วีสติวาร
[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๘
ปริวาร
วีสติวาร
สมุฎฐานแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑ 861/392
กตาปัตติวารแห่งสมุฎฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒ 867/394
อาปัตติสมุฎฐานคาถาที่ ๓ 873/401
วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ 892/419
วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนน้นแห ั ่งสมถะ 893/420
สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑ 894/421
จักรเปยยาลยัตถวารที่ ๑๔ 899/425
สัมมันตินสัมมันติที่ ๑๘ 904/430
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 10]
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 392
วีสติวาร
สมุฏฐานวารแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑
[๘๖๑] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบ ว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติ ทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาษิต หรือ ตอบว่าไม่ ต้องเลย.
[๘๖๒] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้อง อาบัติทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
[๘๖๓] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบ ว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติ ทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ ตอบว่า ไม่ ต้องเลย.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 393
[๘๖๔] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้อง อาบัติทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
[๘๖๕] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย ต้อง อาบัติทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ ตอบว่า บางทีต้อง.
[๘๖๖] มีผู้ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก หรือ ตอบว่า บางที่ต้อง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องถุลลัจจัย หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ หรือ ตอบว่า บางทีต้อง ต้องอาบัติทุพภาสิต หรือ ตอบว่า ไม่ต้องเลย.
สมุฏฐานวารแห่งอาบัติ ๖ ที่ ๑ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 394
กตาปัตติวารแห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒
[๘๖๗] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ คือ
๑. ภิกษุสำคัญว่าควร สร้างกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ไม่ให้สงฆ์แสดง พื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค
๒. เมื่อยังไม่วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุสำคัญว่าควรฉันโภชนะในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๕. ภิกษุสำคัญว่าควร รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือของภิกษุณี มิใช่ญาติ ผู้เข้าไปสู่ละแวกบ้าน ด้วยมือของตนมาฉันต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๑ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา สมุฏฐานอาบัติ ๖ จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือบางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 395
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือบางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๖๘] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติ ๔ คือ
๑. ภิกษุสำคัญว่าควร สั่งว่า จงทำกุฎีให้ฉัน เขาทำกุฎีให้เธอ มิได้ ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏใน ประโยค
๒. เมื่อยังไม่วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุสำคัญว่าควร สอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกันต้อง อาบัติปาจิตตีย์
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๒ ภิกษุต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 396
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๖๙] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ คือ
๑. ภิกษุสำคัญว่าควร จัดการสร้างกุฎี ไม่ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกิน ประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค
๒. เมื่อยังมิได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. เมื่อวางดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุสำคัญว่าควร ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๕. ภิกษุสำคัญว่าควร ไม่ห้ามภิกษุณีผู้สั่งเสียอยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๓ ภิกษุต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางที
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 397
ด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกองอาบัติ ทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๑ บรรดาสมถะ ๑ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๐] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
๑. ภิกษุเสพเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก.
๒. ภิกษุสำคัญว่าควร สร้างกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง มิได้ให้สงฆ์ แสดงที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค
๓. เมื่อยังไม่วางคืนอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๔. เมื่อวางก้อนดินนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร ฉันโภชนะในเวลาวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๖. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร รับของของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี จากมือ ภิกษุณีมิใช่ญาติ ผู้เข้าไปสู่ละแวกบ้าน ด้วยมือตนแล้วฉัน ต้องอาบัติปาฏิ- เทสนียะ
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๔ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 398
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็น ศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกอง อาบัติทุกกฏ
ฃเกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๑] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
๑. ภิกษุมีความปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบคงำ กล่าว อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก
๒. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร สั่งว่า จงสร้างกุฎีให้ฉัน เขาสร้างกุฎีให้ เธอมิได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็น ทุกกฏในประโยค
๓. เมื่อยังไม่ได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๔. เมื่อวางก้อนดินก้อนนั้นแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 399
๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร สอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ต้อง อาบัติปจิตตีย์
๖. ภิกษุไม่ประสงค์จะด่า ไม่ประสงค์จะดูหมิ่น ไม่ประสงค์จะทำให้ เก้อเขิน กล่าวคำเลวทราม ด้วยประสงฆ์จะล้อเล่น ต้องอาบัติทุพภาสิต
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๕ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไรบรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับด้วย สมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ บางทีด้วยกองอาบัติ ทุพภาสิต
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๗ คือ เกิดแต่วาจา กับจิตมิใช่กาย
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๒] ถามว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ คือ
๑. ภิกษุชวนกันไปลักทรัพย์ ต้องอาบัติปาราชิก
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 400
๒. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร จัดการสร้างกุฎี มิได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จับจองไว้ ไม่มีชานรอบ เป็นทุกกฏในประโยค
๓. เมื่อยังไม่ได้วางก้อนดินอีกก้อนหนึ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๔. เมื่อวางก้อนดินก้อนนั้นเสร็จแล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๕. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร ขอโภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตน มาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๖. ภิกษุสำคัญว่าไม่ควร ไม่ห้ามภิกษุณีผู้สั่งเสียอยู่แล้วฉัน ต้องอาบัติ ปาฏิเทสนียะ
ด้วยสมุฏฐานอาบัติที่ ๖ ภิกษุต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดา สมุฏฐานอาบัติ ๖ จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกอง อาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 401
บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
กตาปัตติวารแห่งสมุฏฐานอาบัติ ๖ ที่ ๒ จบ
อาปัตติสมุฏฐานคาถาที่ ๓
[๘๗๓] สมุฏฐานเกิดแต่กาย อัน พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอก แล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้าขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
สมุฏฐานเกิดแต่กาย อันพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลสัตว์โลก ทรงเห็นวิเวกตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่ สมุฏฐานนั้นมี ๔ ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
สมุฏฐานเกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูล แก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวกตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้า ขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่าน บอกข้อนั้น.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 402
สมุฏฐานเกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูล แก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๔ ข้าแต่ท่านผู้ ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอก แล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้าขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอก แล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๕ ข้าแต่ ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้น แก่ท่าน.
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่จิต อัน พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัส บอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้าขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 403
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่จิต อัน พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอก แล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ข้าแต่ท่าน ผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้นแก่ท่าน.
สมุฏฐานเกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อัน พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัส บอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้าขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
สมุฏฐานเกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อัน พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรง เกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็นวิเวก ตรัสบอก แล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐานนั้นมี ๖ ข้าแต่ ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้าบอกข้อนั้น แก่ท่าน.
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็น วิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐาน นั้นมีเท่าไร ข้าพเจ้าขอถาม ข้าแต่ท่านผู้ ฉลาดในวิภังค์ ขอท่านบอกข้อนั้น.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 404
สมุฏฐานเกิดแต่กาย เกิดแต่วาจา เกิดแต่จิต อันพระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นพระนิพพาน ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก ทรงเห็น วิเวก ตรัสบอกแล้ว อาบัติเกิดแต่สมุฏฐาน นั้นมี ๖ ข้าแต่ท่านผู้ฉลาดในวิภังค์ ข้าพเจ้า บอกข้อนั้นแก่ท่าน
อาปัตติสมุฏฐานคาถาที่ ๓ จบ
วิปัตติปัจจัยวารที่ ๔
[๘๗๔] ถามว่า เพราะปัจจัยคือศีลวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร ตอบว่า เพราะปัจจัยคือ ศีลวิบัติ ต้องอาบัติ ๔ คือ
๑. ภิกษุณีรู้อยู่ ปิดปาราชิกธรรม ต้องอาบัติปาราชิก
๒. สงสัย ปิดไว้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. ภิกษุปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๔. ปิดอาบัติชั่วหยาบของตน ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัยคือศีลวิบัติ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 405
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางที ด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๕] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติ ๑ คือ ปิดอาจารวิบัติต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ อาจารวิบัติ ต้องอาบัติ ตัว ๑ นี้
ถามว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับด้วย สมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัตินั้นจัดเป็นวิบัติอันหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติหนึ่ง บรรดากองอาบัติ ๗ คือด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓
บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฎิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๖] ถามว่า เพระปัจจัย คือทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติ ๒ คือ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 406
๑. ไม่สละทิฏฐิอันลามก เพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบญัตติเป็น ทุกกฏ จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
๒. จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เพราะปัจจัย คือ ทิฏฐิวิบัติ ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ... ๔ ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๑ บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดาด้วยกองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วย กองบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือเกิดแต่กาย วาจาและจิต
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๗] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติ ด้วยอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติต้องอาบัติ ๖ คือ ๑. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุผู้ปรารถนา ลามกอันความปรารถนาครอบงำ อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มี ไม่เป็นจริง ต้องอาบัติปาราชิก
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 407
๒. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุถึงความ เป็นผู้เที่ยวสื่อ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๓. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุใด อยู่ในวิหารของท่าน ภิกษุนั้นเป็นพระอรหันต์ เมื่อผู้ฟังเข้าใจ ต้อง อาบัติถุลลัจจัย
๔. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุขอโภชนะ อันประณีต เพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๕. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุณีขอโภชนะ อันประณีต เพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติปาฎิเทสนียะ
๖. เพราะเหตุแห่งอาชีวะ เพราะการณ์แห่งอาชีวะ ภิกษุไม่อาพาธ ขอแกงก็ดี ข้าวสุกก็ดี เพื่อประโยชน์ตนมาฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ อาชีววิบัติ ต้องอาบัติ ๖ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือบางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๖ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติปาฏิเทสนียะ บางทีด้วยกอง อาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 408
เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่วาจา มิใช่กาย มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่ กายกับวาจา มิใช่จิต ๑ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจา กับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสันมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
วิปัตติปัจจัยวาร ที่ ๔ จบ
อธิกรณปัจจัยวาร ที่ ๕
[๘๗๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือวิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ
๑. ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๒. ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติหนึ่ง บรรดาวิบัติ คืออาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 409
เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๗๙] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ
๑. ภิกษุโจทภิกษุด้วยปาราชิกธรรมอันไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๒. โจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสอันไม่มีมูล ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๓. โจทด้วยอาจารวิบัติอันไม่มีมูล ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กาย กับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 410
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๘๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ คือ
๑. ภิกษุณีรู้อยู่ปกปิดปาราชิกธรรม ต้องอาบัติปาราชิก
๒. สงสัยปกปิด ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๓. ภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๔. ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ
เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจาและจิต
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 411
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ.
[๘๘๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร
ตอบว่า เพราะปัจจัยคือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ คือ
๑. ภิกษุณีประพฤติตามภิกษุผู้สงฆ์ยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวด ประกาศห้ามครบ ๓ จบ จบญัตติ เป็นทุกกฏ
๒. จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นถุลลัจจัย
๓. จบกรรมวาจาครั้งสุดท้าย ต้องอาบัติปาราชิก
๔. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเพราะสวด ประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๕. ไม่สละทิฏฐิลามก เพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์
เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ ... ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางที เป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ
สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกอง อาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 412
เกิดด้วยสมุฏฐานหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กาย วาจา และจิต
จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔
ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย กับติณวัตถารกะ ๑.
[๘๘๒] ถามว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัติ นอกนั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔ สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗ เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ จัดเป็น อธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗
ตอบว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัตินอกนั้นไม่ จัดเป็นวิบัติข้อไหน บรรดาวิบัติ ๔ ไม่สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติไหน บรรดา กองอาบัติ ๗ ไม่เกิดด้วยสมุฏฐานไหน บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ ไม่จัดเป็น อธิกรณ์ข้อไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ไม่ระงับด้วยสมถะข้อไหน บรรดาสมถะ ๗ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะเว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย ไม่มีอาบัติอย่างอื่นอีก.
อธิกรณปัจจัยวารที่ ๕ จบ
อนันตรเปยยาล จบ
หัวข้อบอกวาร
[๘๘๓] กติปุจฉาวาร ๑ สมุฏฐานวาร ๑ กตาปัตติวาร ๑ อาปัตติ สมุฏฐานวาร ๑ วิปัตติวาร ๑ กับอธิกรณวาร ๑.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 413
ปริยายวารที่ ๖
[๘๘๔] วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน มีฐานเท่าไร มีวัตถุเท่าไร มีภูมิเท่าไร มีเหตุเท่าไร มีมูลเท่าไร ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน มีฐานเท่าไร มีวัตถุเท่าไร มีภูมิ เท่าไร มีเหตุเท่าไร มีมูลเท่าไร ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน มีฐานเท่าไร มีวัตถุเท่าไร มีภูมิ เท่าไร มีเหตุเท่าไร มีมูลเท่าไร ภิกษุไม่ต้องด้วยอาการเท่าไร อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร
กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน มีฐานเท่าไร มีวัตถุเท่าไร มีภูมิ เท่าไร มีเหตุเท่าไร มีมูลเท่าไร กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร กิจจาธิกรณ์ย่อม ระงับด้วยสมถะเท่าไร.
[๘๘๕] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความ ไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน
ถ. มีฐานเท่าไร
ต. มีฐาน คือ เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘
ถ. มีวัตถุเท่าไร
ต. มีวัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 414
ถ. มีภูมิเท่าไร
ต. มีภูมิ คือ วัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘
ถ. มีเหตุเท่าไร
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓
ถ. มีมูลเท่าไร
ต. มีมูล ๑๒
ถ. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร
ต. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการ ๒ คือ เห็นว่าเป็นธรรม ๑ เห็นว่าไม่ เป็นธรรม ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย เยภุยยสิกา ๑.
[๘๘๖] ถามว่า อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความ ไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน
ถ. มีฐานเท่าไร
ต. มีฐาน คือ วิบัติ ๔
ถ. มีวัตถุเท่าไร
ต. มีวัตถุ คือ วิบัติ ๔
ถ. มีภูมิเท่าไร
ต. มีภูมิ คือ วิบัติ ๔
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 415
ถ. มีเหตุเท่าไร
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓
ถ. มีมูลเท่าไร
ต. มีมูล ๑๔
ถ. ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร
ต. ภิกษุโจทด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยวัตถุ ๑ ด้วยอาบัติ ๑
ถ. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย สติวินัย ๑ ด้วยอมูฬหวินัย ๑ ด้วยตัสสปาปิยสิกา ๑.
[๘๘๗] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน
ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความ ไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน
ถ. มีฐานเท่าไร
ต. มีฐาน คือ กองอาบัติ ๗
ถ. มีวัตถุเท่าไร
ต. มีวัตถุ คือ กองอาบัติ ๗
ถ. มีภูมิเท่าไร
ต. มีภูมิ คือ กองอาบัติ ๗
ถ. มีเหตุเท่าไร
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 416
ถ. มีมูลเท่าไร
ต. มีมูล คือ สมุฏฐานอาบัติ ๖
ถ. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการเท่าไร
ต. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๖ คือ ไม่ละอาย ๑ ไม่รู้ ๑ สงสัย แล้วขืนทำ ๑ สำคัญว่าควรในของไม่ควร ๑ สำคัญว่าไม่ควรในของควร ๑ ลืมสติ ๑
ถ. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วย ปฏิญญาตกรณะ ๑ ด้วยติณวัตถารกะ ๑.
[๘๘๘] ถามว่า กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน
ตอบว่า มีความ โลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความ ไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน
ถ. มีฐานเท่าไร
ต. มีฐาน คือ กรรม ๔
ถ. มีวัตถุเท่าไร
ต. มีวัตถุ คือ กรรม ๔
ถ. มีภูมิเท่าไร
ต. มีภูมิ คือ กรรม ๔
ถ. มีเหตุเท่าไร
ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 417
ถ. มีมูลเท่าไร
ต. มีมูล ๑ คือ สงฆ์
ถ. กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร
ต. กิจเกิดด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยญัตติ ๑ ด้วยอุปโลกน์ ๑
ถ. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะอย่างหนึ่ง คือ ด้วยสัมมุขาวินัย.
[๘๘๙] ถามว่า สมถะ มีเท่าไร
ตอบว่า สมถะมี ๗ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภุยยสิกา ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สมถะมี ๗ เหล่านี้
ถ. บางทีสมถะ ๗ เหล่านี้ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุโดยปริยาย หรือ
ต. บางทีเป็นได้ ก็บางทีเป็นได้อย่างไร คือ วิวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๒ อนุวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๔ อาปัตตาธิกรณ์มีสมถะ ๓ กิจจาธิกรณ์มีสมถะ ๑ อย่างนี้ที่สมถะ ๗ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุ โดยปริยาย.
ปริยายวาร ที่ ๖ จบ
สาธารณวาร ที่ ๗
[๘๙๐] ถามว่า สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ สมถะเท่าไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 418
ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์
ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สมถะ ๕ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ
สมถะ ๔ อย่าง ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา สมถะ ๓ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ
สมถะ ๓ อย่าง ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ สมถะ ๔ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา
สมถะอย่างหนึ่ง ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สมถะ ๖ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
สาธารณวาร ที่ ๗ จบ
ตัพภาคิยวาร ที่ ๘
[๘๙๑] ถามว่า สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วน นั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ สมถะเท่าไร เป็นไปใน ส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ สมถะเท่าไรเป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 419
ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สมถะ ๕ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฎิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ
สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่ง อนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญาณตกรณะ ติณวัตถารกะ
สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่ง อาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา
สมถะอย่างหนึ่ง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สมถะ ๖ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ. ตัพภาคิยวาร ที่ ๘ จบ
วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ
[๘๙๒] สมถะทั่วไปแก่สมถะ สมถะไม่ทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ
ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ อย่างไร สมถะ บางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ
ตอบว่า เยภุยยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 420
สติวินัย ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา
อมูฬหวินัย ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย
ปฏิญญาตกรณะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย
ตัสสปาปิยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ
ติณวัตถารกะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา
สมถะบางอย่าง ทั่วไปแก่สมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่าง ไม่ทั่วไปแก่ สมถะอย่างนี้.
วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไป แก่สมถะ จบ
วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ
[๘๙๓] สมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะเป็นไปในส่วนอื่น แห่งสมถะ สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะบางอย่างเป็น ไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ
ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ อย่างไร สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 421
ตอบว่า เยภุยยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัยเป็นไปในส่วน อื่นแห่งสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ
สติวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอมู- ฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา
อมูฬหวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่ง ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย
ปฏิญญาตกรณะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่น แห่งตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย
ตัสสปาปิยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่น แห่งติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ
ติณวัตถารกะ เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่น แห่งเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา
สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะอย่างนี้.
วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ จบ
สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑
[๘๙๔] สมถะ คือ สัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัย คือ สมถะ สมถะ คือ เยภุยยสิกา เยภุยยสิกา คือ สมถะ สมถะ คือ สติวินัย สติวินัย คือ สมถะ สมถะ คือ อมูฬหวินัย อมูฬหวินัย คือ สมถะ สมถะ คือ ปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะ คือ สมถะ สมถะ คือ ตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกา คือ สมถะ สมถะ คือ ติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะ คือ สมถะ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 422
สมถะเหล่านี้ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เป็นสมถะ มิใช่เป็นสัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัย เป็นสมถะ และเป็นสัมมุขาวินัย
สมถะเหล่านี้ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เป็นสมถะ มิใช่เป็นเยภุยยสิกา เยภุยยสิกา เป็นสมถะ และเป็นเยภุยยสิกา
สมถะเหล่านี้ คือ อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา เป็นสมถะ มิใช่เป็นสติวินัย สติวินัย เป็นสมถะ และเป็นสติวินัย
สมถะเหล่านี้ คือ ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัยเป็นสมถะ มิใช่เป็นอมูฬหวินัย อมูฬหวินัย เป็นสมถะ และเป็นอมูฬหวินัย
สมถะเหล่านี้ คือ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย เป็นสมถะ มิใช่เป็นปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะ เป็นสมถะ และเป็นปฏิญญาตกรณะ
สมถะเหล่านี้ คือ ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เป็นสมถะ มิใช่เป็นตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกา เป็นสมถะ และเป็นตัสสปาปิยสิกา
สมถะเหล่านี้ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา เป็นสมถะ มิใช่เป็นติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะ เป็นสมถะ และเป็นติณวัตถารกะ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 423
[๘๙๕] วินัย คือ สัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัย คือ วินัย วินัย คือ เยภุยยสิกา เยภุยยสิกา คือ วินัย วินัย คือ สติวินัย สติวินัย คือ วินัย วินัย คือ อมูฬหวินัย อมูฬหวินัย คือ วินัย วินัย คือ ปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะ คือ วินัย วินัย คือ ตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกา คือ วินัย วินัย คือ ติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะ คือ วินัย.
สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑ จบ
วินัยวารที่ ๑๒
[๘๙๖] วินัย บางอย่างเป็นสัมมุขาวินัย บางอย่างไม่เป็นสัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัย เป็นวินัย และเป็นสัมมุขาวินัย
วินัยบางอย่างเป็นเยภุยยสิกา บางอย่างไม่เป็นเยภุยยสิกา เยภุยยสิกา เป็นวินัย และเป็นเยภุยยสิกา
วินัยบางอย่างเป็นสติวินัย บางอย่างไม่เป็นสติวินัย สติวินัย เป็นวินัย และเป็นสติวินัย
วินัยบางอย่างเป็นอมูฬหวินัย บางอย่างไม่เป็นอมูฬหวินัย อมูฬหวินัย เป็นวินัย และเป็นอมูฬหวินัย
วินัยบางอย่างเป็นปฏิญญาตกรณะ บางอย่างไม่เป็นปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะ เป็นวินัย และเป็นปฏิญญาตกรณะ
วินัยบางอย่างเป็นตัสสปาปิยสิกา บางอย่างไม่เป็นตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกา เป็นวินัย และเป็นตัสสปาปิยสิกา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 424
วินัยบางอย่างเป็นติณวัตถารกะ บางอย่างไม่เป็นติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะเป็นวินัย แสะเป็นติณวัตถารกะ.
วินัยวารที่ ๑๒ จบ
กุศลวารที่ ๑๓
[๘๙๗] สัมมุขาวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
เยภุยยสิกา เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
สติวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
อมูฬหวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
ปฏิญญาตกรณะ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
ตัสสปาปิยสิกา เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
ติณวัตถารกะ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
สัมมุขาวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต สัมมุขาวินัย เป็น อกุศลไม่มี
เยภุยยสิกา บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
สติวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
อมูฬหวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
ปฏิญญาตกรณะ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต ตัสสปาปิยสิกา บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
ติณวัตถารกะ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 425
[๘๙๘] วิวาทาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต อนุวาทาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต อาปัตตาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต กิจจาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
วิวาทาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
อนุวาทาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
อาปัตตาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
อาปัตตาธิกรณ์ เป็นกุศลไม่มี
กิจจาธิกรณ์ บางเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต
กุศลวารที่ ๑๓ จบ
จักรเปยยาล ยัตถวาร ที่ ๑๔
[๔๙๙] เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุ- ขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะไม่ได้
สติวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สติวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกาไม่ได้
อมูฬหวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยไม่ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ ที่ใด อมูฬหวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา และสติวินัยไม่ได้
ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ตัสสปาปิยสิกะ ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย และอมูฬหวินัยไม่ได้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 426
ตัสสปาปิยสิกใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ ที่ใด ตัสสปาปิยสิกาใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และปฏิญญาตกรณะไม่ได้
ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ ทีใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ ที่ใด ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกาไม่ได้.
[๙๐๐] เยภุยยสิกา ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัย มี ณ ที่ใด เยภุยยสิกามี ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นไม่มีสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ
สติวินัยมี ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยมี ณ ที่ใด สติวินัยมี ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นไม่มีอมูฬหวินัย ปฏิญญาติกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกา คือ (จัดสัมมุขาวินัยเป็นมูล) ... ติณวัตถารกะ มี ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยมี ณ ที่ใด ติณวัตถารกะมี ณ ที่นั้น ณ ที่นั้น ไม่มีเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกา.
จักรเปยยาล ยัตถวาร ที่ ๑๔ จบ
สมยวาร ที่ ๑๕
[๙๐๑] สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับเยภุยยสิกา สมัยนั้น เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ แห่งใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งใด เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ แห่งนั้น สติวินัย อมูฬหวินัย ปฎิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ ใช้ไม่ได้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 427
สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับสติวินัย สมัยนั้น สติวินัย ใช้ได้ ณ แห่งใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งใด สติวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น แต่ ณ แห่งนั้น อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกา ใช้ไม่ได้
สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับอมูฬหวินัย สมัยนั้น อมู- ฬหวินัยใช้ได้ ณ แห่งใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ แห่งใด อมูฬหวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น แต่ ณ แห่งนั้นปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา และสติวินัย ใช้ไม่ได้
สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัย กับปฏิญญาตกรณะ สมัยนั้น ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ แห่งใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ แห่งใด ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ แห่งนั้น แต่ ณ แห่งนั้น ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย และอมูฬหวินัย ใช้ไม่ได้
สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับตัสสปาปิยสิกา สมัยนั้น ตัสสปาปิยสิกาใช้ได้ ณ แห่งใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัย ใช้ได้ ณ แห่งใด ตัสสปาปิยสิกาใช้ได้ ณ แห่งนั้น แต่ ณ แห่งนั้น ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และปฏิญญาตกรณะ ใช้ไม่ได้
สมัยใด อธิกรณ์ระงับด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ สมัยนั้น ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ แห่งใดสัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งนั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ แห่งใด ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ แห่งนั้น แต่ ณ แห่งนั้น เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกา ใช้ไม่ได้.
สมยวาร ที่ ๑๕ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 428
สังสัฏฐวาร ที่ ๑๖
[๙๐๒] ถามว่า ธรรมเหล่านี้ คือ อธิกรณ์ก็ดี สมถะก็ดี รวมกัน หรือแยกกันและนักปราชญ์พึงได้เพื่อยักย้ายบัญญัติธรรมเหล่านี้ทำให้ต่างกัน ธรรมเหล่านี้ คืออธิกรณ์ก็ดี สมถะก็ดี รวมกันไม่แยกกัน และนักปราชญ์พึง ได้เพื่อยักย้ายบัญญัติธรรมเหล่านี้ทำให้ต่างกัน หรือ
ตอบว่า ข้อนั้นนักปราชญ์ไม่พึงกล่าวว่าอย่างนั้น ธรรมเหล่านี้คือ อธิกรณ์ก็ดี สมถะก็ดี รวมกัน ไม่แยกกัน และนักปราชญ์ไม่พึงได้เพื่อยักย้าย บัญญัติธรรมเหล่านี้ทำให้ต่างกัน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้แล้วมิใช่หรือว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อธิกรณ์ ๔ นี้ สมถะ ๗ อธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ สมถะระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างนี้ ธรรมเหล่านี้จึงรวมกัน ไม่ แยกกัน และนักปราชญ์ไม่พึงได้เพื่อยักย้ายบัญญัติธรรมเหล่านี้ทำให้ต่างกัน.
สังสัฏฐวาร ที่ ๑๖ จบ
สัมมันติวาร ที่ ๑๗
[๙๐๓] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร กิจจาธิกรณ์ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑
อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๔ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 429
อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะอย่างหนึ่ง คือ สัมมุขาวินัย
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ อย่างคือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑
ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๖ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
ถ. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อาปัตตาธิกรณ์ดับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 430
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะ ๗ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสาปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๗ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
สัมมันติวารที่ ๑๗ จบ
สัมมันติ นสัมมันติวารที่ ๑๘
[๙๐๔] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วย สมถะเท่าไร อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 431
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิก ๑ ติณวัตถารกะ ๑
อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ สัมมุขาวินัยไม่ระงับด้วยสมถะ ๖ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฎิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สัมมุขา วินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับ ด้วยสมถะ ๒ คือ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะท่าไร ไม่ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขา วินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วย สมถะ ๓ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 432
ถ. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๖ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ เยภุยยสิกา
ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขา วินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับ ด้วยสมถะเท่าไร
ต. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุขา วินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 433
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะ ๗ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ปฏิญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
ถ. อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วย สมถะ ๖ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ เยภุยยสิกา
ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๗ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
สัมมันติ นสัมมันติวารที่ ๑๘ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 434
สมถาธิกรณวารที่ ๑๙
[๙๐๕] ถามว่า สมถะ ระงับด้วยสมถะ สมถะ ระงับด้วยอธิกรณ์ อธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์ ระงับด้วยอธิกรณ์ หรือ
ตอบว่า สมถะบางอย่างระงับด้วยสมถะ สมถะบางอย่างไม่ระงับ ด้วยสมถะ สมถะบางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วย อธิกรณ์ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์บางอย่าง ระงับด้วยอธิกรณ์ อธิกรณ์บางอย่าง ไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
[๙๐๖] ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่าง ระงับด้วยสมถะ สมถะ บางอย่าง ไม่ระงับด้วยสมถะ
ตอบว่า เยภุยยสิกา ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ
สติวินัย ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยอมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกา
อมูฬหวินัย ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภะยยสิกา และสติวินัย
ปฏิญญาตกรณะ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย และอมูฬหวินัย
ตัสสปาปิยสิกา ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และปฎิญญาตกรณะ
ติณวัตถารกะ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 435
อย่างนี้ สมถะบางอย่าง ระงับด้วยสมถะ อย่างนี้ สมถะบางอย่าง ไม่ระงับด้วยสมถะ.
[๙๐๗] ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่าง ระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างไร สนถะบางอย่าง ไม่ระงับด้วยอธิกรณ์
ตอบว่า สัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
เยภุยยสิกา ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
สติวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
อมูฬหวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
ปฏิญญาตกรณะ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
ตัสสปาปิยสิกา ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
ติณวัตถารกะ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
อย่างนี้ สมถะบางอย่าง ระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างนี้ สมถะบางอย่าง ไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 436
[๙๐๘] ถามว่า อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย และเยภุยยสิกา ไม่ ระงับด้วยสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และตัณวัตถารกะ
อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย และ ตัสสปาปิยสิกา ไม่ระงับด้วยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ และติณวัตถารกะ
อาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ และติณวัตถารกะ ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และตัสสปาปิยสิกา
กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ
อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่าง ไม่ระงับด้วยสมถะ.
[๙๐๙] ถามว่า อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
อนุวาทาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
อาปัตตาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 437
กิจจาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์
อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างนี้ อธิกรณ์บาง อย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
[๙๑๐] สมถะทั้ง ๖ อย่าง อธิกรณ์ทั้ง ๔ อย่าง ระงับด้วยสัมมุขาวินัย แต่สัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยอะไร.
สมถาธิกรณวาร ที่ ๑๙ จบ
สมุฏฐาเปติวาร ที่ ๒๐
[๙๑๑] ่ ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดขึ้นได้
มีอุปมาเหมือนอะไร
เหมือนภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมวิวาทกันว่า
นี้ เป็นธรรม นี้ ไม่เป็นธรรม
นี้ เป็นวินัย นี้ ไม่เป็นวินัย
นี้ พระตถาคตเจ้าตรัสภาษิตไว้ นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสภาษิตไว้
นี้ พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรง ประพฤติมา
นี้ พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติ ไว้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 438
นี้ เป็นอาบัติ นี้ ไม่เป็นอาบัติ
นี้ เป็นอาบัติเบา นี้ เป็นอาบัติหนัก
นี้ เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ นี้ เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
นี้ เป็นอาบัติชั่วหยาบ นี้ เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความทุ่มเถียง การ กล่าวต่างกัน การกล่าวโดยประการอื่น การพูดเพื่อความกลัดกลุ้มใจ ความ หมายมั่นในเรื่องนั้น อันใด นี้เรียกว่า วิวาทาธิกรณ์ สงฆ์วิวาทกันในวิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาทกัน ย่อมโจท จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ สงฆ์ทำกรรมตามอาบัตินั้น จัดเป็นกิจจาธิกรณ์
เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
[๙๑๒] ถามว่า อนุวาทาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด
ตอบว่า อนุวาทาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะ ปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้
มีอุปมาเหมือนอะไร
เหมือนภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยเหล่านี้ ย่อมโจทภิกษุด้วยศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ หรืออาชีววิบัติ การโจท การกล่าวหา การฟ้องร้อง การประท้วง ความเป็นผู้คล้อยตาม การทำความอุตสาหะโจท การตามเพิ่ม กำลังให้ ในเรื่องนั้น อันใด นี้เรียกว่า อนุวาทาธิกรณ์
สงฆ์ย่อมวิวาทกันในอนุวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาท ย่อมโจท จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ สงฆ์ทำกรรรมตามอาบัตินั้น จัดเป็นกิจจาธิกรณ์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 439
เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
[๙๑๓] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด
ตอบว่า อาปัตตาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะ ปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดขึ้นได้
มีอุปมาเหมือนอะไร
เหมือนกองอาบัติทั้ง ๕ ชื่ออาปัตตาธิกรณ์ กองอาบัติทั้ง ๗ ก็ชื่อ อาปัตตาธิกรณ์ นี้เรียกว่า อาปัตตาธิกรณ์
สงฆ์ย่อมวิวาทกันในอาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาท ย่อมโจท จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ สงฆ์ย่อมทำกรรมตามอาบัตินั้น จัดเป็นกิจจาธิกรณ์
เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
[๙๑๔] ถามว่า กิจจาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๕ ข้อไหนให้เกิด
ตอบว่า กิจจาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้
มีอุปมาเหมือนอะไร
เหมือนความมีแห่งกรรมที่จะพึงทำ ความมีแห่งกิจที่จะต้องทำ แห่ง สงฆ์ อันใด คือ อุปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม นี้ เรียกว่า กิจจาธิกรณ์
สงฆ์ย่อมวิวาทกันในกิจจาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาท ย่อมโจท จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ สงฆ์ย่อมทำกรรมตามอาบัตินั้น จัดเป็นกิจจาธิกรณ์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 440
เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
สมุฏฐานเปติวาร ที่ ๒๐ จบ
สมถเภท
[๙๑๕] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนแอบอิง อธิกรณ์ข้อไหน นับเนื่องถึงอธิกรณ์ข้อไหน สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน
อนุวาทาธิกรณ์จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน นับเนื่องถึงอธิกรณ์ข้อไหน สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน
อาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน นับเนื่องถึงอธิกรณ์ข้อไหน สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน
กิจจาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน นับ เนื่องถึงอธิกรณ์ข้อไหน สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ แอบอิงวิวาทาธิกรณ์ นับเนื่องถึงวิวาทาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยวิวาทาธิกรณ์
อนุวาทาธิกรณ์ จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ แอบอิง อนุวาทาธิกรณ์ นับเนื่องถึงอนุวาทาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยอนุวาทาธิกรณ์
อาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ แอบอิง อาปัตตาธิกรณ์ นับเนื่องถึงอาปัตตาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยอาปัตตาธิกรณ์
กิจจาธิกรณ์ จัดเป็นกิจจาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ แอบอิงกิจจาธิกรณ์ นับเนื่องถึงกิจจาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยกิจจาธิกรณ์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 441
[๙๑๖] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗ แอบอิงอาศัยสมถะเท่าไร นับเนื่องในสมถะเท่าไร สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร ระงับด้วยสมถะเท่าไร
อนุวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ เท่าไร นับเนื่องในสนถะเท่าไร สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร ระงับด้วยสมถะ เท่าไร
อาปัตตาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะเท่า ไร นับเนื่องในสมถะเท่าไร สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร ระงับด้วยสมถะเท่าไร
กิจจาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะเท่าไร นับเนื่องในสมถะเท่าไร สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร ระงับด้วยสมถะเท่าไร
ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๒ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๒ นับเนื่องในสมณะ ๒ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๒ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑
อนุวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๔ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๔ นับเนื่องในสมถะ ๔ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุ- ขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
อาปัตตาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๓ นับเนื่องในสมถะ ๓ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๓ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุ- ขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
กิจจาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๑ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๑ นับ เนื่องในสมถะ ๑ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๑ ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ สัมมุขาวินัย.
สมถเภท จบ
วีสติวาร จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 442
หัวข้อประจำวาร
[๙๑๗] ปริยายวาร ๑ สาธารณวาร ๑ ตัพภาติยวาร ๑ สมถสาธารณวาร ๑ สมถตัพภาติยวาร ๑ สมถสัมมุขาวินัยวาร ๑ วินัยวาร ๑ กุศลวาร ๑ ยัตถวาร ๑ สมยวาร ๑ สังสัฏฐวาร ๑ สัมมันติวาร ๑ นสัมมันติวาร ๑ สมถาธิกรณวาร ๑ สมุฏฐาเปิวาร ๑ อธิกรณ์บ่งถึงอธิกรณ์ ๑.
หัวข้อประจำวาร จบ