คนพาล ไม่กล่าวขอโทษในการล่วงเกิน เหตุว่าปัญญาทราม ไม่รู้โทษแม้โดยความเป็นโทษ

 
DjPut
วันที่  14 ส.ค. 2565
หมายเลข  43471
อ่าน  369

อัจจยสูตร

[๒๗๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุ ๒ รูปได้โต้เถียงกัน ในการ โต้เถียงกันนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้พูดล่วงเกิน ครั้งนั้น ภิกษุผู้พูดล่วงเกินนั้นขอโทษ ในที่อยู่ของภิกษุนั้น แต่ภิกษุนั้นไม่ยกโทษให้ ลำดับนั้น ภิกษุจำนวนมาก พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ภิกษุ ๒ รูปโต้เถียงกัน ในการโต้เถียงกันนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้พูดล่วงเกิน ลำดับนั้น ภิกษุผู้พูดล่วงเกินขอโทษในที่อยู่ของภิกษุนั้น แต่ภิกษุนั้นไม่ยกโทษให้ พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ คือ ๑. ผู้ไม่เห็นโทษว่าเป็นโทษ ๒. ผู้ไม่ยกโทษให้ตามสมควรแก่ธรรมเมื่อผู้อื่นขอโทษ คนพาล ๒ จำพวกนี้แล ภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ คือ ๑. ผู้เห็นโทษว่าเป็นโทษ ๒. ผู้ยกโทษให้ตามสมควรแก่ธรรมเมื่อผู้อื่นขอโทษ บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล

ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ท้าวสักกะจอมเทพเมื่อจะทรงยังเทพชั้น ดาวดึงส์ให้พลอยยินดี ณ เทวสภาชื่อสุธรรมา จึงได้ตรัสคาถานี้ในเวลานั้นว่า

ขอความโกรธจงตกอยู่ในอำนาจของท่านทั้งหลาย ขอความเสื่อมคลายในมิตตธรรมอย่าได้มีแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ติเตียนผู้ที่ไม่ควรติเตียน
และอย่าได้พูดคำส่อเสียดเลย ความโกรธเป็นดุจภูเขา ย่ำยีคนเลว ฉะนี้แล”

อัจจยสูตรที่ ๔ จบ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติมในส่วนของอรรถกถาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้

อัจจยสูตร ว่าด้วยคนพาลและบัณฑิต

...ยินดีในกุศลของคุณ DjPut และทุกๆ ท่านด้วยครับ....

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Dechachot
วันที่ 14 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 14 ส.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ