ฆฏิการะช่างหม้อ เป็นอุปัฏฐากพระผู้พระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ
ครั้นเมื่อโชติปาลมานพอุปสมบทแล้วไม่นาน ประมาณกึ่งเดือน พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่ใน เวภฬิคนิคมตามควรแก่พระพุทธอัธยาศัยแล้ว เสด็จหลีกจาริกไปทางพระนครพาราณสี เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงพระนครพาราณสีแล้ว พระเจ้ากาสีในครั้งนั้น ทรงพระนามว่ากิกิ เมื่อได้ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้เสด็จจาริกไปถึง ก็ได้ไปเฝ้า และฟังธรรม กราบทูลนิมนต์ให้รับภัตตาหารที่พระราชนิเวศน์
เมื่อพระผู้พระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้ากิกิ เมื่อได้ฉันภัตรตาหารแล้ว พระเจ้ากิกิก็ได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงรับการจำพรรษาอยู่ที่เมืองของพระองค์ แต่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อย่าเลยมหาบพิตร อาตมาภาพรับการจำพรรษาเสียแล้ว แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓
ทำให้พระเจ้ากิกิทรงแปลกพระทัยมากว่า เพราะเหตุใดพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปะไม่ทรงรับนิมนต์ จึงได้กราบทูลถามว่า มีใครอื่นที่เป็นอุปัฏฐากยิ่งกว่าพระองค์หรือ
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ฆฏิการะช่างหม้อที่เป็นพระอนาคามีบุคคลนั้น ท่านทำนุบำรุงพระสงฆ์ และโภคทรัพย์ของท่านทั่วไปแก่ท่านผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม เหมือนอย่างเช่นอุคคคฤหบดีในอุคคสูตร เพราะฉะนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะทรงรับนิมนต์ที่จะจำพรรษาอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะ ซึ่งฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่ที่นั่น จึงไม่ทรงรับนิมนต์ของพระเจ้ากิกิ
ต่อไปจะได้เห็นข้อความที่ว่า บุคคลที่เป็นพระอนาคามีบุคคล มีจิตเลื่อมใส การถวายทานของท่านนั้น ด้วยความปลาบปลื้ม ยินดีเพียงไร
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสแก่ พระเจ้ากิกิ ถึงความศรัทธาและการเป็นผู้อุปัฏฐากยิ่งกว่าบุคคลอื่นของฆฏิการะช่างหม้อ มีข้อความว่า
ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่ในนิคมนั้น คือ นิคมชื่อเวภฬิคะ เวลาเช้าอาตมภาพ นุ่งแล้ว ถือบาตร และจีวร เข้าไปหามารดาและบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ดูเถิดนี้ คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า มารดา บิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อแกงนี้เสวยเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมาภาพได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง ฉันแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไป
ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง บริโภคแล้ว ลุกจากอาสนะ หลีกไปมารดาบิดาบอกว่า ดูกร พ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมา-สัมพุทธเจ้า ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกง เสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน
และในภายหลังก็เป็นเช่นนี้ คือ ฆฏิการะช่างหม้อไม่อยู่ พระผู้มีพระภาคก็เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวย เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกลับมาได้ทราบ ก็เกิดปีติตลอดกึ่งเดือน และมารดาบิดาก็ตลอด ๗ วัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะได้ตรัสเล่าให้พระเจ้ากิกิฟังว่า
ครั้งนั้น อาตมาภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง ก็สมัยนั้นกุฎีรั่ว อาตมาภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อ เมื่ออาตมาภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมาาตมาภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่เท่านั้น
อาตมาภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ มาเถิด
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้นได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่มาแล้ว ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ดูกร น้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่า เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิดท่านผู้เจริญ
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า มารดาบิดาตอบว่า ดูกร พ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารั่ว
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา
ดูกร มหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและ สุข ไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอด ๗ วัน และครั้งนั้นเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคาตลอดอยู่ ๓ เดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูกร มหาบพิตร ฆฏิการะช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้
ซึ่งเมื่อพระเจ้ากิกิได้ฟัง พระองค์ทรงเห็นว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะนั้น ได้รับคำของฆฏิการะช่างหม้อที่จะจำพรรษาที่นั่นแล้ว ก็ได้ส่งอาหารต่างๆ ไปร่วมด้วย และได้เห็นจริงว่า ฆฏิการะช่างหม้อนั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง
นี่เป็นชีวิตที่ต่างกันระหว่างฆฏิการะช่างหม้อซึ่งไม่ได้ออกบวช กับโชติปาลมานพซึ่งได้ฟังธรรมและออกบวช ซึ่งไม่ได้บรรลุความเป็นพระอริยบุคคลในครังนั้น แต่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม
เป็นชีวิตที่ต่างกันของการที่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ชีวิตของท่านที่ฟังธรรมในขณะนี้ ต่างคนต้องต่างกันไปแน่ ใครจะเป็นอย่างไร จะบรรลุคุณธรรมขั้นไหน ในสมัยไหน แม้ได้เฝ้าได้ฟังธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ว่าชีวิตก็ยังต่างกัน ตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...