พระพุทธคุณ ... พระพุทธกิจ.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบังเกิดของพระพุทธเจ้านั้นแสนยาก แม้จะทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานแล้ว แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ยังคงดำรงอยู่ครบถ้วนในพระไตรปิฎก และเป็นศาสดาแทนพระองค์ จึงนับว่าเป็นลาภอันประเสริฐต่อพวกเราอนุชนคนรุ่นหลังที่ได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติธรรม ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
ด้วยพระมหากรุณาคุณพระพุทธเจ้า ทรงโปรดเวไนยสัตว์ตลอด ๔๕ พรรษา ดังนี้คือ เวลาเช้าทรงเสด็จออกบิณฑบาตเวลาเย็นทรงแสดงธรรมแก่มหาชนเวลาค่ำทรงประทานพระโอวาทแก่พระภิกษุ เวลาเที่ยงคืนทรงพยากรณ์ปัญหาแก่เทวดา เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูและโปรดสัตว์อันควรต่อการบรรลุมรรคผลซึ่งแม้หนทางจะแสนไกล บางครั้งพระองค์ก็ทรงเสด็จไปด้วยพระบาทเปล่า
ความกตัญญูต่อพระมหากรุณาคุณของพระองค์ คือการศึกษาธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงไว้ แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม บำเพ็ญตนอยู่ในทำนองคลองธรรม เจริญกุศลทุกประการโดยไม่ประมาทเพื่อประโยชน์สุขแก่ตน และผู้อื่น ข้อสำคัญ เพื่อให้พระพุทธศาสนายังคงดำรงอยู่ไม่เสื่อมสูญไปในเวลาอันสั้น
ธรรมบรรณาการ จากคณะสหายธรรม
ขออนุโมทนา
ในอรรถกถาแสดงพุทธกิจโดยละเอียดมีหลายแห่ง ดังนี้
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 249
ในที่ที่พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ในวิหาร พระสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นย่อมมีกิจประจำวัน ๕ อย่าง อะไรบ้าง
กิจในปุเรภัต ๑
กิจในปัจฉาภัต ๑
กิจในปุริมยาม ๑
กิจในมัชฌิมยาม ๑
กิจในปัจฉิมยาม ๑
ใน ๕ อย่างนั้น กิจในปุเรภัต ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลุกแต่เช้าทีเดียว ทรงทำบริกรรมพระวรกายมีบ้วนพระโอษฐ์เป็นต้น เพื่ออนุเคราะห์ภิกษุผู้อุปัฏฐาก และเพื่อสำราญพระวรกาย แล้วทรงให้เวลาล่วง ณ เสนาสนะ ที่สงัดจนถึงเวลาเสด็จภิกขาจาร ถึงเวลาเสด็จภิกขาจารก็ทรงนุ่งสบงคาดประคดเอวแล้วทรงห่มจีวร ทรงถือบาตร บางครั้งเสด็จพระองค์เดียว บางคราวแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังคามหรือนิคมเพื่อบิณฑบาต บางครั้งก็เสด็จเข้าไปตามปกติ บางครั้งก็มีปาฏิหาริย์หลายอย่างเป็นไปอยู่คือ เมื่อพระโลกนาถเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ลมอ่อนพัดชำระแผ่นดินให้สะอาดไปข้างหน้า เมฆฝนหลั่งน้ำลงเป็นหยดๆ ให้ละอองในหนทางเรียบราบกั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน ลมอีกอย่างพัดเอาดอกไม้มาเบื้องบนเกลี่ยลงในหนทาง ภูมิประเทศที่สูงขึ้นก็ต่ำลง ภูมิประเทศที่ต่ำลงก็สูงขึ้น ในสมัยทอดพระบาทลง พื้นแผ่นดินย่อมเรียบเสมอ ดอกปทุม ที่เป็นสุขสัมผัส ย่อมรับพระบาท พอพระองค์วางพระบาทขวาภายในเสาเขื่อนรัศมีมีพรรณ ๖ สร้านออกจากพระสรีระ กระทำเรือนยอดปราสาท ให้มีสี่เหลี่อมพรายด้วยน้ำทอง และให้เป็นเหมือนแวดล้อมด้วยแผ่นผ้าอันวิจิตรสร้านไปข้างโน้นข้างนี้ ช้างม้าและวิหค เป็นต้น ยืนอยู่ในที่ของตนๆ ส่งเสียงด้วยอาการอันไพเราะ ดนตรีมีกลองและพิณเป็นต้น และอาภรณ์ที่สวมกายพวกมนุษย์อยู่ ก็เป็นอย่างนั้น ด้วยสัญญาณนั้น พวกมนุษย์ย่อมรู้กันว่าวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้ามาบิณฑบาตในที่นี้ พวกเขานุ่งห่มเรียบร้อยถือของหอมและดอกไม้ เป็นต้น ออกจากเรือนเดินไประหว่างถนน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้ เป็นต้น โดยเคารพถวายบังคมแล้ว ทูลขอว่าพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์ ๑๐ รูป แก่พวกข้าพระองค์ ๒๐ รูป แก่พวกข้าพระองค์ ๑๐๐ รูป พระเจ้าข้า รับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วให้ปูลาดอาสนะ ต้อนรับด้วยบิณฑบาตโดยเคารพ
ฯลฯ
ขอเชิญอ่านต่อที่นี่ครับ
ขออนุโมทนา
ปุถุชนสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนน้ำในมหาสมุทรที่ลอดรูของช่องเข็ม พระคุณที่ไม่กล่าวถึงมีมากกว่านั้นอีกค่ะ