สติมีกี่อย่าง มีเป็นขั้นๆ หรือว่ามีขั้นเดียว

 
สารธรรม
วันที่  16 ต.ค. 2565
หมายเลข  44738
อ่าน  220

. สติมีกี่อย่าง มีเป็นขั้นๆ หรือว่ามีขั้นเดียว

สุ. สติจะไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย ขณะใดที่จิตเป็นโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นไม่มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะเหตุว่าสติเป็นสภาพที่ระลึกในทางที่เป็นโสภณะ ในทางที่ดีงาม ในขณะที่คิดให้ทาน ไม่ใช่ตัวตน แต่ตลอดเวลาที่ยังไม่เจริญสติปัฏฐาน ก็เป็นตัวตนที่ให้ทาน เป็นเราที่ให้ทาน แต่สภาพธรรมจริงๆ ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสติที่ระลึกเป็นไปในทานเกิดขึ้น

ขณะใดที่วิรัติทุจริตก็เป็นสติที่ระลึกเป็นไปในศีล ขณะใดที่จิตใจไม่สงบ รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศลจิต มีสติที่จะน้อมจิตไปให้เกิดความสงบ ในขณะนั้นก็เป็นสติที่เป็นไปกับความสงบหรือสมถภาวนา แต่สติปัฏฐานนั้น ระลึกรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ลักษณะใดเป็นนามธรรมก็รู้ ลักษณะใดที่เป็นรูปธรรมก็รู้ นามธรรมก็มีหลายชนิด รูปธรรมก็มีหลายชนิด สติจึงระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิดที่เกิดแล้วปรากฏ เพราะฉะนั้น การเจริญสติ จึงไม่ใช่คิดล่วงหน้าหรือเตรียมก่อน

บางท่านประคับประคองกิริยาอาการ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตามที่คิด ด้วยการคิดว่า จิตสั่งให้เป็นอย่างนั้น แต่ความจริง จิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ในขณะที่กำลังนั่งอยู่มีสิ่งใดที่ปรากฏ จิตเป็นสภาพรู้ สติก็ระลึกรู้ในลักษณะของอารมณ์ และปัญญาก็รู้ว่า สภาพนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

เวลาที่จิตเกิดเป็นกุศลเป็นไปในทาน สติก็ระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง และในขณะที่กำลังให้ทาน ซึ่งแต่ก่อนนี้เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะสติไม่ได้ระลึกรู้ว่า สภาพธรรมในขณะนั้นเป็นนามธรรมและเป็นรูปธรรมเท่านั้น

อกุศลกรรม หรืออกุศลจิตนั้น มีผลเป็นทุกข์ เป็นโทษ แต่กุศลจิต กุศลกรรมนั้นให้ผลเป็นสุข อานิสงส์ของกุศลจิต กุศลกรรม จะมากหรือจะน้อยนั้นขึ้นอยู่กับปัญญา การให้ของผู้ที่ยังเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ ถ้าสติระลึกรู้จะเห็นได้ว่า ความรู้สึกหรือจิตเกิดสลับสืบต่อกันหลายอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเจริญสติปัฏฐานด้วย การให้ของท่านจะมีอานิสงส์ยิ่งขึ้น เพราะปัญญารู้ในสภาพของจิต

สำหรับกุศลจิตขั้นทานซึ่งเป็นขั้นต้น ที่เป็นกุศลขั้นต้นก็เพราะเหตุว่า เยื่อใยการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนหนาแน่น และเหนียวแน่นเหลือเกิน วันหนึ่งๆ บางท่านอาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องของการให้เลยเพราะเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะความตระหนี่ และความประมาท ด้วยการเพลิดเพลินไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จนไม่ได้ระลึกถึงการให้เลย เพราะเป็นตัวตนมากมายแล้วก็เหนียวแน่น ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาก็เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะคิด จะนึก จะตรึก จะตรองถึงอะไร ก็จะไม่พ้นไปจากตัวตนและความเป็นเรา

วันนี้มีความยินดีต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อะไรบ้าง ไม่ได้ระลึกเป็นไปในการให้หรือในทานเลย ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า ที่ให้ไม่ได้นั้น ก็เพราะความตระหนี่และเพราะความประมาท

การเจริญกุศลจะต้องเป็นขั้นๆ ด้วย เพราะเหตุว่าอกุศลนั้นมีมาก การขัดเกลาจึงต้องมีมากด้วย แต่การเจริญสติจะทำให้ท่านรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะที่กำลังให้ เพราะบางท่านให้เพราะหวังผล แต่ถ้าท่านเจริญสติ เวลาที่จิต ที่สละวัตถุทานให้แก่บุคคลอื่นเกิดและดับไปแล้ว จิตที่หวังผลเกิดขึ้น สติก็ระลึกรู้ว่า เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เวลาที่เจริญสติ มีการให้ เกิดขึ้น ความหวังผลของการให้เกิดต่อ สติก็ตามระลึกรู้ได้ว่า เป็นโลภมูลจิต เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง

อย่างที่ท่านเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศล แต่เมื่อเกิดมาแล้วมีชีวิตต่างๆ กันไป เพราะท่านไม่ได้ทำแต่กุศลกรรมอย่างเดียวตลอด ในอดีตอนันตชาติมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม อกุศลกรรมก็ย่อมตามมาเบียดเบียน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต กุศลให้ผลเป็นสุข อกุศลให้ผลเป็นทุกข์ แต่เวลาที่จิตของท่านเป็นไปในกุศล เช่น การให้ อกุศลที่มีมาก ก็ยังมาแทรกด้วยการหวังผลบ้าง


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 167


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ