ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๓
~ พระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำไปสู่ความเข้าใจถูกต้องว่าไม่มีเรา สำคัญที่สุด “อนัตตา” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะเป็นอย่างที่อยากเป็น ก็ไม่ได้ จะไม่เป็นอย่างที่กำลังเป็น ก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า เกิดแล้วเป็นแล้วทั้งหมด
~ ต้องเข้าใจว่า อนัตตา หมายความถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่เพียงสภาพที่มีลักษณะอย่างนั้นๆ แต่ละอย่าง อย่างเช่น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นของจริง ไม่ปรากฏทางหู ไม่ใช่เสียง ไม่ใช่กลิ่น เป็นแต่เพียงสิ่งที่สามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ภาวนาคือการอบรมเจริญปัญญา ให้ปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ มั่นคง จนสามารถเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะมีวิธีอื่น นอกจากนี้ได้ไหม? ไปหาวิธีไหนมาที่ทำให้สามารถเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ไม่มีเลย นอกจากปัญญาเดี๋ยวนี้เกิด และต่อไปฟังอีก เข้าใจเพิ่มอีก ปัญญาเพิ่มอีก จึงเป็นผู้สนใจ มนสิการ คือ ใส่ใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเพิ่มขึ้น
~ มั่นคงว่าไม่มีเรา แล้วความเป็นเราก็จะค่อยๆ น้อยลง ความเห็นแก่ตัวเพราะเป็นเราก็ค่อยๆ ลดลง คุณความดีทั้งหลายก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่มีการที่จะต้องทำเพื่อตัวเรา
~ ความเข้าใจ เป็นการละ เมื่อเห็นความลึกซึ้งความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม ก็รู้ว่าไม่ต้องหวัง ไม่ต้องคอยใดๆ เลยทั้งสิ้น มีการได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้ฟังธรรมที่จะสะสมความเห็นที่ถูกต้อง ก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่ว่าวันหนึ่งจะได้ออกจากสังสารวัฏฏ์
~ จริงๆ แล้วบางขณะอกุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่ใช่มิตร แต่ขณะใดที่ใช้คำว่า “มิตร” หมายความว่า ขณะนั้นพร้อมที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลช่วยเหลือบุคคลอื่น ไม่เป็นศัตรู ไม่หวังร้าย ไม่คิดร้ายด้วย ขณะนั้นเป็นมิตร พอใจไหมที่จะเป็นมิตร หรือ ต้องการมีมิตร แต่เราไม่เป็นมิตร?
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์คนที่มีกิเลสและทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่างๆ ให้ละคลายอกุศล เพราะความเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงเท่านั้นที่จะทำให้พฤติกรรมทั้งหมดที่ไม่ดีค่อยๆ ลดน้อยลง จนกระทั่งสามารถจะไม่เกิดอีกเลยได้
~ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ไม่ได้บังคับให้อะไรเกิดได้ แต่ความเข้าใจยิ่งขึ้นก็จะค่อยๆ ทำให้อกุศลเบาบางลง เพราะเห็นว่าอกุศลไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะโกรธใคร มีประโยชน์กับใคร แม้แต่ตัวเอง มีประโยชน์หรือเปล่า จิตเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมีเมตตาแทน
~ ให้ร้ายเราตลอด แกล้งเราตลอด โทษอยู่ที่ใคร? โทษอยู่ที่เขา เราเดือดร้อนอะไร? ไม่มีใครทำให้เราเกิดกิเลสได้ นอกจากกิเลสของเราเอง
~ อกุศลของเขา เราไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกุศลเมื่อไหร่ ไม่เดือดร้อน ไม่พลอยเป็นอกุศลไปด้วย เพราะฉะนั้น ใครกล่าวอย่างไรด้วยจิตประเภทใด ถ้าเป็นอกุศลจิต ก็ไม่ใช่เราเป็นอกุศลจิต แต่เขาเป็นอกุศลจิต รู้ไหมว่าขณะนั้นเป็นธรรมที่ควรละ
~ ทุกคนต้องการเพื่อน คือ คนที่เข้าใจ เห็นใจ หวังดี มีเมตตา แล้วเราต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า? ถ้าเราต้องการอย่างนั้น เขาต้องการไหม ไม่ว่าเขาเป็นใคร พร้อมที่จะให้ได้ไหม? ไม่ลำบากเลย แค่หวังดี
~ ถ้าเราจะเดือดร้อนเพราะคนอื่น ทั้งวันไม่จบ ทั้งคืนไม่จบ ทั้งชาติไม่จบ เพราะฉะนั้น เกิดมาก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือเข้าใจธรรมและทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย
~ ถ้าขณะใดที่กิเลสไม่เกิด ขณะนั้นไม่เร่าร้อนแน่นอน แต่เวลาใดที่กิเลสเกิด ขณะนั้นก็เป็นความเร่าร้อนตามลักษณะของกิเลสนั้นๆ เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า ตามความเป็นจริงไม่รู้ว่าความเร่าร้อนนั้นมาจากไหน เพราะเหตุว่า เกิดมาแล้วเร่าร้อน เพราะฉะนั้น ความเร่าร้อนนั้นมาจากไหน ถ้าไม่มีการเกิด ก็ไม่เร่าร้อน และถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็ยังต้องเกิด
~ ลองเปรียบเทียบ สภาพที่พ้นจากความติดข้อง จะเหนือกว่าความติดข้องสักเท่าไหร่ เพราะไม่ได้นำทุกข์ใดๆ มาให้เลยทั้งสิ้น
~ งานใหญ่ที่สุด ทำเพื่ออะไร งานอื่นทำเพื่อการมีชีวิตที่จะไม่เดือดร้อน มีที่อยู่อาศัย มีเสื้อผ้า มีอาหาร มียารักษาโรคเพื่อชีวิตจะดำเนินไป แต่ไม่จบ อย่างไรก็ต้องเป็นไป ใครจะทำหรือไม่ทำ จิตต้องเกิดขึ้นทำกิจการงาน เพราะฉะนั้น กิจที่ใหญ่กว่ากิจต่างๆ ทั้งหลาย ก็คือกิจของการที่จะเข้าใจธรรม เพื่อที่จะดับกิเลส
~ ถ้าสามารถที่จะเข้าใจเหตุและผลของการที่ได้เกิดมาเป็นคนนี้ และเหตุและผลของการที่เป็นไปตามการสะสม แต่ละคน ดีบ้าง เลวบ้าง ทุกคนไม่อยากจะเป็นคนเลว ทุกคนไม่อยากจะเป็นคนที่ทำผิด ทุกคนไม่อยากจะมีกิเลสมากๆ แต่ต้องเป็นไปตามการสะสม เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็จะเป็นปัจจัยให้ทำความดีมากขึ้น เพราะรู้ว่าเหตุที่ทำในชาตินี้ก็จะทำให้เกิดผลในชาติต่อไปด้วย
~ เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ใช่ว่าคนอื่นตายแต่เราไม่ตาย เพราะตายด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ก่อนตาย คือ สะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ
~ เห็นโทษของอกุศลมากขึ้น จะทำให้อบรมเจริญกุศลยิ่งขึ้นทุกขั้น เพราะรู้ตัวว่าเป็นผู้ที่มีกิเลสมากเหลือเกิน
~ ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ทำให้เกิดในสุคติภูมิ แต่ทุกคนไม่ได้มีแต่กุศลกรรม พิจารณาให้ดีให้ละเอียดว่า กุศลกรรมมากหรือน้อยกว่าอกุศลกรรม และถ้าจะพิจารณา ก็พิจารณาได้เฉพาะในชาตินี้ แต่ชาติก่อนๆ เอาไปทิ้งไว้ที่ไหน กรรมยังมีโอกาสที่จะติดตามให้ผลอยู่เรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ถึงปรินิพพาน (ดับโดยรอบซึ่งขันธ์ เป็นการตายของพระอรหันต์ ไม่มีการเกิดอีก) เพราะฉะนั้น ไม่ควรเป็นผู้ประมาท
~ ควรจะมีความอดทนแม้แต่การไม่พูดในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ มีเรื่องหลายเรื่องซึ่งก็น่าจะบอกเล่าให้คนอื่นทราบ แต่ควรพิจารณาก่อนว่าเรื่องนั้นเป็นประโยชน์ไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์ มีความอดทนอดกลั้นที่จะไม่เล่าในขณะนั้นไหม เพราะเห็นแล้วว่าไม่เป็นประโยชน์แก่ใครทั้งสิ้น
~ อกุศลทั้งหลายแม้เล็กน้อย พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้มีเลย ให้ขจัดจนกระทั่งไม่เหลือเลย
~ ไม่ประมาทในการที่จะมีชีวิตอยู่ ได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๒
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ
หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยมั่นใจในอนัตตา
กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา
อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญฯ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ