ ๗ จบ
เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท จบ
กัตถปัญญัตติวาร มหาวิภังค์จบ
หัวข้อประจำเรื่อง
[๒๔๒] นุ่งห่มเป็นปริมณฑล ปกปิดกาย สำรวมดี มีตาทอดลง เวิกผ้า หัวเราะลั่น มีเสียงดัง โคลงกาย ไกวแขน โคลงศีรษะรวม ๓ ค้ำกาย คลุมศีรษะ กระโหย่ง รัดเข่า รับบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ แลดูในบาตร แกง พอสมควร รับบิณฑบาตเสมอขอบ ฉันบิณฑบาตโดยเอื้อเฟื้อ แลดูในบาตร ฉันบิณฑบาตไม่แหว่ง ฉันแกงพอสมควร ขยุ้มแต่ยอด กลบ ขอ เพ่ง โพนทะนา ไม่ใหญ่กลมกล่อม ช่องปาก มือทั้งหมด ไม่พูด ฉันเดาะ ฉันกัด ฉันทำให้ตุ่ย สลัดมือ ฉันโปรยเมล็ดข้าว ฉันแลบลิ้น ฉันเสียงจั๊บๆ ซุ๊ดๆ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 136
เลียมือ ขอดบาตร เลียริมฝีปาก เปื้อนอามิส น้ำมีเมล็ดข้าว พระตถาคต ทั้งหลายย่อมไม่ทรงแสดงสัทธรรม แก่บุคคลผู้มีร่มในมือ มีไม้พลองในมือ มีศาสตราวุธในมือ สวมเขียงเท้า สวมรองเท้า ไปในยาน อยู่บนที่นอน นั่ง รัดเข่า โพกศีรษะ คลุมศีรษะ ที่แผ่นดิน อาสนะต่ำ ยืนอยู่ เดินไปข้างหลัง เดินไปนอกทาง ไม่ยืนถ่าย ถ่ายบนของเขียวสด และในน้ำ.
หัวข้อบอกวรรคเหล่านั้น
[๒๔๓] ปริมัณฑลวรรค ๑ อุชชัคฆิกวรรค ๑ ขัมภกตวรรค ๑ ปิณฑปาตวรรค ๑ กพฬวรรค ๑ สุรุสุรุวรรค ๑ ปาทุกาวรรค ๑ เป็นที่ ๗ แล.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 137
กตาปัตติวารที่ ๒
คำถามและคำตอบอาบัติในปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิก ๔ สิกขาบท
[๒๔๔] ถามว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติเท่าไร. ตอบว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ คือ เสพเมถุนธรรมใน สรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัด แล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำหนดเข้าในปากที่อ้า มิได้ ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๕] ถามว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติเท่าไร.
ตอบว่า ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ถือเอา ทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรมมีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ถือ เอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคามาสกหนึ่ง หรือหย่อน กว่ามาสกหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๖] ถามว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตต้องอาบัติเท่าไร.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 138
ตอบว่า ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ คือ ขุดบ่อ เจาะจงมนุษย์ว่าจักตกลงตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อตกแล้ว ทุกขเวทนา เกิดขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๖ ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑.
ภิกษุแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๒๔๗] ถามว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มี ไม่เป็น จริง ต้องอาบัติเท่าไร.
ตอบว่า ภิกษุกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้อง อาบัติ ๓ คือ ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ กล่าว อวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้พึงเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑. ภิกษุกล่าวอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
ปาราชิก ๔ สิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบอาบัติในสังฆาทิเสสกัณฑ์
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
[๒๔๘] ถามว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติเท่าไร.
ตอบว่า ภิกษุพยายามปล่อยอสุจิ ต้องอาบัติ ๓ คือ ตั้งใจพยายาม อสุจิเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตั้งใจพยายามแต่อสุจิไม่เคลื่อน ต้อง อาบัติถุลลัจจัย ๑ เป็นทุกกฏในประโยค ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 139
[๒๔๙] ภิกษุถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๓ คือ ถูกต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของเนื่อง ด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกาย ถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๐] ภิกษุพูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ต้องอาบัติ ๓ คือ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป เว้นวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๑] ภิกษุกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ต้องอาบัติ ๓ คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักบัณเฑาะก์ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๒] ภิกษุถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ต้องอาบัติ ๓ คือ รับคำ นำไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ รับคำ นำไปบอก แต่ไม่ กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ รับคำ แต่ไม่บอก ไม่กลับมาบอก ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๕๓] ภิกษุให้ทำกุฏิ ด้วยอาการขอเอาเอง ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เนื้อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติ- ถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 140
[๒๕๔] ภิกษุให้ทำวิหารใหญ่ ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อ ก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๕] ภิกษุตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูล มิได้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้อง อาบัติโอมสวาท ๑.
[๒๕๖] ภิกษุถือเอาเอกเทศบางอย่าง แห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับ สังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาส ประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
[๒๕๗] ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา สองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๘] ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ถูกสวด สมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบบัญญัติ ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจา ครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๒๕๙] ภิกษุผู้ว่ายาก ถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละ อยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 141
[๒๖๐] ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ถูกสวดสมนุภาสน์กว่าจะครบ ๓ จบ ไม่สละอยู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา สองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท จบ
อาบัติในนิสสัคคิยกัณฑ์
กฐินวรรคที่ ๑
[๒๖๑] ภิกษุยังอติเรกจีวรให้ล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๒] ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรสิ้นราตรีหนึ่ง ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๓] ภิกษุรับอกาลจีวรแล้ว ให้ล่วงเดือนหนึ่งต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๖๔] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักจีวรเก่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๕] ภิกษุรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มีใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับเป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับจีวรแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๖] ภิกษุขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้แล้ว เป็นนิสสัคคิยะ ปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 142
[๒๖๗] ภิกษุขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มีใช่ ญาติยิ่งกว่ากำหนดนั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ ขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอได้ แล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๘] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้ มิใช่ญาติแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๖๙] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนหลาย คนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงการกำหนด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงการกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๐] ภิกษุยังจีวรให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้สำเร็จ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้สำเร็จแล้ว เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
กฐินวรรคที่ ๑ จบ
โกสิยวรรค ที่ ๒
[๒๗๑] ภิกษุทำสันถัตเจือด้วยไหม ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๒] ภิกษุทำสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๓] ภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน แล้วให้ทำสันถัตใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 143
[๓๗๔] ภิกษุให้ทำสันถัตทุกปี ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ให้ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๕] ภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า แล้วให้ทำ สันถัตสำหรับนั่งใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ ทำเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๖] ภิกษุรับขนเจียมแล้วเดินทางเกิน ๓ โยชน์ ต้องอาบัติ ๒ คือ เกิน ๓ โยชน์ไปก้าวที่ ๑ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เกินไปก้าวที่ ๒ เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๗] ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักขนเจียม ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ซัก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ซักแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๘] ภิกษุรับรูปิยะ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๗๙] ภิกษุถึงความแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๐] ภิกษุถึงการซื้อและขายมีประการต่างๆ ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
โกสิยวรรค ที่ ๒ จบ
ปัตตวรรค ที่ ๓
[๒๘๑] ภิกษุเก็บอติเรกบาตรล่วง ๑๐ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 144
[๒๘๒] ภิกษุมีบาตร มีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ให้จ่ายบาตรอื่นใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๓] ภิกษุรับประเคนเภสัชแล้วเก็บไว้เกิน ๗ วัน ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๘๔] ภิกษุแสวงหาจีวร คือ ผ้าอาบน้ำฝน เมือฤดูร้อนยังเหลือ เกิน ๑ เดือน ต้องอาบัติ ๒ คือ แสวงหา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ แสวงหา ได้แล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ ขัดใจ ชิงเอามา ต้อง อาบัติ ๒ คือ ชิงเอามา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ชิงเอามาแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๖] ภิกษุขอด้ายมาเองแล้ว ให้ช่างหูกทอจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทอเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๗] ภิกษุอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาช่างหูกของพ่อ เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงความกำหนดในจีวร ต้องอาบัติ ๒ คือ ถึงความ กำหนดเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ถึงความกำหนดแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
[๒๘๘] ภิกษุรับอัจเจกจีวรแล้ว เก็บไว้เกินสมัยที่เป็นจีวรกาล ต้อง อาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
[๒๘๙] ภิกษุเก็บจีวร ๓ ผืนๆ ใดผืนหนึ่ง ไว้ในละแวกบ้านแล้วอยู่ ปราศเกิน ๖ ราตรี ต้องอาบัติ ๑ คือ นิสสัคคิยปาจิตตีย์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 145
[๒๙๐] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์ มาเพื่อ ตนต้องอาบัติ ๒ คือ น้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมนาแล้ว เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.
ปัตตวรรค ที่ ๓ จบ
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบอาบัติในปาจิตติยกัณฑ์
มุสาวาทวรรค ที่ ๑
[๒๙๑] ถามว่า ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติเท่าไร ตอบว่า ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความ ปรารถนาครอบงำ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติ ปาราชิก ๑ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันไม่มีมูล ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ๑ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ไม่เข้าใจความ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท ๑ ภิกษุกล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
[๒๙๒] ภิกษุด่า ต้องอาบัติ ๒ คือ ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑ ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๒๙๓] ภิกษุกล่าวคำส่อเสียด ต้องอาบัติ ๒ คือ กล่าวคำส่อเสียด แก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ กล่าวคำส่อเสียดแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 146
[๒๙๔] ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบันโดยว่าพร้อมกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ สอนให้ว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ๑.
[๒๙๕] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเกิน ๒ - ๓ คืน ต้อง อาบัติ ๒ คือ นอน เป็นอาบัติทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๖] ภิกษุสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ นอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๗] ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามเกินกว่า ๕- ๖ คำ ต้องอาบัติ ๒ คือ แสดง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ๑.
[๒๙๘] ภิกษุบอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสันบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๒๙๙] ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติ ๒ คือ บอก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บอกแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๐] ภิกษุขุดดิน ต้องอาบัติ ๒ คือ ขุด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คราวที่ขุด ๑.
มุสาวาทวรรค ที่ ๑ จบ
ภูตคามวรรค ที่ ๒
[๓๐๑] ภิกษุพรากภูตคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ พราก เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คราวที่พราก ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 147
[๓๐๒] ภิกษุกลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกรรม กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑ เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกรรมแล้ว กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๓] ภิกษุโพนทะนาภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ โพนทะนาเป็น ทุกกฏในประโยค ๑ โพนทะนาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๔] ภิกษุวางเตียงก็ดี ตั่งก็ดี ฟูกก็ดี เก้าอี้ก็ดี อันเป็นของสงฆ์ ในที่แจ้งแล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลย เลฑฑุบาตไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเลฑฑุบาตไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๕] ภิกษุปูที่นอนในวิหารเป็นของสงฆ์แล้วไม่เก็บ ไม่บอกสั่ง หลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลยเครื่องล้อมไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๖] ภิกษุรู้อยู่ สำเร็จการนอนเบียดเสียดภิกษุผู้เข้าไปก่อนใน วิหารของสงฆ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ นอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๗] ภิกษุโกรธ ขัดใ จ ฉุดคร่าภิกษุจากวิหารของสงฆ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ ฉุดคร่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฉุดคร่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๐๘] ภิกษุนั่งทับเตียงก็ดี ตั่งก็ดี อันมีเท้าเสียบในกุฎีมีร้านใน ในวิหารเป็นของสงฆ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่งทับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งทับแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 148
[๓๐๙] ภิกษุอำนวยให้พอก ๒ - ๓ ชั้น และอำนวยยิ่งกว่านั้น ต้อง อาบัติ ๒ คือ อำนวย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อำนวยแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๐] ภิกษุรู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ รดหญ้าก็ดี ดินก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังรด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
ภูตคามวรรค ที่ ๒ จบ
โอวาทวรรค ที่ ๓
[๓๑๑] ภิกษุไม่ได้รับสมมติสั่งสอนภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง สั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๒] ภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๓] ภิกษุเข้าไปสู่ที่อาศัยของภิกษุณีแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังสั่งสอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ สั่งสอนแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๔] ภิกษุกล่าวว่า พวกภิกษุสั่งสอนพวกภิกษุณี เพราะเหตุอามิส ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังกล่าว เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กล่าวแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๕] ภิกษุให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง ให้เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 149
[๓๑๖] ภิกษุเย็บจีวรของภิกษุณีมิใช่ญาติ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง เย็บ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ รอยเย็บ ๑.
[๓๑๗] ภิกษุชักชวนภิกษุณีเดินทางไกลด้วยกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเดิน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๘] ภิกษุชักชวนภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังลงเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ลงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๑๙] ภิกษุรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตอันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๐] ภิกษุรูปเดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับภิกษุณีผู้เดียว ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
โอวาทวรรค ที่ ๓ จบ
โภชนวรรค ที่ ๔
[๓๒๑] ภิกษุฉันอาหารในโรงทานยิ่งกว่าครั้งหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๒] ภิกษุฉันเป็นหมู่ ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๓] ภิกษุฉันโภชนะทีหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่า จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 150
[๓๒๔] ภิกษุรับขนมเต็ม ๒ - ๓ บาตรแล้ว รับยิ่งกว่านั้น ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังรับ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ รับแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๒๕] ภิกษุฉันเสร็จ ห้ามภัตรเสียแล้ว ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉัน ก็ดี อันมิใช่เดน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๖] ภิกษุนำของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันมิใช่เดนไปล่อภิกษุผู้ ฉันเสร็จ ห้ามภัตรแล้ว ให้ฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ภิกษุรับด้วยตั้งใจว่าจัก เคี้ยว จักฉัน ตามคำของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ฉันเสร็จ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๒๗] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในเวลาวิกาล ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๘] ภิกษุฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๒๙] ภิกษุขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้อง อาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.
[๓๓๐] ภิกษุกลืนอาหารที่เขายังไม่ได้ให้ ล่วงช่องปาก ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำ กลืน ๑.
โภชนวรรค ที่ ๔ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 151
อเจลกวรรค ที่ ๕
[๓๓๑] ภิกษุให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชก ก็ดี ด้วยมือของตน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๒] ภิกษุชวนภิกษุว่า มาเถิด คุณ เราจักเข้าไปสู่บ้าน หรือ นิคมเพื่อบิณฑบาตด้วยกัน แล้วให้ขาถวายก็ดี ไม่ให้ถวายก็ดี แก่เธอ แล้ว ส่งกลับไป ต้องอาบัติ ๒ คือ ส่งไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ส่งไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๓] ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซงในสโภชนสกุล ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๔] ภิกษุสำเร็จการนั่งในที่ลับ คือ ในอาสนะกำบังกับมาตุคาม ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๕] ภิกษุผู้เดียวสำเร็จการนั่งในที่ลับกับมาตุคามผู้เดียว ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ นั่งแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๖] ภิกษุรับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่ ไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึง ความเป็นผู้เที่ยวไปในสกุลทั้งหลาย ก่อนเวลาฉันก็ดี หลังเวลาฉันก็ดี ต้อง อาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าเลยธรณีประตู ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าเลย ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๗] ภิกษุขอเภสัชยิ่งกว่าที่เขาปวารณาไว้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 152
[๓๓๘] ภิกษุไปเพื่อดูกองทัพซึ่งยกออกไปแล้ว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ อยู่ ณ ที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๓๙] ภิกษุอยู่ในกองทัพเกินกว่า ๓ คืน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง อยู่ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อยู่แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๐] ภิกษุไปสู่สนามรบ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑ อยู่ ณ ที่ใดมองเห็นได้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
อเจลกวรรค ที่ ๕ จบ
สุราเมรยวรรค ที่ ๖
[๓๔๑] ภิกษุดื่มน้ำเมา ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยตั้งใจว่าจักดื่ม ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกคราวที่ดื่ม ๑.
[๓๔๒] ภิกษุใช้นิ้วมือจี้ภิกษุให้หัวเราะ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้หัวเราะ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้หัวเราะแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๓] ภิกษุเล่นในน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือ เล่นในน้ำใต้ข้อเท้า ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ เล่นในน้ำเหนือข้อเท้า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๔] ภิกษุทำความไม่เอื้อเฟื้อ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๕] ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัว ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังหลอนให้ กลัว เป็นทุกกฏในประโยค ๑ หลอนให้กลัวแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๖] ภิกษุก่อไฟผิง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังผิง เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ ผิงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 153
[๓๔๗] ยังไม่ถึงเดือนภิกษุอาบน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังอาบ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๘] ภิกษุไม่ถือเอาวัตถุทำให้เสียสี ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ใช้จีวรใหม่ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๔๙] ภิกษุวิกัปจีวรเอง แก่ภิกษุก็ดี แก่ภิกษุณีก็ดี แก่สิกขมานา ก็ดี แก่สามเณรก็ดี แก่สามเณรีก็ดี ไม่ให้เขาถอนก่อน ใช้ ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๐] ภิกษุซ่อนบาตรก็ดี จีวรก็ดี ผ้าปูนั่งก็ดี กล่องเข็มก็ดี ประคดเอวก็ดี ของภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังซ่อน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ซ่อนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สุราเมรยวรรค ที่ ๖ จบ
สัปปาณกวรรค ที่ ๗
[๓๕๑] ถามว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติเท่าไร. ตอบว่า ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ คือ ขุดบ่อไม้ เจาะจงว่า ผู้ใดผู้หนึ่งจักตกตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ มนุษย์ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ยักษ์ก็ดี เปรตก็ดี ดิรัจฉานซึ่งมีร่างกายดุจมนุษย์ก็ดี ตกลงในบ่อนั้นตาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ดิรัจฉานตกลงในบ่อนั้นตาย ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.
ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
[๓๕๒] ภิกษุรู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง บริโภค เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บริโภคแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 154
[๓๕๓] ภิกษุรู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ทำเสร็จแล้วตามธรรม เพื่อทำอีก ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังฟื้น เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ฟื้นแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๔] ภิกษุรู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ ต้องอาบัติ ๑ คือ ปาจิตตีย์.
[๓๕๕] ภิกษุรู้อยู่ ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้อุปสมบทแล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๖] ภิกษุรู้อยู่ชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกพ่อค้า ผู้เป็นโจร ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทาง แล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๗] ภิกษุชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับมาตุคามต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังเดินทาง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เดินทางแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๘] ภิกษุไม่สละทิฏฐิอันชั่วช้า เมื่อสวดสมนุภาสน์จบหนที่ ๓ ต้องอาบัติ ๒ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ จบกรรมวาจา ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๕๙] ภิกษุรู้อยู่ กินร่วมกับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น มีธรรมอันสมควร ยังไม่ได้ทำ ยังไม่ได้สละทิฏฐินั้น ต้องอาบัติ ๒ คือกำลังกินร่วม เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ กินร่วมแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๐] ภิกษุรู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทส ผู้ถูกสงฆ์นาสนะแล้วอย่าง นั้น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเกลี้ยกล่อม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เกลี้ยกล่อม แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สัปปาณกวรรค ที่ ๗ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 155
สหธรรมิกวรรค ที่ ๘
[๓๖๑] ภิกษุอันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบธรรม กล่าวว่า แน่ะ เธอ ฉันจักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้ จนกว่าจะได้ถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้ทรง วินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังพูด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ พูดแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๒] ภิกษุก่นวินัย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังก่น เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ ก่นแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๓] ภิกษุแสร้งทำหลง ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อความหลงอันภิกษุ ทั้งหลายยังไม่ยกขึ้นประกาศ ทำหลง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อความหลงอันภิกษุ ทั้งหลายยกขึ้นประกาศแล้ว ทำหลง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๔] ภิกษุโกรธ ขัดใจ ให้ประหารแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังประหาร เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ประหารแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๕] ภิกษุโกรธ ขัดใจ เงื้อหอกคือฝ่ามือแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเงื้อ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เงื้อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๖] ภิกษุกำจัดภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังกำจัด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ กำจัดแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๗] ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญแก่ภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง ก่อ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ก่อแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๖๘] เมื่อภิกษุทั้งหลายเกิดบาดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการ วิวาทกัน ภิกษุยืนแอบฟัง ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไปด้วยตั้งใจว่าจักฟัง ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ ยืนที่ใดได้ยิน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 156
[๓๖๙] ภิกษุให้ฉันทะเพื่อกรรมอันเป็นธรรมแล้ว ถึงธรรมคือความ บ่นว่าในภายหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๐] เมื่อเรื่องอันจะพึงวินิจฉัยยังเป็นไปอยู่ในสงฆ์ ภิกษุไม่ให้ ฉันทะ แล้วลุกจากอาสนะหลีกไปเสีย ต้องอาบัติ ๒ คือ เมื่อยังไม่สละหัตถบาส แห่งบริษัท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ละแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๑] ภิกษุกับสงฆ์ผู้พร้อมเพียงกัน ให้จีวร แล้วภายหลังถึงธรรม คือ ความบ่นว่า ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ บ่นว่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๒] ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังน้อมมา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ น้อมมาแล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.
สหธรรมิกวรรค ที่ ๘ จบ
ราชวรรค ที่ ๙
[๓๗๓] ภิกษุไม่ได้รับบอกก่อน เข้าไปสู่ภายในพระตำหนักหลวง ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท้าที่ ๑ ล่วงธรณีประตู ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้า ที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๔] ภิกษุเก็บรัตนะ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเก็บ เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ เก็บแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 157
[๓๗๕] ภิกษุไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ แล้วเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล คืออาบัติ ๒ คือ เข้าไปสู่ที่ล้อมเลย ๑ ก้าว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เลย ๒ ก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๖] ภิกษุให้ทำกล่องเข็ม แล้วด้วยกระดูกก็ดี แล้วด้วยงาก็ดี แล้วด้วยเขาก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๗] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๘] ภิกษุให้ทำเตียงก็ดี ตั่งก็ดี เป็นของหุ้มนุ่น ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๗๙] ภิกษุให้ทำผ้าสำหรับปูนั่ง เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๐] ภิกษุให้ทำผ้าปิดฝี เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลัง ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๑] ภิกษุให้ทำผ้าอาบน้ำฝน เกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.
[๓๘๒] ถามว่า ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคตต้องอาบัติ เท่าไร.
ตอบว่า ภิกษุให้ทำจีวร มีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ทำแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ภิกษุให้ทำจีวรมีประมาณเท่าจีวรพระสุคต ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
ราชวรรค ที่ ๙ จบ
ขุททกสิกขาบท จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 158
คำถามและคำตอบในปาฏิเทสนียกัณฑ์
สิกขาบทที่ ๑
[๓๘๓] ถามว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉัน ก็ดี ด้วยมือของตน จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติเท่าไร. ตอบว่า ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วย มือของตน จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติ แล้วฉันต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่ง จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑. ภิกษุเข้าไปสู่ละแวกบ้าน รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน จากมือของภิกษุณีมิใช่ญาติแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
สิกขาบทที่ ๒
[๓๘๔] ภิกษุไม่ห้ามภิกษุณีผู้ยืนสั่งเสียอยู่ แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.
สิกขาบทที่ ๓
[๓๘๕] ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ในสกุลที่สงฆ์สมมติว่า เป็นเสกขะ ด้วยมือของตนมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วยมุ่งจักฉัน ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.
สิกขาบทที่ ๔
[๓๘๖] ถามว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอก ให้รู้ไว้ก่อน ในเสนาสนะป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ เท่าไร.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 159
ตอบว่า ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อน ในเสนาสนะป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.
ภิกษุรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ไว้ก่อนใน เสนาสนะป่า ด้วยมือของตน ในวัดที่อยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท จบ
คำถามและคำตอบอาบัติในเสขิยกัณฑ์
วรรคที่ ๑
[๓๘๗] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือ เลื้อยหลัง ต้องอาบัติเท่าไร.
ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นุ่งผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้อง อาบัติตัวหนึ่งนี้.
[๓๘๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ห่มผ้าเลื้อยหน้า หรือเลื้อยหลัง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๘๙] ํ ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย เดินไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 160
[๓๙๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เปิดกาย นั่งในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้าไปในละแวก บ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ คะนองมือ หรือเท้านั่งใน ละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ไปในละแวก บ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ นั่งในละแวก บ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินเวิกผ้าไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งเวิกผ้าในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรคที่ ๑ จบ
วรรคที่ ๒
[๓๙๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินหัวเราะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๓๙๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งหัวเราะในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 161
[๓๙๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินพูดเสียงดังลั่นไปในละแวก บ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งพูดเสียงดังลั่นในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงกายในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไกวแขนไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งไกวแขนในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินโคลงศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งโคลงศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรคที่ ๒ จบ
วรรคที่ ๓
[๔๐๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินค้ำกายไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 162
[๔๐๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งค้ำกายในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๐๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินคลุมศีรษะไปในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งคลุมศีรษะในละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินกระโหย่งเท้าไปในละแวก บ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งรัดเข้าในละแวกบ้าน ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ รับบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับบิณฑบาตจนพูนบาตร ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรค ที่ ๓ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 163
วรรค ที่ ๔
[๔๑๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตโดยไม่เคารพ ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แลดูในที่นั้นๆ ฉันบิณฑบาต ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๑๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตให้แหว่งในที่นั้นๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแต่แกงมาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันบิณฑบาตขยุ้มแต่ยอดลงไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ กลบแกงหรือกับด้วยข้าวสุก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ไม่อาพาธ ขอแกงก็ดี ข้าวสุก ก็ดี เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือทุกกฏ.
[๔๒๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ มุ่งจะยกโทษ แลดูบาตรของ ภิกษุอื่น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวใหญ่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ทำคำข้าวให้ยาว ต้องอาบัติ ตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรค ที่ ๔ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 164
วรรค ที่ ๕
[๔๒๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปากอ้าปากไว้ ท่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ สอดมือทั้งหมดเข้าในปาก ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๒๙] ่ ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ พูดทั้งคำข้าวมีอยู่ในปาก ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเดาะคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันกัดคำข้าว ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันสลัดมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันโปรยเมล็ดข้าว ต้องอาบัติ ตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันแลบลิ้น ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังจั๊บๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรค ที่ ๕ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 165
วรรค ที่ ๖
[๔๓๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันดังซู๊ดๆ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๓๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันขอดบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ฉันเลียริมฝีปาก ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ รับน้ำด้วยมือเปื้อนอามิส ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เทน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวใน ละแวกบ้าน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีร่มในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีไม้พลอง ในมือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีศัสตราใน มือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลมีอาวุธใน มือ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
วรรค ที่ ๖ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 166
วรรค ที่ ๗
[๔๔๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมเขียง เท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลสวมรองเท้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๔๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลไปในยาน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้อยู่บนที่ นอน ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ. ุ
[๔๕๑] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้นั่งรัดเข่า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๒] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้โพกศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๓] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้คลุมศีรษะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๔] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งอยู่ที่แผ่นดินแสดงธรรมแก่ บุคคลนั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๕] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ นั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรมแก่ บุคคลผู้นั่งบนอาสนะสูง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๖] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนอยู่ แสดงธรรมแก่บุคคลผู้ นั่งอยู่ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 167
[๔๕๗] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปข้างหลัง แสดงธรรมแก่ บุคคลผู้เดินไปข้างหน้า ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๘] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่ บุคคลผู้เดินไปในทาง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๕๙] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ยืนถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๖๐] ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือ บ้วนเขฬะลงบนของเขียวสด ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
[๔๖๑] ถามว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือ บ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ.
ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะ ลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้.
วรรค ที่ ๗ จบ
เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท จบ
กตาปัตติวาร ที่ ๒ จบ
วิปัตติวาร ที่ ๓
[๔๖๒] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 168
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดา วิบัติ ๔ อย่าง คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...
ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติอันหนึ่ง คือ อาจารวิบัติ บรรดา วิบัติ ๔ อย่าง
วิปัตติวารที่ ๓ จบ
สังคหิตวาร ที่ ๔
[๔๖๓] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยกอง อาบัติเท่าไร บรรดาอาบัติ ๗ กอง
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยอาบัติ ๓ กอง บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติ ถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ ...
ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดา อาบัติ ๗ กอง
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ คือ กองอาบัติ ทุกกฏ บรรดาอาบัติ ๗ กอง.
สังคหิตวาร ที่ ๔ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 169
สมุฏฐานวาร ที่ ๕
[๔๖๔] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๕
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
สมุฏฐานวารที่ ๕ จบ
อธิกรณวาร ที่ ๖
[๔๖๕] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม เป็นปัตตาธิกรณ์ บรรดา อธิกรณ์ ๔ ...
ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 170
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
อุธิกรณวารที่ ๖ จบ
สมถวาร ที่ ๗
[๔๖๖] ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง บรรดาสมถะ ๗ คือ บางที ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญากรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...
ถามว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติของภิกษุผู้อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณ วัตถารกะ ๑.
สมถวารที่ ๗ จบ
สมุจจัยวาร ที่ ๘
[๔๖๗] ถามว่า ภิกษุผู้เสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ภิกษุผู้เสพเมถุนธรรมต้องอาบัติ ๓ ตัว คือ เสพเมถุนธรรม ในสรีระที่ไม่ถูกสัตว์กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่ถูก
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 171
สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้
ถ. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดาอาบัติ ๗ กอง เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วย สมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ อย่าง คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดาอาบัติ ๗ กองคือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...
ถ. ภิกษุอาศัยความเอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วน เขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร
ต. ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะหรือบ้วน เขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือทุกกฏ
ภิกษุอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วน เขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 172
ถ. อาบัตินั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ด้วยกอง อาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไรบรรดาสมุฏฐานแห่ง อาบัติ ๖ เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดา สมถะ ๗
ต. อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติหนึ่ง บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ ด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
สมุจจัยวาร ที่ ๘ จบ
๘ วารนี้ พระธรรมสังดีติกาจารย์เขียนไว้ สำหรับสวดเท่านั้น.
หัวข้อประจำวาร
[๔๖๘] กัตถปัญญัติวาร ๑ กตาปัตติวาร ๑ วิปัตติวาร ๑ สังคหิตวาร ๑ สมุฏฐานวาร ๑ อธิกรณวาร ๑ สมถวาร ๑ สมุจจัยวาร ๑.
กัตถบัญญัติวาร ที่ ๑
คำถามและคำตอบปาราชิก ๔ สิกขาบท
[๔๖๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ... ใครนำมาเป็นต้น.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 173
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระสุทิน กลันทบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องพระสุทิน กลันทบุตร เสพเมถุนธรรมในปุราณทุติยิกา
ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในปาราชิก สิกขาบทที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สาธารณบัญญัติ
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อุภโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้นจัดเข้าใน อุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 174
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. เป็นศีลวิบัติ
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. เป็นอาบัติกองปาราชิก
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิด ด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบายลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวม เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่าชมพูมีสิริ แต่นั้น พระเถระผู้ ประเสริฐ มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐมี ปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดใน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 175
มรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะ ตามพปัณณิ.
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
[๔๗๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือถือเอาทรัพย์ อันเจ้าของมิได้ให้ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระธนิยะ กุมภการบุตร
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระธนิยะ กุมภการบุตร ถือเอาไม้ของหลวงซึ่ง ไม่ได้รับพระราชทาน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๓
[๔๗๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือแกล้งพราก กายมนุษย์จากชีวิต ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 176
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปปลงชีวิตกันและกัน.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๔
[๔๗๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัยคือกล่าวอวด อุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่เป็นจริง ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกฝั่งแม่น้าวัคคุมุทา
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา กล่าวสรรเสริญอุตริ- มนุสธรรมนของกันและกันแก่พวกคฤหัสถ์.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 177
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
[๔๗๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส เพราะปัจจัยคือพยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ... ใครนำมา.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือพยายามปล่อยอสุจิ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระเสยยสกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระเสยยสกะ พยายามปล่อยอสุจิ
ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุ- ปันนบัญญัติ หรือ
ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ นั้น
ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ
ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 178
ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ
ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ
ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๕ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้นจัดเข้า ในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน
ต. จัด เข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน
ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร
ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓
ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน
ต. เป็นศีลวิบัติ
ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน
ต. เป็นอาบัติกองสังฆาทิเสส
ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น เกิด ด้วยสมุฏฐานเท่าไร
ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
ถ. ใครนำมา
ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.
รายนามพระเถระ
พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวม เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่าชมพูมีสิริ แต่นั้น พระเถระผู้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 179
ประเสริฐ ผู้มีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐ มี ปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัยฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเถาะตามพปัณณิ.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒
[๔๗๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือถึงความ เคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับมาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓
[๔๗๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัยคือพูดเคาะ มาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 180
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านเพระอุทายีพูดเคาะมาตุคาม ด้วยวาจาชั่วหยาบ. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
[๔๗๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ กล่าว คุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายี กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักมาตุคาม.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 181
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕
[๔๗๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ถึง ความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระอุทายี
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระอุทายีถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบท นี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ บาทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิด แต่วาจามิใช่กาย มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางที่เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖
[๔๗๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ให้ทำ กุฎีด้วยอาการขอเองๆ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ เมืองอาฬวี
ถ. ทรงปรารภใด
ต. ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองอาฬวี
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 182
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุชาวเมืองอาฬวี ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗
[๔๗๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ให้ทำ วิหารใหญ่ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะแผ้วถางพื้นวิหาร ได้สั่งให้ตัดต้นไม้ ที่เขาสมมติว่าเป็นเจดีย์ต้นหนึ่ง.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘
[๔๘๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือความ กำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 183
ตอบว่า ทรงบัญญัติ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเมตติยะและพระภุมมชกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ตามกำจัดท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกอันหามูลมิได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏ- ฐาน ๓.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
[๔๘๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ถือเอา เอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุ ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเมตติยและพระภุมมชกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเมตติยะ และพระภุมมชกะถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดท่านพระทัพพมัลลบุตร ด้วยธรรมอันมีโทษถึงปาราชิก.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 184
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐
[๔๘๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นนิพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุ ผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระเทวทัต
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระเทวทัตตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์ ผู้พร้อมเพรียงกัน.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๑
[๔๘๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุ ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ผู้ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 185
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุหลายรูป
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูปได้ประพฤติตาม เข้าพวกพระเทวทัต ผู้ตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแก่กาย วาจา และจิต.
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๒
[๔๘๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุ ผู้ว่ายากไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครโกสัมพี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภท่านพระฉันนะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ท่านพระฉันนะ อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่โดยชอบ ธรรม ได้ทำตนให้เป็นผู้อันใครๆ ว่ากล่าวไม่ได้.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 186
คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๓
[๔๘๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือภิกษุผู้ ประทุษร้ายสกุลไม่สละกรรมเพราะสวดสัมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะถูกสงฆ์ลง ปัพพาชนียกรรมแล้วกลับหาว่า ภิกษุทั้งหลายถึงความพอใจ ถึงความขัดเคือง ถึงความหลง ถึงความกลัว.
มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง คือเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...
คำถามและคำตอบเสขิยวัตร
[๔๘๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติทุกกฏเพราะปัจจัย คืออาศัยความ ไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ณ ที่ไหน
ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี
ถ. ทรงปรารภใคร
ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 187
ถ. เพราะเรื่องอะไร
ต. เพราะเรื่องที่พระฉัพพัคคีย์ ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วน เขฬะบ้าง ลงในน้ำ.
มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
กัตถปัญญัติวาร ที่ ๑ จบ
กตาปัตติวาร ที่ ๒
คำถามและคำตอบอาบัติในปาราชิกกัณฑ์
[๔๘๗] ถามว่า เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้อง อาบัติ ๔ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์ กำเนิดเข้าในปากที่อ้า มิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะ ท่อนยางกลม ๑ เพราะปัจจัยคือเสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
[๔๘๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและ ภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 188
มีราคา ๕ มาสก หรือเกินกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ถือเอาทรัพย์อัน เจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วนแห่งโจรกรรม มีราคาเกินกว่า ๑ มาสก หรือหย่อน กว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ เป็นส่วน แห่งโจรกรรม มีราคา ๑ มาสก หรือหย่อนกว่า ๑ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เพราะปัจจัย คือ ถือเอาทรัพย์อันเจ้าของมิได้ให้ ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๔๘๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุ และภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุและ ภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ขุดบ่อเจาะจงมนุษย์ว่าจักตกลงตาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เมื่อตกแล้วทุกขเวทนาเกิดขึ้น ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ตาย ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เพราะปัจจัย คือ แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
[๔๙๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อัน ไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่ เป็นจริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ คือ ภิกษุ มีความปรารถนาลามก ถูก ความปรารถนาครอบงำ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรม อันไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก ๑ กล่าวว่า ภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อไม่เข้าใจความ ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ เพราะปัจจัย คือ กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มี ไม่เป็น จริง ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 189
คำถามและคำตอบอาบัติในสังฆาทิเสสกัณฑ์
[๔๙๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ พยายามปล่อยอสุจิ ภิกษุต้อง อาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ พยายามปล่อยอสุจิ ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ ตั้งใจพยายาม อสุจิเคลื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตั้งใจพยายาม แต่อสุจิไม่ เคลื่อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เป็นทุกกฏในประโยค ๑.
[๔๙๒] เพราะปัจจัย คือ ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุมีความกำหนัด ยินดีในการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญ ลงมา หรือเหนือหัวเข่าขึ้นไป ของบุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัด ต้องอาบัติ ปาราชิก ๑ ภิกษุจับต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้อง ของเนื่องด้วยกายต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกายถูกต้องของเนื่อง ด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ ๑ เพราะปัจจัย คือ ถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
[๔๙๓] เพราะปัจจัย คือ พูดเคาะมาตุคามด้วยวาจาชั่วหยาบ ภิกษุ ต้องอาบัติ ๓ คือ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือ หัวเข่าขึ้นไป เว้นวัจจมรรค ปัสสาวมรรค ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ พูดชมก็ดี พูดติก็ดี พาดพิงของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๔๙๔] เพราะปัจจัย คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอคนด้วยกาม ภิกษุ ต้องอาบัติ ๓ คือ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคาม ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักบัณเฑาะก์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 190
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกาม ในสำนักดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๔๙๕] เพราะปัจจัย คือ ถึงความเป็นผู้เที่ยวชักสื่อ ภิกษุต้องอาบัติ ๓ คือ รับคำ นำไปบอก กลับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ รับคำ นำ ไปบอกแต่ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ รับคำ แต่ไม่นำไปบอก และ ไม่กลับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.
[๔๙๖] เพราะปัจจัย คือ ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกกอันหนึ่งยังไม่มา ต้อง อาบัติถุลลัจจัย ๑ เมื่อก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๔๙๗] เพราะปัจจัย คือ ให้ทำวิหารใหญ่ ต้องอาบัติ ๓ คือ ให้ ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อก้อนดินอีกก้อนหนึ่งยังไม่มา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เมือก้อนดินนั้นมาแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๔๙๘] เพราะปัจจัย คือ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก อันหามูลมิได้ ต้องอาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาสประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้อง อาบัติโอมสวาท ๑.
[๔๙๙] เพราะปัจจัย คือ ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็น เรื่องอื่น ให้เป็นเพียงเลศ ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก ต้อง อาบัติ ๓ คือ ไม่ให้ทำโอกาส ประสงค์จะให้เคลื่อน โจท ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ กับสังฆาทิเสส ๑ ให้ทำโอกาสประสงค์จะด่า โจท ต้องอาบัติโอมสวาท ๑.
[๕๐๐] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรม วาจาสองครั้งเป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 191
[๕๐๑] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็น ทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๕๐๒] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ว่ายาก ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา สองครั้งเป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๕๐๓] เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรม วาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.
[๕๐๔] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ภิกษุต้องอาบัติตัวหนึ่ง.
กตาปัตติวาร ที่ ๒ จบ
วิปัตติวาร ที่ ๓
[๕๐๕] ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม จัดเป็น วิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 192
ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรมจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดา วิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...
ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ จัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง คือ อาจารวิบัติ บรรดาวิบัติ ๔.
วิปัตติวารที่ ๓ จบ
สังคหิตวาร ที่ ๔
[๕๐๖] ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗
ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม สงเคราะห์ด้วยกอง อาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกอง อาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ ...
ถามว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไรบรรดา กองอาบัติ ๗
ตอบว่า อาบัติเพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ คือ ด้วย กองอาบัติทุกกฏ บรรดากองอาบัติ ๗.
สังคหิตวารที่ ๔ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 193
สมุฏฐานวารที่ ๕
[๕๐๗] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติเกิดด้วย สมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐาน อย่างหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...
ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐานอย่างหนึ่ง บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา.
สมุฏฐานวารที่ ๕ จบ
อธิกรณวารที่ ๖
[๕๐๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติจัดเป็น อธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๙
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...
ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติจัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 194
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติจัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.
อธิกรณวารที่ ๖ จบ
สมถวารที่ ๗
[๕๐๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม อาบัติระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑ ...
ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ อาบัติระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
สมถวาร ที่ ๗ จบ
สมุจจยวารที่ ๘
[๕๑๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณี ต้องอาบัติเท่าไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 195
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณีต้อง อาบัติ ๔ คือ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์มิได้กัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ สอดองค์ กำเนิดเข้าไปในปากที่อ้ามิได้ถูกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะ ท่อนยาง ๑.
เพราะปัจจัย คือ เสพเมถุนธรรม ภิกษุและภิกษุณีต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วย กองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา
เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑ ...
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 196
ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือ ปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อ ถ่ายอุจจาระ หรือปัสสาวะ หรือบ้วนเขฬะลงในน้ำ ต้องอาบัติตัวหนึ่งนี้
ถามว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ด้วย กองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัตินั้น จัดเป็นวิบัติ ๑ คือ อาจารวิบัติ บรรดาวิบัติ ๔
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๑ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ ด้วยกองอาบัติ ทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา
เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
สมุจจยวารที่ ๘ จบ
ปัจจยวาร ๘ จบ
มหาวิภังค์ ๑๖ มหาวาร จบ