พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

เสทโมจนคาถา และ เสทโมจนคาถาวัณณนา

 
บ้านธัมมะ
วันที่  13 มี.ค. 2565
หมายเลข  42872
อ่าน  621
  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 938

เสทโมจนคาถา

[๑,๒๙๖] บุคคลไม่มีสังวาสกับภิกษุ และภิกษุณี การสมโภคบางอย่าง อันภิกษุ และภิกษุณีย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น ไม่ต้อง อาบัติเพราะไม่อยู่ปราศ ปัญหาข้อนี้ ท่าน ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๒๙๗] ครุภัณฑ์ ๕ อย่าง อัน พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ตรัสว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้จำหน่าย ผู้ใช้สอย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๒๙๘] ข้าพเจ้าไม่กล่าวถึง บุคคล ๑๐ จำพวก เว้นบุคคล ๑๑ จำพวกเสีย ภิกษุ ไหว้ผู้แก่กว่าต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่าน ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๒๙๙] ภิกษุไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร ไม่ ใช่ผู้อยู่ปริวาส ไม่ใช่ผู้ทำลายสงฆ์และไม่ ใช่ผู้หลีกไปเข้ารีตตั้งอยู่ในภูมิของภิกษุผู้มี สังวาสเสมอกัน ไฉนจงไม่ทั่วไปแก่สิกขา ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 939

[๑,๓๐๐] บุคคลเข้าถึงธรรม ไต่ถาม กุศลที่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่ผู้เป็นอยู่ ไม่ใช่ผู้ตาย ไม่ใช่ผู้นิพพาน ท่านผู้รู้ทั้งหลายเรียกบุคคลนั้นว่าอย่างไร ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายติดกันแล้ว.

[๑,๓๐๑] ไม่พูดถึงอวัยวะเหนือรากขวัญขึ้นไป เว้นอวัยวะใต้สะดือลงมา ภิกษุ พึงต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็น ปัจจัยได้อย่างไร ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๒] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอ เอาเอง ไม่ได้ให้สงฆ์แสดงพื้นที่ เกินประมาณ มีผู้จองไว้ หาชานรอบมิได้ ไม่ต้อง อาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๓] ภิกษุทำกุฎีด้วยอาการขอ เอาเอง ให้สงฆ์แสดงฟื้นที่แล้วได้ประมาณ ไม่มีผู้จอง มีชานรอบ แต่ต้องอาบัติ ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๔] ไม่ประพฤติประโยคอะไร ทางกาย และไม่พูดคนอื่นๆ ด้วยวาจา

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 940

แต่ต้องอาบัติหนักซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความขาด ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๕] สัตบุรุษ ไม่ทำความชั่ว อะไรทางกายและทางวาจา แม้ทางใจผู้นั้น ถูกสงฆ์นาสนะแล้วชื่อว่าถูกนาสนะด้วยดี เพราะเหตุใด ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งคิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๖] ภิกษุไม่เจรจากับมนุษย์ ไรๆ ด้วยวาจา และไม่กล่าวถ้อยคำกะผู้อื่น แต่ต้องอาบัติทางวาจา มิใช่ทางกาย ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๗] สิกขาบท อันพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐพรรณนาไว้แล้วสังฆาทิเลส ๔ สิกขาบท ภิกษุณีต้องทั้งหมด ด้วยประโยค เดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๐๘] ภิกษุณี ๒ รูป อุปสมบท แต่สงฆ์ฝ่ายเดียว ภิกษุรับจีวรแต่มือของ ภิกษุณี ๒ รูป ต้องอาบัติต่างกัน ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 941

[๑,๓๐๙] ภิกษุ ๔ รูป ชวนกันไป ลักครุภัณฑ์ ๓ รูปเป็นปาราชิก รูป ๑ ไม่เป็น ปาราชิก ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๐] สตรีอยู่ข้างใน ภิกษุอยู่ ข้างนอก ช่องไม่มีในเรือนนั้น ภิกษุจะพึง ต้องอาบัติปาราชิกเพราะเมถุนธรรมเป็น ปัจจัยได้อย่างไร ปัญหาข้อนี้ ท่านทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๑] ภิกษุรับประเคนน้ำมัน น้ำ ผึ้ง น้ำอ้อย และเนยใสด้วยตนเองแล้วเก็บ ไว้ เมื่อยังไม่ล่วงสัปดาห์ เมื่อปัจจัยมีอยู่ ฉัน ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๒] อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ อาบัติสุทธิกปาจิตตีย์ ภิกษุต้องพร้อมกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๓] ภิกษุ ๒๐ รูป มาประชุม กันสำคัญว่าพร้อมเพรียงจึงทำกรรม ภิกษุ อยู่ในที่ ๒ โยชน์ พึงยังกรรมนั้นให้เสียได้ เพราะปัจจัยคือเป็นวรรค ปัญหาข้อนี้ ท่าน ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 942

[๑,๓๑๔] ภิกษุต้องครุกาบัติล้วน ๖๔ ที่ทำคืนได้ ด้วยอาการเพียงย่างเท้า และด้วย กล่าววาจาคราวเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ท่านผู้ ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๕] ภิกษุนุ่งผ้าอันตรวาสก ห่มผ้าสังฆาฏิ ๒ ชั้น ผ้าทั้งหมดนั้นเป็น นิสสัคคีย์ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๖] ญัตติก็ไม่ใช่ กรรมวาจา ก็ไม่เชิง และพระชินเจ้า ก็ไม่ได้ตรัสว่า เอหิภิกขุ แม้สรณคมน์ก็ไม่มีแก่เธอ แต่ อุปสัมปทาของเธอไม่เสีย ปัญหาข้อนี้ ท่าน ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๗] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่า สตรีซึ่งมิใช่มารดา และฆ่าบุรุษซึ่งมิใช่บิดา ฆ่าบุคคลผู้มิใช่อริยะ แต่ต้องอนันตริยกรรม เพราะเหตุนั้น ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๘] บุคคลผู้โฉดเขลา ฆ่าสตรี ผู้เป็นมารดา ฆ่าบุรุษผู้เป็นบิดาครั้นฆ่าบิดา มารดาแล้ว แต่ไม่ต้องอนันตริยกรรมเพราะ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 943

โทษนั้น ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

[๑,๓๑๙] ภิกษุไม่โจท ไม่สอบสวน แล้วทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ลับหลัง และ กรรมที่ทำแล้วเป็นอันทำชอบแล้ว ทั้งการก สงฆ์ไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๐] ภิกษุโจท สอบสวนแล้ว ทำกรรมแก่บุคคลผู้อยู่ต่อหน้า และกรรมที่ ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ทั้งการกสงฆ์ก็ต้อง อาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิด กันแล้ว.

[๑,๓๒๑] ภิกษุตัด ต้องอาบัติก็มี ไม่ต้องอาบัติก็มี ภิกษุปกปิดต้องอาบัติก็มี ไม่ ต้องอาบัติก็มี ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว

[๑,๓๒๒] ภิกษุพูดจริง ต้องอาบัติ หนัก พูดเท็จต้องอาบัติเบา พูดเท็จต้อง อาบัติหนัก และพูดจริงต้องอาบัติเบา ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 944

[๑,๓๒๓] ภิกษุบริโภคจีวรที่อธิษฐาน แล้ว ย้อมด้วยน้ำย้อมแล้ว แม้กัปปะก็ทำ แล้ว ยังต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๔] เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ภิกษุฉันเนื้อ เธอไม่ใช่ผู้วิกลจริต ไม่ใช่ผู้ มีจิตฟุ้งซ่าน และไม่ใช่ผู้กระสับกระส่าย เพราะเวทนา แต่เธอไม่ต้องอาบัติ ก็ธรรม ข้อนั้น อันพระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๕] เธอไม่ใช่ผู้มีจิตกำหนัด และไม่ใช่ผู้มีไถยจิต และแม้ผู้อื่นเธอก็ไม่ ได้คิดจะฆ่า ความขาดย่อมมีแก่เธอผู้ให้จับ สลาก เป็นอาบัติถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้จับ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๖] ไม่ใช่เสนาสนะป่าที่รู้กัน ว่ามีความรังเกียจ และไม่ใช่สงฆ์ให้สมมติ ทั้งกฐินเธอไม่ได้กราน เธอเก็บจีวรไว้ ณ ที่นั้นเอง แล้วไปตั้งกึ่งโยชน์เมื่ออรุณขึ้น เธอนั่นแหละไม่ต้องอาบัติ ปัญหาข้อนี้ ท่าน ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 945

[๑,๓๒๗] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทาง กาย มิใช่ทางวาจา ต่างวัตถุกัน ภิกษุต้อง ในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๘] อาบัติทั้งมวลที่เป็นไปทาง วาจา มิใช่ทางกายต่างวัตถุกัน ภิกษุต้องใน ขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๒๙] ไม่เสพเมถุนนั้นในสตรี ๓ จำพวก บุรุษ ๓ จำพวก คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก และบัณเฑาะก์ ๓ จำพวก และ ไม่ประพฤติเมถุนในอวัยวะที่ปรากฏ แต่ ความขาดย่อมมีเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๐] ขอจีวรกะมารดา และไม่ ได้น้อมลาภไปเพื่อสงฆ์ เพราะเหตุไร ภิกษุ นั้นจึงต้องอาบัติ แต่ไม่ต้องอาบัติเพราะ บุคคลผู้เป็นญาติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๑] ผู้โกรธ ย่อมให้สงฆ์ยินดี ผู้โกรธ ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรมที่เป็น

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 946

เหตุให้สงฆ์สรรเสริญผู้โกรธนั้น ชื่ออะไร ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๒] ผู้แช่มชื่น ย่อมให้สงฆ์ ยินดี ผู้แช่มชื่น ย่อมถูกสงฆ์ติเตียน ก็ธรรม ที่เป็นเหตุให้สงฆ์ติเตียนผู้แช่มชื่นนั้นชื่อ อะไร ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิด กันแล้ว.

[๑,๓๓๓] ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ และทุกกฏ ในขณะเดียวกัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๔] ทั้งสองมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งสองมีอุปัชฌาย์คนเดียวกัน มีอาจารย์คน เดียวกัน มีกรรมวาจาอันเดียวกัน รูปหนึ่ง เป็นอุปสัมบัน รูปหนึ่งเป็นอนุปสัมบัน ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๕] ผ้าที่ไม่ได้ทำกัปปะ และ ไม่ได้ย้อมด้วยน้ำย้อม ภิกษุปรารถนา พึง แสวงหามานุ่งห่ม และเธอไม่ต้องอาบัติ ก็ ธรรมอันนั้นพระสุคตทรงแสดงแล้ว ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 947

[๑,๓๓๖] ภิกษุณีไม่ให้ ไม่รับ การ รับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติหนัก มิใช่ อาบัติเบา และการต้องนั้น เพราะการ บริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๗] ภิกษุณีไม่ไห้ ไม่รับ การ รับไม่มีด้วยเหตุนั้น แต่ต้องอาบัติเบา ไม่ใช่ อาบัติหนัก และการต้องนั้น เพราะการ บริโภคเป็นปัจจัย ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด ทั้งหลายคิดกันแล้ว.

[๑,๓๓๘] ภิกษุณีต้องอาบัติหนักมี ส่วนเหลือ ปกปิดไว้ เพราะอาศัยความไม่ เอื้อเฟื้อ ไม่ใช่ภิกษุณีก็ไม่ต้องโทษ ปัญหา ข้อนี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.

เสทโมจนคาถา จบ

หัวข้อประจำเรื่อง

[๑,๓๓๙] ไม่มีสังวาส ไม่จำหน่าย บุคคล ๑๐ ไม่ใช่ผู้ถูกยกวัตร เข้าถึงธรรม อวัยวะเหนือรากขวัญ ต่อนั้น ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง ๒ สิกขาบท ไม่ประพฤติประโยคทางกาย แต่ต้องอาบัติหนัก ไม่ทำความชั่ว

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 948

ทางกายแต่ถูกสงฆ์ นาสนะชอบแล้ว ไม่เจรจา สิกขาบท ชน ๒ คน และ ชน ๔ คน สตรี น้ำมัน นิสสัคคีย์ ภิกษุ ย่างเท้าเดิน นุ่งผ้า ไม่ใช่ญัตติ ฆ่าสตรีมิใช่มารดา ฆ่าบุรุษมิใช่บิดา ไม่โจท โจท ตัด พูดจริง ผ้าที่อธิษฐาน พระอาทิตย์อัสดงแล้ว ไม่กำหนัด มิใช่เสนาสนะป่า อาบัติทางกาย ทางวาจา สตรี ๓ จำพวก มารดาโกรธให้ยินดี แช่มชื่น ต้องสังฆาทิเสส สองคน ผ้าไม่ได้ทำกัปปะ ไม่ให้ ไม่ให้ต้องอาบัติหนัก คาถาที่คิดจนเหงื่อไหล เป็น ปัญหาที่ท่านผู้รู้ให้แจ่มแจ้งแล้วแล.

หัวข้อประจำเรื่อง จบ

เสทโมจนคาถา วัณณนา

วินิจฉัยในเสทโมจนคาถา

พึงทราบดังนี้ :-

บทว่า อสํวาโส มีความว่า ผู้ไม่มีสังวาส ด้วยสังวาส มีอุโบสถ และปวารณาเป็นต้น.

หลายบทว่า สมฺโภโค เอกจฺโจ ตหึ น ลพฺภติ มีความว่า การสมโภคที่ไม่สมควร อันภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ในบุคคลนั้น แต่บุคคลนั้น อันภิกษุณีผู้มารดาเท่านั้น ย่อมได้เพื่อทำการเลี้ยงดูด้วยอาการ ให้อาบน้ำและให้บริโภคเป็นต้น.

สองบทว่า อวิปฺปวาเสน อนาปตฺติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะนอนร่วมเรือน (แก่ภิกษุณี).

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 949

หลายบทว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา มีความว่า ปัญหา ข้อนี้ อันผู้ฉลาดคือบัณฑิตทั้งหลาย คิดกันแล้ว.

คำตอบปัญหานั้น พึงทราบด้วยภิกษุณีผู้เป็นมารดาของทารก.

จริงอยู่ คำตอบนั้น ตรัสหมายถึงบุตรของภิกษุณีนั้น.

คาถาว่าด้วยของไม่ควรจำหน่าย ตรัสหมายถึงครุภัณฑ์. ก็เนื้อความ แห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้ว ในวาระที่วินิจฉัยด้วยภัณฑ์.

หลายบทว่า ทส ปุคฺคเล น วทามิ มีความว่า ข้าพเจ้าไม่กล่าว ถึงบุคคล ๑๐ จำพวก ที่กล่าวแล้วในเสนาสนขันธกะ.

หลายบทว่า เอกาทส วิวชฺชิย มีความว่า มิได้กล่าวถึงบุคคลควร เว้น ๑๑ จำพวก ที่ได้กล่าวแล้วในมหาขันธกะ. ปัญหานี้ตรัสหมายถึงภิกษุผู้ เปลือยกาย.

ปัญหาที่ว่า กถํ นุ สิกฺขาย อสาธารโณ นี้ ตรัสหมายถึง ภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม. จริงอยู่ ภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผมนี้ ไม่ได้เพื่อ รักษามีดโกนไว้. แต่ภิกษุเหล่าอื่น ย่อมได้; เพราะเหตุนั้นภิกษุผู้เคยเป็นช่าง โกนผม จึงชื่อว่าผู้ไม่ทั่วไม่เฉพาะสิกขา.

ปัญหาที่ว่า ตํ ปุคฺคลํ กตมํ วทนฺติ พุทฺธา นี้ ตรัสหมายถึง พระพุทธนิรมิต.

สองบทว่า อโธนาภึ วิวชฺชิย มีความว่า เว้นภายใต้สะดือเสีย. ปัญหานี้ตรัสหมายถึงตัวกพันธะ๑ ไม่มีศีรษะ ที่มีตาและปากอยู่ที่อก.


(๑) ตัวกะพันธะ เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดเข้าในพวกอมนุษย์ ท่านว่าเป็น สัตว์ อยู่คงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก. ทำนองเดียวกับตัวเวตาลกระมัง คำว่าอยู่คงกระพัน ก็ออกมาจากคำนี้.

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 950

ปัญหาที่ว่า ภิกขุ สญฺาจิกาย กุฏึ นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีมีหญ้า เป็นเครื่องมุง.

ปัญหาที่ ๒ กล่าวหมายถึงกุฎีที่แล้วด้วยดินล้วน.

ปัญหาที่ว่า อาปชฺเชยฺย ครุกํ เฉชฺชวตฺถุํ นี้ ตรัสหมายถึง ภิกษุณีผู้ปิดโทษ.

ปัญหาที่ ๒ ตรัสหมายถึงอภัพบุคคล มีบัณเฑาะก์เป็นต้น. จริงอยู่ อภัพบุคคลเหล่านั่น ทั้ง ๑๑ จำพวก ต้องปาราชิกในเพศคฤหัสถ์แล้วแท้.

บทว่า วาจา ได้แก่ ไม่บอกวาจา.

หลายบทว่า คิรํ โน จ ปเร ภเณํยฺย มีความว่า ภิกษุไม่พึง เปล่งแม้ซึ่งสำเนียงด่าบุคคลเหล่าอื่น ด้วยหมายว่า ชนเหล่านี้ จักฟังอย่างนี้ ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงมุสาวาทนี้ว่า ภิกษุใด ไม่พึงเปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ สัมปชานมุสาวาททุกกฏ ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น จริงอยู่ ธรรมดาอาบัติในมโนทวาร ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้นั่งนิ่งด้วยปฏิญญาไม่เป็นธรรม แต่เพราะเหตุที่ไม่เปิด เผยอาบัติ ซึ่งควรเปิดเผย อาบัตินี้ พึงทราบว่า เกิดแต่การไม่กระทำใน วจีทวารของภิกษุนั้น.

ปัญหาที่ว่า สงฺฆาทิเสสา จตุโร นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณีผู้ก้าวลง สู่ฝั่งแม่น้ำ ที่นับเนื่องในละแวกบ้าน ในเวลาอรุณขึ้น. จริงอยู่ ภิกษุณีนั้น แต่พอออกจากบ้านของตน ในเวลาใกล้รุ่ง ก้าวลงสู่ฝั่งแม่น้ำ ซึ่งมีประการ ดังกล่าวแล้ว ในเวลาอรุณขึ้น ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๔ ตัว ซึ่งกำหนด ด้วยการอยู่ปราศจากเพื่อนตลอดราตรี ไปสู่ละแวกบ้านตามลำพัง ไปสู่ฝั่ง แม่น้ำตามลำพัง ล้าหลังพวกไปคนเดียว พร้อมกันทีเดียว.

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 951

ปัญหาที่ว่า สิยา อาปตฺติโย นานา นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุณี ๒ รูป ผู้อุปสมบท แต่สงฆ์ฝ่ายเดียว. จริงอยู่ ในภิกษุณี ๒ รูปนั้นเป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับ (จีวร) จากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุทั้งหลายฝ่าย เดียว. เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้รับจากมือภิกษุณี ผู้อุปสมบท ในสำนักภิกษุณี ทั้งหลายฝ่ายเดียว.

หลายบทว่า จตุโร ชนา สํวิธาย มีความว่า อาจารย์ ๑ และ อันเตวาสิก ๓ ลักภัณฑะ ๖ มาสก. คือ ของอาจารย์ ลักด้วยมือของตนเอง ๓ มาสก สั่งให้ลักอีก ๓ มาสก เพราะฉะนั้น อาจารย์ต้องถุลลัจจัย. ฝ่ายของ พวกอันเตวาสิก ลักด้วยมือของตนเองรูปละ ๑ มาสก สั่งให้ลักรูปละ ๕ มาสก เพราะเหตุฉะนี้นั้น อันเตวาสิกทั้ง ๓ จึงต้องปาราชิกด้วยประการอย่างนี้. ความย่อในคาถานี้เท่านี้. ส่วนความพิสดาร ได้กล่าวไว้แล้ว ในสังวิธาวหารวัณณนา ในอทินนาทานปาราชิก.

ปัญหาที่ว่า ฉิทฺทํ ตสฺมึ ฆเร นตฺถิ นี้ ตรัสหมายถึงกุฎีที่บัง ด้วยผ้าเป็นต้น และวัตถุที่กำหนดเป็นเครื่องลาดได้.

คาถาว่า เตลํ มธุํ ผาณิตํ ตรัสหมายถึงความกลับเพศ

คาถาว่า นิสฺสคฺคิเยน ตรัสหมายถึงการน้อมลาภสงฆ์. จริงอยู่ ภิกษุใด น้อมจีวร ๒ ผืน จากลาภที่เขาน้อมไปแล้วเพื่อสงฆ์ คือ จีวรผืน ๑ เพื่อตน ผืน ๑ เพื่อภิกษุอื่น ด้วยประโยคอันเดียวว่า ท่านจงให้แก่ข้าพเจ้า ผืน ๑ แก่ภิกษุนั้นผืน ๑. ภิกษุนั้นต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ และสุทธิกปาจิตตีย์ พร้อมกัน.

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 952

ปัญหาที่ว่า กมฺมญฺจ ตํ กุปฺเปยฺย วคฺคปจฺจยา นี้ ตรัสหมาย ถึงคามสีมา ในนครทั้งหลาย มีกรุงพาราณสีเป็นต้น ซึ่งมีประมาณ ๑๒ โยชน์.

คาถาว่า ปทวีติหารมตฺเตน ตรัสหมายเอาการชักสื่อ ก็เนื้อความ แห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่งสัญจริตสิกขาบทนั่นแล.

ปัญหาที่ว่า สพฺพานิ ตานิ นิสฺสคฺคิยานิ นี้ ตรัสหมายถึงการ ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซัก, จริงอยู่ แม้ถ้าว่า ภิกษุณีถือเอามุมไตรจีวร ซึ่ง กาขี้รดเปื้อนโคลนซักด้วยน้ำ ไตรจีวรที่อยู่ในกายของภิกษุนั่นแล เป็น นิสสัคคีย์.

หลายบทว่า สรณคมนมฺปิ น จ ตสฺส อตฺถิ มีความว่า แม้ การอุปสมบทด้วยสรณคมน์ ก็ไม่มี. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงการอุปสมบท ของพระนางมหาปชาบดี.

บาทคาถาว่า หเนยฺย อนริยํ มนฺโท มีความว่า คนเขลาพึง ฆ่าบุคคลแม้นั้น เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม ซึ่งไม่ใช่พระอริยบุคคล. ปัญหานี้ ตรัสหมายถึงบิดาซึ่งกลายเป็นหญิง และมารดาซึ่งกลายเป็นชาย เพราะเพศกลับ.

ปัญหาที่ว่า น เตนานนฺตรํ ผุเส นี้ ตรัสหมายถึงมารดาบิดา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ดั่งมารดาของมิคสิงคดาบส และบิดาของสีหกุมารเป็นต้น.

คาถาว่า อโจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทด้วยทูต.

คาถาว่า โจทยิตฺวา ตรัสหมายถึงการอุปสมบทของอภัพบุคคล มี บัณเฑาะก์เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 953

แต่คำที่มาในกุรุนทีว่า คาถาที่ ๑ ตรัสหมายถึงกรรมไม่พร้อมหน้า ๘ อย่าง ที่ ๒ ตรัสหมายถึงกรรมของภิกษุผู้ไม่มีอาบัติ.

สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ ได้แก่ เป็นปาราชิก แก่ ภิกษุผู้ตัดหญ้าและเถาวัลย์ เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้ตัดองคชาต.

สองบทว่า ฉินฺทนฺตสฺส อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุ ผู้ปลงผมและตัดเล็บ.

บทว่า ฉาเทนฺตสฺส คือ เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติ.

บทว่า อนาปตฺติ คือ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้มุงเรือนเป็นต้น.

วินิจฉัยในคาถาว่า สจฺจํ ภณนฺโต พึงทราบดังนี้ :- ภิกษุพูดคำจริง กะสตรีผู้มีหงอน และคนกะเทยว่า เธอมีหงอน เธอ มี ๒ เพศ ดังนี้ ย่อมต้องครุกาบัติ. แต่เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้กล่าวเท็จ เพราะสัมปชานมุสาวาท. เมื่อกล่าวเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ต้องครุกาบัติ. เป็นลหุกาบัติ แก่ภิกษุผู้พูดจริง เพราะอวดอุตริมนุสธรรม ที่มีจริง.

คาถาว่า อธิฏฺิตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้ไม่สละก่อน บริโภคจีวรที่ เป็นนิสสัคคีย์.

คาถาว่า อตฺถงฺคเต สุริเย ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มักอ้วก.

คาถาว่า น รตฺตจิตฺโต มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :-

ภิกษุมีจิตกำหนัด ต้องเมถุนธรรมปาราชิก มีเถยยจิต ต้องอทินนาทานปาราชิก ยังผู้อื่นไห้จงใจเพื่อตาย ต้องมนุสสวิคคหปราชิก. แต่ภิกษุผู้ ทำลายสงฆ์ มิใช่ผู้มีจิตกำหนัดและมิใช่ผู้มีเถยยจิต ทั้งเธอหาได้ชักชวนผู้อื่น

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 954

เพื่อตายไม่เลย. แต่ความขาดย่อมมี คือเป็นปาราชิก แก่เธอผู้ให้สลาก. เป็น ถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้รับสลาก คือ ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์.

ปัญหาที่ว่า คจฺเฉยฺย อฑฺฒโยชนํ นี้ ตรัสหมายถึงโคนต้นไม้ของ สกุลหนึ่ง เช่นต้นไทรที่งามสล้าง.

คาถาว่า กายิกานิ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้จับรวบเส้นผมหรือนิ้วมือ ของหญิงมากคนด้วยกัน.

คาถาว่า วาจสิกานิ นี้ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้กล่าวคำชั่วหยาบโดยนัย เป็นต้นว่า เธอทุกคนมีหงอน.

หลายบทว่า ติสฺสิตฺถิโย เมถุนํ ตํ น เสเว มีความว่าไม่ได้ เสพเมถุนแม้ในหญิง ๓ จำพวกที่ตรัสไว้.

สองบทว่า ตโย ปุริเส มีความว่า จะได้เข้าหาชายทั้ง ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่.

สองบทว่า ตโย จ อนริยปณฺฑเก มีความว่า จะได้เข้าหาชน ๖ จำพวกแม้เหล่านี้ คือ คนไม่ประเสริฐ ๓ จำพวก กล่าวคืออุภโตพยัญชนก และบัณเฑาะก์ ๓ จำพวก แล้วเสพเมถุน ก็หาไม่.

สองบทว่า น จาจเร เมถุนํ พฺยญฺชนสฺมึ มีความว่า ประพฤติ เมถุนแม้ด้วยอำนาจอนุโลมปาราชิก ก็หาไม่.

ข้อว่า พึงมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ได้แก่ พึงเป็น ปาราชิก เพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย ปัญหาดังว่ามานี้ ตรัสหมายถึงอัฏฐวัตถุ- กปาราชิก (ของภิกษุณี). จริงอยู่ ย่อมมีความขาดเพราะเมถุนธรรมเป็นปัจจัย แก่ภิกษุณีนั้น ผู้พยายามอยู่ เพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกายอันเป็นบุพภาค แห่งเมถุนธรรม.

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 955

คาถาว่า มาตรํ จีวรํ นี้ ตรัสหมายถึงการเตือนให้เกิดสติเพื่อได้ ผ้าวัสสิกสาฏิก ในเวลาหลังสมัย.

ก็แลวินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่ง วัสสิกสาฏิกสิกขาบทนั่นแล.

คาถาว่า กุทฺโธ อาราธโก โหติ ตรัสหมายถึงวัตรของเดียรถีย์. ความพิสดารแห่งคำนั้น ตรัสแล้วในติตถิยวัตรนั่นเองว่า อัญเดียรถีย์ผู้บำเพ็ญ วัตร เมื่อคุณของพวกเดียรถีย์ อันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธแล้ว ย่อมเป็น ผู้ยังภิกษุทั้งหลายให้ยินดี. เมื่อคุณแห่งรัตนตรัยอันชนอื่นสรรเสริญอยู่ โกรธ แล้ว ย่อมเป็นผู้อันภิกษุทั้งหลายพึงติเตียน.

แม้คาถาที่ ๓ ก็ตรัสหมายถึงติตถิยวัตรนั้นแล.

คาถาว่า สงฺฆาทิเสสํ เป็นต้น ตรัสหมายถึงภิกษุณี ผู้กำหนัดรับ บิณฑบาต จากมือของบุรุษผู้กำหนัดแล้ว คลุกกับเนื้อมนุษย์ กระเทียม โภชนะ ประณีต และอกัปปิยมังสะที่เหลือ แล้วกลืนกิน.

คาถาว่า เอโก อนุปสมฺปนฺโน เอโก อุปสมฺปนฺโน เป็นต้น ตรัสหมายถึงสามเณรผู้ไปในอากาศ. ก็ถ้าว่า ในสามเณร ๒ รูปๆ หนึ่งเป็น ผู้นั่งพ้นแผ่นดิน แม้เพียงปลายเส้นผมเดียว ด้วยฤทธิ์. สามเณรนั้นย่อมเป็น อนุปสัมบันแท้. แม้สงฆ์นั่งในอากาศ ก็ไม่พึงทำกรรมแก่อนุปสัมบันผู้อยู่บน พื้นดิน. ถ้าทำ, กรรมย่อมกำเริบ.

คาถาว่า อกปฺปกตํ ตรัสหมายถึงภิกษุผู้มีจีวรอันโจรชิงไป. ก็แม้ วินิจฉัยแห่งคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว โดยพิสดารในสิกขาบทนั้นแล.

หลายบทว่า น เทติ นปฺปฏิคฺคณฺหาติ มีความว่า แม้ภิกษุณีผู้ ใช้ก็มิได้ให้, ภิกษุณีผู้รับใช้ก็มิได้รับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้.

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 13 มี.ค. 2565

พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 956

หลายบทว่า ปฏิคฺคโห เตน น วิชฺชติ มีความว่า ด้วยเหตุ นั้นแล ภิกษุณีผู้ใช้ก็หาได้มีการรับจากมือของภิกษุณีผู้ใช้ไม่.

สองบทว่า อาปชฺชติ ครุกํ มีความว่า แม้เมื่อเป็นอย่างนั้นภิกษุณี ผู้ใช้ ย่อมต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะเหตุที่ภิกษุณีผู้ที่ตนใช้ไปรับบิณฑบาต จากมือบุรุษผู้กำหนัด.

สองบทว่า ตญฺจ ปริโภคปจฺจยา มีความว่า ก็แลภิกษุณีผู้ใช้ เมื่อจะต้องอาบัตินั้น ย่อมต้องเพราะการบริโภคของภิกษุณีผู้รับใช้นั้น เป็นปัจจัย จริงอยู่ ย่อมเป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุณีผู้ใช้ ในขณะเสร็จการฉันของภิกษุณีผู้รับ ใช้นั้น

คาถาที่ ๒ ท่านกล่าวหมายถึงการใช้ไปในการรับน้ำและไม้สีฟันของ ภิกษุณีผู้ใช้นั้นเอง.

หลายบทว่า น ภิกขุนี โน จ ผุเสยฺย วชฺชํ มีความว่าจริง อยู่ ภิกษุณีต้องสังฆาทิเสสตัวใดตัวหนึ่ง ใน ๑๗ ตัวแล้ว แม้ปิดไว้ด้วยไม่เอื้อ เพื่อ ก็ไม่ต้องโทษ คือไม่ต้องอาบัติใหม่อื่น เพราะการปิดเป็นปัจจัย เธอ ย่อมได้ปักขมานัตต์เท่านั้น เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ก็ตาม ไม่ปิดไว้ก็ตาม. ก็แล บุคคลนี้ แม้จะไม่ใช่ภิกษุณี, แต้ต้องครุกาบัติ มีส่วนเหลือแล้วปิดไว้ ก็ไม่ ต้องโทษ.

ได้ยินว่า ปัญหาที่ว่า ปญฺหา เมสา กุสเลหิ จินฺติตา นี้ ท่าน กล่าวหมายถึงภิกษุผู้อันสงฆ์ยกวัตร. จริงอยู่ (สงฆ์) ไม่มีวินัยกรรมกับภิกษุ นั้น, เพราะเหตุนั้น เธอต้องสังฆาทิเสสแล้ว แม้ปิดไว้ก็ไม่ต้องโทษ ฉะนี้แล.

เสทโมจนคาถา วัณณนา จบ