พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ภิกขุณีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  13 มี.ค. 2565
หมายเลข  42854
อ่าน  749

[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘

พระวินัยปิฎก

เล่ม ๘

ปริวาร

ภิกขุณีวิภังค ์๑๖ มหาวาร

กัตถปัญญัติวารที่ ๑

ปาราชิกกัณฑ์ 511/197

คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ 512/198

คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๖ 513/201

คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๗ 514/202

คําถามและคําตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๘ 515/203

หัวข้อประจํากัณฑ์ 516/203

สังฆาทิเสสกัณฑ์

คําถามและคําตอบสังฆาทิเสส ๑๐ สิกขาบท 517/204

หัวข้อประจํากัณฑ์ 528/211

นิสสัคคิยปาจิตติยกัณฑ์ 212

คําถามและคําตอบนิสสัคคิยปาจิตติย์ ๑๒ สิกขาบท 529/212

หัวข้อประจํากัณฑ์ 541/218

ปาจิตติยกัณฑ์

คําถามและคําตอบลสุณวรรคที่ ๑ 542/218

คําถามและคําตอบรัตตันธการวรรคที่ ๒ 552/224

คําถามและคําตอบนหานวรรคที่ ๓ 562/229

คําถามและคําตอบตุวัฎฎวรรคที่ ๔ 572/234

คําถามและคําตอบจิตตาคารวรรคที่ ๕ 582/239

คําถามและคําตอบอารามวรรคที่ ๖ 592/244

คําถามและคําตอบคัพภินีวรรคที่ ๗ 602/249

คําถามและคําตอบกุมารีภูตวรรคที่ ๘ 612/254

คําถามและคําตอบฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙ 625/262

หัวข้อประจําเรื่อง 638/269

ปาฎิเทสนียกัณฑ์

คําถามและคําตอบปาฎิเทสนียะ ๘ สิกขาบท 640/270

หัวข้อประจํากัณฑ์ 648/274

กตาปัตติวารที่ ๒ 275

ปาราชิกกัณฑ์ 275

คําถามและคําตอบอาบัติปาราชิก 649/275

สังฆาทิเสสกัณฑ์ 276

คําถามและคําตอบอาบัติสังฆาทิเสส 653/276

นิสสัคคิยปาจิตติยกัณฑ์

คําถามและคําตอบอาบัตินิสสัคคิยปาจิตติย์ 663/278

ปาจิตติยกัณฑ์

คําถามและคําตอบอาบัติในลสุณวรรคที่ ๑ 675/280

คําถามและคําตอบอาบัติในรัตตันธการวรรคที่ ๒ 685/282

คําถามและคําตอบอาบัติในนหานวรรคที่ ๓ 695/283

คําถามและคําตอบอาบัติในตุวัฎฎวรรคที่ ๔ 705/284

คําถามและคําตอบอาบัติในจิตตาคารวรรคที่ ๕ 715/286

คําถามและคําตอบอาบัติในอารามวรรคที่ ๖ 725/287

คําถามและคําตอบอาบัติในคัพภินีวรรคที่ ๗ 734/288

คําถามและคําตอบอาบัติในกุมารีภูตวรรคที่ ๘ 745/289

คําถามและคําตอบอาบัติในฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙ 758/291

ปาฎิเทสนียกัณฑ์

คําถามและคําตอบอาบัติปาฎิเทสนียกัณฑ์ 769/293

วิปัตติวารที่ ๓ 777/294

สังคหวารที่ ๔ 739/294

สมุฎฐานวารที่ ๕ 781/295

อธิกรณวารที่ ๖ 783/296

สมถวารที่ ๗ 785/296

สมุจจัยวารที่ ๘ 787/297

กัตถปัญญัติวารที่ ๑ 299

ปาราชิก 789/299

สังฆาทิเสส 793/302

กติอาปัตติวารที่ ๒ 309

ปาราชิก 804/309

สังฆาทิเสส 808/311

วิปัตติวารที่ ๓ 819/313

สังคหวารที่ ๔ 820/314

สมุฎฐานวารที่ ๕ 821/315

อธิกรณวารที่ ๖ 822/315

สมถวารที่ ๗ 823/316

สมุจจยวารที่ ๘ 824/316


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 10]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 197

ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร

กัตถปัญญัติวารที่ ๑

ปาราชิกกัณฑ์

[๕๑๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ แก่ภิกษุณีทั้งหลาย ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น มี บัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติหรือ บรรดา ปาติโมกขุทเทศ ๔ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้นจัดเข้าในอุเทศไหน นับเนื่อง ในอุเทศไหน มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ จัดเป็นวิบัติอย่าง ไหนบรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นวินัย ใน ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นอภิวินัย ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์ อะไรเป็นวิบัติ อะไรเป็นสมบัติ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง บัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ แก่ภิกษุณีทั้งหลาย เพราะทรงอาศัยอำนาจ ประโยชน์เท่าไร พวกไหนศึกษา พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น ตั้งอยู่ในใคร พวกไหนย่อมทรงไว้ เป็นถ้อยคำของใคร ใครนำมา.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 198

ปาราชิกกัณฑ์

คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๕

[๕๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ แก่ภิกษุณี ทั้งหลาย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีสุนทรีนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีสุนทรีนันทา มีความกำหนัด ยินดีในการ เคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด

ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ

ต. มีบัญญัติ ๑ อันบัญญัติ อันปันนบัญญัติ ไม่มีในปาราชิกสิกขาบท ที่ ๕ นั้น

ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ

ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ

ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 199

บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๔ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้นจัดเข้าในอุเทศ ไหน นับเนื่องในอุเทศไหน

ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน

ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร

ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒

ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน

ต. เป็นศีลวิบัติ

ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน

ต. เป็นกองอาบัติปาราชิก

ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๗ ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้นเกิดขึ้น ด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา

ถ. บรรดาอธิกรณ์ ๔ เป็นอธิกรณ์อะไร

ต. เป็นอาปัตตาธิกรณ์

ถ. บรรดาสมถะ ๗ ระงับด้วยสมถะเท่าไร

ต. ระงับด้วยสมถะ ๒ คือสัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑

ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นวินัย อะไรเป็นอภิวินัย

ต. พระบัญญัติเป็นวินัย การจำแนกเป็นอภิวินัย

ถ. ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นปาติโมกข์ ในปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้น อะไรเป็นอธิปาติโมกข์

ต. พระบัญญัติเป็นปาติโมกข์ การจำแนกเป็นอธิปาติโมกข์

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 200

ถ. อะไรเป็นวิบัติ

ต. ความไม่สังวรเป็นวิบัติ

ถ. อะไรเป็นสมบัติ

ต. ความสังวรเป็นสมบัติ

ถ. อะไรเป็นข้อปฏิบัติ

ต. ข้อที่ภิกษุณีสมาทานอาปาณโกฏิกศีลตลอดชีวิตว่า จักไม่ทำกรรม เห็นปานนี้ แล้วศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เป็นข้อปฏิบัติ

ถ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ แก่ภิกษุณี ทั้งหลายทรงอาศัยอำนาจประโยชน์เท่าไร

ต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ แก่ภิกษุณี ทั้งหลาย เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่า ดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มภิกษุณีผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่ สำราญแห่งภิกษุณีผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยิ่ง ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความดำรง มั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑

ถ. พวกไหนศึกษา

ต. ภิกษุณีเป็นเสกขะและเป็นกัลยาณปุถุชนศึกษา

ถ. พวกไหนมีสิกขาอันศึกษาแล้ว

ต. ภิกษุณีผู้อรหันต์มีสิกขาอันศึกษาแล้ว

ถ. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ นั้นตั้งอยู่ในใคร

ต. ตั้งอยู่ในภิกษุณีผู้ใคร่ต่อการศึกษา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 201

ถ. พวกไหนย่อนทรงไว้

ต. ปาราชิกสิกขาบทที่ ๕ ย่อมเป็นไปแก่ภิกษุณีเหล่าใด ภิกษุณีเหล่า นั้นย่อมทรงไว้

ถ. เป็นถ้อยคำของใคร

ต. เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ. ใครนำมา

ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.

รายนามพระเถระ

พระเถระเหล่านี้ คือ พระอุบาลี พระทาสกะ พระโสณกะ พระสิคควะ รวม เป็นห้าทั้งพระโมคคัลลีบุตร นำพระวินัยมา ในทวีปชื่อว่าชมพู มีสิริ แต่นั้น พระเถระ ผู้ประเสริฐมีปัญญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ ๑ พระสัมพละ ๑ ... พระเถระผู้ประเสริฐ ผู้มี ปัญญามากเหล่านี้ รู้พระวินัย ฉลาดใน บรรดา ได้ประกาศพระวินัยปิฎกไว้ในเกาะ ตามพปัณณิ.

คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๖

[๕๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๖ แก่ภิกษุณี ทั้งหลาย ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 202

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทารู้อยู่ว่า ภิกษุณีต้องปาราชิกธรรม ไม่โจทด้วยตนเอง ไม่บอกแก่คณะ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต.

คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๗

[๕๑๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๗ แก่ภิกษุณีทั้งหลาย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ประพฤติตามพระอริฏฐะ ผู้ เคยเป็นคนฆ่าแร้ง ถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกวัตร.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 203

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

คำถามและคำตอบปาราชิกสิกขาบทที่ ๘

[๕๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๘ แก่ภิกษุณี ทั้งหลาย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ทำวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

ปาราชิก ๘ สิกขาบท จบ

หัวข้อประจำกัณฑ์

[๕๑๖] พระมหาวีระทรงบัญญัติปาราชิกอันเป็นวัตถุแห่งการขาดอย่าง ไม่ต้องสงสัย คือ เมถุน ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิคคหะ ๑ อุตริมนุสธรรม ๑ กายสังสัคคะ ๑ ปกปิด ๑ สงฆ์ยกวัตร ๑ วัตถุที่แปด ๑.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 204

สังฆาทิเสสกัณฑ์

คำถามและคำตอบสังฆาทิเสส ๑๐ สิกขาบท

[๕๑๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณีผู้กล่าวให้ร้าย ก่อคดี ณ ที่ไหน ทรงปรารภใคร เพราะเรื่องอะไร ... ใครนำมา.

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑

[๕๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ แก่ภิกษุณี ผู้กล่าวให้ร้าย ก่อคดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวให้ร้ายอยู่

ถ. ในสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ

ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๑ นั้น

ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 205

ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ

ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ

ถ. มีแต่เอกโตบัญญัติ

ถ. บรรดาปาติโมกขุเทศ ๔ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ นั้น จัดเข้า ในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน

ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน

ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร

ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓

ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน

ต. เป็นศีลวิบัติ

ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน

ต. เป็นกองอาบัติสังฆาทิเสส

ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑ เกิดด้วย สมุฏฐานเท่าไร

ต. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางที เกิดแต่กาย วาจา และจิต ...

ถ. ใครนำมา

ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา ...

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 206

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒

[๕๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณีผู้รับหญิงโจร ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่พระภิกษุณีถุลลนันทารับหญิงโจรให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต.

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓

[๕๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้ไปสู่ละแวก บ้านแต่ผู้เดียว ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งไปสู่ละแวกบ้านแต่ผู้เดียว.

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 207

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

คำถามและคำตอบสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔

[๕๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้ไม่บอก กล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ รับภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยก เสียจากหมู่แล้วตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ให้เข้าหมู่ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะ ของคณะ รับภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่แล้วตามธรรม ตาม วินัย ตามสัตถุศาสน์ ให้เข้าหมู่.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕

[๕๒๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้พอใจรับของ เคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม จากมือของบุคคลผู้พอใจ ด้วยมือของตนแล้วฉัน ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 208

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีสุนทรีนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีสุนทรีนันทาพอใจรับอามิสจากมือของบุรุษ บุคคลผู้พอใจ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๖

[๕๒๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้กล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้นมีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่ แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่พอใจ นิมนต์เถิดเจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้นจะถวายสิ่ง ใด เป็นของเคี้ยว หรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจงรับประเคนของ สิ่งนั้น ด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว หรือฉันเถิด ดังนี้ แล้วส่งไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง กล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้นมี ความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้า

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 209

ไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้นจะถวายสิ่งใด เป็นของ เคี้ยว หรือของฉันก็ตาม แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้น ด้วย มือของตนแล้วเคี้ยว หรือฉันเถิด ดังนี้ แล้วส่งไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๗

[๕๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้โกรธ ไม่ สละกรรมเพราะอวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลีโกรธขัดใจ ได้กล่าวอย่างนี้ว่า

ข้าพเจ้าขอบอกคืนพระพุทธเจ้า ขอบอกคืนพระธรรม ขอบอกคืนพระสงฆ์ ขอบอกคืนสิกขา.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๘

[๕๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้ถูกตัดสิน

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 210

ให้แพ้ในอธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลีถูกตัดสินให้แพ้ในอธิกรณ์เรื่องหนึ่ง แล้ว โกรธ ขัดใจ ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุณีถึงความพอใจ ถึงความ ขัดเคือง ถึงความหลง และถึงความกลัว.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙

[๕๒๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหัต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีทั้งหลายผู้ คลุกคลี ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ๗ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปคลุกคลีกันอยู่.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 211

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐

[๕๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส แก่ภิกษุณีผู้ส่งไปด้วย สั่งว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหาก กันเลย ไม่สละวัตถุ เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาส่งไปด้วยสั่งว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหากกันเอย.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

สังฆาทิเสส ๑๐ สิกขาบท จบ

หัวข้อประจำกัณฑ์

[๕๒๘] กล่าวให้ร้าย ๑ รับนางโจรให้บวช ๑ ละแวกบ้าน ๑ ถูก สงฆ์ยกวัตร ๑ ของเคี้ยว ๑ ทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ ๑ โกรธ ๑ อธิกรณ์เรื่อง อื่น ๑ คลุกคลี ๑ ส่งไป ๑ สังฆาทิเสสเหล่านั้นรวมเป็น ๑๐ สิกขาบท.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 212

นิสสัคคิยปาจิตติยกัณฑ์

คำถามและคำตอบนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑๒ สิกขาบท

[๕๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ทำ การสั่งสมบาตร ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ได้ทำการสั่งสมบาตร.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ อธิษฐานอกาลจีวรว่าเป็นกาลจีวรแล้วให้แจกกัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาอธิษฐานอกาลจีวรว่าเป็น กาลจีวร แล้วให้แจกกัน.

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 213

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้แลก เปลี่ยนจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงเอาไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาแลกเปลี่ยนจีวรกับภิกษุณีแล้วชิง เอาไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ขอ ของอย่างอื่น แล้วขอของอย่างอื่นอีก ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาขอของอย่างอื่นแล้ว ขอของอย่าง อื่นอีก.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 214

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอย่างอื่น แล้วให้จ่ายของอย่างอื่นอีก ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาให้จ่ายของอย่างอื่น แล้วให้จ่าย ของอย่างอื่นอีก.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอย่างอื่นด้วยบริขารของสงฆ์ ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 215

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปให้จ่ายของอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๒๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของ สงฆ์ ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มาก ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่าง อื่น เจาะจงของอย่างอื่น ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 216

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปให้จ่ายของอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่ มากที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๓๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มากที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของ คนหมู่มากที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 217

[๕๓๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายของอื่น ด้วยบริขารของบุคคล ที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะ จงของอย่างอื่นที่ขอมาเอง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาให้จ่ายของอื่น ด้วยบริวารของ บุคคลที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่นที่ขอมเอง. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๓๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายผ้าห่มหนา ราคาเกินกว่า ๘ กังสะเป็นอย่างยิ่ง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ขอผ้ากัมพลกะพระเจ้าแผ่นดิน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 218

[๕๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ จ่ายผ้าห่มบาง ราคาเกินกว่า ๒ กังสะกึ่งเป็นอย่างยิ่ง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาขอผ้าโขมะกะพระเจ้าแผ่นดิน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑๒ สิกขาบท จบ

หัวข้อประจำกัณฑ์

[๕๔๑] บาตร ๑ อธิษฐานอกาลจีวรเป็นกาลจีวร ๑ แลกเปลี่ยน ๑ ขอ ๑ ให้จ่าย ๑ ที่ถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น ๑ เป็นของสงฆ์ ๑ เป็นของ คนหมู่มาก ๑ ขอมาเอง ๑ เป็นของบุคคล ๑ สี่กังสะ ๑ สองกังสะกึ่ง ๑.

ปาจิตติยกัณฑ์

คำถามและคำตอบลสุณวรรคที่ ๑

[๕๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ฉันกระเทียม ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 219

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาไม่รู้จักประมาณ ให้นำกระเทียมไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีให้ถอนขนในที่ แคบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ให้ถอนขนในที่แคบ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๔.

[๕๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะใช้ของลับกระทบ กัน ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 220

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณี ๒ รูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณี ๒ รูป ใช้ของลับกระทบกัน.

บัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานวันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๕๔๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ในเพราะใช้ท่อนยางเกลี้ยง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งใช้ท่อนยางเกลี้ยง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๕๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้น้ำชำระให้ สะอาดลึกเกิน ๒ ข้อองคุลีเป็นอย่างยิ่ง ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 221

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งใช้น้ำชำระให้สะอาดลึกเกินไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๕๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้บำรุงภิกษุผู้ กำลังฉันด้วยน้ำดื่ม หรือด้วยการพัด ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งบำรุงภิกษุผู้กำลังฉัน ด้วยน้ำดื่ม และ ด้วยการพัด.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๔๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ขอข้าวเปลือก สดมาฉัน ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 222

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปขอข้าวเปลือกสดมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๔.

[๕๔๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี ที่ภายนอกฝา ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งเทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง น้ำลาย บ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง ที่ภายนอกฝา.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๕๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี บนของเขียวสด ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 223

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปเทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง น้ำลาย บ้าง หยากเยื่อบ้าง ของเป็นเดนบ้าง บนของเขียวสด.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๕๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ไปดูฟ้อนรำก็ดี ขับร้องก็ดี ประโคมก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไปดูฟ้อนรำบ้าง ขับร้องบ้าง ประโคมบ้าง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอพกโลมสิกขาบท).

ลสุณวรรคที่ ๑ จบ

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 224

คำถามและคำตอบรัตตันธการวรรคที่ ๒

[๕๕๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยืนร่วมกับบุรุษ ในเวลาค่ำคืนไม่มีประทีปส่องหนึ่งต่อหนึ่ง ณ ที่ไหน.

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง ยืนร่วมกับบุรุษในเวลาค่ำคืนที่ไม่มี ประทีปส่อง หนึ่งต่อหนึ่ง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเถยยสัตถกสิกขาบท).

[๕๕๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยืนร่วมกับบุรุษ ในโอกาสอันกำบัง หนึ่งต่อหนึ่ง ณ ที่ไหน.

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งยืนร่วมกับบุรุษ ในโอกาสอันกำบัง หนึ่งต่อหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 225

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเถยยสัตถกสิกขาบท).

[๕๕๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยืนร่วมกับ บุรุษในที่แจ้ง หนึ่งต่อหนึ่ง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งยืนร่วมกับบุรุษในที่แจ้ง หนึ่งต่อหนึ่ง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเถยยสัตถกสิกขาบท).

[๕๕๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยืนร่วมกับ บุรุษในถนนก็ดี ในตรอกตันก็ดี ในทาง ๓ แพร่งก็ดี หนึ่งต่อหนึ่ง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทายืนร่วมกับบุรุษในถนนบ้าง ใน ตรอกตันบ้าง ในทาง ๓ แพร่งบ้าง หนึ่งต่อหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 226

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเถยยสัตถกสิกขาบท).

[๕๕๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เข้าไปสู่สกุล ในเวลาเช้า นั่งบนอาสนะแล้วไม่บอกลาเจ้าของ กลับไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งเข้าไปสู่สกุลในเวลาเช้า นั่งบนอาสนะ แล้วไม่บอกลาเจ้าของ กลับไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๕๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เข้าไปสู่สกุล ในเวลาหลังภัตกาล ไม่บอกเจ้าของ นั่งบนอาสนะ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา เข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังภัตกาล ไม่บอกเจ้าของ นั่งบนอาสนะ.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 227

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๗ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๕๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เข้าไปสู่สกุล ในเวลาพลบค่ำไม่บอกเจ้าของ แล้วลาดเองก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งที่นอนแล้วขึ้น นั่ง ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป เข้าไปสู่สกุลในเวลาพลบค่ำ ไม่ บอกเจ้าของแล้วลาดที่นอนในรูปนั่ง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๕๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ภิกษุณีรูป อื่นโพนทะนาด้วยความถือผิด เข้าใจผิด ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง ให้ภิกษุณีรูปอื่นโพนทะนา ด้วย ความถือผิด เข้าใจผิด.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 228

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๖๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้แช่งตนก็ดี ผู้ อื่นก็ดี ด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลีแช่งตนบ้าง แช่งผู้อื่นบ้าง ด้วยนรก บ้าง ด้วยพรหมจรรย์บ้าง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๖๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ประหัตประหาร ตนแล้วร้องไห้ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ น พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลี ประหัตประหารตนแล้วร้องไห้.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 229

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

รัตตันธการวรรค ที่ ๒ จบ

คำถามและคำตอบนหานวรรคที่ ๓

[๕๖๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เปลือยกาย อาบน้ำ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป เปลือยกายอาบน้ำ.

มีบัญญัติ ๑๐ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๖๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุณีผู้ให้ทำผ้าอาบน้ำ ฝน เกินประมาณ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 230

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ใช้ผ้าอาบน้ำฝนไม่มีประมาณ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๖๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เลาะเองก็ดี ให้ผู้อื่นเลาะก็ดี ซึ่งจีวร แล้วไม่เย็บ ไม่ทำความขวนขวายเพื่อจะให้เย็บ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาให้ภิกษุณีเลาะจีวรแล้วไม่เย็บ ไม่ ทำความขวนขวายเพื่อจะให้เย็บ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๕๖๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ผลัดเปลี่ยนผ้า สังฆาฏิอันมีกำหนด ๕ วัน ให้เกินไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 231

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ฝากผ้าไว้ในมือของภิกษุณีทั้งหลาย แล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสกหลีกไปสู่จาริกในชนบท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๖๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้จีวรสับ เปลี่ยน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งไม่บอกแล้วห่มจีวรของภิกษุณี.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๖๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ทำลาภคือจีวร ของหมู่ให้เป็นอันตราย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 232

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาทำลาภ คือจีวรของหมู่ให้เป็น อันตราย.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๖๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ห้ามการแจก จีวรซึ่งเป็นไปโดยชอบธรรม ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการแจกจีวร ซึ่งเป็นไปโดย ชอบธรรม.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๖๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้สมณจีวร แก่ชาวบ้านก็ดี ปริพาชกก็ดี ปริพาชิกาก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 233

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาได้ให้สมณจีวรแก่ชาวบ้าน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๖.

[๕๗๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสมัยแห่งจีวร กาลให้ล่วงไป ด้วยหวังจะได้จีวรอันไม่แน่นอน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ยังสมัยแห่งจีวรกาลให้ล่วงไปด้วย หวังจะได้จีวรอันไม่แน่นอน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๗๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ห้ามการเดาะ กฐินอันเป็นไปโดยชอบธรรม ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 234

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาห้ามการเดาะกฐินอันเป็นไปโดย ชอบธรรม.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

นหานวรรคที่ ๓ จบ

คำถามและคำตอบตุวัฏฏวรรคที่ ๔

[๕๗๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณี ๒ รูปผู้นอน เตียงเดียวกัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปนอนบนเตียงเดียวกัน ๒ รูป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเฬกโลมสิกขาบท).

[๕๗๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณี ๒ รูป ผู้นอน ในเครื่องลาดและผ้าห่มอันเดียวกัน ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 235

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป นอนในเครื่องลาดและผ้าห่มผืน เดียวกัน ๒ รูป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๗๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้แกล้งก่อความ ไม่ผาสุก ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาแกล้งก่อความไม่ผาสุกแก่ภิกษุณี.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๗๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่บำรุงสหชีวินี ผู้ได้รับทุกข์ และไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ผู้อื่นช่วยบำรุง ณ ที่ไหน ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 236

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ไม่บำรุงสหชีวินีผู้ได้รับทุกข์ และไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ผู้อื่นช่วยบำรุง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๕๗๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ที่อาศัยแก่ ภิกษุณีแล้ว โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าออก ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาให้ที่อาศัย แก่ภิกษุณีแล้วโกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าออก.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๗๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้คลุกคลี ไม่ สละเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 237

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลีอยู่คลุกคลี

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนสมนุภาสนสิกขาบท).

[๕๗๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่มีพวก เที่ยวจาริกภายในแว่นแคว้น ซึ่งรู้จักกันอยู่ว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปไม่มีพวก เที่ยวจาริกภายในแว่นแคว้น ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๗๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุณีผู้ไม่มีพวก เที่ยว จาริกภายนอกแว่นแคว้น ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 238

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปไม่มีพวก เที่ยวจาริกภายนอก แว่นแคว้น ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เที่ยวจาริก ภายในพรรษา ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปเที่ยวจาริกภายในพรรษา.

บัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้อยู่จำพรรษา แล้วไม่หลีกไปสู่จาริก ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 43  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 239

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปอยู่จำพรรษาแล้ว ไม่หลีกไปสู่จาริก.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

ตุวัฏฏวรรคที่ ๔ จบ

คำถามและคำตอบจิตตาคารวรรคที่ ๕

[๕๘๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไปชมโรงละครหลวงก็ดี โรงประกวดภาพก็ดี สถานที่หย่อนใจก็ดี อุทยานก็ดี สระ โบกขรณีก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ ไปชมโรงละครหลวงบ้าง โรง ประกวดภาพบ้าง สถานที่หย่อนใจบ้าง อุทยานบ้าง สระโบกขรณีบ้าง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 44  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 240

[๕๘๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้สอยอาสันทิ ก็ดี บัลลังก์ก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปใช้สอยอาสันทิบ้าง บัลลังก์บ้าง.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีกรอด้าย ณ ที่ไหน

ตอบว่าทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปกรอด้าย. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย

สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ช่วยทำธุระของ คฤหัสถ์ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 45  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 241

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปช่วยทำธุระของคฤหัสถ์.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้อันภิกษุณี กล่าวอยู่ว่า มาเถิดแม่เจ้า ขอจงช่วยระงับอธิกรณ์นี้ รับคำว่า ดีละ แล้วไม่ ระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ระงับ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า มาเถิดแม่ เจ้า ขอจงช่วยระงับอธิกรณ์นี้ รับคำว่า ดีละ แล้วไม่ระงับ ไม่ทำการขวน ขวายเพื่อให้ระงับ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๕๘๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ให้ของ

 
  ข้อความที่ 46  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 242

เคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่ชาวบ้านก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วย มือของตน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาได้ให้ของเคี้ยวบ้าง ของฉันบ้าง แก่ชาวบ้าน ด้วยมือของตน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๘๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่สละผ้าอาศัย แล้วใช้สอย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาไม่สละผ้าอาศัย แล้วใช้สอย. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 47  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 243

[๕๘๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่มอบหมาย ที่อยู่ แล้วหลีกไปสู่จาริก ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาไม่มอบหมายที่อยู่ แล้วหลีกไปสู่ จาริก.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๕๙๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้เรียนติรัจฉาน วิชา ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์เรียนติรัจฉานวิชา.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนปทโสธัมมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 48  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 244

[๕๙๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้บอกติรัจฉาน วิชา ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์บอกติรัจฉานวิชา.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนปทโสธัมมสิกขาบท).

จิตตาคารวรรค ที่ ๕ จบ

คำถามและคำตอบอารามวรรค ที่ ๖

[๕๙๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้รู้อยู่ไม่บอก กล่าวก่อน แล้วเข้าไปสู่อารามซึ่งมีภิกษุ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปไม่บอกกล่าวก่อนแล้วเข้าไปสู่อาราม.

 
  ข้อความที่ 49  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 245

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๒ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๕๙๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ด่าบริภาษภิกษุ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครเวสาลี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ด่าท่านพระอุบาลี.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๕๙๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้แค้นเคือง บริภาษคณะ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันท า

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาแค้นเคืองบริภาษคณะ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

 
  ข้อความที่ 50  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 246

[๕๙๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้อันทายกนิมนต์ แล้วห้ามภัตรแล้ว ฉันของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปฉันแล้ว ห้ามภัตรแล้วไปฉัน ณ แห่งอื่น.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๔.

[๕๙๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้หวงตระกูล ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งหวงตระกูล.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

 
  ข้อความที่ 51  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 247

[๕๙๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้จำพรรษาใน อาวาสที่ไม่มีภิกษุ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๕๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้จำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ด้วย ๓ สถาน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปจำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณากะภิกษุ- สงฆ์.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 52  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 248

[๕๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่ไปรับโอวาท ก็ดี เพื่อร่วมสังฆกรรมก็ดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ สักกชนบท

ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไม่ไปรับโอวาท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๖๐๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่ถามแม้ซึ่ง อุโบสถ ไม่ขอแม้ซึ่งโอวาท ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปไม่ถามแม้ซึ่งอุโบสถ ไม่ขอแม้ซึ่ง โอวาท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 53  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 249

[๖๐๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่บอกสงฆ์ หรือคณะให้บุรุษผ่าฝีก็ดี บาดแผลก็ดี อันเกิดที่ง่ามขา ตัวต่อตัวรวมกัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง ให้บุรุษฝ่าฝีอันเกิดที่ง่ามขาตัวต่อ ตัวร่วมกัน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

อารามวรรคที่ ๖ จบ

คำถามและคำตอบคัพภินีวรรคที่ ๗

[๖๐๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสตรีมีครรภ์ ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

 
  ข้อความที่ 54  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 250

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังสตรีมีครรภ์ให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสตรีแม่ ลูกอ่อนให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังสตรีแม่ลูกอ่อนให้บวช

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานาที่ ยังมิได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังสิกขมานาที่ยังมิได้ศึกษาสิกขาใน ธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีให้บวช.

 
  ข้อความที่ 55  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 251

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานาที่ ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ให้อุปสมบท ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังสิกขมานาที่ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติให้อุปสมบท. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังเด็กหญิงมี อายุไม่ครบ ๑๒ ปีให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังเด็กหญิงผู้มีอายุไม่ครบ ๑๒ ปีให้ บวช.

 
  ข้อความที่ 56  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 252

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังเด็กหญิงมี อายุ ๑๒ ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปี ให้อุปสมบท ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังเด็กหญิงผู้มีอายุ ๑๒ ปีบริบูรณ์ แล้ว แต่ยังไม่ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีให้อุปสมบท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังเด็กหญิงมี อายุ ๑๒ ปีบริบูรณ์ ผู้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่ สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

 
  ข้อความที่ 57  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 253

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังเด็กหญิงผู้มีอายุ ๑๒ ปีบริบูรณ์ ผู้ ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๐๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสหชีวินีให้ บวชแล้วไม่อนุเคราะห์ ไม่ยังผู้อื่นให้อนุเคราะห์ตลอด ๒ กาลฝน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ยังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่อนุ- เคราะห์ ไม่ยังผู้อื่นให้อนุเคราะห์ ตลอด ๒ กาลฝน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๖๑๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่ติดตาม ปวัตตินีผู้ให้บวช ตลอด ๒ กาลฝน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

 
  ข้อความที่ 58  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 254

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้บวชตลอด ๒ กาลฝน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๖๑๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสหชีวินีให้ บวชแล้วไม่พาหลีกไป ไม่ยังผู้อื่นให้พาหลีกไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทายังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่พาหลีก ไป ไม่ยังผู้อื่นให้พาหลีกไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

คัพภินีวรรค ที่ ๗ จบ

คำถามและคำตอบกุมารีภูตวรรค ที่ ๘

[๖๑๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสามเณรีผู้ เป็นเด็กหญิงมีอายุหย่อน ๒ ปี ให้บวช ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 59  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 255

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังสามเณรีผู้เป็นเด็กหญิงมีอายุ หย่อน ๒๐ ปีให้บวช

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๑๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสามเณรีผู้ เป็นเด็กหญิงมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ กาลฝนให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังสามเณรีผู้เป็นเด็กหญิงมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ กาลฝน ให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

 
  ข้อความที่ 60  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 256

[๖๑๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสามเณรีผู้ เป็นเด็กหญิงมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ กาลฝนแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังสามเณรีผู้เป็นเด็กหญิงมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้ศึกษาสิกขาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ กาลฝนแล้ว แต่ สงฆ์ยังมิได้สมมติให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๑๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้มีพรรษา หย่อน ๑๒ ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป มีพรรษาหย่อน ๑๒ ให้บวช.

 
  ข้อความที่ 61  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 257

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๑๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้มีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยัง ไม่ได้สมมติให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๑๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีอันภิกษุณีสงฆ์ กล่าวอยู่ว่า ดูก่อนแม่เจ้า ท่านยังไม่ควรให้บวชก่อน รับคำว่า ชอบแล้ว ภายหลังถึงธรรมคือบ่นว่า ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

 
  ข้อความที่ 62  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 258

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลี อันภิกษุณีสงฆ์กล่าวอยู่ว่า ดูก่อน แม่เจ้า ท่านยังไม่ควรให้บวชก่อน รับคำว่า ชอบแล้ว ภายหลังถึงธรรมคือ บ่นว่า.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๑๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้กล่าวกะ สิกขมานาว่า ดูก่อนแม่เจ้า ถ้าท่านจักให้จีวรแก่เรา เราจักยังท่านให้อุปสมบท ตามปรารถนา ภิกษุณีนั้นไม่มีอันตราย ภายหลังไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการ ขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวกะสิกขมานาว่า ดูก่อนแม่เจ้า ถ้าท่านจักให้จีวรแก่เรา เราจักยังท่านให้อุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้ อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 63  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 259

[๖๑๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้กล่าวกะ สิกขมานาว่า ดูก่อนแม่เจ้า ถ้าท่านจักติดตามเราไปตลอด ๒ ปี เราจักยังท่าน ให้อุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้ อุปสมบท ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวกะสิกขมานาว่า ดูก่อนแม่เจ้า ถ้าท่านจักติดตามเราไปตลอด ๒ ปี เราจักยังท่านให้อุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๖๒๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา ผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศก ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

 
  ข้อความที่ 64  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 260

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทา ยังสิกขมานาผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็กหนุ่ม ผู้ดุร้าย ผู้ยังชายให้ระทมโศกให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๒๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา อันมารดาบิดาหรือสามียังไม่อนุญาต ให้บวช ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุสลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทายังสิกขมานาอันมารดาบิดาหรือสามี ยังไม่อนุญาตให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่วาจา ไม่ใช่กาย ไม่ใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กาย กับวาจา ไม่ใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต ไม่ใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย กับวาจา และจิต ๑.

[๖๒๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา ให้บวชด้วยให้ฉันทะค้างคราว ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 65  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 261

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครราชคฤห์

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทายังสิกขมานาให้บวช ด้วยให้ฉันทะ ค้างคราว.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๒๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา ให้บวชทุกกาลฝน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังสิกขมานาให้บวชทุกกาลฝน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๖๒๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา ให้บวชปีละ ๒ รูป ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 66  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 262

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังสิกขมานาให้บวชปีละ ๒ รูป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

กุมารีภูตวรรค ที่ ๘ จบ

คำถามและคำตอบฉัตตุปาหนวรรค ที่ ๙

[๖๒๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้ร่มและ รองเท้า ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้ร่มและรองเท้า.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 67  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 263

[๖๒๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไปด้วยยาน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไปด้วยยาน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๒๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้เครื่อง ประดับเอว ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งใช้เครื่องประดับเอว.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 68  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 264

[๖๒๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ใช้เครื่อง ประดับสำหรับสตรี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๒๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต. สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้อาบน้ำปรุง เครื่องประเทืองผิวมีกลิ่นหอม ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ อาบน้ำปรุงเครื่องประเทืองผิวที่มี กลิ่นหอม.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 69  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 265

[๖๓๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้อาบน้ำปรุง กำยานเป็นเครื่องอบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ อาบน้ำปรุงกำยานเครื่องอบ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๓๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังภิกษุณีให้ นวด ให้ขยำ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปยังภิกษุณี ให้นวด ให้ขยำ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 70  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 266

[๖๓๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสิกขมานา ให้นวด ให้ขยำ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังสิกขมานาให้นวด ให้ขยำ

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๓๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังสามเณรีให้ นวด ให้ขยำ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณี ยังสามเณรีหลายรูปให้นวด ให้ขยำ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๓๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ยังหญิงคฤหัสถ์ ให้นวด ให้ขยำ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 71  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 267

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ยังหญิงคฤหัสถ์ให้นวด ให้ขยำ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนเอฬกโลมสิกขาบท).

[๖๓๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ไม่ขอโอกาสนั่งบนอาสนะข้างหน้า ภิกษุ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ (เหมือนกฐินสิกขาบท).

[๖๓๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ถามปัญหากะ ภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 72  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 268

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูป ถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอ โอกาส.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ (เหมือนปทโสธัมมสิกขาบท).

[๖๓๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุณีผู้ไม่มีผ้ารัดถัน เข้าไปสู่บ้าน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง ไม่มีผ้ารัดถันเข้าไปสู้บ้าน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กาย ไม่ใช่วาจา ไม่ใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กาย กับจิต ไม่ใช่วาจา ๑.

ฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙ จบ

ขุททกสิกขาบท ๙ วรรค จบ

 
  ข้อความที่ 73  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 269

หัวข้อประจำเรื่อง

[๖๓๘] กระเทียม ๑ ถอนขนในที่แคบ ๑ ใช้ของลับกระทบกัน ๑ ทอนยางเกลี้ยง ๑ ใช้น้ำชำระให้สะอาดลึกเกินไป ๑ บำรุงภิกษุกำลังฉัน ๑ ข้าวเปลือกสด ๑ ทิ้งของเป็นเดน ๒ สิกขาบท ๑ ดูฟ้อนรำ ๑.

เวลาค่ำคืน ๑ โอกาสกำบัง ๑ ที่แจ้ง ๑ ถนน เวลาเช้า ๑ เวลา ภายหลังภัตร เวลาพลบค่ำ ๑ ความถือผิด ๑ แช่งด้วยนรก ๑ ประหาร ๑

เปลือยกาย ๑ ผ้าอาบน้ำฝน ๑ เลาะจีวร ๑ เปลี่ยนผ้าสังฆาฏิมีกำหนด ๕ วัน ๑ จีวรสับเปลี่ยน ๑ หมู่ ๑ การแจกจีวร ๑ สมณจีวร ๑ จีวรไม่ แน่นอน ๑ การเดาะกฐิน ๑

เตียงเดียวกัน ๑ เครื่องลาด ๑ แกล้ง ๑ สหชีวินี ๑ ให้ที่อาศัย ๑ คลุกคลี ๑ เที่ยวจาริกภายใน ๑ เที่ยวจาริกภายนอก ๑ เที่ยวจาริกภายใน พรรษา ๑ ไม่หลีกไป ๑

โรงละครหลวง ๑ อาสันทิ ๑ กรอด้าย ๑ ธุระของคฤหัสถ์ ๑ ระงับ อธิกรณ์ ๑ ให้ ๑ ผ้าอาศัย ๑ ที่อยู่ ๑ เรียนติรัจฉานวิชา ๑ บอกติรัจฉานวิชา ๑

อาราม ๑ ด่า ๑ แค้นเคือง ๑ ฉัน ๑ หวงตระกูล ๑ จำพรรษา ๑ ปวารณา ๑ ไม่รับโอวาท ๑ ไม่ขอโอวาท ๑ ที่ง่ามขา ๑

สตรีมีครรภ์ ๑ สตรีแม่ลูกอ่อน ๑ ธรรม ๖ ประการ ๑ สงฆ์ยัง มิได้สมมติ ๑ มีอายุหย่อน ๑๒ ปี๑ เด็กหญิงมีอายุครบบริบูรณ์แล้ว ๑ สงฆ์ ยังมิได้สมมติ ๑ ยังสหชีวินีให้บวชแล้วไม่อนุเคราะห์ ๑ ไม่ติดตามปวัตตินี ๑ ไม่พาหลีกไป ๑

 
  ข้อความที่ 74  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 270

สามเณรีที่เป็นเด็กหญิง ๒ สิกขาบท ๑ สงฆ์ยังมิได้สมมติ ๑ ภิกษุณี มีพรรษาหย่อน ๑๒ ปี ๑ สงฆ์ยังมิได้สมมติ ๑ ยังไม่ควร ๑ ถ้าจักให้ ๑ ตลอด ๒ ปี ๑ สิกขมานาผู้เกี่ยวข้องกับบุรุษ ๑ สิกขมานาอันสามีไม่อนุญาต ๑ ให้ฉันทะค้างคราว ๑ ทุกกาลฝน ๑ ปีละ ๒ รูป ๑

ร่ม ๑ ยาน ๑ เครื่องประดับเอว ๑ เครื่องประดับสำหรับสตรี ๑ อาบน้ำปรุงเครื่องประเทืองผิว ๑ อาบน้ำปรุงกำยาน ๑ ภิกษุณี ๑ สิกขมานา ๑ สามเณรี ๑ หญิงคฤหัสถ์ ๑ นั่งข้างหน้าภิกษุ ๑ ไม่ขอโอกาส ๑ ผ้ารัดถัน ๖.

หัวข้อบอกวรรคเหล่านั้น

[๖๓๙] ลสุณวรรค ๑ รัตตันธการวรรค ๑ นหานวรรค ๑ ตุวัฏฏ- วรรค ๑ จิตตาคารวรรค ๑ อารามวรรค ๑ คัพภินีวรรค ๑ กุมารีภูตวรรค ๑ ฉัตตุปาหนวรรค ๑.

ปาฏิเทสนียกัณฑ์

คำถามและคำตอบปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบท

[๖๔๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอเนยใส มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

 
  ข้อความที่ 75  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 271

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอเนยใสมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

[๖๔๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอน้ำมัน มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอน้ำมันมาฉัน. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

[๖๔๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอน้ำผึ้ง มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอน้ำผึ้งมาฉัน.

 
  ข้อความที่ 76  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 272

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๕.

[๖๔๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอน้ำอ้อย มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอน้ำอ้อยมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

[๖๔๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอปลา มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอปลามาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

 
  ข้อความที่ 77  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 273

[๖๔๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอเนื้อ มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอเนื้อมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

[๖๔๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอนมสด มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอนมสดมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔.

 
  ข้อความที่ 78  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 274

[๖๔๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ แก่ภิกษุณีผู้ขอนมสม มาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภพระฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอนมส้มมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่ จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบท จบ

หัวข้อประจำกัณฑ์

[๖๔๘] พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทเองคือ ภิกษุณีขอเนยใส ๑ น้ำมัน ๑ น้ำผึ้ง ๑ น้ำอ้อย ๑ ปลา ๑ เนื้อ ๑ นมสด ๑ นมส้ม ๑

สิกขาบทเหล่าใด ที่บรรยายไว้โดยพิสดารในภิกขุวิภังค์ เพราะย่อ สิกขาบทเหล่านั้น เป็นกัตถปัญญัติวารที่ ๑ ในภิกขุนีวิภังค์ จบ.

 
  ข้อความที่ 79  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 275

กตาปัตติวาร ที่ ๒

ปาราชิกกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติปาราชิก

[๖๔๙] ถามว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้ ผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ คือ:-

ยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติ ปาราชิก ๑

ยินดีการจับต้องอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้หัวเข่าลงมา ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ๑

ยินดีการจับต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑

ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

[๖๕๐] ถามว่า ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติ ๓ คือรู้อยู่ ปกปิดธรรมมีโทษถึงปาราชิก ต้องอาบัติปาราชิก ๑ มีความสงสัยปกปิด ต้อง อาบัติถุลลัจจัย ๑ ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ภิกษุณีผู้ปกปิดโทษ ปกปิดโทษไว้ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

 
  ข้อความที่ 80  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 276

[๖๕๑] ถามว่า ภิกษุณีผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้ถูกสงฆ์ผู้พร้อม เพรียงกันยกวัตร ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ เท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะผู้ถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบ ญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้ง สุด ต้องอาบัติปาราชิก ๑

ภิกษุณีผู้ประพฤติตามพระอริฏฐะ ผู้ถูกสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

[๖๕๒] ถามว่า ภิกษุณีผู้ยังวัตถุที่ * ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีผู้ยังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ อันบุรุษ กล่าวว่า จงเดินไปยังห้องชื่อนี้ แล้วเดินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ พอล่วงเข้า หัตถบาสของบุรุษ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ยังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติ ปาราชิก ๑

ภิกษุณียังวัตถุที่ ๘ ให้บริบูรณ์ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

ปาราชิก จบ

สังฆาทิเสสกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติสังฆาทิเสส

[๖๕๓] ภิกษุณีผู้กล่าวให้ร้าย ก่อคดีขึ้น ต้องอาบัติ ๓ คือ บอกแก่ คนๆ เดียว ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ บอกแก่คนที่สอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ คดี ถึงที่สุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.


(๑) วัตถุที่ ๘ คือ ภิกษุณี ทอดกายเพื่อประโยชน์แก่บุรุษนั้น เพื่อประสงค์จะเสพอสัทธรรม ดูข้อ ๒๖ พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ หน้า ๓๐

 
  ข้อความที่ 81  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 277

[๖๕๔] ภิกษุณีรับหญิงโจรให้บวช ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็น ทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้อง อาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๖๕๕] ภิกษุณีไปสู่ละแวกบ้านแต่ผู้เดียว ต้องอาบัติ ๓ คือเดินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงเขตล้อมไป ๑ ก้าว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เดินล่วง เขตล้อมไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๖๕๖] ภิกษุณีไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ รับ ภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่แล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตาม สัตถุศาสน์ให้เข้าหมู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจา สองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๖๕๗] ภิกษุณีมีความพอใจ รับของเคี้ยวก็ตาม ของฉันก็ตาม จาก มือของบุรุษบุคคลผู้มีความพอใจ ด้วยมือของตนแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๓ คือ รับไว้ด้วยตั้งใจจักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำกลืน ๑ รับน้ำและไม้ชำระฟันต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๖๕๘] ภิกษุณีกล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้น มีความพอใจก็ตาม ไม่มีความพอใจก็ตาม จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้นจะถวายสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ตาม ของฉัน ก็ตามแก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าโปรดรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว หรือฉันเถิด ดังนี้แล้วส่งไป ต้องอาบัติ ๓ คือ รับประเคนด้วยตั้งใจจักเคี้ยว จักฉันตามคำของภิกษุณีนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติถุลลัจจัยทุกๆ คำ กลืน ๑ ฉันเสร็จ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

 
  ข้อความที่ 82  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 278

[๖๕๙] ภิกษุณีผู้โกรธ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็น ถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๖๖๐] ภิกษุณีผู้ถูกตัดสินให้แพ้ในอธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธไม่สละ กรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ๑.

[๖๖๑] ภิกษุณีหลายรูปผู้คลุกคลีกันอยู่ ไม่สละกรรมเพราะสวด สมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรม วาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๖๖๒] ภิกษุณีผู้สั่งว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พวกท่านจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหากกันเลย ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้อง อาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

สังฆาทิเสส จบ

นิสสัคคิยปาจิตติยกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติในนิสสัคคิยปาจิตตีย์

[๖๖๓] ภิกษุณีทำการสั่งสมบาตร ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

 
  ข้อความที่ 83  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 279

[๖๖๔] ภิกษุณีอธิษฐานอกาลจีวรว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้แจก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อแจกแล้ว เป็นนิสสัคคิย ปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๕] ภิกษุณีแลกเปลี่ยนจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงเอาไป ต้องอาบัติ ๒ คือ ชิงเอาไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อชิงเสร็จแล้วเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๖] ภิกษุณีขอสิ่งของอย่างอื่น แล้วขอสิ่งของอย่างอื่นอีก ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังขอ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ขอเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิย ปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๗] ภิกษุณีให้จ่ายของสิ่งอื่นแล้วให้จ่ายของสิ่งอื่นอีก ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๘] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ที่เขาถวายไว้ เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ต้องอาบัติ ๒ คือให้จ่าย เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๙] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของสงฆ์ที่เขาถวายไว้ เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่ายเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๐] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มากที่เขา ถวายไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 84  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 280

[๖๗๑] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของคนหมู่มากที่เขา ถวายเพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ ตัว คือให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๒] ภิกษุณีให้จ่ายของอย่างอื่น ด้วยบริขารของบุคคลที่เขาถวาย ไว้เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เจาะจงของอย่างอื่น ที่ขอมาเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่ายเป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้จ่ายแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๓] ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มหนาราคาเกินกว่า ๔ กังสะเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้จ่ายเสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๔] ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มบางราคาเกินกว่า ๒ กังสะกึ่งเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้จ่าย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อจ่ายให้เสร็จแล้ว เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๑.

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จบ

ปาจิตติยกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติในลสุณวรรคที่ ๑

[๖๗๕] ภิกษุณีฉันกระเทียม ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยตั้งใจ ว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๖๗๖] ภิกษุณีให้ถอนขนในที่แคบ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ถอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ถอนเสร็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๗] ภิกษุณีใช้ของลับกระทบกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 85  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 281

[๖๗๘] ภิกษุณีใช้ท่อนยางเกลี้ยง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ เนื้อใช้เสร็จแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๗๙] ภิกษุณีใช้น้ำชำระให้สะอาดลึกเกิน ๒ ข้อองคุลีเป็นอย่างยิ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

[๖๘๐] ภิกษุณีบำรุงภิกษุผู้กำลังฉัน ด้วยน้ำฉัน ด้วยการพัด ต้อง อาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๖๘๑] ภิกษุณีขอข้าวเปลือกสดมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือรับประเคน ด้วยตั้งใจว่าจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกคำกลืน ๑.

[๖๘๒] ภิกษุณีเทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี ที่ภายนอกฝา ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเท เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อเทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๘๓] ภิกษุณีเทอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี น้ำลายก็ดี หยากเยื่อก็ดี ของเป็นเดนก็ดี บนของเขียวสด ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเท เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อเทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๘๔] ภิกษุณีไปดูฟ้อนรำก็ดี ขับร้องก็ดี ประโคมก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ยืนอยู่ในที่ใดมองเห็นหรือได้ยิน ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.

ลสุณวรรคที่ ๑ จบ

 
  ข้อความที่ 86  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 282

คำถามแลคำตอบอาบัติในรัตตันธการวรรคที่ ๒

[๖๘๕] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในเวลาค่ำคืน ไม่มีประทีปส่องหนึ่ง ต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืน พ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๖๘๖] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษ ในโอกาสอันกำบังหนึ่งต่อหนึ่ง ต้อง อาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๖๘๗] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในที่แจ้ง หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑.

[๖๘๘] ภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษ ในถนนก็ดี ในตรอกตันก็ดี ใน ทางสามแพร่งก็ดี หนึ่งต่อหนึ่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ยืนอยู่ในหัตถบาส ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑ ยืนพ้นหัตถบาส ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๖๘๙] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาเช้า นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลา เจ้าของ กลับไป ต้องอาบัติ ๒ คือ ก้าวเท่าที่ ๑ ล่วงพ้นชายคาไป ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ ก้าวเท้าที่ ๒ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๐] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังภัตกาล ไม่บอกเจ้าของแล้ว นั่งบนอาสนะ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนั่ง แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๑] ภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาวิกาล ไม่บอกเจ้าของ ลาดเองก็ดี ให้ลาดก็ดี ซึ่งที่นอน แล้วขึ้นนั่ง ต้องอาบัติ ๒ คือ ขึ้นนั่ง เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อขึ้นนั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 87  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 283

[๖๙๒] ภิกษุณีให้ภิกษุณีรูปอื่นโพนทะนา ด้วยเรื่องที่ถือผิด เข้าใจ ผิด ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้โพนทะนา เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้ โพนทะนาแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๓] ภิกษุณีแช่งตนก็ดี ผู้อื่นก็ดี ด้วยนรกก็ดี ด้วยพรหมจรรย์ ก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังแช่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อแช่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๔] ภิกษุณีประหัตประหารตนแล้ว ร้องไห้ ต้องอาบัติ ๒ คือ ประหัตประหาร แล้วร้องไห้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ประหัตประหาร แต่ไม่ ร้องไห้ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

รัตตันธการวรรคที่ ๒ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในนหานวรรคที่ ๓

[๖๙๕] ภิกษุณีเปลือยกายอาบน้ำ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังอาบ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๖] ภิกษุณีให้ทำผ้าอาบน้ำฝนเกินประมาณ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ทำเป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้ทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๙๗] ภิกษุณีเลาะเองก็ดี ให้ผู้อื่นเลาะก็ดี ซึ่งจีวรของภิกษุณีแล้ว ไม่เย็บ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้เย็บ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๖๙๘] ภิกษุณีผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิ อันมีกำหนด ๕ วัน ให้เกิน ไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๖๙๙] ภิกษุณีใช้จีวรสับเปลี่ยน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังใช้ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 88  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 284

[๗๐๐] ภิกษุณีทำลาภคือจีวรของหมู่ให้เป็นอันตราย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๑] ภิกษุณีห้ามการแจกจีวร อัน เป็นไปโดยชอบธรรม ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังห้าม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อห้ามแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๒] ภิกษุณีให้สมณจีวรแก่ชาวบ้านก็ดี ปริพาชกก็ดี ปริพาชิกา ก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้แล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๓] ภิกษุณียังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังจะได้จีวรอันไม่ แน่นอน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ล่วงไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้ล่วงไป แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๔] ภิกษุณีห้ามการเดาะกฐิน อันเป็นไปโดยชอบธรรม ต้อง อาบัติ ๒ คือ กำลังห้าม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อห้ามแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

นหานวรรคที่ ๓ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในตุวัฏฏวรรคที่ ๔

[๗๐๕] ภิกษุณีสองรูป นอนบนเตียงเดียวกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังนอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนอนแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๖] ภิกษุณี ๒ รูป มีเครื่องลาดและผ้าห่มผืนเดียวกันนอน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำกังนอน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนอนแล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 89  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 285

[๗๐๗] ภิกษุณีแกล้งทำความไม่ผาสุกแก่ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๐๘] ภิกษุณีไม่บำรุงสหชีวินีผู้ได้รับทุกข์ ทั้งไม่ทำการขวนขวาย เพื่อให้ผู้อื่นบำรุง ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือปาจิตตีย์.

[๗๐๙] ภิกษุณีให้ที่อาศัยแก่ภิกษุณีแล้ว โกรธ ขัดใจ ฉุดคร่าออก ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังฉุดคร่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อฉุดคร่าออก แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๐] ภิกษุณีผู้คลุกคลีไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๒ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๑] ภิกษุณีไม่มีพวกเกวียนเป็นเพื่อน เที่ยวจาจิกภายในแว่นแคว้น ซึ่งรู้กันว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไป เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์.

[๗๑๒] ภิกษุณีไม่มีพวกเกวียนเป็นเพื่อน เที่ยวจาริกภายนอก แว่นแคว้น ซึ่งรู้กันว่าเป็นที่มีรังเกียจ มีภัยเฉพาะหน้า ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๓] ภิกษุณีเที่ยวจาริกภายในพรรษา ด้วยอาบัติ ๒ คือ เดินไป เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อเดินไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๔] ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ไม่หลีกไปสู่จาริก ต้องอาบัติ ตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

ตุวัฏฏวรรค ที่ ๔ จบ

 
  ข้อความที่ 90  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 286

คำถามและคำตอบอาบัติในจิตตาคารวรรค ที่ ๕

[๗๑๕] ภิกษุณีไปชมโรงละคนหลวงก็ดี โรงประกวดภาพก็ดี สถานที่ หย่อนใจก็ดี อุทยานก็ดี สระโบกขรณีก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังไป เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ ยืนอยู่ในที่ใดมองเห็น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๖] ภิกษุณีใช้สอยอาสันทิก็ดี บัลลังก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ สอย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้สอยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๗] ภิกษุณีกรอด้าย ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังกรอ เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ม้วนไปๆ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๘] ภิกษุณีช่วยทำธุระขอคฤหัสถ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังทำ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อทำแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๑๙] ภิกษุณีผู้อันภิกษุณีกล่าวว่า มาเถิด แม่เจ้า ขอจงช่วย ระงับอธิกรณ์นี้ รับคำว่า ดีละ แล้วไม่ช่วยระงับ ไม่ทำการขวนขวายเพื่อ ให้ระงับ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือปาจิตตีย์.

[๗๒๐] ภิกษุณีให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่ชาวบ้านก็ดี แก่ ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตน ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังให้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๒๑] ภิกษุณีไม่สละผ้าอาศัยแล้วใช้เสียเอง ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้สอย เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้สอยแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๒๒] ภิกษุณีไม่มอบหมายที่อยู่แล้วหลีกไปสู่จาริก ต้องอาบัติ ๒ คือ เดินล่วงที่ล้อมก้าวหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมสองก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 91  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 287

[๗๒๓] ภิกษุณีเรียนติรัจฉานวิชา ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังเรียน เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ๑.

[๗๒๔] ภิกษุณีบอกติรัจฉานวิชา ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบอก เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ๑.

จิตตาคารวรรค ที่ ๕ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในอารามวรรค ที่ ๖

[๗๒๕] ภิกษุณีรู้อยู่ ไม่บอกกล่าวก่อนเข้าไปสู่อารามที่มีภิกษุ ตอง อาบัติ ๒ คือ เดินล่วงที่ล้อมก้าวหนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อม สองก้าว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๒๖] ภิกษุณีด่าบริภาษภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ ด่า เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ เมื่อด่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๒๗] ภิกษุณีแค้นเคืองบริภาษคณะ ต้องอาบัติ ๒ คือ บริภาษ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อบริภาษแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๒๘] ภิกษุณีอันทายกนิมนต์แล้ว หรือห้ามภัตรแล้ว ฉันของเคี้ยว ก็ดี ของฉันก็ดี ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยตั้งใจจักเคี้ยว จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๒๙] ภิกษุณีหวงตระกูล ต้องอาบัติ ๒ คือ หวง เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อหวงแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๓๐] ภิกษุณีจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ จัดแจงเสนาสนะ จัดตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณด้วยตั้งใจจะจำพรรษา ตอง อาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ พร้อมกับอรุณขึ้น ๑.

 
  ข้อความที่ 92  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 288

[๗๓๑] ภิกษุณีจำพรรษาแล้ว ไม่ปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่าย ด้วย สถาน ๒ ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๓๒] ภิกษุณีไม่ไปเพื่อรับโอวาท หรือเพื่อร่วมสังฆกรรม ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๓๓] ภิกษุณีไม่ถามอุโบสถก็ดี ไม่ขอโอวาทก็ดี ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๓๔] ภิกษุณีไม่บอกสงฆ์หรือคณะ ให้บุรุษผ่าฝีก็ดี บาดแผลก็ดี ซึ่งเกิดที่ง่ามขา ตัวต่อตัวร่วมกัน ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ผ่า เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อผ่าแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

อารามวรรค ที่ ๖ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในคัพภินีวรรค ที่ ๗

[๗๓๕] ภิกษุณียังสตรีมีครรภ์ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๓๖] ภิกษุณียังสตรีแม่ลูกอ่อนให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๓๗] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีสิกขายังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ ปี ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๓๘] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีสิกขาอันได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการ ตลอด ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 93  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 289

[๗๓๙] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุหย่อน ๑๒ ปี ให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกุกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๙๐] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุครบ ๑๒ ปีแล้ว แต่สิกขายังไม่ได้ ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติ ๒ คือให้บวช เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๔๑] ภิกษุณียังเด็กหญิงมีอายุครบ ๑๒ ปี มีสิกขาอันได้ศึกษาใน ธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่สมมติให้บวช ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๔๒] ภิกษุณียังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ ไม่ให้ผู้อื่น อนุเคราะห์ตลอด ๒ ปี ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๔๓] ภิกษุณีไม่ติดตามปวัตตินีผู้ให้อุปสมบท ตลอด ๒ ปี ต้อง อาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๔๔] ภิกษุณียังสหชีวินีให้อุปสมบทแล้ว ไม่พาหลีกไปเอง ไม่ยัง ผู้อื่นให้พาหลีกไป ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

คัพภินีวรรค ที่ ๗ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในกุมารีภูตวรรค ที่ ๘

[๗๔๕] ภิกษุณียังสามเณรีที่เป็นเด็กหญิงมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ให้ อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้ อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 94  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 290

[๗๔๖] ภิกษุณียังสามเณรีที่เป็นเด็กหญิงมีอายุครบ ๒๐ ปีแล้ว แต่ มีสิกขายังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ประการตลอด ๒ ปี ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๔๗] ภิกษุณียังสามเณรีผู้มีอายุครบ ๒๐ ปี มีสิกขาอันได้ศึกษา ในธรรม ๖ ประการตลอด ๒๐ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้อุปสมบท ต้อง อาบัติ ๑ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๔๘] ภิกษุณีมีพรรษาหย่อน ๑๒ ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

[๗๔๙] ภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ. ให้ อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้ อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๐] ภิกษุณีผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า อย่าเพ่อก่อน แม่คุณ ท่าน อย่ายังสิกขมานาให้อุปสมบท รับคำว่า ดีละ แล้วถึงธรรมคือความบ่นว่าใน ภายหลัง ต้องอาบัติ ๒ คือ กำลังบ่นว่า เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อบ่นว่า แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๑] ภิกษุณีกล่าวกะสิกขมานาว่า แม่เจ้า ถ้าท่านจักให้จีวรแก่ เราๆ จะให้ท่านอุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

 
  ข้อความที่ 95  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 291

[๗๕๒] ภิกษุณีกล่าวกะสิกขมานาว่า แม่เจ้า ถ้าท่านจักติดตามเรา ตลอด ๒ ปี เราจักให้ท่านอุปสมบทตามปรารถนา แล้วไม่ให้อุปสมบท ไม่ ทำการขวนขวายเพื่อให้อุปสมบท ต้องอาบัติตัวหนึ่ง คือ ปาจิตตีย์.

[๗๕๓] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้เกี่ยวข้องด้วยบุรุษ ผู้คลุกคลีกับเด็ก หนุ่มผู้ดุร้าย ยังชายให้ระทมโศก ให้อุปสมบท ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๔] ภิกษุณียังสิกขมานาผู้อันมารดาบิดา หรือสามียังไม่อนุญาต ให้อุปสมบท เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้อุปสมบทแล้ว ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๕] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวช ด้วยการให้ฉันทะค้างคราว ต้อง อาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๖] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวชทุกปี ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๕๗] ภิกษุณียังสิกขมานาให้บวชปีละ ๒ รูป ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้บวช เป็นทุกกฏในประโยค ๑ ให้บวชแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

กุมารีภูตวรรค ที่ ๘ จบ

คำถามและคำตอบอาบัติในฉัตตุปาหนวรรคที่ ๙

[๗๕๘] ภิกษุณีใช้ร่มและรองเท้า ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้เป็นทุกกฏ ในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 96  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 292

[๗๕๙] ภิกษุณีไปด้วยยาน ต้องอาบัติ ๒ คือ ไป เป็นทุกกฏใน ประโยค ๑ เมื่อไปแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๐] ภิกษุณีใช้เครื่องประดับเอว ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ เป็น ทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๑] ภิกษุณีใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี ต้องอาบัติ ๒ คือ ใช้ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อใช้แล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๒] ภิกษุณีอาบน้ำปรุงเครื่องประเทืองผิว ต้องอาบัติ ๒ คือ อาบ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๖๖๓] ภิกษุณีอาบน้ำปรุงกำยานเป็นเครื่องอบ ต้องอาบัติ ๒ คือ อาบ เป็นทุกกฏในประโยค ๑ อาบเสร็จ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๔] ภิกษุณียังภิกษุณีให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้วต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๕] ภิกษุณียังสิกขมานาให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ นวด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๖] ภิกษุณียังสามเณรีให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้ นวด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑. ภิกษุณียังหญิงคฤหัสถ์ให้นวด ให้ขยำ ต้องอาบัติ ๒ คือ ให้นวด เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนวดแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ภิกษุณีไม่ขอโอกาส นั่งบนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ต้องอาบัติ ๒ คือ นั่ง เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อนั่งแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

[๗๖๗] ภิกษุณีถามปัญหากะภิกษุผู้ที่ตนยังมิได้ขอโอกาส ต้องอาบัติ ๒ คือ ถาม เป็นทุกกฏในประโยค ๑ เมื่อถามแล้ว ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 97  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 293

[๗๖๘] ภิกษุณีไม่มีผ้ารัดถันเข้าไปสู่บ้าน ต้องอาบัติ ๒ คือ เดิน ล่วงที่ล้อมก้าวที่นึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมก้าวที่สอง ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

ฉัตตุปาหนวรรค ที่ ๙ จบ

ขุททกสิกขาบท ๙ วรรค จบ

ปาฏิเทสนียกัณฑ์

คำถามและคำตอบอาบัติในปาฏิเทสนียกัณฑ์

[๗๖๙] ภิกษุณีขอเนยใสมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเดนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๐] ภิกษุณีขอน้ำมันมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๑] ภิกษุณีขอน้ำผึ้งมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๒] ภิกษุณีขอน้ำอ้อยมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๓] ภิกษุณีขอปลามาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่ง จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๔] ภิกษุณีขอเนื้อมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่ง จักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

[๗๗๕] ภิกษุณีขอนมสดมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

 
  ข้อความที่ 98  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 294

[๗๗๖] ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑.

ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบท จบ

กตาปัตติวาร ที่ ๒ จบ

วิปัตติวาร ที่ ๓

[๗๗๗] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วย กายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางที่เป็นอาจารวิบัติ ...

[๗๗๘] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นวิบัติ เท่าไร บรรดาวิบัติ ๔

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คือ อาจารวิบัติ.

วิปัตติวาร ที่ ๓ จบ

สังคหวาร ที่ ๔

[๗๗๙] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วย กายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากอง อาบัติ ๗

 
  ข้อความที่ 99  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 295

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติ ทุกกฏ ...

[๗๘๐] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน สงเคราะห์ด้วย กองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกอง อาบัติทุกกฏ

สังคหวาร ที่ ๔ จบ

สมุฏฐานวาร ที่ ๕

[๗๘๑] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วย กายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่ง อาบัติ ๖

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษ บุคคลผู้กำหนัด เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...

[๗๘๒] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน เกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางที

 
  ข้อความที่ 100  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 296

เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่ กาย วาจา และจิต.

สมุฏฐานวาร ที่ ๕ จบ

อธิกรณวารที่ ๖

[๗๘๓] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วย กายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...

[๗๘๔] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นอธิกรณ์ อะไร บรรดาอธิกรฌ์ ๔

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.

อธิกรณวาร ที่ ๖ จบ

สมถวาร ที่ ๗

[๗๘๕] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วย กายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด ย่อมระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วย สัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

[๗๘๖] ถามว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน ย่อมระงับด้วย สมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

 
  ข้อความที่ 101  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 297

ตอบว่า อาบัติของภิกษุณีผู้ขอนมส้มมาฉัน ย่อมระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีเกิดด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

สมถวาร ที่ ๗ จบ

สมุจจยวารที่ ๘

[๗๘๗] ถามว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของ บุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคล ผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ คือ ยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือ หัวเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ยินดีการจับต้องอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้หัวเข่าลงมา ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ยินดีการจับต้องของเนื่องด้วยกาย ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑

ภิกษุณีผู้กำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้

ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ด้วย กองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

 
  ข้อความที่ 102  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 298

ต. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ คือ บางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วย กองอาบัติทุกกฏ

เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...

[๗๘๘] ถามว่า ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วย มุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑ ภิกษุณีขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้

ถ. อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ด้วย กองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๙ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐาน แห่งอาบัติ ๖ จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ต. อาบัติเหล่านั้นจำเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ

เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่ กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจามิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย

 
  ข้อความที่ 103  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 299

กับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วย สัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางดีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

สมุจจยวารที่ ๘ จบ

กัตถปัญญัติวารที่ ๑

ปาราชิก

[๗๘๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัย คือ ยินดีการ เคล้าคลึงด้วยกาย ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีสุนทรีนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึง ด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด

ถ. ในปาราชิกนั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติไม่มี ในปาราชิกนั้น

ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ

 
  ข้อความที่ 104  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 300

ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ

ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ

ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๔ ปาราชิกนั้นจัดเข้าในอุเทศไหน นับ เนื่องในอุเทศไหน

ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน

ถ. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร

ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๒

ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน

ต. เป็นศีลวิบัติ

ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน

ต. เป็นกองอาบัติปาราชิก

ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ ปาราชิกนั้นเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ...

ถ. ใครนำมา

ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.

[๗๙๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัย คือ ปกปิดโทษ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 105  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 301

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทารู้ว่า ภิกษุณีคือธรรมมีโทษถึง ปาราชิกแล้ว ไม่โจทด้วยตนเอง ไม่บอกแก่คณะ. มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๗๙๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัย คือ ไม่ สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาประพฤติตามพระอริฏฐะผู้เคยเป็น คนฆ่าแร้ง ผู้ถูกสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกวัตร.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๗๙๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาราชิก เพราะปัจจัย คือ ยังวัตถุ ที่ ๘ ให้เต็ม ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 106  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 302

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ยังวัตถุที่ ๘ ให้เต็ม.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

ปาราชิก จบ

สังฆาทิเสส

[๗๙๓] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี ผู้กล่าวให้ร้าย ก่อคดี ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทากล่าวให้ร้ายอยู่

ถ. ในสังฆาทิเสสนั้น มีบัญญัติ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ หรือ

ต. มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ ไม่มีในสังฆาทิเสสนั้น

ถ. มีสัพพัตถบัญญัติ ปเทสบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่สัพพัตถบัญญัติ

 
  ข้อความที่ 107  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 303

ถ. มีสาธารณบัญญัติ อสาธารณบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่อสาธารณบัญญัติ

ถ. มีเอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ หรือ

ต. มีแต่เอกโตบัญญัติ

ถ. บรรดาปาติโมกขุทเทศ ๔ สังฆาทิเสสจัดเข้าในอุเทศไหน นับเนื่องในอุเทศไหน

ต. จัดเข้าในนิทาน นับเนื่องในนิทาน

ถ. สังฆาทิเสสนั้นมาสู่อุเทศโดยอุเทศที่เท่าไร

ต. มาสู่อุเทศโดยอุเทศที่ ๓

ถ. บรรดาวิบัติ ๔ เป็นวิบัติอย่างไหน

ต. เป็นศีลวิบัติ

ถ. บรรดาอาบัติ ๗ กอง เป็นอาบัติกองไหน

ต. เป็นกองอาบัติสังฆาทิเสส

ถ. บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สังฆาทิเสสเกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร

ต. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ...

ถ. ใครนำมา

ต. พระเถระทั้งหลายนำสืบๆ กันมา.

[๗๙๔] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ รับ หญิงโจรให้บวช ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 108  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 304

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทารับหญิงโจรให้บวช.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน ๒ คือ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

[๗๙๕] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี รูปเดียวไปสู่ละแวกบ้าน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่ง เข้าไปสู่ละวกบ้านผู้เดียว.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๓ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๗๙๖] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ไม่บอก กล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของคณะ รับภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสีย จากหมู่แล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ให้เข้าหมู่ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 109  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 305

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะ ของคณะ รับภิกษุณีผู้ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่แล้ว ตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ ให้เข้าหมู่.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

[๗๙๗] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี มีความพอใจรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือของบุรุษบุคคลผู้พอใจ ด้วย มือของตนแล้วฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีสุนทรีนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความพอใจ รับอามิสจากมือ ของบุรุษบุคคลผู้พอใจ.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๑ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 110  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 306

[๗๙๘] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี กล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลผู้นั้นมีความพอใจก็ดี ไม่มีความพอใจก็ดี จักทำ อะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าข้า บุรุษ บุคคลนั้นจักถวายสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้า จงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว หรือฉันเถิด ดังนี้ แล้ว ส่งไป ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีรูปหนึ่ง

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีรูปหนึ่งกล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลผู้นั้นมี ความพอใจก็ดี ไม่มีความพอใจก็ดี จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้าไม่ มีความพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้นจะถวายสิ่งใด เป็นของเคี้ยวก็ ดี ของฉันก็ดี แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้า จงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว หรือฉันเถิด ดังนี้ แล้วส่งไป.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐาน ๓.

[๗๙๙] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี โกรธไม่สละกรรมเพราะถูกสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

 
  ข้อความที่ 111  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 307

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุจัณฑกาลี โกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอบอกคืนพระพุทธเจ้า ขอบอกคืนพระธรรม ขอบอกคืนพระสงฆ์ ขอบอกคืนสิกขา.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๘๐๐] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี ถูกตัดสินให้แห้งอธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธ ไม่สละกรรมเพราะถูกสวดสมนุภาสน์ ครบ ๒ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีจัณฑกาลี

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีจัณฑกาลีถูกตัดสินให้แพ้อธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธ ขัดใจ กล่าวอย่างนี้ว่า พวกภิกษุณีถึงความพอใจด้วย ถึงความขัดเคือง ด้วย ถึงความหลงด้วย ถึงความกลัวด้วย.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท).

 
  ข้อความที่ 112  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 308

[๙๐๑] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสสเพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี ทั้งหลายคลุกคลีกัน ไม่สละกรรมเพราะถูกสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีหลายรูป

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีหลายรูปอยู่คลุกคลีกัน.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วย สมุฏฐานอันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท).

[๘๐๒] ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติสังฆาทิเสส เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณี ส่งไปด้วยสั่งว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ ต่างหากกันเลย ไม่สละกรรมเพราะถูกสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีถุลลนันทา

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีถุลลนันทาส่งภิกษุณีไป ด้วยสั่งว่า แม่เจ้า ทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหากกันเลย.

มีบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้เกิดด้วยสมุฏฐาน อันหนึ่ง (เหมือนธุรนิกเขปสิกขาบท) ...

 
  ข้อความที่ 113  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 309

[๘๐๓) ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติปาฏิเทสนียะ เพราะปัจจัย คือ ขอ นมส้มมาฉัน ณ ที่ไหน

ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ พระนครสาวัตถี

ถ. ทรงปรารภใคร

ต. ทรงปรารภภิกษุณีฉัพพัคคีย์

ถ. เพราะเรื่องอะไร

ต. เพราะเรื่องที่ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ขอนมส้มมาฉัน.

มีบัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ สิกขาบทนี้ เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑.

กัตถปัญญัติวาร ที่ ๑ จบ

กติอาปัตติวาร ที่ ๒

ปาราชิก

[๘๐๔] ถาม เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๕ ตัว ภิกษุณีกำหนัดยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือ หัวเข่าขึ้นไป ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุถูกต้องกาย

 
  ข้อความที่ 114  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 310

ด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติ ถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกาย ถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ ๑.

เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณีต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.

[๘๐๕] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ปกปิดโทษ ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ปกปิดโทษ ต้องอาบัติ ๔ คือ ภิกษุณี ผู้รู้อยู่ว่า ภิกษุณีต้องธรรมมีโทษถึงปาราชิก ๑ สงสัยปกปิดต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑ ปกปิดอาจารวิบัติต้องอาบัติ ทุกกฏ ๑.

เพราะปัจจัย คือ ปิดโทษ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.

[๘๐๖] ถามว่า เพราะปัจจัย คือไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบต ๕ คือ ภิกษุณีประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุณีประพฤติ ตามภิกษุผู้ทำลาย ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ๑ ไม่สละทิฏฐิลามก เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑.

 
  ข้อความที่ 115  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 311

เพราะปัจจัย คือ ไม่สละกรรมเพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้อง อาบัติ ๕ เหล่านี้.

[๘๐๗] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยังวัตถุที่ ๘ ให้เต็มต้องอาบัติ เท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยังวัตถุที่ ๘ ให้เต็ม ต้องอาบัติ ๓ คือ ภิกษุณีอันบุรุษสั่งว่า จงมาสู่ที่ชื่อนี้ แล้วเดินไป ต้องอาบัติทุกกฎ ๑ เมื่อก้าว เข้าสู่หัตถบาสของบุรุษต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ยังวัตถุที่ ๘ ให้เต็ม ต้องอาบัติ ปาราชิก ๑.

เพราะปัจจัย คือ ยังวัตถุที่ ๘ ให้เต็ม ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.

ปาราชิก จบ

สังฆาทิเสส

[๘๐๘] เพราะปัจจัย คือภิกษุณีกล่าวให้ร้าย ก่อคดี ต้องอาบัติ ๓ คือบอกแก่คนเดียว ต้องอาบัติทุกกฎ ๑ บอกแก่คนที่สอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ คดีถึงที่สุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๘๐๙] เพราะปัจจัย คือ รับหญิงโจรให้บวช ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจา ครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๘๑๐] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีผู้เดียว ไปสู่ละแวกบ้าน ต้อง อาบัติ ๓ คือ เดินไป ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ เดินล่วงที่ล้อมไปก้าวหนึ่ง ต้อง อาบัติถุลลัจจัย ๑ เดินล่วงที่ล้อมไป ๒ ก้าว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

 
  ข้อความที่ 116  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 312

[๘๑๑] เพราะปัจจัย คือ ไม่บอกกล่าวการกสงฆ์ ไม่รู้ฉันทะของ คณะรับภิกษุณี ซึ่งสงฆ์พร้อมเพรียงกันยกจากหมู่แล้วตามธรรม ตามวินัย ตามสัตถุศาสน์ให้เข้าหมู่ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๘๑๒] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีพอใจรับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือของบุรุษบุคคลผู้พอใจด้วยมือของตนแล้วฉัน ต้องอาบัติ ๓ คือ รับ ประเคนด้วยมุ่งจักเคี้ยวจักฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คำกลืน ๑ รับประเคนน้ำและไม้ชำระฟัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑.

[๘๑๓] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีกล่าวว่า แม่เจ้า บุรุษบุคคลนั้น มีความพอใจก็ดี ไม่มีความพอใจก็ดี จักทำอะไรแก่แม่เจ้าได้ เพราะแม่เจ้า ไม่มีความพอใจ เชิญเถิดเจ้าข้า บุรุษบุคคลนั้น จะถวายสิ่งใด เป็นของเคี้ยว หรือของฉันก็ดี แก่แม่เจ้า ขอแม่เจ้าจงรับประเคนของสิ่งนั้นด้วยมือของตน แล้วเคี้ยว หรือฉันเถิดดังนี้แล้วส่งไป ต้องอาบัติ ๓ คือ รับประเคนด้วยมุ่ง จักเคี้ยว จักฉัน ตามคำของ ภิกษุณีนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ทุกๆ คำกลืน ๑ ฉันเสร็จต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๘๑๔] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีโกรธ ไม่สละกรรม เพราะถูกสวด สมมุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

[๘๑๕] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีถูกตัดสินให้แพ้อธิกรณ์เรื่องหนึ่ง โกรธไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบ ญัตติ เป็นทุกกฏ ๑ จบกรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจา ครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑.

 
  ข้อความที่ 117  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 313

[๘๑๖] เพราะปัจจัย คือภิกษุณีทั้งหลายคลุกคลีกัน ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบ กรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ๑.

[๘๑๗] เพราะปัจจัย คือ ภิกษุณีส่งภิกษุณีไปด้วยสั่งว่า แม่เจ้า ทั้งหลาย ขอท่านจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าอยู่ต่างหากกันเลย ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ ครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ๓ คือ จบญัตติเป็นทุกกฏ ๑ จบ กรรมวาจาสองครั้ง เป็นถุลลัจจัย ๑ จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ๑.

สังฆาทิเสส จบ

[๘๑๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มฉัน ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน ๑

เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.

กติอาปัตติวาร ที่ ๒ จบ

วิปัตติวาร ที่ ๓

[๘๑๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ การยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติทั้งหลายจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติทั้งหลาย จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือบางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ ...

 
  ข้อความที่ 118  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 314

ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติทั้งหลาย จัดเป็น วิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉันอาบัติทั้งหลาย จัดเป็น วิบัติอย่างหนึ่ง คือ อาจารวิบัติ บรรดาวิบัติ ๔.

วิปัตติวาร ที่ ๓ จบ

สังคหวาร ที่ ๔

[๘๒๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติสงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดาอาบัติ ๗ กอง คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกอง อาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ ...

ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติสงเคราะห์ด้วยกอง อาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติสงเคราะห์ด้วย กองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. สังคหวารที่ ๔ จบ

 
  ข้อความที่ 119  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 315

สมุฏฐานวารที่ ๕

[๘๒๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติเกิด ด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา ...

ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐาน เท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติเกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๑ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางที เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่ กายวาจา และจิต.

สมุฏฐานวารที่ ๕ จบ

อธิกรณวารที่ ๖

[๘๒๒] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติ จัดเป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติจัดเป็น อาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ...

ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติจัดเป็นอธิกรณ์ไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔

 
  ข้อความที่ 120  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 316

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติจัดเป็นอาปัตตาอธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔.

อธิกรณวารที่ ๖ จบ

สมถวารที่ ๗

[๘๒๓] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติ ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย อาบัติย่อม ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑ ...

ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติย่อมระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน อาบัติย่อมระงับด้วย สมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

สมถวารที่ ๗ จบ

สมุจจัยวารที่ ๘

[๘๒๔] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณีต้องอาบัติเท่าไร

 
  ข้อความที่ 121  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 317

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณี ต้องอาบัติ ๕ คือ ภิกษุณีผู้กำหนัดยินดีการจับต้องอวัยวะใต้รากขวัญลงมา เหนือหัวเข่าขึ้นไป ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ต้องอาบัติปาราชิก ๑ ภิกษุถูก ต้องกายด้วยกาย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑ เอากายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๑ เอาของเนื่องด้วยกายถูกต้องของเนื่องด้วยกาย ต้อง อาบัติทุกกฏ ๑ เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะจี้ด้วยนิ้วมือ ๑

เพราะปัจจัย คือ ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย ภิกษุ ภิกษุณี ต้อง อาบัติ ๕ เหล่านี้.

ถ. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔

สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗

เกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖

เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔

ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ต. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วย กองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ

เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

 
  ข้อความที่ 122  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 318

[๘๒๕] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติเท่าไร

ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ คือ รับ ประเคนด้วยมุ่งจักฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ทุกๆ คำกลืน

เพราะปัจจัย คือ ขอนมส้มมาฉัน ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.

ถ. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ เป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๓ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗

ต. อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติอย่างหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คือ อาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองวิบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วย กองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ

เกิดด้วยสมุฏฐาน ๔ บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิด แต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต บางทีเกิดแต่ กายกับจิต มิใช่วาจา บางทีเกิดแต่กายวาจาและจิต เป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดา อธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.

สมุจจยวารที่ ๘ จบ

ปัจจัยวาร ๘ จบ

ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร จบ