ปกติกับผิดปกติ ลักษณะต่างกันอย่างไร ให้ยกตัวอย่าง
ถ. ปกติกับผิดปกติ ลักษณะต่างกันอย่างไร ให้ยกตัวอย่าง
สุ. เวลานี้กำลังนั่ง ปกติไหม ถ้าท่านใดจะขัดสมาธิ เพราะเข้าใจว่า ต้องเจริญสติปัฏฐานด้วยอิริยาบถนั้น เป็นปกติไหม ทำขึ้นหรือเปล่า ทำขึ้นด้วยความต้องการแล้ว ปิดบังแล้ว ข้ามนามที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน สีที่กำลังปรากฏ เสียงที่กำลังปรากฏ หรือเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่กำลังปรากฏ แต่ไปทำขึ้นแล้ว นิดเดียวเท่านี้ บังไว้แล้ว นี่ผิดปกติ แต่เมื่อเจริญสติแล้ว สติระลึกรู้ลักษณะของเห็น ของสี ของได้ยินหรือเสียง ของเย็นหรือร้อนที่กำลังปรากฏ แทนโลภะ โทสะ โมหะ เพราะคนหนึ่งนั่ง เห็น ได้ยิน คิดนึก โลภะ โทสะ โมหะ อีกคนหนึ่งนั่ง เห็น ได้ยิน สติรู้ลักษณะของเห็น ของได้ยิน หรือของคิดนึกที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ผู้อื่นจึงรู้ไม่ได้ว่า ใครบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยเจ้า นอกจากผู้มีปัญญาได้อภิญญา สามารถรู้วาระจิตของผู้อื่น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้เจริญสติ ก็นั่ง นอน ยืน เดิน มาตั้งแต่เกิด รับประทานอาหาร เห็น ได้ยิน ขับรถยนต์ คิดนึก ทุกอย่าง ด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ในขณะที่จิตไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในภาวนา แต่ผู้เจริญสติปัฏฐานก็ทำทุกอย่าง เดิน ยืน นั่ง นอน คิดนึก ทำกิจการงาน ขับรถยนต์ ตามปกติ แทนที่จะเป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ ก็เป็นสติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ที่ผู้อื่นไม่สามารถจะรู้ได้ แล้วแต่ว่าสติจะเกิดเมื่อไร มีความชำนาญ มีความแคล่วคล่อง เป็นพละ มีกำลัง ไม่ว่านามหรือรูปใดๆ สติปัญญาก็มั่นคง ไม่หวั่นไหว เป็นปัญญาพละ พิจารณานามและรูปที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใด ไม่ว่าจะทำกิจการงานใด ถ้าเกิดปัญญาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่า น่ารังเกียจหรือ เป็นโทษ นั่นไม่ใช่ปัญญา ซึ่งรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนั้นไม่เป็นโลภะ ไม่เป็นโทสะ ไม่เป็นโมหะ
ท่านที่เคยขับรถยนต์และยังไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ในขณะที่กำลังขับรถยนต์ มีโลภะไหม มีโทสะไหม มีโมหะ เมื่อเจริญสติ แทนที่จะเป็นโลภะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ไม่เป็นโลภะ ไม่เป็นโทสะ ไม่เป็นโมหะ ท่านจะคิดนึกเรื่องอะไร ท่านจะป้องกันอันตรายใดๆ ท่านจะเหยียด จะคู้ จะไหวอย่างไร แทนที่จะกระทำไปด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ก็เป็นสติที่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สามารถที่จะเป็นไปได้ไหมในวันหนึ่งๆ ด้วยความรวดเร็วของจิต ไม่ใช่ว่าจะต้องไปทำช้าๆ จดจ้อง วันหนึ่งไม่ให้รู้อะไร ไม่ใช่อย่างนั้น เป็นปกติธรรมดา แต่แทนที่จะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นสติ
เดินข้ามถนนด้วยกัน คนหนึ่งเดินด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ แต่สำหรับคนที่เจริญสติปัฏฐาน เห็น ได้ยิน เหมือนกันทุกอย่าง แต่แทนที่จะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ก็เป็นสติที่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ตรงกับสภาพธรรมและพระธรรมที่ได้แสดงไว้ ในเรื่องการสังวรทางตา จักขุนทรีย์สังวร โสตินทรีย์สังวร ฆานินทรีย์สังวร ชิวหินทรีย์สังวร กายินทรีย์สังวร มนินทรีย์สังวร สังวรได้ทั้ง ๖ ทาง ไม่ใช่ได้แต่เฉพาะ ๕ ทาง ใจจะคิดนึก จะรู้เรื่อง จะรู้ความหมาย สติก็รู้ว่า สภาพนั้นก็เป็นนามธรรม รวดเร็วมาก ไม่ทำให้เกิดอันตรายได้เลย แทนที่จะเป็นโมหะ โลภะ โทสะ ก็เป็นสติ เป็นกุศล ควรเจริญ ไม่ใช่ควรเว้น
คนที่คิดว่า เจริญสติแล้วจะมีอันตราย ก็คงจะพอใจให้เป็นโลภะ โทสะ โมหะ เพราะว่าที่ขับรถยนต์นั้นขับด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าไม่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในการเจริญภาวนา ก็ต้องเป็นโลภะ โทสะ โมหะ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...