ผู้ใดจะเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่รู้ลักษณะของสติ เจริญสติไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเจริญสติจะต้องว่า ลักษณะของสติ คือ ในขณะไหน ขณะที่กำลังระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ มีเห็น มีได้ยิน มีกลิ่น มีรส มีเย็น มีร้อน อ่อน แข็ง มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ แล้วแต่ว่าสติจะระลึกที่ลักษณะใด ตรงไหนก็ตรงนั้น นิดเดียวก็นิดเดียว แต่เมื่อระลึกแล้ว รู้ว่ากำลังพิจารณา หรือรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏ หรือว่ารู้ลักษณะของสภาพรู้ ทางหู หรือทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ถ้าผู้ใดจะเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่รู้ลักษณะของสติ ไม่มีทางเจริญสติได้เลย
เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานเป็นการระลึกที่ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ไปทำให้เกิดขึ้น
ถ้าเป็น มหาสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นอานาปานบรรพ ปฏิกูลมนสิการบรรพ ธาตุมนสิการบรรพ นวสีวถิกาบรรพ ไม่ใช่เป็นการทำให้เกิด แต่เป็นการระลึกรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ต้องไปทำให้สงบถึงฌานจิต แล้วก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา
นี่เป็นการไม่เข้าใจอรรถของพยัญชนะ ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ปุถุชนนั้นเป็นผู้ที่หลงลืมสติ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่มากด้วยกิเลส กิเลสทำให้หลงลืมสติ พระอรหันต์ไม่หลงลืมสติเพราะว่าหมดกิเลสแล้ว เมื่อยังมีกิเลสเป็นปัจจัยอยู่ ก็เป็นผู้ที่หลงลืมสติเรื่อยๆ บ่อยๆ แต่ผู้ที่ได้ฟังการเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็เข้าใจลักษณะของสติ เวลาสติเกิดขึ้นรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏก็รู้ เวลาที่หลงลืมสติไปก็รู้ว่า ในขณะนั้นขาดสติ
ถ้าเป็นการรู้อย่างนี้ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ว่าจะเคยเจริญสมาธิมาก่อน จิตน้อมไปสู่ความสงบ สติที่อบรมจนมีกำลังก็สามารถที่จะระลึกได้ว่า ลักษณะของจิตที่สงบนั้น เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน แต่ไม่ใช่ไม่เคยเจริญสติปัฏฐานมาก่อนเลย แล้วเจริญสมถภาวนาจนกระทั่งจิตเป็นฌาน แล้วก็มีอัตตาตัวตนไปยกฌานขึ้นมาพิจารณาเป็นวิปัสสนา อย่างนั้นไม่ใช่ บางท่านกล่าวว่าเจริญได้ สติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ใช่วิปัสสนาจริงๆ
ท่านผู้ฟังพิจารณาแล้วคิดว่าอย่างไร เพราะเหตุว่าคำว่าวิปัสสนานั้น หมายความถึงปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทุกคนเข้าใจคำว่า ต้องรู้อารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ปัจจุบัน คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้ ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้ เมื่อวานนี้ หรือว่าพรุ่งนี้ แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัจจุบันก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดยังไม่เคยเจริญสติ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติเพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ท่านคิดว่า จะต้องไปแสวงหา ไปดูอารมณ์ปัจจุบันที่อื่น แต่ทันทีที่คิดอย่างนั้น สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ นามรูปที่กำลังปรากฏทางหูในขณะนี้ นามรูปที่กำลังปรากฏทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่เป็นปกติทุกๆ วันนี้ แล้วเมื่อไรท่านจะรู้ความจริงว่า สภาพธรรมทั้งหลายนี้ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่าวิปัสสนาเป็นการรู้ชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ใช่ว่าต้องไปทำขึ้นมาให้รู้ ความเข้าใจผิดในการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นสิ่งที่มีได้ รู้อะไรสักเท่าไรก็ตาม แต่ไม่เกิดสติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ก็ไม่ชื่อว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐาน เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดมีมาก ความเห็นผิด หรือว่าการพ้นผิดก็มี
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...