การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องเป็นปัญญาที่รู้ยิ่ง แล้วก็รู้ชัด
การที่จะเจริญเฉพาะบรรพเดียวในหมวดเดียว ด้วยคิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพระไตรปิฎกไม่ต้องทรงแสดงมากเลย ไม่ต้องใช้พยัญชนะว่า รู้ยิ่ง ในเมื่อหลงลืมสติหมดทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมดเพื่อเกื้อกูลให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขอกล่าวถึงข้อความในพระไตรปิฎก คือ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ มหาสีหนาทสูตร ซึ่งจะเป็นเครื่องประกอบให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนว่า การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ต้องเป็นปัญญาที่รู้ยิ่ง แล้วก็รู้ชัด
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ราวป่าด้านตะวันตก นอกพระนคร เขตพระนครเวสาลี พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระสารีบุตร มีข้อความว่า
สมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวตามความคิดเห็นของตนเองว่า บุรุษวัยหนุ่ม มีผมดำสนิท ประกอบด้วยปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง สมกับวัยต้น ต่อมาบุรุษผู้นั้นเมื่อแก่ชราลง ก็ย่อมเสื่อมจากปัญญาความเฉลียวฉลาดนั้น
ข้อนี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ไม่พึงเห็นอย่างนั้น
โดยมากคนทั่วไปเข้าใจอย่างนี้ว่า ใครที่ยังหนุ่ม หรืออยู่ในวัยที่สติปัญญากำลังเจริญ พอแก่ชราลงไป สติปัญญาก็เสื่อม แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนี้ไม่พึงเห็นอย่างนั้น
เพราะแม้พระองค์ก็ทรงล่วงกาลผ่านวัยไปโดยลำดับ แล้วสาวกบริษัททั้ง ๔ ของพระองค์ คือ ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ผู้มีอายุถึง ๑๐๐ ปี ประกอบด้วยคติ สติ ฐิติอันยอดเยี่ยม และปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนนักธนูผู้มั่นคง ได้รับการฝึกหัดแล้ว ช่ำชอง ชำนิชำนาญ เคยแสดงฝีมือมาแล้ว พึงยิงงวงตาลโดยขวางให้ตกลงด้วยลูกศรขนาดเบาโดยง่ายดาย แม้ฉันใด สาวกบริษัท ๔ ของพระองค์ เป็นผู้มีสติอันยิ่ง มีคติอันยิ่ง มีปัญญาทรงจำอันยิ่ง ประกอบด้วยปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ก็ฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เธอพึงถามปัญหาอิงสติปัฏฐาน ๔ กะเรา เราถูกถามปัญหาแล้ว พึงพยากรณ์แก่พวกเธอ พวกเธอพึงทรงจำคำที่เราพยากรณ์แล้วโดยเป็นคำพยากรณ์ มิได้สอบถามเราให้ยิ่งกว่า ๒ ครั้ง เว้นจากการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม เว้นจากการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เว้นจากการหลับ และบรรเทาความเมื่อยล้า
ดูกร สารีบุตร ธรรมเทศนาของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น บทและพยัญชนะแห่งธรรมของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ความแจ่มแจ้งแห่งปัญหาของตถาคตนั้นไม่รู้จักจบสิ้น เมื่อเป็นดังนั้น สาวกบริษัท ๔ ของเราเหล่านั้นจึงมีอายุตั้ง ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี พึงทำกาลโดยล่วงไปแห่ง ๑๐๐ ปี
ดูกร สารีบุตร ถ้าแม้พวกเธอจะพึงหามเราไปด้วยเตียงน้อย ความเป็นอย่างอื่นแห่งปัญญาอันเฉลียวฉลาดของตถาคต ย่อมไม่มีเลย
ดูกร สารีบุตร บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าวคำใดว่า สัตว์ผู้มีความไม่ลุ่มหลงเป็นธรรมดาบังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะกล่าวโดยชอบ พึงกล่าวคำนั้นกะเราเท่านั้นว่า
สัตว์ผู้มีความไม่ลุ่มหลงเป็นธรรมดาบังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้
นี่เป็นผู้เจริญสติ เป็นผู้ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีสติยิ่ง มีความรู้ยิ่ง ไม่ใช่หลงลืมสติทางไหนๆ หมด แล้วก็ไปเพ่งจ้อง รู้อยู่ที่เดียว แล้วไม่รู้อย่างอื่นเลย อย่างนั้นจะไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีสติยิ่ง ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญายิ่ง
จะเห็นได้ว่า พระธรรมอุปการะเกื้อกูลมากทีเดียว เพราะเว้นการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม การหลับ และบรรเทาความเมื่อยล้า
พระธรรมของพระองค์ไม่รู้จักจบสิ้น ทรงอนุเคราะห์เพื่อให้ผู้ฟังมีสติน้อมไประลึกถึงลักษณะของนามและรูปเพื่อความรู้ชัด เพื่อการละคลายการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...