เมื่อให้จิตผ่องใส ๑ ให้แล้วดีใจ ๑ /209
อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต สัปปุริสสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ให้ของสะอาด ๑ ให้ของประณีต ๑ ให้ตามกาล ๑ ให้ของสมควร ๑ เลือกให้ ๑ ให้เนืองนิตย์ ๑ เมื่อให้จิตผ่องใส ๑ ให้แล้วดีใจ ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัปปุริสทาน ๘ ประการนี้แล
ขอกล่าวถึงเมื่อให้จิตผ่องใส ๑ ให้แล้วดีใจ ๑
ข้อความต่อไปมีว่า
สัปปุรุษย่อมให้ทาน คือ ข้าวและน้ำที่สะอาด ประณีต ตามกาล สมควร เนืองนิตย์ ให้ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ผู้เป็นเขตดี บริจาคของมากแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดาย ท่านผู้มีปัญญาเห็นแจ้ง ย่อมสรรเสริญทานที่สัปปุรุษให้แล้วอย่างนี้ เมธาวีบัณฑิตผู้มีศรัทธา มีใจอันสละแล้ว บริจาคทานอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข
ในอรรถกถามีข้อความเรื่องการถวายจีวรแก่พระภิกษุ เวลาที่ระลึกถึงการบริโภคจีวรของพระภิกษุ ท่านอาจจะ เกิดโสมนัสได้ เกิดปีติ ไม่เสียดาย เพราะเหตุว่าจีวรที่พระภิกษุสงฆ์ท่านใช้ ท่านใช้ตั้งแต่ยังใหม่จนกระทั่งเก่า จนกระทั่งขาด จนกระทั่งปะ จนกระทั่งท้ายที่สุดเป็นผ้าเช็ดเท้า มีประโยชน์มากถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ท่านนึกถึงประโยชน์ที่ท่านได้ให้ว่า สิ่งที่บริจาค สิ่งที่ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์นั้น สามารถที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลเป็นเวลาที่นานมาก ก็ทำให้จิตของท่านระลึกถึง และเกิดกุศลที่ไม่มีประมาณได้
หรือแม้แต่เสนาสนะที่อยู่ที่อาศัย ถ้าท่านสร้างอุทิศแด่สงฆ์แล้ว จะอยู่ไปชั่วหลายอายุ ทุกขณะที่ท่านบริโภค ทุกขณะที่ท่านใช้ ทุกขณะที่ท่านนั่ง ท่านนอน ท่านยืน ท่านเดิน ท่านพักผ่อนในสถานที่นั้น สิ่งนั้นก็เป็นประโยชน์เกื้อกูล แม้ว่าการถวายของท่านจะเป็นการถวายเพียงครั้งเดียว แต่เพราะเหตุว่าวัตถุนั้นสามารถที่จะบริโภคได้บ่อยๆ เนืองๆ และจิตของท่านตามระลึกแล้วไม่เกิดความเสียดาย ก็แสดงบุญเจตนาที่ไม่มีประมาณ ไม่ว่าจะระลึกครั้งใดก็เกิดความผ่องใสในกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว และไม่เกิดความเสียดาย
เป็นสิ่งที่ถ้าท่านได้ให้สิ่งใดเป็นประโยชน์แก่บุคคลใด แล้วระลึกถึงประโยชน์ที่บุคคลนั้นจะได้รับเป็นเวลานาน ก็จะทำให้ท่านไม่เกิดความเสียดายขึ้นได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจในเรื่องของการเจริญกุศลด้วย
ขอเชิญรับฟัง