พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

ย่อหัวข้อสมุฎฐาน

 
บ้านธัมมะ
วันที่  13 มี.ค. 2565
หมายเลข  42856
อ่าน  669

[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘

พระวินัยปิฎก

เล่ม ๘

ปริวาร

ย่อหัวข้อสมุฎฐาน 826/326

ปฐมปาราชิกสมุฎฐาน 827/328

ทุติยปาราชิกสมุฎฐาน 828/329

สัญจริตตสมุฎฐาน 829/333

สมนุภาสนสมุฎฐาน 830/335

กฐินสมุฎฐาน 831/337

เอฬกโลมสมุฎฐาน 832/339

ปทโสธัมมสมุฎฐาน 833/341

อัทธานสมุฎฐาน 834/342

เถยยสัตถสมุฎฐาน 835/343

ธัมมเทสนาสมุฎฐาน 836/344

ภูตาโรจนสมุฎฐาน 837/345

โจรีวุฏฐาปนสมุฎฐาน 838/345

อนนุญาตสมุฎฐาน 839/345

สมุฎฐานสีสวัณณนา 346

ว่าด้วยปฐมปาราชิกสมุฎฐาน 349

ว่าด้วยทุติยปาราชิกสมุฎฐาน 351

ว่าด้วยสัญจริตตสมุฎฐาน 356

ว่าด้วยสมนุภาสนสมุฎฐาน 358

ว่าด้วยกฐินสมุฎฐาน 360

ว่าด้วยเอฬกโลมสมุฎฐาน 363

ว่าด้วยปทโสธัมมสมุฎฐาน 365

ว่าด้วยอัทธานสมุฎฐาน 366

ว่าด้วยเถยยสัตถสมุฎฐาน 367


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 10]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 326

ย่อหัวข้อสมุฏฐาน

[๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุง แต่ง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และ บัญญัติ คือ พระนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา เพียงแต่ชื่อของ สกาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก พระ มหาวีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำ ทุกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรงบำเพ็ญบารมี แล้วเสด็จอุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรงแสดงพระสัทธรรม อันดับเสีย ซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข พระอังคีรส ศากยมุนี ผู้อนุเคราะห์แก่ประชาทุกถ้วน หน้า อุดมกว่าสรรพสัตว์ ดุจราชสีห์ ทรง แสดงพระไตรปิฎก คือ พระวินัย ๑ พระสุตตันตะ ๑ พระอภิธรรม ๑ ซึ่งมีคุณมาก อย่างนี้ พระสัทธรรมจะเป็นไปได้ ผิว่า พระวินัย คือ อุภโตวิภังค์ ขันธกะ และ มาติกา ที่ร้อยกรองด้วยคัมภีร์บริวาร เหมือน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 327

ดอกไม้ร้อยด้วยเส้นด้าย ยังดำรงอยู่ ใน คัมภีร์บริวารนั้นแล สมุฏฐานท่านจัดไว้แน่ นอน ความเจือปนกัน และนิทานอื่นย่อม เห็นได้ในพระสูตรข้างหน้า เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักด้วยดีใคร่ต่อธรรม พึง ศึกษาคัมภีร์บริวารเถิด ในวันอุโบสถ ภิกษุ และภิกษุณีย่อมสวดสิกขาบท อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ในวิภังค์ทั้ง ๒ ข้าพเจ้าจักกล่าวสมุฏฐานตามที่รู้ ขอท่าน ทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ปฐมปาราชิกสิกขาบท ๑ ทุติยปาราชิกสิกขาบท ๑ ต่อแต่นั้น สัญจริตสิกขาบท ๑ สมนุภาสนิสิกขาบท ๑ อติเรกจีวรสิกขาบท ๑ เอฬกโลมสิกขาบท ทั้งหลาย ๑ ปทโสธัมมสิกขาบท ๑ ภูตาโรจน สิกขาบท ๑ สังวิธานสิกขาบท ๑ เถยยสัตถสิกขาบท ๑ เทศนาสิกขาบท ๑ โจรีวุฏฐาปน สิกขาบท ๑ รวมกับการบวชสตรีที่มารดา บิดา หรือสามีไม่อนุญาต จึงเป็นสมุฏฐาน ๑๓ ในอุภโตวิภังค์นี้ นัยแห่งสมุฏฐาน ๑๓ นี้ วิญญูชนทั้งหลาย คิดกันแล้ว ที่คล้าย คลึงกัน ย่อมปรากฏในสมุฏฐานอันหนึ่งๆ.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 328

ปฐมปาราชิกสมุฏฐาน

[๘๒๗] สิกขาบทว่าด้วยเสพเมถุน ๑ สิกขาบทว่าด้วยปล่อยน้ำสุกกะ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยเคล้าคลึงกาย ๑ อนิยตสิกขาบทที่หนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ ก่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันบิณฑบาตที่ ภิกษุณีแนะให้เขาถวาย ๑ สิกขาบทว่าด้วย นั่งในที่ลับกับภิกษุณี ๑ สิกขาบทว่าด้วย แทรกแซงในสโภชนสกุล ๑ สิกขาบทว่า ด้วยนั่งในที่ลับ ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วย จี้ด้วยนิ้วมือ ๑ สิกขาบทว่าด้วยหัวเราะใน น้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ประหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยเงือดเงื้อหอกคือฝ่ามือ ๑ เสขิยวัตร ๕๓ สิกขาบท อธักขกสิกขาบท ของภิกษุณี ๑ คามันตรคมสิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพอใจรับของฉันจาก มือบุรุษ ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีท่อนยางกลม ๑ กัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีท่อนยางกลม ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีชำระด้วยน้ำ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุอยู่จำพรรษาแล้วไม่หลีกไปสู่ จาริก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ไปรับ โอวาท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ติดตาม

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 329

ปวัตตินี ๑ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๗๖ สิกขาบท ท่านจัดไว้เป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็น สมุฏฐาน ทุกๆ สิกขาบทมีสมุฏฐานอันหนึ่ง เหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท ฉะนั้น.

ปฐมปาราชิกสมุฏฐาน จบ

ทุติยปาราชิกสมุฏฐาน

[๘๒๘] สิกขาบทว่าด้วยถือเอาสิ่ง ของท่านเจ้าของมิได้ให้ ๑ สิกขาบทว่าด้วย พรากกายมนุษย์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่าว อวดธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ๑ สิกขาบทว่า ด้วยพูดเคาะด้วยวาจาชั่วหยาบ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยกล่าวบำเรอตนด้วยกาม ๑ สิกขาบท ว่าด้วยตามกำจัดด้วยปาราชิกธรรมไม่มีมูล ๑ สิกขาบทว่าด้วยถือเอาเลศแต่งอธิกรณ์เรื่อง อื่น ๑ อนิยตสิกขาบทที่สอง ๑ สิกขาบทว่า ด้วยให้จีวรแล้วชิงเอาคืนมา ๑ สิกขาบทว่า ด้วยน้อมลาภของสงฆ์มาเพื่อตน ๑ สิกขาบท ว่าด้วยพูดเท็จ ๑ สิกขาบทว่าด้วยด่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดส่อเสียดภิกษุ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยบอกอาบัติชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทว่า ด้วยขุดแผ่นดิน ๑ สิกขาบทว่าด้วยพราก

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 330

ภูตคาม ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดกลบเกลื่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยโพนทะนา ๑ สิกขาบทว่า ด้วยฉุดคร่าออกจากวิหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วย เอาน้ำรด ๑ สิกขาบทว่าด้วยสอนภิกษุณี เพราะเห็นแก่อามิส ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุ ฉันเสร็จแล้ว ๑ สิกขาบทว่าด้วยการชวน ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ๑ สิกขาบทว่า ด้วยการไม่เอื้อเฟื้อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ หลอกภิกษุให้กลัวผี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ ซ่อนบริวาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยการแกล้ง พรากสัตว์จากชีวิต ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุ รู้อยู่ใช้น้ำมันตัวสัตว์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฟื้น อธิกรณ์เพื่อทำใหม่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยบวช คนมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ อยู่ร่วมกับภิกษุที่สงฆ์ยกวัตร ๑ สิกขาบทว่า ด้วยการสมโภคกับสามเณรที่ถูกนาสนะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุผู้อันภิกษุทั้งหลายว่า กล่าวโดยชอบธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยธรรม อันเป็นไปเพื่อความยุ่งยิ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วย การแกล้งทำหลง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการโจท ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑ สิกขาบท

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 331

ว่าด้วยการแกล้งก่อความรำคาญ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยการให้ฉันทะเพื่อกรรมที่เป็นธรรม แล้วกลับบ่นว่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยการให้ จีวรแล่วกลับบ่นว่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ น้อมลาภสงฆ์ไปเพื่อบุคคล ๑ สิกขาบทว่า ด้วยคำว่าบุรุษบุคคลนั่นจักทำอะไรแก่ท่าน ได้ สิกขาบทว่าด้วยอธิษฐานอกาลจีวรเป็น กาลจีวรแล้วให้แจก ๑ สิกขาบทว่าด้วยแลก จีวรกับภิกษุณีแล้วชิงคืนมา ๑ สิกขาบทว่า ด้วยการยกโทษผู้อื่นด้วยความถือผิดเข้าใจ- ผิด ๑ สิกขาบทว่าด้วยแช่งด้วยนรก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึงทำอันตรายแก่จีวร ลาภของคณะ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึง ห้ามการแจกจีวรอันเป็นธรรม ๑ สิกขาบท ที่ว่าภิกษุณีใดพึงยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไป ด้วยหวังจะได้จีวรอันไม่แน่นอน ๑ สิกขาบท ที่ว่าภิกษุณีใดพึงห้ามการเดาะกฐินที่เป็น ธรรม ๑ สิกขาบททว่าภิกษุณีใดพึงแกล้งก่อ ความไม่ผาสุกแก่ภิกษุณี ๑ สิกขาบทที่ว่า ภิกษุณีใดให้ที่อยู่แล้ว ไม่พอใจฉุดคร่าภิกษุณี ออก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดด่าหรือกล่าว

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 332

ขู่ภิกษุ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดดุร้ายกล่าว ขู่คณะ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดหวงสกุล ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีมีครรภ์ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีแม่ลูกอ่อน ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดบวชสิกขมานาผู้ยังไม่ ได้ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ๑ สิกขาบท ที่ว่าภิกษุณีใดบวชสิกขมานาผู้ศึกษาเสร็จใน ธรรม ๖ ครบ ๒ ปี แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีคฤหัสถ์ ๓ สิกขาบท สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชเด็กหญิง รวม ๓ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีมี พรรษาหย่อน ๑๒ ให้อุปสมบท ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่ สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้อุปสมบท ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุณีอันภิกษุณีทั้งหลายอย่าเพ่อก่อน ท่านอย่ายังสิกขมานาให้อุปสมบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีใจร้ายยัง ชายให้ระทมโศกให้อุปสมบท ๑ สิกขาบทว่า ด้วยให้อุปสมบทด้วยมอบฉันทะที่ค้างคราว ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้อุปสมบททุกๆ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้สิกขมานาบวชปีละ ๒ รูป

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 333

๑ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๗๐ สิกขาบท จัด เป็นสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่ วาจา แต่วาจากับจิต มิใช่กาย และแต่ทวาร ๓ เหมือนทุติยปาราชิกสิกขาบท ฉะนั้น.

ทุติยปาราชิกสมุฏฐาน จบ

สัญจริตตสมุฏฐาน

[๘๒๙] สิกขาบทว่าด้วยชักสื่อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยสร้างกุฏิ ๑ สิกขาบทว่าด้วย สร้างวิหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้ภิกษุณี ซักจีวรเก่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้ภิกษุณีขอจีวร ๑ สิกขาบท ว่าด้วยยินดีเฉพาะผ้าอุตราสงค์และอันตรวาสก ๑ สิกขาบทว่าด้วยถึงความกำหนดใน จีวร ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยส่งทรัพย์ สำหรับจ่ายจีวรด้วยทูต ๑ สิกขาบทว่าด้วย ให้ทำสันถัตเจือไหม ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ ทำสันถัตขนเจียมดำล้วน ๑ สิกขาบทว่าด้วย ให้ทำสันถัตถือเอาขนเจียมดำ ๒ ส่วน ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้สันถัตใหม่ให้ได้ ๖ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ทำสันถัตสำหรับนั่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการทอดทิ้งอุเทศ ๑ สิกขาบท

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 334

ว่าด้วยรับรูปิยะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยแลกเปลี่ยนและซื้อขายมีประการต่างๆ รวม ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยบาตรมีรอยร้าว หย่อน ๕ แห่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยแสวงหา ผ้าอาบน้ำฝน ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอด้าย ๑ สิกขาบทว่าด้วยเข่าไปหาช่างหูกถึงความ กำหนดในจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยวางเช็ด หน้าจนถึงกรอบประตู ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบทว่าด้วย เย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยปวารณาด้วยขนม ๑ สิกขาบทว่าด้วย ปวารณาด้วยปัจจัยสี่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ ตัดไฟผิง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการเก็บรตนะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่องเข็ม ๑ สิกขาบทว่า ด้วยทำเตียง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำเตียงตั่ง หุ้มนุ่น ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำผ้าปูนั่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำผ้าปิดฝี ๑ สิกขาบทว่า ด้วยทำผ้าอาบน้ำฝน ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำ จีวรขนาดสุคตจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ขอของอื่นแล้วขอของอื่นอัก ๑ สิกขาบทที่ ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นแล้วให้จ่ายของอื่น อีก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่น

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 335

ด้วยบริขารของสงฆ์ ๒ สิกขาบท สิกขาบท ที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นด้วยบริวารของคน หมู่มาก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของ อื่นด้วยบริขารส่วนบุคคล ๑ สิกขาบทที่ว่า ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มบาง ๑ สิกขาบทที่ว่า ภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มหนา ๑ สิกขาบทที่ว่า ภิกษุณีทั้งอาหารเป็นเดน ๒ สิกขาบท สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้ทำผ้าอาบน้ำเกิน ประมาณ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้สมณจีวร ๑ ธรรมคือสิกขาบทเหล่านี้ ๕๐ ถ้วน เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ เกิดแต่กาย มิใช่ วาจาแลจิต เกิดแต่วาจา มิใช่กายแลจิต เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต เกิดแต่กายกับ จิต มิใช่วาจา เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย และเกิดด้วยทวาร ๓ อนึ่ง สิกขาบทเหล่านี้ มีสมุฏฐาน ๖ เช่นกับสัญจริตตสิกขาบท.

สัญจริตตสมุฏฐาน จบ

สมนุภาสสมุฏฐาน

[๘๓๐] สิกขาบทว่าด้วยทำลายสงฆ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยประพฤติตามภิกษุผู้ทำลาย สงฆ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุว่ายาก ๑ สิก-

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 336

ขาบทว่าด้วยภิกษุประทุษร้ายสกุล ๑ สิกขาบท ว่าด้วยปิดอาบัติชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่ สละทิฏฐิ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่มอบฉันทะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยหัวเราะ ๒ สิกขาบท สิกขาบท ว่าด้วยพูดเสียงดัง ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่า ด้วยมีคำข้าวอยู่ในปากจักไม่พูด ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุนั่งบนแผ่นดินแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุนั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุยืนอยู่แสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าภิกษุไปข้างหลังแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุเดินนอกทางแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีปิดโทษ ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุยินดีการจับต้อง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับภิกษุณีเข้าหมู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีบอกคืนพระพุทธเจ้า เป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีถูกตัดสินให้ แพ้อธิกรณ์เรื่องหนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีอยู่คลุกคลี ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ประหารตนแล้วร้องไห้ ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีเลาะจีวรของภิกษุณี ๑ สิกขาบทว่า

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 337

ด้วยภิกษุณีไม่บำรุงสหชีวินีผู้ตกกระกำลำบาก ๑ สิกขาบทที่ตรัสซ้ำถึงภิกษุณีอยู่คลุกคลีกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ระงับอธิกรณ์ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยภิกษุณีไม่บอกก่อนเข้าไป สู่อาราม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ปวารณาโดย ๓ สถาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี พึงหวังธรรม ๒ อย่างจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่ง เดือน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่อนุเคราะห์ และไม่พาสหชีวินีไปจาริก ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพูดให้สิกขมานาถวาย จีวรแล้วจักบวชให้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี พูดให้สิกขมานาติดตาม ๑ ธรรม คือ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๓ สิกขาบท เกิดแต่กาย วาจาและจิต ทุกๆ สิกขาบทมีสมุฏฐานอัน หนึ่ง เหมือนสมนุภาสนสิกขาบท.

สมนุภาสสมุฏฐาน จบ

กฐินสมุฏฐาน

[๘๓๑] สิกขาบทว่าด้วยกฐินอันเดาะ แล้ว ๓ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยใช้อติเรกบาตร สิกขาบทที่หนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วย เภสัช ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับอัจเจกจีวร ๑

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 338

สิกขาบทว่าด้วยภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่ามี ความรังเกียจเก็บไตรจีวรในละแวกบ้านได้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยเมื่อหลีกไปไม่เก็บเตียงหรือ ตั่ง ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยเข้าไปสู่ ที่อยู่ภิกษุณีแล้วสอน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉัน โภชนะทีหลัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยห้ามภัตร แล้วฉันภัตตาหารไม่เป็นเดน ๑ สิกขาบทว่า ด้วยรับนิมนต์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยวิกัปจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่ได้รับบอกก่อนเข้าไปใน พระราชมณเฑียร ๑ สิกขาบทว่าด้วยเข้าบ้าน ในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันภัตตา หารที่ภิกษุณียืนสั่งเสียอยู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีอยู่เสนาสนะป่ารับของเคี้ยวเป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพูดให้ร้าย ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุณีทำการสั่งสมบาตร ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปสู่สกุล ในเวลาหลังอาหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี เข้าไปสู่สกุลในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิเกินกำหนด ๕ วัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้จีวรผลัด-

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 339

เปลี่ยน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่มอบ หมายจีวรสับเปลี่ยนและที่พัก ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีให้ผ่าฝีอันเกิดที่ง่าม ขา ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่บอกก่อนนั่ง บนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ๑ ธรรม คือ สิกขาบทเหล่านี้มี ๒๙ สิกขาบท เกิดแต่กายกับ วาจา มิใช่จิต และเกิดแต่ทวารทั้ง ๓ ทุกๆ สิกขาบทรวมทั้งกฐินสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน.

กฐินสมุฏฐาน จบ

เอฬกโลมสมุฏฐาน

[๘๓๒] สิกขาบทว่าด้วยขนเจียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนร่วมกัน ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยเตียงเท้าเสียบ ๑ สิกขาบทว่า ด้วยฉันอาหารในโรงทาน ๑ สิกขาบทว่าด้วย ฉันอาหารในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วย ฉันอาหารที่ทำการสั่งสม ๑ สิกขาบทว่าด้วย รับประเคนไม้ชำระฟัน ๑ สิกขาบทว่าด้วย ให้อาหารแก่อเจลก ๑ สิกขาบทว่าด้วยไปดู เสนาอันยกออกไปแล้ว ๑ สิกขาบทว่าด้วย

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 340

อยู่ในกองทัพ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไปสู่สนามรบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยดื่มสุรา ๑ สิกขาบทว่าด้วย ยังไม่ถึงกึ่งเดือนอาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วย ทำจีวรใหม่ให้เสียสี ๑ ปาฏิเทสนียะ ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีฉันกระเทียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปปฏิบัติภิกษุผู้ กำลังฉัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไปดู ฟ้อนรำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเปลือยกาย อาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ๒ รูป ใช้ผ้าปูนอนและผ้าห่มผืนเดียวกัน นอนด้วย กัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ๒ รูป นอน เตียงเดียวกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่มี พวกเที่ยวจาริกภายในแว่นแคว้น ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุณีไม่มีพวกเที่ยวจาริกภายนอก แว่นแคว้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีหลีกไป สู่จาริกภายในพรรษา ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีไปดูโรงละคร ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีใช้สอยเก้าอี้นอน ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีกรอด้าย ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีช่วย ทำธุระของคฤหัสถ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ให้ของเคี้ยวด้วยมือของตนแก่ชาวบ้านเป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีจำพรรษาใน

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 341

อาวาสที่ไม่มีภิกษุ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ใช้ร่ม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไปด้วยยาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้เครื่องประดับเอว ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้เครื่องประดับสำหรับสตรี ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอาบน้ำ ปรุงเครื่องประเทืองผิว ๑ สิกขาบทว่าด้วย ภิกษุณีอาบน้ำปรุงกำยานเป็นเครื่องอบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้ภิกษุณีนวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สิกขมานานวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สามเณรีนวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สตรีคฤหัสถ์นวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีผู้เข้าบ้านไม่มีผ้ารัดถัน ต้องอาบัติ ๑ รวมเป็น ๔๔ สิกขาบท เกิด แต่กาย มิใช่วาจากับจิต เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ทุกๆ สิกขาบท รวมทั้งเอฬกโลมสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน.

เอฬกโลมสมุฏฐาน จบ

ปทโสธัมมสมุฏฐาน

[๘๓๓] สิกขาบทว่าด้วยสอนธรรม แก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ๑ สิกขาบทว่า

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 342

ด้วยแสดงธรรมแก่มาตุคาม ยิ่งกว่า ๕ - ๖ คำ เว้นแต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสา ๑ สิกขาบทว่าด้วย ยังไม่ได้รับสมมติสั่งสอนภิกษุณี ๑ สิกขาบท ว่าด้วยภิกษุได้รับสมมติแล้วสอนภิกษุณีเมื่อ พระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ๑ สิกขาบทว่า ด้วยภิกษุณีเรียนและบอกติรัจฉานวิชา ๒ สิกขาบท สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ขอ โอกาสก่อนถามปัญหา ๑ สิกขาบทเหล่านี้ รวม ๗ สิกขาบท เกิดแต่วาจา มิใช่กาย และจิต เกิดแต่วาจากับจิต แต่มิใช่เกิดแต่ กาย ทุกๆ สิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เหมือน ปทโสธัมมสมุฏฐาน ฉะนั้น.

ปทโสธัมมสมุฏฐาน จบ

อัทธานสมุฏฐาน

[๘๓๔] สิกขาบทว่าด้วยชักชวน ภิกษุณีเดินทางไกล ๑ สิกขาบทว่าด้วย ชักชวนภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ๑ สิกขาบท ว่าด้วยขอโภชนะอันประณีต ๑ สิกขาบท ว่าด้วยชักชวนมาตุคามเดินทางด้วยกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีถอนขนในที่แคบ ๑

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 343

สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีขอข้าวเปลือก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับนิมนต์แล้วฉัน ภัตตาหาร ๑ ปาฏิเทสนียะของภิกษุณี ๘ สิกขาบท สิกขาบทเหล่านี้ร่วม ๑๕ สิกขาบท เกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต เกิดแต่กาย กับวาจา มิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่กายกับจิต มิใช่เกิดแต่วาจา เกิดแต่กายวาจาและจิต เป็น ๔ สมุฏฐาน พระพุทธเจ้าผู้มีพระญาณ ทรงบัญญัติว่า มีวินัยเสมอกับอัทธานสมุฏฐาน.

อัทธานสมุฏฐาน จบ

เถยยสัตถสมุฏฐาน

[๘๓๕] สิกขาบทว่าด้วยชักชวนพวก เกวียนผู้เป็นโจรเดินทางร่วม ๑ สิกขาบทว่า ด้วยยืนแอบฟัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอแกง และข้าวสุก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียืน ร่วมกับบุรุษในเวลาค่ำคืน ๑ สิกขาบทว่า ด้วยภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในโอกาสกำบัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียินร่วมกับบุรุษในที่ กลางแจ้ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียืนร่วม

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 344

กับบุรุษในตรอกตัน ๑ รวมสิกขาบทเหล่านี้ ๗ สิกขาบท เกิดแต่กายกับจิต มิใช่เกิด แต่วาจา เกิดแต่ทวาร ๓ สิกขาบทเหล่านี้ มีสมุฏฐาน ๒ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์ แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ได้ทรงแสดงแล้วว่า เหมือนเถยยสัตถสมุฏฐาน.

เถยยสัตถสมุฏฐาน จบ

ธัมมเทสนาสมุฏฐาน

[๘๓๖] พระตถาคตทั้งหลาย ย่อม ไม่แสดงธรรมแก่คนมีร่มในมือ ๑ มีไม้พลอง ในมือ ๑ มีศัสตราในมือ ๑ มีอาวุธในมือ ๑ สวมเขียงเท้า ๑ สวมรองเท้า ๑ ไปในยาน ๑ อยู่บนที่นอน ๑ นั่งรัดเข่า ๑ โพกศีรษะ ๑ คลุมศีรษะ ๑ รวมเป็น ๑๑ สิกขาบทพอดี เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่เกิดแต่กาย ทุกๆ สิกขาบทมีสมุฏฐานอันหนึ่งเสมอกับธัมมเทสนาสมุฏฐาน.

ธัมมเทสนาสมุฏฐาน จบ

 
  ข้อความที่ 20  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 345

ภูตาโรจนสมุฏฐาน

[๘๓๗] สิกขาบทว่าด้วยบอกอุตริมนุสธรรมที่มีจริง เกิดแต่กายมิใช่เกิดแต่ วาจา มิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่วาจา มิใช่เกิด แต่กาย และมิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่กายกับ วาจา มิใช่เกิดแต่จิต ชื่อว่าภูตาโรจนสมุฏ- ฐาน ย่อมเกิดแต่สมุฏฐาน ๓.

ภูตาโรจนสมุฏฐาน จบ

โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐาน

[๘๓๘] สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับ หญิงโจรให้บวช เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่ เกิดแต่กาย และเกิดโดยทวารทั้ง ๓ โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐานนี้ พระพุทธเจ้าผู้ธรรม ราชาทรงตั้งไว้ว่า มีสมุฏฐาน ๒ ไม่ซ้ำกัน.

โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐาน จบ

อนนุญาตสมุฏฐาน

[๘๓๙] สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีบวช สตรีที่มารดาบิดา หรือสามีมิได้อนุญาต เกิด แต่กายวาจามิใช่เกิดแต่กาย และมิใช่เกิดแต่

 
  ข้อความที่ 21  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 346

จิต เกิดแต่กายกับวาจามิใช่เถิดแต่จิต เกิด แต่วาจากับจิต มิใช่เกิดแต่กาย เกิดแต่กาย วาจาจิต ๓ สถานจึงมีสมุฏฐาน ๔ ไม่ซ้ำกัน.

อนนุญาตสมุฏฐาน จบ

[๘๔๐] ก็สมุฏฐาน ๑๓ ทรงแสดง ไว้ดีแล้วโดยย่อๆ เป็นเหตุทำความไม่หลง อนุโลมแก่ธรรมที่เป็นแบบ วิญญูชนเมื่อทรง จำสมุฏฐานนี้ไว้ได้ ย่อมไม่หลงในสมุฏฐาน แล.

ย่อหัวข้อสมุฏฐาน จบ

สมุฏฐานสีส วัณณนา

ก็แลวินิจฉัยในสมุฏฐานกถา อันเป็นอันดับแห่งโสฬสมหาวารนั้น พึงทราบดังนี้:-

คาถาว่า อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา มีความว่า บัญญัติคือนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. (เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่อุทัยขึ้นมา).

บทว่า สภาคธมฺมานํ ได้แก่ สังขตธรรมที่มีส่วนเสมอกันด้วยอาการ มีอาการคือไม่เที่ยงเป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 22  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 347

ข้อว่า นามมตฺตํ น ายติ มีความว่า แม้เพียงแต่ชื่อ (แห่ง สังขตธรรมเหล่านั้น) ย่อมไม่ปรากฏ.

บทว่า ทุกฺขหานึ ได้แก่ บำบัดทุกข์เสีย.

บาทคาถาว่า ขนฺธกา ยา จ มาติกา มีความว่า ขันธกะทั้งหลาย และมาติกาเหล่าใด. อนึ่ง บาลีก็เหมือนกันนี้.

บาทคาถาว่า สมุฏฺานนิยโต กตํ มีความว่า สมุฏฐานที่ท่านทำ ให้เป็นของแน่นอน คือ จัดไว้เป็นหลักที่แน่ ชื่อว่า นิยตสมุฏฐาน.

การสงเคราะห์ ๓ สิกขาบท คือ ภูตาโรจนสิกขาบท โจรีวุฏฐาปนสิกขาบท และอนนุญญาตสิกขาบท ด้วยคำว่า สมุฏฺานนยโต กตํ นั่น อันบัณฑิตพึงพิจารณา.

จริงอยู่ ๓ สิกขาบทนี้เท่านั้น เป็นนิยตสมุฏฐาน คือ เป็นสมุฏฐาน ที่ไม่เจือปนกับสมุฏฐานเหล่าอื่น.

บาทคาถาว่า สมฺเภทนิทานญฺจญฺํ มีความว่า ความเจือปนกัน และเหตุแม้อื่น, บัณฑิตพึงพิจารณา การถือเอาความเจือปนกันแห่งสมุฏฐาน ใน ๒ คำนั้น ด้วยคำว่า สัมเภท. จริงอยู่ เว้น ๓ สิกขาบทนั้นเสีย สิกขาบท ที่เหลือ จัดเป็นสัมภินนสมุฏฐาน. บัณฑิตพึงตรวจดูนิทาน กล่าวคือประเทศ ที่บัญญัติ แห่งสิกขาบททั้งหลายด้วยคำว่า นิทาน.

บาทคาถาว่า สุตฺเต ทิสฺสนฺติ อุปริ มีความว่า ๓ ส่วนนี้ คือ สมุฏฐานนิยม สัมเภท นิทาน แห่งสิกขาบททั้งหลาย ย่อมเห็นได้ คือ ย่อม ปรากฏในสูตรเท่านั้น.

 
  ข้อความที่ 23  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 348

บรรดาสมุฏฐานนิยม สัมเภท และนิทานนั้น สมุฏฐานนิยมและ สัมเภท ในปุริมนัยก่อน ย่อมปรากฏในคำว่า ย่อมเกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือกายกับจิต เป็นอาทิ. ส่วนนอกจากนี้ ชื่อนิทาน ย่อมปรากฏในเบื้องหน้า อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว ในกรุงเวสาลี ในกรุงราชคฤห์ ในกรุงสาวัตถี ในเมืองอาฬวี ในกรุงโกสัมพี ในแคว้นสักกะทั้งหลาย และใน แคว้นภัคคะทั้งหลาย. บัณฑิตพึงทราบว่า คำนี้จักปรากฏในละครซึ่งมาข้างหน้า

เนื้อความแห่งคาถาว่า วิภงฺเค ทฺวีสุ เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้:-

ในวันอุโบสถ ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมสวดสิกขาบทใด อัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ในวิภังค์ทั้ง ๒, ข้าพเจ้าจักกล่าวสมุฏฐานตาม สมควรแก่สิกขาบทนั้น; ท่านทั้งหลายจงฟังคำนั้นของข้าพเจ้า.

บทว่า สญฺจริตฺตานุภาสญฺจ ได้แก่ สัญจริตตสิกขาบทและสมนุ- ภาสนสิกขาบท.

สองบทว่า อติเรกกญฺจ จีวรํ ได้แก่ อติเรกจีวรสิกขาบท อธิบายว่า กฐินสิกขาบท.

สองบทว่า โลมานิ ปทโสธมฺโม ได้แก่ เอฬกโลมสิกขาบททั้งหลาย และปทโสธัมมสิกขาบท.

บทว่า ภูตสํวิธาเนน จ ได้แก่ ภูตาโรจนสิกขาบท และการ ชักชวนเดินทางไกล.

บทว่า เถยฺยเทสนโจรญฺจ ได้แก่ เถยยสัตถสิกขาบท การแสดง ธรรมแก่คนไม่เป็นไข้มีร่มในมือ และโจรีวุฏฐาปนสิกขาบท.

สองบทว่า อนนุญฺาตาย เตรส มีความว่า สมุฏฐานเหล่านี้ รวมกับการบวชสตรีที่มารดาบิดาหรือสามีไม่อนุญาต จึงเป็นสมุฏฐาน ๑๓.

 
  ข้อความที่ 24  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 349

บาทคาถาว่า สทิสา อิธ ทิสฺสเร มีความว่า ในอุภโตวิภังค์นี้ สมุฏฐานทั้งหลายที่คล้ายกัน แม้เหล่าอื่น ย่อมปรากฏ ในสมุฏฐานอันหนึ่งๆ ในบรรดาสมุฏฐาน ๑๓ เหล่านี้.

[ว่าด้วยปฐมปาราชิกสมุฏฐาน]

บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า เมถุนํ สุกฺกสํสคฺโค เป็นต้น เพื่อแสดง สมุฏฐานเหล่านี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เมถุนํ พึงทราบก่อน. สมุฏฐานใหญ่ อันหนึ่ง ชื่อว่าปฐมปาราชิก. สมุฏฐานที่เหลือ คล้ายกับปฐมปาราชิกสมุฏฐาน นั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุกฺกสํสคฺโค ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิสมุฏฐาน และกายสังสัคคสมุฏฐาน.

บาทคาถาว่า อนิยตา ปฐมิกา ได้แก่ อนิยตสิกขาบทที่ ๑.

บาทคาถาว่า ปุพฺพูปปริปาจิตา ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า ชานํ ปุพฺพูปคตํ ภิกฺขุํ และภิกขุนีปริปาจิตปิณฑปาตสิกขาบท

บาทคาถาว่า รโห ภิกฺขุนิยา สหํ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการนั่ง ในที่ลับกับภิกษุณี.

บาทคาถาว่า สโภชเน รโห เทฺว จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วย การนั่งแทรกแซง ในสโภชนสกุล และรโหนิสัชชสิกขาบททั้ง ๒.

บาทคาถา องฺคุลิ อุทเก หสํ ได้แก่ อังคุลีปโฏทกสิกขาบท และอุทเกหัสสธัมมสิกขาบท.

 
  ข้อความที่ 25  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 350

บาทคาถาว่า ปหาเร อุคฺคิเร เจว ได้แก่ ปหารทานสิกขาบท และตลสัตติกอุคคิรณสิกขาบท.

บาทคำถาว่า เตปญฺาสา จ เสขิยา ได้แก่ เสขิยสิกขาบท ๕๓ มีปริมัณฑลนิวาสนสิกขาบทเป็นอาทิ ที่ท่านกล่าวไว้ในที่สุดแห่งขุททกวัณณนา เหล่านี้ คือ:-

ปริมัณฑลกสิกขาบท ๒, สุปฏิจฉันนกสิกขาบท ๒, สุสังวุตสิกขาบท ๒, โอกขิตตจักขุกสิกขาบท ๒, อุกขิตตกายก สิกขาบท ๒, กายัปปจาลิกสิกขาบท ๒, พาหุปปจาลิกสิกขาบท ๒, สีสัปปจาลิกสิกขาบท ๒, ขัมภกสิกขาบท ๒, โอคุณฐิตสิกขาบท ๒, อุกกุฏิกสิกขาบท ๑, ปัลลัตถิกสิกขาบท ๑, ลักกัจจปฏิคคหณสิกขาบท ๑, ปัตตสัญญิตาสิกขาบท ๑, สมสูปกสิกขาบท ๑, สมติตติกสิกขาบท ๑, สักกัจจภุญชิสส สิกขาบท ๑, ปัตตสัญญีภุญชิสสสิกขาบท ๑, สปทานภุญชิสส สิกขาบท ๑, สมสูปกภุญชิสสสิกขาบท ๑, ถูปิกตสิกขาบท ๑, พยัญชนสิกขาบท ๑, อุชฌานสัญญิสิกขาบท ๑, นาติมหันตกวฬ สิกขาบท ๑, มัณฑลอาโลปสิกขาบท ๑, อนาหตสิกขาบท ๑, สัพพหัตถสิกขาบท ๑, ปิณฑุกเขปกสิกขาบท ๑, กวฬาวัจเฉทก สิกขาบท ๑, อวคัณฑกสิกขาบท ๑, หัตถนิทธูนกสิกขาบท ๑, สิตถาวการกสิกขาบท ๑, ชิวหานิจฉารกสิกขาบท ๑, จปุจปุ- การกสิกขาบท ๑, สุรุสุรุการกสิกขาบท ๑, หัตถนิลเลห

 
  ข้อความที่ 26  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 351

สิกขาบท ๑, ปัตตนิลเลหสิกขาบท ๑, โอฎฐนิลเลหสิกขาบท ๑, สามิสสิกขาบท ๑, สสิตถกสิกขาบท ๑, และปกิณณกสิกขาบท ๓ เหล่านี้ คือ ยืนถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ๑, ยืนหรือนั่งถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบ้วนน้ำลายลงในของเขียว ๑, ยืนหรือนั่งถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบ้วนน้ำลายลงในน้ำ ๑.

บาทคาถาว่า อธกฺขคามาวสฺสุตา ได้แก่ อธักขกสิกขาบท คามันตรคมนสิกขาบท และสิกขาบทว่าด้วยการที่ภิกษุณีผู้มีจิตกำหนัดรับของ ควรเคี้ยว จากมือของบุรุษผู้มีจิตกำหนัด ของภิกษุณีทั้งหลาย.

บาทคาถาว่า ตลมตฺกญฺจ สุทฺธิกา ได้แก่ ตลฆาฏกสิกขาบท ชตุมัตถกสิกขาบท และอุทกสุทธิกาสิกขาบท สาทิยนสิกขาบท

บาทคาถาว่า วสฺสํ วุตฺถา จ โอวาทํ ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า วสฺสฺ วุตฺถา ฉ ปญฺจ โยชนานิ และสิกขาบทว่าด้วยการไม่ไปเพื่อโอวาท.

บาทคาถาว่า นานุพนฺเธ ปวตฺตินึ มีความว่า สิกขาบทเหล่านี้มี ๗๖ รวมทั้งวุฏฐาปิตปวัตนนนุพันธสิกขาบท.

สองบทว่า อิเม สิกฺขา ได้แก่ สิกขาบททั้งหลายเหล่านี้. ศัพท์ว่า อิเม ท่านทำให้ผิดลิงค์เสีย.

บาทคาถาว่า กายมานสิกา กตา ความว่า สิกขาบทเหล่านี้ ท่าน จัดเป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็นสมุฏฐาน.

[ว่าด้วยทุติยปาราชิกสมุฏฐาน]

บทว่า อทินฺนํ นี้ พึงทราบก่อน. คำว่าอทินนาทาน หรือคำว่า ทุติยปาราชิก เป็นสมุฏฐานใหญ่อันหนึ่ง.

 
  ข้อความที่ 27  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 352

บทที่เหลือ เป็นเช่นกับอทินนาทานนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิคฺคหุตฺตรึ ได้แก่ มนุสสวิคคหสิกขาบท และอุตตริมนุสสธัมมสิกขาบท.

สองบทว่า ทุฏฺฐุลฺลา อตฺตกามินํ ได้แก่ ทุฏฐุลลวาจสิกขาบท และอัตตกามปาริจริยสิกขาบท.

สองบทว่า อมูลา อญฺภาคิยา ได้แก่ ทุฏฐโทสสิกขาบททั้ง ๒.

สองบทว่า อนิยตา ทุติยิกา ได้แก่ อนิยตสิกขาบทที่ ๒.

สองบทว่า อจฺฉินฺเท ปริณามเน ได้แก่ การให้จีวรเองแล้ว ชิงเอามา และการน้อมลาภของสงฆ์มาเพื่อตน.

บาทคาถาว่า มุสาโอมสเปสุณา ได้แก่ มุสาวาทสิกขาบท ๑ โอมสวาทสิกขาบท ๑ ภิกขุเปสุญญสิกขาบท ๑.

สองบทว่า ทุฏฐุลฺลา ปวีขเณ ได้แก่ ทุฏฐุลลาปัตติอาโรจนสิกขาบท ๑ ปฐวีขณนสิกขาบท ๑.

สามบทว่า ภูตํ อญฺาย อุชฺฌเป ได้แก่ ภูตคามสิกขาบท อัญญวาทกสิกขาบท และอุชฌาปนกสิกขาบท.

สองบทว่า นิกฑฺฒนํ สิญฺจนญฺจ ได้แก่ วิหารโตนิกัฑฒนสิกขาบท ๑ อุทเกนติณาทิสิญจนสิกขาบท ๑.

สองบทว่า อามิสเหตุ ภุตฺตาวี ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า อามิสเหตุ ภิกฺขุนิโย โอวทนฺติ ๑, สิกขาบทว่าด้วยปวารณาภิกษุผู้ฉันเสร็จแล้ว ด้วย ขอเคี้ยวเป็นต้น อันมิใช่เดน ๑.

สามบทว่า เอหิ อนาทริ ภึสา ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า เอหาวุโส คามํ วา เป็นต้น ๑, อนาทริยสิกขาบท ๑, ภิกษุภิงสาปนกสิกขาบท ๑.

 
  ข้อความที่ 28  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 353

สองบทว่า อปนิเธ จ ชีวิตํ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการซ่อน บริขารมีบาตรเป็นต้น ๑, สิกขาบทว่าด้วยการแกล้งปลงชีวิตสัตว์ ๑.

สามบทว่า ชานํ สปฺปาณกํ กมฺมํ ได้แก่ ชานังสัปปาณกอุทก สิกขาบท ๑, ปุนกัมมายุโกฏนสิกขาบท ๑.

บทว่า อูนสํวาสนาสนา ได้แก่ อูนวีสติวัสสสิกขาบท ๑, สิกขาบท ว่าด้วยการอยู่ร่วมกับภิกษุที่ถูกสงฆ์ยกวัตร ๑, นาสิตกสามเณรสัมโภคสิกขาบท ๑.

บทว่า สทธมฺมิกวิเลขา ได้แก่ สหธัมมิกวุจจมานสิกขาบท ๑ สิกขาบทที่มาว่า วิเลขาย สํวตฺตนฺติ ๑.

สองบทว่า โมโห อมูลเกน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยเป็น ปาจิตตีย์ เพราะความเป็นผู้แสร้งทำหลง ๑, สิกขาบทว่าด้วยการโจทด้วยอาบัติ สังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑.

สามบทว่า กุกฺกุจฺจํ จีวรํ ทตฺวา ได้แก่ กุกกุจจอุปปาทน สิกขาบท ๑, สิกขาบทว่าด้วยการให้ฉันทะเพื่อกรรมที่เป็นธรรมแล้วกลับบ่นว่า ๑, สิกขาบทว่าด้วยการให้จีวรแล้วกลับบ่นว่า ๑.

สองบทว่า ปริณเมยฺย ปุคฺคเล ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยน้อมลาภ สงฆ์ไปเพื่อบุคคล.

บาทคาถาว่า กินฺเต อกาลอจฺฉินฺเท ได้แก่ สิกขาบทที่มาว่า พระผู้เป็นเจ้า บุรุษบุคคลนั่น จักทำประโยชน์อะไรแก่ท่าน ๑ สิกขาบทว่า ด้วยการอธิษฐานอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกัน ๑, สิกขาบทว่า ด้วยการแลกจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงเอามา ๑.

 
  ข้อความที่ 29  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 354

สองบทว่า ทุคฺคหิ นิรเยน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการยกโทษ ผู้อื่น ด้วยเครื่องที่จับไม่ถนัด ใคร่ครวญไม่ดี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการแช่ง ด้วยนรก หรือพรหมจรรย์ ๑.

สามบทว่า คณํ วิภงฺคํ ทุพฺพลํ ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสว่า ภิกษุณี ใด พึงทำอันตรายแก่จีวรลาภของคณะ ๑ ที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงห้ามการ แจกจีวรที่เป็นธรรม ๑ ที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงก้าวล่วงจีวรกาลสมัยเสีย ด้วย จำนงเฉพาะซึ่งจีวรอันไม่มั่นคง ๑.

บาทคาถาว่า กินาผาสุปสฺสยํ ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีโด พึงห้ามการรื้อกฐินที่เป็นธรรม ๑ ภิกษุณีใด พึง แกล้งทำความไม่สำราญแก่ภิกษุณี ๑ ภิกษุณีใดให้ที่อยู่แก่ภิกษุณีแล้ว โกรธ ไม่พอใจ พึงฉุดคร่านางก็ดี ๑.

สองบทว่า อกฺโกสจณฺฑี มจฺฉรี ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงด่าก็ดี ซึ่งภิกษุ ๑ ภิกษุณีใด เป็นผู้ดุร้าย พึง กล่าวขู่คณะ ๑ ภิกษุณีใด พึงเป็นผู้หวงตระกูล ๑.

สองบทว่า คพฺภินี จ ปายนฺติยา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีมีครรภ์ให้บวช ๑ ภิกษุณีโด พึง ยังสตรีผู้ยังต้องให้บุตรดื่มนมให้บวช ๑.

หลายบทว่า เทฺว วสฺสา สิกฺขา สงฺเฆน ได้แก่ สิกขาบทที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานาผู้ยังไม่ได้ศึกษาใน ธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานาผู้ศึกษาเสร็จ แล้วในธรรม ๖ แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้บวช ๑.

 
  ข้อความที่ 30  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 355

สองบทว่า ตโย เจว คิหิคตา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีมีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุหย่อน ๑๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสตรีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุครบ ๑๒ ปีแล้ว แต่ยังไม่ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสตรีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุครบ ๑๒ ปี แล้ว ได้ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ให้บวช ๑.

สองบทว่า กุมารีภูตา ติสฺโส จ ได้แก่ สตรีผู้เป็นนางกุมารี ๓ จำพวก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยนัยมีคำว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีผู้เป็น นางกุมารี มีอายุหย่อน ๒๐ ปีให้บวช เป็นต้น.

บทว่า อูนทฺวาทสสมฺมตา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ภิกษุณีใด มีพรรษาหย่อน ๑๒ พึงเป็นอุปัชฌาย์ยังนางสิกขมานาให้ อุปสมบท ๑ ภิกษุณีโด มีพรรษาครบ ๑๒ แล้วแต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ พึง เป็นอุปัชฌาย์ ยังนางสิกขมานาให้อุปสมบท ๑.

สองบทว่า อลนฺตา ว โสกาวสฺสํ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ผู้อันนางภิกษุณีใดกล่าวอยู่ว่า อย่าเพ่อก่อน แม่คุณ เธออย่ายังนางสิกขมานา ให้บวช ดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณีใด พึงยัง นางสิกขมานา ผู้มีใจร้ายยังความโศกให้ครอบงำใจบุรุษให้บวช ๑.

สามบทว่า ฉนฺทา อนุวสฺสา จ เทฺว ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานาให้อุปสมบทด้วยการ มอบฉันทะที่ตกค้าง ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ให้อุปสมบทตามปี ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ให้อุปสมบทปีละ ๒ รูป ๑.

 
  ข้อความที่ 31  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 356

สามบทว่า สมุฏฺานา ติกา กตา มีความว่า ๗ สิกขาบทนี้จัด เป็นติกสมุฏฐาน (คือ เกิดโดยทวาร ๓).

[ว่าด้วยสัญจริตตสมุฏฐาน]

สามบทว่า สญฺจริ กุฏิ วิหาโร ได้แก่ สัญจริตตสิกขาบท ๑ สัญญาจิกายกุฏิกรณสิกขาบท ๑ มหัลลกวิหารกรณสิกขาบท ๑.

สองบทว่า โธวนญฺจ ปฏิคฺคโห ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการให้ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ชักจีวรเก่า ๑ จีวรปฏคคหณสิกขาบท ๑.

สองบทว่า วิญฺตฺตุตฺตริ อภิหฏฐุํ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการออก ปากขอจีวรกะคฤหบดีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดียิ่งกว่าอุตราสงค์ และ อันตรวาสกนั้น ๑.

สองบทว่า อุภินฺนํ ทูตเกน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่มาว่า จีวรเจตาปนํ อุปกฺขฏํ โหติ และสิกขาบทว่าด้วยค่าจีวรที่เขาส่งไปด้วยทูต.

หลายบทว่า โกสิยา สุทฺธเทฺวภาคา ฉพฺพสฺสานิ นิสีทนํ ได้แก่ ๕ สิกขาบท มีสิกขาบทที่ว่า โกสิยมิสฺสกํ สนฺถตํ เป็นต้น.

สองบทว่า ริญฺจนฺติ รูปิกา เจว ได้แก่ เอฬกโลมโธวาปนสิกขาบท ที่มาในคัมภีร์วิภังค์ว่า ริญฺจนฺติ อุทฺเทสํ ๑ รูปียปฏิคคหณสิกขาบท ๑.

สองบทว่า อุโภ นานปฺปการกา ได้แก่ ๒ สิกขาบท คือ รูปิยสังโวหารสิกขาบทและกยวิกกยสิกขาบท.

สองบทว่า อูนพนฺธนวสฺสิกา ได้แก่ อูนปัญจพันธนปัตตสิกขาบท ๑ วัสสิกสาฏิกสิกขาบท ๑.

 
  ข้อความที่ 32  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 357

สองบทว่า สุตฺตํ วิกปฺปเนน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยออกปาก ขอด้ายให้ช่างหูกทอจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยการเข้าไปหาช่างหูกถึงความกำหนด ในจีวร ๑.

บทว่า ทฺวารทานสิพฺพินี จ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ด้วยวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ๑ ภิกษุณีใด พึงให้ จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ ภิกษุใด พึงเย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑.

บทว่า ปูวปจฺจยโชต จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการปวารณาด้วย ขนมหรือด้วยสัตตุผง เพื่อนำไปตามปรารถนา ๑ จาตุมาสปัจจยปวารณาสิกขาบท ๑ โชติสมาทหนสิกขาบท ๑.

หลายบทว่า รตนํ สูจ มญฺโจ จ ตุลํ นิสีทนกณฺฑ จ วสฺสิกา จ สุคเตน ได้แก่ รตนสิกขาบท ๑ และ ๗ สิกขาบท มีสูจิฆรสิกขาบทเป็นต้น.

หลายบทว่า วิญฺตฺติ อญฺเจตาปนา, เทฺวสงฺฆิกา มหาชนิกา เทฺว ปุคฺคลา ลหุกา ครุ ได้แก่ ๙ สิกขาบท มีสิกขาบทว่า อนึ่ง ภิกษุณี ใด พึงออกปากขอกะคนอื่นแล้ว ออกปากขอกะคนอื่นอีก เป็นต้น.

สามบทว่า เทฺว วิฆาสา สาฏิกา จ ได้แก่ วิฆาสสิกขาบททั้ง ๒ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงทิ้งเองก็ดี พึงยังผู้อื่นให้ทิ้ง ก็ดี ซึ่งอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือหยากเยื่อ หรืออาหารที่เป็นเดน ภายนอก ฝาก็ตาม ภายนอกกำแพงก็ตาม ๑ ภิกษุณีใดพึงทิ้งเองก็ดี พึงยังผู้อื่นให้ทิ้งก็ดี ซึ่งอุจจาระหรือปัสสาวะหรือหยากเยื่อ หรืออาหารที่เป็นเดน ในของสดเขียว ๑ และอุทกสาฏิกสิกขาบท.

 
  ข้อความที่ 33  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 358

คำว่า สมณจีวเรน จ นั่น ท่านกล่าวหมายเอาพระบาลีนี้ว่า สมณจีวรํ ทเทยฺย.

[ว่าด้วยสมนุภาสนสมุฏฐาน]

บทว่า เภทานุตฺตทุพฺพจทูสทุฏฐุลฺลทิฏฺิ จ ได้แก่ สังฆเภทสิกขาบท ๑ เภทานุวัตตกสิกขาบท ๑ ทุพพจสิกขาบท ๑ กุลทูสกสิกขาบท ๑ ทุฎฐุลลาปัตติปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ ทิฏฐิอัปปฏินิสสัชชสิกขาบท ๑.

สามบทว่า ฉนฺทํ อุชฺชคฺฆิกา เทฺว จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วย ไม่มอบฉันทะไปเสีย ๑ และ ๒ สิกขาบทว่าด้วยการไปและการนั่งในละแวก บ้าน และทั้งหัวเราะลั่น.

บทว่า เทฺวปฺปสทฺทา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่ว่า เราจักเป็นผู้มีเสียง น้อย ไปในละแวกบ้าน ๑ นั่งในละแวกบ้าน ๑.

บทว่า น พฺยาหเร ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า เราจักไม่พูดด้วยปากที่ ยังมีคำข้าว.

หลายบทว่า ฉมา นีจาสเน านํ, ปจฺฉโต อุปฺปเถน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุนั่งที่แผ่นดิน แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นั่ง บนอาสนะ ๑ นั่งบนอาสนะต่ำ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งบนอาสนะสูง ๑ ผู้ยืนอยู่ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นั่ง ๑ ผู้ไปข้างหลัง แสดงธรรม แก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ไปข้างหน้า ๑ ผู้เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคลไม่ เป็นไข้ ผู้ไปในทาง ๑.

 
  ข้อความที่ 34  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 359

สองบทว่า วชฺชานุวตฺติ คหณา ได้แก่ ปาราชิก ๓ สิกขาบท กล่าวคือ วัชชปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ อุกขิตตานุวัตตนสิกขาบท ๑ หัตถคหณาทิสิกขาบท ๑

สองบทว่า โอสาเร ปจฺจาจิกฺขนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่บอกเล่าสงฆ์ผู้กระทำ ไม่ทราบความพอใจ ของคณะ. พึงถอนโทษ (ภิกษุณี ผู้อันสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงยกวัตรแล้ว โดย ธรรมโดยวินัย โดยสัตถุศาสน์) ๑. ภิกษุณีใดโกรธเคือง มีใจไม่แช่มชื่น พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ากล่าวคืนพระพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น ๑.

หลายบทว่า กิสฺมึ สํสฏฺา เทฺว วธิ ได้แก่ หลายสิกขาบทที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด อันสงฆ์ทำภายหลัง ในอธิกรณ์บางเรื่อง เท่านั้น ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีทั้งหลายเป็นผู้คลุกคลีกันอยู่ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้คลุกคลีกันอยู่เถิด แม่เจ้า ดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณีใด พึงประหารข่วนตัวแล้วร้องไห้ดังนี้ ๑.

สองบทว่า วิสิพฺเพ ทุกฺขิตาย จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงเลาะเองก็ดี ให้ผู้อื่นเลาะก็ดี ซึ่งจีวรของ ภิกษุณี ๑ ภิกษุณีใด พึงไม่บำรุงเองก็ดี ไม่พึงให้ผู้อื่นบำรุงก็ดี ซึ่งสหชีวินี ผู้ถึงทุกข์ ๑.

หลายบทว่า ปุน สํสฏฺา น วูปสเม ได้แก่ สังสัฏฐสิกขาบท ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสซ้ำอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงอยู่คลุกคลีด้วยคหบดีก็ดี ด้วยบุตรของคหบดีก็ดี ๑ และสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า มาเถิด แม่เจ้าท่านจงยังอธิกรณ์นี้ให้ระงับ ดังนี้ รับ แล้วว่า สาธุ ภายหลังเธอผู้ไม่มีอันตราย พึงไม่ยังอธิกรณ์ให้ระงับ ๑.

 
  ข้อความที่ 35  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 360

สองบทว่า อารามญฺจ ปวารณา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด รู้อยู่ ซึ่งอารามอันมีภิกษุ ไม่ไต่ถามก่อน พึงเข้าไป ดังนี้ ๑ ภิกษุณีใด จำพรรษาแล้ว พึงไม่ปวารณาด้วยสถาน * ๓ ... ให้อุภโต สงฆ์ ดังนี้ ๑.

หลายบทว่า อนฺวชฑฺฒมาสํ สหชีวินี เทฺว ได้แก่ สิกขาบทที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรม ๒ อย่าง (คือ อุโบสถ ๑ การเข้าไปหา เพื่อโอวาท ๑) อันภิกษุณีพึงหวังเฉพาะจากสงฆ์ทุกกึ่งเดือน และ ๒ สิกขาบท ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสหชิวินีให้บวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ ตลอด ๒ พรรษา ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่พาไปเอง ๑.

สองบทว่า จีวรํ อนุพนฺธนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงพูดกะนางสิกขมานาว่า แน่ะแม่เจ้า ถ้าว่า เธอจักให้ จีวรแก่เราไซร้ ด้วยอย่างนั้น เราจักยังเธอให้อุปสมบท ดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณี ใด พึงพูดกะนางสิกขมานาว่า แน่ะแม่เจ้า ถ้าว่า เธอจักติดตามเราไปตลอด ๒ พรรษาไซร้ ด้วยอย่างนั้น เราจักยังเธอให้อุปสมบท ดังนี้ ๑.

ธรรม ๓๗ เหล่านี้ (ทั้งหมด เป็นสมุฏฐานอันหนึ่ง มีองค์ ๓ คือ กาย วาจา จิต เหมือนสมนุภาสนสมุฏฐาน).

[ว่าด้วยกฐินสมุฏฐาน]

สามบทว่า อุพฺภตํ กินํ ตีณิ ได้แก่ ๓ สิกขาบทข้างต้นที่พระผู้มี พระภาคตรัสว่า ครั้นจีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุรื้อเสียแล้ว.


(๑) คือ ทิฏฺเน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา.

 
  ข้อความที่ 36  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 361

สองบทว่า ปมํ ปตฺตเภสชฺชํ ได้แก่ ปัตตสิกขาบทที่ ๑ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงทรงอดิเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง และ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เภสัชอันควรลิ้ม.

สองบทว่า อจฺเจกกญฺจาปิ สาสงฺกํ ได้แก่ อัจเจกจีวรสิกขาบท ๑ สาสังกสิกขาบท อันเป็นลำดับแห่งอัจเจกจีวรสิกขาบทนั้นเอง ๑.

สองบทว่า ปกฺกมนฺเตน วา ทุเว ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสไว้ในภูตคามวรรคว่า เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ซึ่งเตียง เป็นต้นนั้น.

สองบทว่า อุปสฺสยํ ปรมฺปรา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณีแล้ว พึงสอนภิกษุณีทั้งหลาย ๑ เป็น ปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนะทีหลัง ๑.

สองบทว่า อนติริตฺต นิมนฺตนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด ฉันเสร็จห้ามเสียแล้ว เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของ เคี้ยวก็ตาม ซึ่งของฉันก็ตาม อันไม่เป็นเดน ๑ ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มี ภัตรอยู่แล้ว ๑.

สามบทว่า วิกปฺปํ รญฺโ วิกาเล ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด วิกัปจีวรเอง ... ๑ ของพระราชาผู้กษัตริย์ ๑ ภิกษุใด ... พึงเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล ๑.

บทว่า โวสาสารญฺเกน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าภิกษุณีมายืนยันสั่งเสียอยู่ในที่นั้น ๑ ภิกษุใดอยู่ในเสนาสนะป่า เห็นปานนั้น รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ก่อน ๑.

 
  ข้อความที่ 37  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 362

สองบทว่า อุสูยา สนฺนิจยญฺจ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด มักพูดด้วยความริษยา ๑ ภิกษุณีใด พึงทำการ สะสมบาตร ๑.

หลายบทว่า ปุเร ปจฺฉา วิกาเล จ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาก่อน อาหาร ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลายในเวลาภายหลัง อาหาร ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาวิกาล ดังนี้ ๑.

สองบทว่า ปญฺจาหิกา สงฺกมนี ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังการผลัดสังฆาฏิ ให้ก้าวล่วง ๕ วันไป ๑ ภิกษุณีใด พึงทรงจีวรที่ตนยืมมา ซึ่งจะต้องส่งคืน ๑.

สองบทว่า เทฺวปิ อาวสเถน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสรวมกับที่พักอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด ไม่มอบหมายจีวรในที่พัก พึงบริโภค ไม่มอบหมายที่พัก พึงหลีกไปสู่ที่จะริก.

สองบทว่า ปสาเข อาสเน เจว ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่บอกซึ่งฝี (หรือพุพอง) อันเกิดที่โคนขา (กะสงฆ์หรือกะคณะ) ๑. ภิกษุณีใด ไม่ขออนุญาตก่อนพึงนั่งบนอาสนะข้าง หน้าภิกษุ ๑.

๒๙ สิกขาบทเหล่านี้ (ย่อมเกิดโดยทวาร ๓ คือ กายกับวาจาแต่ไม่ เกิดโดยลำพังจิต ทุกสิกขาบทรวมทั้งกฐินสิกขาบทมีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน).

 
  ข้อความที่ 38  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 363

[ว่าด้วยเอฬกโลมสมุฏฐาน]

สามบทว่า เอฬกโลมา เทฺว เสยฺยา ได้แก่ เอฬกโลมสิกขาบท ๑ และสหไสยสิกขาบ ๒. บทว่า อาหจฺจปิณฺโภชนํ ได้แก่ อาหัจจปาทกสิกขาบท และ อาวสถปิณฑโภชนสิกขาบท.

บทว่า คณวิกาลสนฺนิธิ ได้แก่ ๓ สิกขาบท คือ คณโภชนสิกขาบท ๑ วิกาลโภชนสิกขาบท ๑ สันนิธิการกสิกขาบท ๑.

บทว่า ทนฺตโปเณนเจลกา ได้แก่ ทันตโปณสิกขาบทและอเจลก สิกขาบท.

สามบทว่า อุยฺยุตฺตํ วเส อุยฺโยธิ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า พึงไปเพื่อดูเสนาอันยกออกแล้ว พึงอยู่ในกองทัพ พึงไป สู่สนามรบก็ดี ฯลฯ ไปดูกองทัพก็ดี.

สามบทว่า สุรา โอเรน นหายนา ได้แก่ สุราปานสิกขาบท ๑ โอเรนัฑฒมาสังนหานสิกขาบท ๑.

สามบทว่า ทุพฺพณฺเณ เทฺว เทสนิกา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๒ สิกขาบท ที่เหลือจากที่ตรัสแล้ว ๑.

สองบทว่า ลสุณุตฺติฏฺเ นจฺจนา ได้แก่ ลสุณสิกขาบท ๑ สิกขาบท ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงเข้าไปปฏิบัติภิกษุผู้กำลังฉัน ด้วย น้ำฉันก็ดี ด้วยการพัดก็ดี ๑. สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงไปดูการฟ้อนก็ดี การประโคมก็ดี ๑.

 
  ข้อความที่ 39  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 364

ต่อจากนี้ไป พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย เขียนเพี้ยนบาลี. ผู้ ศึกษาพึงทราบลำดับ ในคำว่า นหานํ อตฺถรณํ เสยฺยา เป็นอาทินี้ เหมือนเนื้อความที่ข้าพเจ้าอธิบาย (ต่อไป).

สามบทว่า นหานํ อตฺถรณํ เสยฺยา ได้แก่ ๓ สิกขาบททีพระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีเหล่าใด พึงเปลือยกายอาบน้ำ ภิกษุณีเหล่าใด พึง ใช้ผู้ปูนอนและผ้าห่มผืนเดียวกัน นอนด้วยกัน ๒ รูป ภิกษุณีเหล่าใด พึง นอนบนเตียงเดียวกัน ๒ รูป.

สามบทว่า อนฺโตรฏเ ตถา พหิ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่มีพวก พึงเที่ยวจาริกไป ... ในที่ซึ่งรู้กันว่า น่ารังเกียจภายในแคว้น ไม่มีพวก เที่ยวจาริกไป ... ในที่ซึ่งรู้กันว่าน่ารังเกียจ ภายนอกแคว้น.

สองบทว่า อนฺโตวสฺสํ จิตฺตาคารํ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงหลีกไปสู่จาริก ภายในกาลฝน ภิกษุณีใด พึงไปเพื่อดูพระราชวังก็ดี เรือนงามก็ดี ฯลฯ สระโบกขรณีก็ดี.

สองบทว่า อาสนฺทิ สุตฺตกนฺตนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงใช้สอยอาสันทิหรือบัลลังก์ พึงกรอด้าย.

สองบทว่า เวยฺยาวจฺจํ สหตฺถา จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงทำความขวนขวายแก่คฤหัสถ์ พึงให้ของ เคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน แก่ชาวบ้านก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ ปริพาชิกาก็ดี.

คำว่า อภิกฺขุกาวาเสน จ นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอา สิกขาบทนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสไม่มีภิกษุ.

 
  ข้อความที่ 40  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 365

สามบทว่า ฉตฺตํ ยานญฺจ สงฺฆาณึ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่อาพาธ พึงใช้ร่มและรองเท้า ไม่เป็นไข้ พึงไปด้วยยาน ภิกษุณีใด พึงใช้เข็มขัด.

สองบทว่า อลงฺการํ คนฺธวาสิตํ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ ภิกษุณีใด พึงทรงไว้ซึ่งเครื่องแต่งตัวสำหรับสตรี พึงอาบด้วย ของหอมและสี พึงอาบด้วยแป้งอบ.

ด้วยบทว่า ภิกฺขุนี เป็นต้น ตรัส ๔ สิกขาบท มีสิกขาบทว่า ภิกษุณีใด พึงใช้ภิกษุณีให้นวด เป็นอาทิ.

สองบทว่า อสงฺกจฺฉิกา อาปตฺติ ได้แก่ อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด ไม่มีประคดอกเข้าบ้าน ต้องปาจิตตีย์.

บาทคาถาว่า จตฺตาริสา จตุตฺตรี ได้แก่ ๔๔ สิกขาบทเหล่านี้ ทั้งหมด.

หลายบทว่า กาเยน น วาจาจิตฺเตน กายจิตฺเตน น วาจโต มีความว่า เกิดทางกายและกายกับจิต ไม่เกิดทางวาจากับจิตไม่เกิดทางวาจา.

คำว่า ทุกสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ ชื่อว่าเอฬกโลมสมุฏฐานเสมอกัน นี้ มีเนื้อความชัดเจนแล้ว.

[ว่าด้วยปทโสธัมมสมุฏฐาน]

สองบทว่า ปทญฺตฺร อสมฺมตา ได้แก่ ๓ สิกขาบท ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด พึงยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท ๑, ภิกษุใด พึงแสดงธรรมแก่มาตุคาม ยิ่งกว่า ๖ - ๕ คำ เว้นแต่มีบุรุษผู้รู้เตียงสา ๑, ภิกษุใด ไม่ได้รับสมมติสั่งสอนพวกภิกษุณี ๑.

 
  ข้อความที่ 41  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 366

คำว่า ตถา อตฺถงฺคเตน จ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอา สิกขาบทนี้ว่า เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี.

สองบทว่า ติรจฺฉานวิชฺชา เทฺว ได้แก่ ๒ สิกขาบท ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงเรียนติรัจฉานวิชชา ๑, พึงบอก ติรัจฉานวิชชา ๑.

คำว่า อโนกาเส จ ปุจฺฉนา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอา สิกขาบทนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงถามปัญหากะภิกษุซึ่งตนไม่ขอโอกาสก่อน.

[ว่าด้วยอัทธานสมุฏฐาน]

สองบทว่า อทฺธานนาวํ ปณีตํ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด ชักชวนกันแล้ว เดินทางไกลร่วมกันกับภิกษุณี ๑, ชักชวนกันแล้วขึ้นเรือลำเดียวกับภิกษุณี ๑, ภิกษุใด มิใช่อาพาธ ขอโภชนะ อันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนแล้วฉัน ๑.

สองบทว่า มาตุคาเมน สงฺฆเร ได้แก่ สิกขาบทคือชักชวนกันแล้ว ไปกับมาตุคาม ๑, สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงนำ (ถอน-โกน-ตัด) ขนในที่แคบ ๑.

สองบทว่า ธญฺํ นิมนฺติตา เจว ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงขอข้าวเปลือก ๑, ภิกษุณีใด รับนิมนต์แล้วก็ดี ห้ามโภชนะแล้วก็ดี พึง เคี้ยวของเคี้ยวก็ตาม พึงฉันของฉันก็ตาม ๑.

บทว่า อฏฺ จ ได้แก่ ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบท ที่ตรัสเพื่อภิกษุณี ทั้งหลาย.

 
  ข้อความที่ 42  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 367

[ว่าด้วยเถยยสัตถสมุฏฐาน]

สองบทว่า เถยฺยสตฺถํ อุปสฺสุติ ได้แก่ สิกขาบทคือชักชวนแล้ว เดินทางไกลสายเดียวกันกับพวกเกวียนพวกตั่งผู้เป็นโจร ๑, สิกขาบทคือยืน แอบฟัง ๑.

คำว่า สูปวิญฺาปเนน จ นี้ ตรัสหมายเอาการออกปากขอแกง และข้าวสุก.

สามบทว่า รตฺติ ฉนฺนญฺจ โอกาสํ ได้แก่ ๓ สิกขาบท ที่พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงยืนร่วมหรือพึงเจรจาตัวต่อตัวกับบุรุษ ในราตรีที่มืดไม่มีไฟ ๑, ในโอกาสกำบัง ๑, ในที่กลางแจ้ง ๑.

คำว่า พฺยูเหน สตฺตมา นี้ ตรัสหมายเอาสิกขาบทที่มาเป็นลำดับ แห่งสิกขาบทนั้นนั่นแลว่า กับบุรุษที่ถนนหรือที่ตรอกตัน.

ธัมมเทสนสมุฏฐาน ๑๑ สิกขาบท ตื้นทั้งนั้น.

พึงทราบสมุฏฐานที่เจือกันอยู่นี้ก่อน :-

ส่วนนิยตสมุฏฐานมี ๓ อย่าง, นิยตสมุฏฐานนั้น มีเฉพาะแต่ละสิกขาบท เท่านั้น, เพื่อแสดงนิยตสมุฏฐานนั้นเฉพาะแผนก จึงตรัสคำว่า ภูตํ กาเยน ชายติ เป็นต้น. คำนั้นตื้นทั้งนั้น.

บทว่า เนตฺติธมฺมานุโลมิกํ ได้แก่ อนุโลม แก่ธรรมกล่าวคือ บาลีแห่งวินัย.

สมุฏฐานสีสวัณณนา จบ