ธนปาลเปตวัตถุ

 
chatchai.k
วันที่  21 ต.ค. 2566
หมายเลข  46827
อ่าน  273

เรื่องของเปรตเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเปรตเป็นผู้ที่รู้กรรมของตน และได้กล่าวถึงกรรมของตนขณะที่มาปรากฏกายแก่มนุษย์ เนื่องจากมีเหตุที่จะให้ปรากฏไม่ใช่ว่าปรากฏโดยทั่วๆ ไป

ใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ธนปาลเปตวัตถุ ไม่จำกัดว่าจะเป็นบุคคลใด ถ้าทำอกุศลกรรมแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรตได้ทั้งนั้น สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของเศรษฐีที่ไปเกิดเป็นเปรต

พวกพ่อค้าถามเปรตตนหนึ่งว่า

ท่านเปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เห็นกระดูกซี่โครง แน่ะเพื่อนยาก ท่านเป็นใครหนอ

เปรตนั้นตอบว่า

ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นเปรต ทุกข์ยาก เกิดอยู่ในยมโลก ได้ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก

พวกพ่อค้าถามว่า

ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่งอะไรท่านจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก

เปรตนั้นตอบว่า

มีพระนครของพระเจ้าทสันนราช ปรากฏนามว่า เอรกัจฉะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีอยู่ในนครนั้น ประชาชนเรียกข้าพเจ้าว่า ธนปาลเศรษฐี

ข้าพเจ้ามีเงิน ๘๐ เล่มเกวียน ทองคำ แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์มากมายเหลือที่จะนับ แม้ข้าพเจ้าจะมีทรัพย์มากมายถึงเพียงนั้น ก็ไม่รักที่จะให้ทาน ปิดประตูแล้วจึงบริโภคอาหารด้วยคิดว่า พวกยาจกอย่าได้เห็นเรา ข้าพเจ้าไม่มีศรัทธา เป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น ได้ด่าว่าพวกยาจก แล้วห้ามปรามมหาชนผู้ให้ทานทำบุญเป็นต้น ด้วยคำว่า ผลแห่งทานไม่มี ผลแห่งการสำรวมจักมีแต่ที่ไหน

ได้ทำลายสระน้ำ บ่อน้ำที่เขาขุดไว้ สวนดอกไม้ สวนผลไม้ ศาลาน้ำและสะพานในที่เดินลำบาก ที่เขาปลูกสร้างให้พินาศ ข้าพเจ้านั้นมิได้ทำความดีไว้เลย ทำแต่ความชั่วไว้

ถ้ามีความเห็นผิดว่า กรรมดีกรรมชั่วไม่มีผล ถึงตัวเองจะเป็นเศรษฐีมีเงินมากแต่ตระหนี่ไม่ให้ทาน และทำลายสระน้ำ บ่อน้ำที่เขาขุดไว้ ทั้งสวนดอกไม้ สวนผลไม้สมัยนี้คนที่ทำอย่างนี้ด้วยความเห็นผิดมีไหม

ข้อความต่อไปมีว่า

จุติจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดเป็นปิตติวิสัย เพียบพร้อมไปด้วยความหิวกระหายตลอด ๕๕ ปี ตั้งแต่ตายมาแล้วข้าพเจ้ายังไม่ได้กินข้าวและน้ำเลยแม้แต่น้อย การสงวนทรัพย์ คือ ไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศของสัตว์ทั้งหลาย ความเสื่อมก็คือการสงวนทรัพย์ ได้ยินว่าเปรตทั้งหลายรู้ว่า การสงวนทรัพย์คือการไม่ให้แก่ใครๆ เป็นความพินาศ

เมื่อก่อนข้าพเจ้าสงวนทรัพย์ไว้ เมื่อทรัพย์มีอยู่เป็นอันมากก็ไม่ให้ทาน เมื่อไทยธรรมมีอยู่ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน ข้าพเจ้าได้รับผลแห่งกรรมของตน จึงเดือดร้อนในภายหลังพ้นจาก ๔ เดือนไปแล้ว ข้าพเจ้าจักตาย จักไปตกนรกอันเผ็ดร้อนสาหัส มีสี่เหลี่ยม ๔ ประตูจำแนกเป็นห้องๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกนั้น ล้วนแล้วไปด้วยทองแดงลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อนแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าจักต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การเสวยทุกขเวทนาเช่นนี้เป็นผลแห่งกรรมอันชั่วช้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงเศร้าโศกที่จะต้องไปเกิดในนรกอันเร่าร้อนนั้น

ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลาย ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายผู้มาประชุมกันในที่นี้ ขอพวกท่านอย่าได้ทำบาปกรรมในที่ไหนๆ คือในที่แจ้งหรือในที่ลับ ถ้าพวกท่านจะกระทำหรือกระทำบาปกรรมนั้นๆ ไว้ แม้พวกท่านจะเหาะหนีไปอยู่ที่ไหน ก็ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์

ขอท่านทั้งหลายจงเลี้ยงมารดา จงเลี้ยงบิดา ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในสกุล เป็นผู้เกื้อกูลแก่สมณะและพราหมณ์ ท่านทั้งหลายจะไปสวรรค์ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ บุคคลจะอยู่ในอากาศ ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือเข้าไปสู่ช่องภูเขาจะพ้นจากบาปกรรมไม่มี หรือบุคคลอยู่ในส่วนแห่งภาคพื้นใด พึงพ้นจากบาปกรรมส่วนแห่งภาคพื้นนั้นไม่มี

เป็นความจริงใช่ไหมไม่ว่า จะในอากาศ ในมหาสมุทร ในช่องเขา หรือในที่ไหนก็ตาม ที่จะพ้นไปจากบาปกรรมนั้น ไม่มี

คงสงสัยว่า ทำไมเปรตปรากฏตัวให้คนเห็นได้ใช่ไหม ไม่ใช่ทั่วไป และโดยเฉพาะที่จะมาปรากฏได้ จะเห็นได้ว่า เป็นการเกื้อกูลผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ และอาจจะเห็นว่า ผู้นั้นสามารถที่จะกระทำบุญและอุทิศส่วนกุศลให้ได้ บางทีท่านคงจะนึกสงสัยในข้อความที่ว่า จะปรากฏแต่เฉพาะผู้ที่มีทิพยจักษุอย่างท่านพระมหาโมคคัลลานะ ที่เมื่อท่านน้อมจิตไปสู่ภูมิใด ก็จะเห็นสัตว์ในภูมินั้นโดยละเอียด แต่ว่าการที่บุคคลใดจะเห็นเปรตจริงๆ ซึ่งไม่ใช่โดยมโนภาพที่นึกเอา มีมากไหมคนอย่างนั้น ไม่มากเลยเพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทุกท่านที่จะเห็นภูมินี้ได้

ที่มา ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 281


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ