กาเยกายานุปัสสี เพราะเล็งเห็นในกายนี้ โดยประการทั้งปวง
อีกนัยหนึ่ง เบื้องหน้าแต่นี้ กายใดที่มีลมหายใจออก ลมหายใจเข้าเป็นเบื้องต้น มีกระดูกอันเน่าผุเป็นที่สุด ที่ตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไปอยู่ในป่าแล้ว ฯลฯ คำว่า ภิกษุนั้น เวลาหายใจออกก็มีสติ ดังนี้ก็ดี
กายใดที่กล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า บางคนในโลกนี้ย่อมเล็งเห็นปฐวีกาย อาโป กาย เตโชกาย วาโยกาย เกสากาย โลมกาย ฉวิกาย จัมกาย มังสกาย รูหิรกาย นหารูกาย อัฏฐิกาย อัฏฐิมิญชกาย ตามความเป็นของไม่เที่ยง ผู้นั้นชื่อว่า กาเยกายานุปัสสี อันแปลว่า ผู้เล็งเห็นกายในจำพวกกาย เพราะเล็งเห็นในกายนี้ โดยประการทั้งปวง ดังนี้
อีกนัยหนึ่ง ควรเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ชื่อว่าผู้เล็งเห็นซึ่งกาย คือ ประชุมแห่งของธรรมดา มีผมเป็นต้น อันมีในกายต่างๆ ด้วยการเล็งเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ควรถือเอาอย่างนี้ว่า เรามีอยู่ในกายบ้าง กายเป็นของเราบ้าง และเล็งเห็นซึ่งประชุมแห่งอาการต่างๆ มีผมเป็นต้นนั้น
อีกอย่างหนึ่ง ควรเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ชื่อว่าผู้เล็งเห็นซึ่งกายในจำพวกกาย เพราะเล็งเห็นซึ่งกาย อันได้แก่ประชุมแห่งอาการ มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ทั้งสิ้น อันมีนัยมาในคัมภีร์ปฏิสัมภิทา โดยนัยเป็นต้นว่า เล็งเห็นตามความไม่เที่ยงในกายนี้ ไม่ใช่เล็งเห็นว่าเที่ยง ดังนี้
จริงอย่างนั้น ภิกษุผู้ปฏิบัติตามกายานุปัสสนานี้ ย่อมเล็งเห็นกายนี้ว่า เป็นของไม่เที่ยง ด้วยอำนาจแห่งอนุปัสสนา ๗ มีอนิจจานุปัสสนา เป็นต้น ไม่ใช่เล็งเห็นว่าเที่ยง เล็งเห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่เล็งเห็นว่าเป็นสุข เล็งเห็นว่าไม่เป็นตัวตน ไม่ใช่เล็งเห็นว่าเป็นตัวตน ย่อมเบื่อหน่าย ไม่ใช่เพลิดเพลิน ย่อมปราศจากความยินดี ไม่ใช่ยินดี ย่อมทำให้ดับ ไม่ใช่ทำให้เกิด ย่อมสละ ไม่ใช่ถือไว้ ผู้นั้นเมื่อเล็งเห็นสิ่งนั้นว่าไม่เที่ยงก็ละความเข้าใจว่าเที่ยงได้ เมื่อเล็งเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ละความเข้าใจว่าเป็นสุขได้ เมื่อเล็งเห็นว่าไม่ใช่ตัวตนก็ละความเข้าใจว่าเป็นตัวตนได้ เมื่อหน่ายก็ละความเพลิดเพลินได้ เมื่อคลายก็ละความยินดีได้ เมื่อดับก็ละความเกิดขึ้นได้ เมื่อสละก็ละความยึดถือได้ ควรทราบอย่างนี้
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...