ผมไปปฏิบัติเข้า คล้ายๆ กับว่า ความจริงกลับตาลปัตรกัน

 
chatchai.k
วันที่  7 ก.ย. 2565
หมายเลข  43739
อ่าน  262

. เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์บอกว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือ เป็นเรื่องของความจริง ผมไปปฏิบัติเข้า คล้ายๆ กับว่า ความจริงกลับตาลปัตรกัน ธรรมดาเราดูรูป เราต้องใช้ตามองเห็น เวลาเราได้ยินเสียง เราต้องใช้หูฟัง แต่เวลาเราเจริญสติปัฏฐานคล้ายๆ กับว่าเรากลับกัน เวลาได้ยินเสียงกับรูป เวลาเราจะรู้ซึ้งเข้าไปอีกว่า จะให้รู้ว่าเป็นใคร คนไหน เสียงนั้นเป็นของใคร ทำไมกลับเป็นนาม คล้ายๆ ตามปกติเราไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ดูรูปเราก็ต้องใช้ตามองรูปเป็นเช่นนั้น รูปเป็นเช่นนี้ เวลาใช้เสียง จึงรู้ว่าเป็นนามไป ผมสงสัยเท่านี้แหละครับ

สุ. เรื่องนี้เข้าใจว่ายังสบสนอยู่ระหว่างนามกับรูป คือ มีนามมีรูปตลอดเวลาจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ผู้เจริญสติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วมีอสัมโมหสัมปชัญญะ คือ ไม่หลงเข้าใจผิดในสภาพลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ คือ ไม่คิดว่านามเป็นรูป และรูปเป็นนาม

อย่างเวลานี้ มีทั้งนามและรูป ไม่ใช่มีแต่รูป พอจะบอกได้ไหมว่า มีรูปอะไรบ้าง ต้องค่อยๆ พิจารณาศึกษาไปเป็นประเภทๆ ไม่ใช่ว่ารูปเป็นสิ่งที่เห็นได้ทางตาอย่างเดียว ถึงรูปที่ไม่ปรากฏทางตา ถ้าสภาพนั้นไม่ใช่สภาพรู้ ก็ไม่ใช่นาม เพราะคำว่า รูปนั้น หมายความว่า สภาพที่ปรากฏนั้นเป็นสภาพไม่รู้ อย่างเสียงปรากฏให้รู้ได้ทางหู เสียงไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ได้ยิน นี่ต้องแยกกัน เสียงกับได้ยินจะมารวมกันเป็นลักษณะเดียวไม่ได้

. ถ้าไม่ได้ยิน ก็ไม่มีเสียง

สุ. นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า มีเสียงด้วย มีได้ยินด้วย มีทั้งสองอย่าง เพราะฉะนั้น เวลาเจริญสติ สติระลึกที่ไหน รู้อะไร

. ตอนแรกไม่ได้เห็น เราได้ยินแต่เสียง เสียงนี่เป็นรูปใช่ไหม

สุ. แต่ว่าเสียงมีลักษณะอย่างไร ไม่ใช่รู้โดยการฟังว่าเสียงเป็นรูป แต่ผู้เจริญสติต้องรู้ลักษณะของเสียงว่าต่างกับได้ยิน ก่อนอื่นโดยขั้นปริยัติต้องทราบว่า เสียงมี ได้ยินมี มีทั้งสองอย่าง แต่ว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะของเสียง หรือของได้ยิน ปัญญาต้องเกิดขึ้นเจริญขึ้น รู้ชัดตามความเป็นจริงทั้งสองลักษณะ ถึงจะละความเห็นผิด ความสงสัย ความไม่รู้ได้

. รูปเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา จะเป็นรูปได้อย่างไร

สุ. มีรูปมากมายหลายอย่างซึ่งไม่ได้ปรากฏให้รู้ได้ทางตา รูปที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตามีรูปเดียวเท่านั้น คือ สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จะเรียกว่าสี จะเรียกว่ารูปารมณ์ จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ได้ทางตา เป็นของจริงอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง นี่เป็นรูปเดียวที่รู้ได้ทางตา แต่ถ้าลองกระทบสัมผัสอะไร หลับตาแล้วยังรู้ว่าแข็ง สภาพแข็งไม่ใช่สภาพรู้ เป็นลักษณะแข็งเท่านั้น

เพราะฉะนั้น ลักษณะแข็งนั้นก็เป็นรูปชนิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตา

. เวลาที่เราเจริญสติปัฏฐาน มีเสียงภายนอก เป็นเสียงนก เสียงสัตว์ หรือเสียงอะไรก็ตามมากระทบให้เราได้ยิน เมื่อเราได้ยิน แต่ไม่ได้เห็นรูป แต่ในความสำนึก สติของเราคิดว่าเสียงนั้นต้องเป็นรูป เพราะว่ามีรูปสัตว์เช่นนก จึงมีเสียงออกมาใช่ไหม ทีนี้ในใจของเรา พอเราเลิกจากการนั่งสติปัฏฐานออกมา เราจึงจะได้เห็นว่า นี่เป็นตัวตน เป็นรูปจริงๆ เป็นอย่างนี้ กลับกัน

สุ. จะได้เห็นว่า ความเข้าใจของผู้ที่เริ่มเจริญสติปัฏฐานมีหลายๆ ลักษณะ เป็นต้นว่า เวลาเสียงปรากฏ ท่านรู้ว่าเป็นรูป เพราะว่ามีรูปนก หรือว่ามีรูปของเสียงนั้น เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีนกที่เป็นตัว เป็นรูปให้เห็นแล้วเสียงนั้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้ยินเสียง รู้ว่าเป็นรูป ก็เพราะเหตุว่ามีรูปของสัตว์นั้น ทำให้รู้ว่าเสียงนั้นเป็นรูปด้วย ใช่ไหม แล้วเคยมีบางเสียงไหม ที่ไม่ทราบว่าเสียงอะไร ทราบจากเสียงหรือเปล่า หรือว่ามีเสียงที่ไม่ทราบก็มี

. ก็มีครับ

สุ. ก็มี เพราะฉะนั้น ลักษณะของเสียงที่ปรากฏเป็นสภาพที่ปรากฏทางหู ไม่ใช่นาม นามจะไม่ปรากฏทางตา ทางหู ถ้ามีสติรู้ว่า เสียงเป็นแต่เพียงของจริงที่ปรากฏให้รู้ได้ทางหูเท่านั้น แล้วเสียงนั้นก็ดับ ถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สิ่งที่เกิดขึ้นก็ดับไป แม้เสียงนั้นเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นแต่เพียงของจริงชนิดหนึ่ง ก็จะทำให้ละคลายความไม่รู้ลักษณะของเสียง ยังไม่ต้องไปคิดถึงรูปนก กา ไก่ อะไรเลย แต่ว่าขณะที่มีเสียงปรากฏ ก็มีสติรู้เสียงที่กำลังปรากฏ รู้ลักษณะนั้นเท่านั้น


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 39

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 40


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ