กกจูปมสูตร คือ พระโอวาทเปรียบด้วยเลื่อย
ต่อจากนั้น ภิกษุนั้นก็จะระลึกถึง กกจูปมสูตร คือ พระโอวาทเปรียบด้วยเลื่อย ที่ไม่ว่าโจรจะมาเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ก็ไม่ควรพยาบาท หรือโกรธเคืองในโจรนั้น เมื่อระลึกถึงพระโอวาทอันเปรียบด้วยเลื่อย
ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมตั้งอยู่ด้วยดีไซร้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้ปลื้มใจเพราะเหตุนั้น
ดูกร ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล คำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว ส่วนสมัยที่อาโปธาตุซึ่งเป็นของภายนอกกำเริบก็ย่อมจะมีได้ คือ ย่อมพัดบ้าน พัดนิคม พัดเมือง พัดประเทศแห่งชนบทไป บางคราวก็ลึกถึง ๑๐๐ โยชน์บ้าง ๒๐๐ โยชน์บ้าง บางคราวก็เพียงชั่ว ๗ ลำตาลบ้าง ๕ ลำตาลบ้าง ชั่วลำตาล ๑ บ้าง บางคราวก็ชั่ว ๗ บุรุษบ้าง ๖ บุรุษบ้าง ๕ บุรุษบ้าง บางคราวก็ขังอยู่เพียงกึ่งชั่วบุรุษบ้าง บางครั้งก็มีประมาณเพียงเข่าบ้าง ข้อเท้าบ้าง
นี่เป็นเรื่องความไม่เที่ยงของธาตุน้ำ แม้ภายนอกก็ย่อมปรากฏ บางครั้งก็มากมายจนกระทั่งพัดพาบ้าน นิคม ชนบทไป บางครั้งก็เหลือน้อยนิดเดียว เพียงแต่จะทำให้ข้อมือเปียกก็กระทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธาตุน้ำในกายซึ่งน้อยกว่านั้นมาก ก็ย่อมเป็นสภาพที่ไม่เที่ยงเช่นเดียวกัน
สำหรับธาตุไฟภายนอกที่กำเริบก็ย่อมจะเห็นได้ว่า บางคราวก็ไหม้บ้าน เมือง นิคม ชนบท ประเทศ แต่พอไปถึงที่ๆ เป็นหญ้าสด หนทาง ภูเขา น้ำ หรือว่าภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ที่ไม่มีเชื้อ ไฟนั้นก็ย่อมดับ ก็เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ถ้าแม้ว่าจะมากมายใหญ่โตสักเท่าไรก็มีวันสิ้นสุดหมดลงได้ เพราะฉะนั้น ในบางคราวไม่มีธาตุไฟมากๆ อย่างที่จะไปไหม้บ้านไหม้เมือง ก็ต้องแสวงหาไฟด้วยขนไก่บ้าง ด้วยการขุดหนังบ้าง นี่ก็เป็นความไม่เที่ยงของธาตุไฟ แล้วธาตุไฟภายนอกก็ยังปรากฏความไม่เที่ยงถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ธาตุไฟในกายซึ่งเล็กน้อยกว่า ก็ย่อมจะเห็นได้ชัดว่า มีสภาพความไม่เที่ยง
สำหรับธาตุลมภายนอกก็เหมือนกัน มีสมัยที่ลมพัดจัด พัดบ้าน พัดเมือง พัดชนบทไป แล้วบางสมัยที่ลมไม่มีเลย ต้องแสวงหาด้วยพัดใบตาลบ้าง พัดสำหรับพัดไฟบ้าง นี่เป็นความไม่เที่ยงของธาตุลมภายนอก เพราะฉะนั้น ธาตุลมภายในก็เช่นเดียวกัน
เป็นพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้ที่กำลังเจริญสติระลึกรู้ลักษณะของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ได้เกิดการละคลายการยึดถือ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...