ลบหลู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
@ลบหลู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า@
ท่านพระเทวทัต กล่าวว่าท่านอบรมจิตเองซึ่งเป็นการตีเสมอพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลบล้างคุณของผู้อื่น คุณความดีผู้อื่นไม่ประกาศ ไม่ประกาศคำสอนที่ถูกต้องตรงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว เพราะริษยาคุณความดีผู้อื่น เป็นผู้มีจิตประกอบด้วยความโทมนัส ท่านพระเทวทัตย่อมไม่เป็นที่เคารพยกย่องของผู้ที่เข้าใจธรรมผู้ที่ประพฤติประเสริฐ เพราะผู้เข้าใจธรรมย่อมรู้คำสอนที่ตรงกันข้ามซึ่งเป็นการลบหลู่คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่รู้ จึงลบหลู่ เพราะไม่รู้ จึงเข้าใจผิด เห็นผิด แล้วกระทำผิด.
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
“ตื่นอยู่ -แต่ อารมณ์-ไม่ปรากฏ”?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
แสดงถึงความเป็นจริงว่า แม้จะตื่นอยู่ (ไม่ได้หลับสนิท) มีการรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะในขณะที่โมหะ (อวิชชา) เกิดขึ้น ซึ่งก็คือเป็นอกุศลธรรม อกุศลธรรมเกิดขณะใด ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงทั้งสิ้น ไม่มีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมปรากฏด้วยดีแก่สติและปัญญา
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
"ปัญญาเท่านั้นที่เป็นแสงสว่าง ปัญญาเป็นความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่าง อวิชชาเป็นความมืด ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งๆ ที่มีสิ่งนี้ปรากฏก็ปรากฏเหมือนกันทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อวิชชาไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏแต่ละอย่างนั้น เพียงเกิดขึ้นปรากฏก็แล้วดับไปหมดเลย ความต่างของ อวิชชากับปัญญา คือ อวิชชาไม่ต้องศึกษาเลย เกิดมาก็มีแล้ว แต่เกิดมาแล้วนั้นจะมีปัญญาเองไม่ได้ ต้องอบรมโดยสุตมยปัญญา ฟังให้เข้าใจ เพียงฟังอย่างเดียวไม่พอ ต้องไตร่ตรองจนเป็นปัญญาความเห็นถูกของตนเอง ภาวนามยปัญญา คือ อบรมความเห็นถูกให้เพิ่มขึ้นตรงขึ้นจนประจักษ์แจ้งความเป็นจริงของธรรมะตรงตามที่ได้ฟัง"
น้ำตาไหลด้วยสาเหตุใดบ้าง?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์นั้น
ไม่ว่าจะกล่าวถึงอะไร ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ความเสียใจ หรือ ดีใจ ปลาบปลื้มใจ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นเหตุให้เกิดน้ำตาไหลได้ สำคัญที่เข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ก่อนฟังพระธรรมไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่พอเริ่มฟัง ก็เริ่มเข้าใจ และยิ่งเห็นประโยชน์ฟังต่อไป ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ สำคัญที่สุด คือ การไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน และ ตามความเป็นจริงแล้ว สะสมอวิชชา ความไม่รู้มานแสนนาน การที่จะดับอวิชชาได้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา
พระเชตวันยามฝนพรำ
พระเชตวัน วันนี้ มีฝนฉ่ำ
ตกพรำพรำ ทั่วพื้น พระวิหาร
น้อมนึกไป เมื่อสมัย พุทธกาล
ตัองมีวัน เช่นนี้ แสนดีใจ
ประทีปทอง ส่องแสง แข่งสายฝน
ใจทุกคน คงมั่น ไม่หวั่นไหว
น้อมบูชา พระรัตนตรัย
ผ่องอำไพ เพราะสัทธา ทั่วกมล
พระคันธ กุฏี ที่ประทับ
งามระยับ ยิ่งสว่าง อยู่กลางฝน
ได้เป็นที่ ระลึกถึง พระทศพล
มหาชน ชาวพุทธ สุดเปรมปรีด์
ข้าพเจ้า เหล่าพุทธ บริษัท
กราบรอยบาท พระศาสดา ณ ที่นี้
ถึงสรณะ เรียนธรรมะ ประพฤติดี
ดับกิเลส ที่มี จนหมดไป
อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตั้งชื่อบทประพันธ์
บทประพันธ์โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
ภาพโดย คุณแอ๊ว ฟองจันทร์
We are born,we die and then we are born again,this goes on and on so long as we are in the cycle of birth and death.Each life is very short,before we realize it,it comes to an end.When we are reborn we do not remember our life as it is at present,just as at this moment we do not remember our past life.What has fallen away never comes back and this is true of each moment of consciousness,and each physical reality.Each moment will be immediately past,but we are deluded and take mental phenomena and physical phenomena for permanence and self.The Buddha taught about realities in detail so that they can be understood as non-self (anatta) .
The Cycle of Birth and Death
Nina Van Gorkom
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น