กลิ่นดิบ คือ กลิ่นของอกุศลธรรมที่อยู่ในจิต
เรื่องของโลกก็ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้ ไม่ว่าในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ก็ดี หรือว่าในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ก็ดี คนในครั้งโน้นก็ประพฤติเป็นไปอย่างนี้ มีการฆ่าสัตว์ มีการให้ทาน มีการกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อที่จะได้ทรงแสดงธรรมให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ่มแจ้ง และประพฤติปฏิบัติตาม จนกระทั่งดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉท
ขอกล่าวถึงเรื่องนี้ในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ใน ขุททกนิกาย อามคันธสูตร ที่ ๒ มีข้อความว่า
ติสสดาบสทูลถามพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะด้วยคาถา ความว่า
สัตบุรุษทั้งหลายบริโภคข้าวฝ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม้ เหง้ามัน และผลไม้ที่ได้แล้วโดยธรรม หาปรารถนากาม กล่าวคำเหลาะแหละไม่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะ พระองค์เมื่อเสวยเนื้อชนิดใดที่ผู้อื่นทำสำเร็จดีแล้ว ตกแต่งไว้ถวายอย่างประณีต เมื่อเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ก็ชื่อว่าย่อมเสวยกลิ่นดิบ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า กลิ่นดิบย่อมไม่ควรแก่เรา แต่ยังเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีกับเนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแล้ว
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะ ข้าพระองค์ขอทูลถามความนี้ กะพระองค์ว่า กลิ่นดิบของพระองค์มีประการอย่างไร
กลิ่นเนื้อสัตว์ บุคคลบางพวกถือว่าเป็นกลิ่นดิบ เป็นกลิ่นไม่สะอาด ก็เข้าใจว่าผู้ใดเป็นสัตบุรุษจะต้องบริโภคแต่ข้าวฝ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม้ เหง้ามัน และผลไม้ที่ได้มาโดยธรรม แต่ทำไมพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลี เนื้อที่บุคคลปรุงถวายอย่างประณีต
พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปะตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ข้อความต่อไปมีว่า
ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง หยาบช้า หน้าไหว้ หลังหลอก ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ข้อความต่อไปมีว่า
ขอเชิญรับฟัง
อย่าไปเป็นห่วงเรื่องอาหารเลยว่า จะเป็นประเภทเนื้อ หรือว่าไม่ใช่ประเภทเนื้อ แต่ควรห่วงสภาพของจิตว่า ในขณะนั้นเป็นอกุศลมากน้อยสักเท่าไร เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง เศร้าหมอง คือ ไม่บริสุทธิ์ด้วยอำนาจของกิเลส หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ท่านผู้ฟังควรจะพิจารณาว่าท่านมีประการใดบ้าง ตั้งแต่ประการแรก คือ การฆ่าสัตว์ ยังมีอยู่บ้างไหม การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
กลิ่นดิบ คือ กลิ่นของอกุศลธรรมที่อยู่ในจิต ไม่ใช่เพียงกลิ่นภายนอกอย่างกลิ่นเนื้อ หรือว่ากลิ่นอาหารประเภทเนื้อ