อนันตรกัมมปัจจัย
ข้อความในอรรถกถาแสดงว่า เป็น “อนันตรกัมมปัจจัย” ได้แก่ เจตนาเจตสิกซึ่งเกิดกับโลกุตตรกุศลจิต ๔ ดวง คือโสตาปัตติมัคคจิต ๑ สกทาคามิมัคคจิต ๑ อนาคามิมัคคจิต ๑ อรหัตตมัคคจิต ๑ เป็นปัจจัยใหัผลจิต คือโลกุตตรวิบากจิตเกิดสืบต่อทันที โดยไม่มีระหว่างคั่น เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนันตรกัมปัจจัย
อนันตร คือ ไม่ระหว่างคั่น
เพราะฉะนั้น เป็นกัมม ที่ทำให้ผล วิบากเกิดขึ้น โดยไม่มีระหว่างคั่น
เมื่อโสตาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลย นอกจากโสตาปัตติมัคคผลจิต
เมื่อสกทาคามิมัคคจิตเกิดขึ้นแล้วดับ จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลย นอกจากสกทาคามิผลจิต
เมื่ออนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลย นอกจากอนาคามิผลจิต
เมื่ออรหัตตมัคคจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป จิตอื่นจะเกิดต่อไม่ได้เลย นอกจากอรหัตตผลจิต
เพราะฉะนั้น จึงเป็นอนันตรกัมมปัจจัย เป็นกรรม ซึ่งให้ผลทันทีที่กรรมนั้นดับไป โดยที่ไม่มีจิตอื่นๆ จะเกิดแทรกคั่นได้เลย เป็นการได้รับผลในปัจจุบันชาติ ของโลกุตตรกุศล
เมื่อโลกุตตรกุศลเกิดขึ้นในชาติไหน โลกุตตรวิบากซึ้งเป็นผล เกิดสืบต่อทันทีในชาตินั้นไม่มีระหว่างคั่น ไม่เหมือนกุศลอื่นนะคะ กุศลอื่นอาจจะให้ผลในชาตินั้น แต่ไม่ใช่ต่อกันทันที ไม่ว่าทานกุศล หรือศีลกุศล หรือสมถภาวนา ฌานจิต จะเป็น รูปาวจรฌาน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตตุถฌาน หรือปัญจมฌานก็ตาม หรืออรูปฌานกุศลก็ไม่สามารถที่จะให้ผลติดกัน สืบต่อกันทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น เหมือนโลกุตตรกุศล เพราะเหตุว่า ผู้ที่ทำกุศลที่จะทำให้เกิดเป็นเทวดา ในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใด กรรมนั้นจะให้ผล ต่อเมื่อจุติจิตในชาติที่ได้กระทำกรรมนั้น ดับไปเสียก่อน ถ้าเป็นมนุษย์ทำกุศลกรรมที่จะทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใด จุติจิตต้องดับเสียก่อน แล้วกรรมนั้นจึงจะเป็นปัจจัย ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดได้
หรือว่าสำหรับรูปาวจรจิต ซึ่งเป็นฌานจิต ฌานหนึ่งฌานใด ไม่เสื่อม เกิดขึ้นก่อนจุติจิต เมื่อจุติจิตดับ จึงเป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิต เกิดขึ้นในพรหมโลก ภูมิหนึ่งภูมิใดได้ เพราะฉะนั้น ก็ยังมีจิตอื่น ซึ่งคั่นระหว่างกุศลจิต ซึ่งเป็นเหตุ เป็นกัมมปัจจัย และวิบากจิตซึ่งเป็นผล ถ้าเป็นโลกียกุศล แต่ถ้าเป็นโลกุตตรกุศลแล้ว ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิ เพราะฉะนั้น โลกุตตรวิบากจิตจึงเกิดสืบต่อจากโลกุตตรกุศลจิตทันที โดยไม่มีระหว่างคั่น มีนิพพานเป็นอารมณ์ เช่นเดียวกับโลกุตตรกุศลจิต แต่เป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน คือโลกุตตรกุศลจิต เป็นจิตที่ดับกิเลส แต่โลกุตตรวิบากจิตคือผลจิต เป็นจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ โดยดับกิเลสแล้ว
เพราะฉะนั้น ก็จะได้ทราบว่า สำหรับโลกุตตรกุศลจิต ประเภทเดียวเท่านั้น ที่เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย ให้ผลทำให้โลกุตตรวิบากจิต เกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีจิตอื่นเกิดคั่น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า หรือว่า ไม่ต้องรอถึงชาติต่อไปเลย ทันทีที่โสตาปัตติมัคคจิตดับ โสตาปัตติผลจิตเกิดต่อ มีนิพพานเป็นอารมณ์ เช่นเดียวกับโสตาปัตติมัคคจิต
ถ้าเป็นสกทาคามิมัคคจิตดับไป เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัยให้สกทาคมิผลจิตเกิดสืบต่อทันที อนาคามิมัคคจิตและอรหัตตมัคคจิตก็โดยนัยเดียวกัน
เพราะฉะนั้น สำหรับโสตาปัตติมัคคจิต สกทาคามิมัคคจิต อนาคามิมัคคจิต อรหัตตมัคคจิต เป็นอกาลิโก คือเป็นกุศลกรรมที่ให้ผลทันทีเมื่อกุศลกรรมนั้นดับไป
ที่มา ...