สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้

 
nattawan
วันที่  9 ต.ค. 2566
หมายเลข  46759
อ่าน  402

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ถ้ามีใครมาถามว่า อะไรคือสิ่งที่ชาวพุทธควรรู้จะตอบอย่างไรดี!! ก่อนอื่นต้องทราบความหมายของคำว่าพุทธะหมายถึงปัญญาเป็นการเข้าใจความจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ใครที่ศึกษาธรรมะแล้วเข้าใจก็เป็นชาวพุทธแต่ปัญญาที่รู้ความจริงนั้น ... รู้อะไร ... ลึกซึ้งแค่ไหน ... เชิญคลิกชมหาคำตอบได้ค่ะ ...

รายการบ้านธัมมะ 3 กันยายน 2565 เรื่อง สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ต้องตรงจนถึงที่สุดตลอดไปเป็นสัจจบารมี มิฉะนั้นจะไม่มีสัจจบารมี แล้วจะถึงความจริงได้อย่างไร

เริ่มเข้าใจความหมายของบารมี รู้ว่าบารมีมีจริงๆ กำลังเป็นบารมีที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น มั่นคงขึ้นก็เป็นอธิษฐานบารมี ตรงต่อความเป็นจริงก็เป็นสัจจบารมี พากเพียรอยู่ไม่ทอดทิ้งเวลาที่จะฟังแล้วฟังอีก เพราะรู้ว่าเข้าใจได้แม้จะเพียงน้อยมาก แต่ก็เข้าใจได้เมื่อเข้าใจได้ก็เข้าใจอีก ... เข้าใจอีก ... เพียร (วิริยบารมี) ด้วยความอดทน (ขันติบารมี) ตรงต่อความจริง (สัจจบารมี) มั่นคงไม่เปลี่ยน (อธิษฐานบารมี) เพื่อเนกขัมมบารมี ละอกุศลและความไม่รู้

ซึ่งที่เข้าใจขณะนี้ละแล้วไม่ต้องไปทำอะไรเลย ไม่ต้องเอาธรรมะนี้ไปปฏิบัติหรือไปใช้ ... ไม่มีทาง ... เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับแล้ว ... ปรุงแต่งให้ขณะต่อไปเป็นอย่างที่เข้าใจขึ้น ... ในความเป็นธรรมะ

เป็นเรื่องของบารมีจริงๆ ไม่มีบารมีเลย ... ไปสำนักปฎิบัตินั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง ... แล้วจะรู้อะไรในเมื่อเดี๋ยวนี้ไม่รู้!!!

ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้ความจริงเดี๋ยวนี้ จริงขณะอื่นไม่มีแล้ว จริงเพียงหนึ่งขณะ ... หนึ่งขณะ ... หนึ่งขณะที่ปรากฏ แต่แม้กระนั้นการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ จริงหนึ่งนั้นคือปรากฏโดยความเป็นนิมิต

เริ่มเข้าใจว่า ที่ปรากฏกำลังเกิดดับไม่ใช่อย่างนี้ ... ดับจริงๆ ... เกิดจริงๆ แต่เมื่อไม่ปรากฏเพราะรวมกันอยู่ด้วยความรวดเร็วที่ทรงอุปมาไว้ว่าเหมือนกันแกว่งก้านธูปหนึ่งดอกให้เป็นวงกลม ไม่เห็นเลยก็ค่อยๆ เป็นทีละหนึ่ง แต่รวมกันเห็นไฟเป็นที่เป็นวงกลม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ... โลกเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้

ที่ปรากฏๆ โดยเป็นนิมิต การเกิดดับสืบต่อหนึ่งอย่าง คือ เห็นเป็นนิมิตของเห็น เห็นหนึ่งขณะจริงๆ นั้นไม่ได้ปรากฏเลยเพราะเร็วมาก

พระองค์ทรงแสดงวิถีจิต เมื่อก่อนจิตเห็นมีจิตเห็นไหม ... มีจิตแต่ไม่เห็นใช่ไหม ... ก่อนเห็น ... เห็นกำลังเป็นจิตหนึ่งขณะเกิดขึ้น ... เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ตามเหตุตามปัจจัย ... ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลยเพราะไม่มีใคร ... ไม่มีตัวตน แต่มีธรรมะทั้งหมด และอาศัยเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นธรรมะใดเกิดขึ้นเป็นธรรมะนั้น ... ใครก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นเห็นดับเพราะทำหน้าที่เห็น ดับแล้วเป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดขึ้น

นี่พูดอย่างคร่าวๆ มากเพราะแม้แต่จิตก็ยังไม่รู้ว่าอะไร!!! แต่การคุ้นเคยต่อการที่จะพอเข้าใจได้ ก็สามารถที่จะฟังได้โดยคาดคะเน โดยประมาณว่า ขณะนี้เห็นเป็นจิต เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น ... ดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะใหม่เกิดต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย จึงปรากฏเหมือนกับว่า ตั้งแต่เกิดจนตายไม่ได้หายไปไหนเลย เป็นเรา ... ค่อยๆ เป็นเรา เป็นแต่ละขณะ ... แต่ละขณะ ... ตั้งแต่เด็กจนโต ... จนถึงเดี๋ยวนี้ และก็ต่อไปข้างหน้า

ความจริงก็ไม่ใช่เราเลย แต่เป็นธาตุรู้แต่ละหนึ่งหลากหลายมาก ซึ่งเกิดดับสืบต่อกันจนปรากฏเป็นโลก เพราะฉะนั้นโลกโดยความเป็นจริงก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับทั้งหมด อนิจจัง ... ไม่เที่ยง ทุกครั้ง ... ควรพอใจยินดีติดข้องไหม ... ในเมื่อไม่เหลือเลย แต่ละขณะนั้นแต่ละหนึ่งใหม่ที่เกิดดับสืบต่อโดยไม่มีการปรากฏให้รู้เลย นอกจากปรากฏโดยความเป็นนิมิตของหนึ่งสภาพธรรมะ เช่น เห็นขณะนี้ยังเป็นเห็น ไม่เป็นอื่นโดยเป็นนิมิตของธรรมะที่เป็นจิตเกิดขึ้นทำกิจเห็นแล้วดับ เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปรู้สิ่งที่ปรากฏนี้แหล่ะ เพราะสิ่งนั้นยังไม่ดับ ... รูปธรรมดับช้ากว่าจิต จิตเกิดดับ 17 ขณะ รูปธรรมหนึ่งรูปมีอายุเท่ากับจิต 17 ขณะแล้วดับ และไม่กลับมาอีกเลย

แต่ว่าขณะที่เห็นเกิดขึ้นเห็น ... เห็นดับจริง แต่สิ่งที่เห็นที่ปรากฏที่กระทบตายังไม่ดับ เพราะฉะนั้น ปัจจัยนั้นทำให้จิตที่เกิดต่อรู้สิ่งเดียวกับจิตเห็น เพราะกำลังกระทบตาและยังไม่ดับ ... แต่ว่าไม่เห็น ... เห็นความละเอียดไหม

นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ เริ่มรู้จักพระองค์ เริ่มรู้ว่าฟังธรรมนี้ฟังอะไร ... แม้แต่คำว่าโลกก็ยังไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร!! แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงของธรรมะทั้งหมดโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด

แม้แต่จิตเห็นดับไม่กลับมาอีกเลย แล้วจิตขณะนั้นที่ดับเป็นปัจจัยให้เกิดจิตใหม่ต่อไปเกิดขึ้น ... ไม่ได้ทำกิจเห็น แต่รับรู้สิ่งที่จิตเห็นได้เห็นในขณะนั้น (อารมณ์เป็นสิ่งที่จิตรู้)

เพราะมีจิตที่เกิดขึ้นรู้สิ่งใด ... สิ่งที่ถูกรู้เป็นอารมณ์ของจิต ถ้าเห็นไม่ปรากฏ ... สิ่งนั้นไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้เฉพาะสิ่งนั้นเท่านั้นที่ปรากฏ ... เป็นเราหรือเปล่า ... หมดแล้ว ... กว่าจะเข้าถึงความหมายของคำว่าอนัตตาที่กว่าจะมั่นคง ... เป็นเรามาตั้งนานในสังสารวัฏฏ์แล้วจะหมดไปทันที ... เป็นไปไม่ได้!!!!!

กราบนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นทุกข์ เป็นสภาพที่บีบคั้นให้ต้องดับไม่สามารถทนอยู่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้เลย และเมื่อดับไปแล้วก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนจริงๆ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป ... ถ้าปัญญารู้อย่างนี้ก็จะนำไปสู่ความรู้เพื่อการละ

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ความรู้ความเข้าใจถูกต้องเท่านั้น ที่จะเป็นความสุขระดับที่สูงกว่าความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส ซึ่งแสนสั้น ชั่วคราวหมดแล้วไม่กลับมาอีกเลย

ในบรรดาสิ่งที่เกิดทั้งหมดไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ปัญญาเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

แนะนำหนังสือ ...

แด่ผู้มีทุกข์

โดย สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ข้อความบางส่วนจากหนังสือ ...

แด่ผู้มีทุกข์

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ภิกษุในธรรมวินัย

ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nattawan
วันที่ 9 ต.ค. 2566

... เมื่อเกิดเรื่องราว ย่อมต้องการคนมีปัญญา ...

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ต.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ