อาการ ๓๒ เป็นอาการของปฐวีธาตุ ๒๐ เป็นอาการของธาตุน้ำ ๑๒

 
สารธรรม
วันที่  17 ก.ย. 2565
หมายเลข  44007
อ่าน  253

ท่านที่เคยศึกษาในเรื่องของธาตุ จะเห็นได้ว่าในอาการ ๓๒ นี้ เป็นอาการของปฐวีธาตุ ๒๐ เป็นอาการของธาตุน้ำ ๑๒ ไม่มีอาการของธาตุไฟกับธาตุลมเลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะทรงแสดงปฐวีธาตุและอาโปธาตุโดยความเป็นวัตถุภายในกาย วัตถุก็เป็นส่วน เป็นชิ้น แต่ที่ไม่ได้รวมไฟกับลมเพราะลักษณะของไฟกับลมนั้นไม่ปรากฏโดยความเป็นปฏิกูล แต่จะเห็นได้ว่า ธาตุดินกับธาตุน้ำมีลักษณะที่เป็นปฏิกูล แต่ธาตุไฟกับธาตุลมไม่ปรากฏโดยความเป็นปฏิกูล ลักษณะที่เพียงอบอุ่น หรือว่าร้อน ไม่เป็นของปฏิกูล ลักษณะที่ไหวไป เคร่งตึง ก็ไม่ปรากฏโดยความเป็นปฏิกูล

ลักษณะของผมที่คิดว่าสวยงามน่าพอใจนั้น ถ้าพิจารณาโดยสี เวลาที่อยู่กับร่างกายก็สวยดี แต่ถ้าคิดว่าสีอย่างผมนี้สวย เวลาที่พบลักษณะของสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีสีคล้ายผม แม้ในอาหาร จะเป็นพวกเชือกปอหรืออะไรที่มีสีเหมือนผม ก็ยังรังเกียจแล้วหยิบออก

เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่าไม่ปฏิกูลไม่ได้ โดยลักษณะ โดยสี ก็ปฏิกูลเหมือนกัน โดยกลิ่น ถ้าไม่ทำความสะอาด ไม่สระผม ไม่ใส่น้ำมัน หรือน้ำหอม โดยเฉพาะเวลาที่ตกลงไปในไฟ หรือเผาไฟ ก็มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ และท่านแสดงไว้ว่า ที่เกิดของผมก็เกิดบนหนังชุ่มที่ห่อหุ้มกะโหลกศีรษะไว้ ข้างหน้าถึงหน้าผาก ข้างหลังถึงท้ายทอย ข้างๆ ถึงข้างหูทั้ง ๒ ข้าง เปิดออกมาดูที่เกิดของผม ก็ปฏิกูลยิ่งนัก อุปมาเหมือนกับผักเกิดที่ป่าช้า และที่ทิ้งขยะมูลฝอยเป็นต้น

นี่เป็นลักษณะของแต่ละส่วนของร่างกายที่มีความเป็นปฏิกูล แล้วก็ท่านทรงแสดงไว้อย่างละเอียดถึงลักษณะของส่วนต่างๆ ซึ่งถ้าท่านผู้ใดสนใจสามารถอ่าน หรือฟังได้ในอรรถกถาฎีกาต่างๆ ที่เป็นข้อความเกี่ยวกับอาการส่วนต่างๆ ของร่างกาย แต่จะขอกล่าวถึงเพียงบางส่วนบางประการเท่านั้น

อย่างเล็บเหมือนเกล็ดปลา กระดูกฟันเหมือนเมล็ดน้ำเต้า

สำหรับหนังที่สำคัญมากเพราะหนังนั้นหุ้มห่อสิ่งต่างๆ ที่ปฏิกูล ถ้าเอาหนังออกเสียแล้วความเป็นปฏิกูลของร่างกายหรือว่าส่วนต่างๆ ก็จะปรากฏชัดมาก แต่เพราะเหตุว่าหนังนั้นหุ้มห่อปกปิดไว้มิดชิด ไม่ให้เห็นความเป็นปฏิกูล ก็ควรที่จะได้พิจารณาหนังด้วยว่า ความเป็นปฏิกูลของหนังนั้นเป็นอย่างไร โดยสภาพของหนังเอง ความจริงเป็นสีขาว แต่หุ้มห่อเนื้อปกปิดไว้ ก็ทำให้ดูเป็นสีดำบ้างสีเหลืองบ้าง และสัณฐานรูปร่างลักษณะของหนังที่หุ้มห่อส่วนต่างๆ ของร่างกายไว้นั้นก็มีต่างๆ กัน เช่น หนังนิ้วเท้า ก็มีสัณฐานเหมือนรังตัวไหม หนังหลังเท้ามีสัณฐานเหมือนรองเท้าหุ้มส้น หนังแข้งมีสัณฐานเหมือนใบตาลห่อข้าวสวย หนังขามีสัณฐานเหมือนถุงยาวอันเต็มไปด้วยข้าวสาร หนังสะโพกมีสัณฐานเหมือนผ้ากรองน้ำอันเต็มไปด้วยน้ำ หนังหลังมีสัณฐานเหมือนหนังหุ้มโล่ หนังท้องมีสัณฐานเหมือนหนังหุ้มรางพิณ หนังอกโดยมากมีสัณฐานสี่เหลี่ยม หนังแขนทั้งสองข้างมีสัณฐานเหมือนหนังหุ้มแร่งธนู หนังหน้าก็ปรุเป็นช่องเล็กช่องน้อย มีสัณฐานเหมือนรังตั๊กแตน

นี่เป็นส่วนต่างๆ ถ้าดูอย่างนี้จริงๆ ก็คงจะไม่สวยไม่งามเลย แต่ไม่ได้แยกพิจารณาเป็นส่วนๆ ท่านให้พิจารณาโดยการดึงหรือลอกออกตั้งแต่ริมฝีปากเบื้องบน ไปตลอดทั้งตัว ก็จะเห็นความเป็นปฏิกูลที่มีซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังนั้น

สำหรับความเป็นปฏิกูลของร่างกาย จะเป็นการเจริญสมถภาวนาก็ได้ เป็นการเจริญสติปัฏฐานก็ได้ เพราะเหตุว่าการเจริญสมถภาวนานั้นจะต้องท่องด้วยปาก จนกระทั่งแม่นยำ แล้วก็จำลักษณะด้วยใจ จนกว่าจะชัดเจนทั้ง ๓๒ อาการ แล้วลักษณะใดที่เด่นชัด ก็ยึดลักษณะนั้นเป็นกัมมัฏฐานที่ทำให้ถึงขั้นอัปปนาสมาธิ เป็นปฐมฌาน แต่ไม่ได้รู้ลักษณะโดยสภาพความเป็นธาตุที่ไม่ใช่ตัวตน

แต่ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานนั้นมักจะหลงลืมสติ ไม่มีใครสามารถเลือกระลึกรู้ลักษณะของนามใดรูปใดได้ตามความพอใจ เพราะถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นก็เป็นความจงใจ แล้วปัญญาก็ไม่รู้ทั่ว เมื่อปัญญารู้ไม่ทั่วก็ละการยึดถือว่าเป็นตัวตนไม่ได้ นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่ทำให้จิตระลึกได้ก็ให้ระลึก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ใช่สติปัฏฐาน เมื่อระลึกแล้ว สามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏโดยสภาพความไม่ใช่ตัวตน ก็เป็นการเห็นกายในกายตามความเป็นจริง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญญาระลึกรู้ลักษณะของธาตุทั้ง ๔ ทันที โดยที่ไม่ต้องระลึกถึงความเป็นปฏิกูลของอาการ ๓๒ นี้เลย

เพราะฉะนั้น ต่อจากปฏิกูลมนสิการบรรพ ก็เป็นธาตุนมสิการบรรพ ทรงแสดงไว้ตามลำดับ


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 93


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ