ละความไม่รู้และความติดข้องด้วยความรู้
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมมากมาย ก็เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อครั้งที่ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งอุทานว่า ธรรมลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก กว่าที่พระองค์จะตรัสรู้ความจริงนี้ต้องบำเพ็ญบารมี คุณความดีทั้งหลายยาวนานถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ ทรงแสดงว่าความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายและเร็วเลย เป็นการอบรมที่ยาวนานมากๆ และความเข้าใจจะค่อยๆ เกิดขึ้นได้นั้น ต้องมาจากการฟังคำของพระองค์ ทุกคำแสดงถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ทุกขณะของชีวิต พิจารณาไตร่ตรองแต่ละคำให้เข้าใจถึงความจริงนั้น เพราะความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงยึดถือสภาพธรรมนั้นทันทีว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ติดข้อง เพราะฉะนั้น ฟังด้วยความเคารพจริงๆ ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองเพื่อเข้าใจความจริงนั้น เพราะขณะที่เข้าใจย่อมละความไม่รู้ ความมืด และความติดข้องที่ที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งต่างๆ ที่เที่ยง
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 297
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า"โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏ ดุจรูปอันสมควร, คนพาลมีอุปธิกิเลสเป็นเครื่อง ผูกไว้ ถูกความมืดแวดล้อมแล้ว จึงปรากฏดุจมี ความเที่ยง, ความกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้เห็นอยู่"
ก็แลครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมว่า " ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปในวัฏฏะ เป็นผู้ไม่ประมาทตลอดกาลเป็นนิตย์ กระทำบุญกรรมก็มี, เป็นผู้มีความประมาท กระทำบาปกรรมก็มี เหตุนั้น สัตว์ผู้เที่ยวไปในวัฏฏะ จึงเสวยสุขบ้างทุกข์บ้าง"
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
ขอเชิญคลิกฟังเพิ่มได้ที่ ...
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ ...