มีชีวิตเพื่อปัญญาปรากฏ พ.ย. 2566 เรื่องนางฟ้า
นางฟ้า
เราชอบเรียกคนที่มีจิตใจดีงามว่า “นางฟ้า” ไม่ได้ประจบประแจงหรือยกย่องเกินกว่าเหตุ แต่พูดไปตามเหตุที่ได้ศึกษาธรรมมาบ้างว่า สัตวโลกคือผู้มีจิตใจนั้นจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็เป็นไปตามอำนาจของจิต จิตนั้นมากไปด้วยความคิด ถ้าคิดดีก็พูดดีและทำดี ถ้าคิดไม่ดีก็พูดไม่ดี ทำไม่ดี และความคิดก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ แม้ทุกคนจะอยากเป็นคนดี คือคิดดีตลอดเวลาก็ไม่สามารถทำได้ ต้องเป็นไปตามการสะสมที่เคยคิดอย่างนั้นมา
เราจึงเห็นมนุษย์ในโลกนี้บางขณะเป็นเหมือนพรหม เมื่อมีเมตตา ความเป็นเพื่อน ความเป็นมิตร ต้องการให้ผู้ที่พบเห็นมีความสุข มีกรุณา เห็นคนอื่นเป็นทุกข์ก็ขวนขวายช่วยให้พ้นทุกข์ เห็นคนอื่นได้ดีมีสุขก็พลอยยินดีด้วย เพราะเขาได้รับผลของกุศลที่ทำไว้แล้ว ที่เรียกว่า มุทิตา เห็นคนทุกข์ยากเดือดร้อนสุดแก้ไขเยียวยา ก็รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ก็อุเบกขาวางเฉย ไม่เดือดร้อนในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้
บางขณะเป็นนางฟ้าเทวดา เมื่อไม่ทำบาปแม้ไม่มีใครรู้ เพราะละอายต่อบาปและเกรงกลัวต่อผลของบาปที่จะได้รับ มีทานการให้ มีการเจรจาอ่อนหวานสมัครสมานสามัคคี ช่วยเหลือกิจการงานคนอื่น คือมีจิตอาสา มีความอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม เป็นต้น
บางขณะก็เป็นมนุษย์ เมื่อไม่ทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อน คือมีศีล 5 เป็นปกติ
บางขณะก็เป็นมนุษย์เปรต คือมีความหิวตลอดเวลา ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ หิวทั้งอาหาร ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ความยอมรับ หิวจนกระทั่งต้องทำทุจริต คดโกง หลอกลวง
บางขณะเป็นมนุษย์อสุรกาย คือหาความสุขไม่ได้ เพราะความอิสสา เห็นคนอื่นได้ดีแล้วเดือดร้อน ความตระหนี่เหนียวแน่น หวงแหน กลัวคนจะมาใช้ทรัพย์สินของตน หรือผูกโกรธไว้นานปี เรื่องผ่านมานานแล้ว ก็เก็บไว้คิดให้โกรธแล้วโกรธอีก ไม่รู้ว่าคนที่หาความสุขไม่ได้ คือตัวเอง คนที่ถูกผูกโกรธนั้นไม่รู้เรื่องเลย หรือความวิตกกังวลกลัวอนาคตบ้าง คิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วบ้าง กลัวสงคราม กลัวโรคระบาด เป็นต้น เพราะไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครทำอันตรายใครได้ นอกจากอกุศลกรรมที่ทำไว้แล้ว เมื่อทำไว้เองก็ต้องได้รับผลเอง คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ท่านเปรียบคนประเภทนี้เหมือนหาบอุจจาระติดตัวไปตลอดเวลา ทั้งหนักทั้งเหม็น แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
บางคนบางขณะก็เป็นมนุษย์สัตว์เดรัจฉาน คือไม่มีความยับยั้งชั่งใจ อยากได้ก็แย่งปล้น หลอกลวง โกรธก็ใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่า ตบตี ด่าทอ
บางคนบางขณะก็เป็นสัตว์นรก ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เนรคุณ ไม่เห็นความดีของคนอื่น ฆ่าได้แม้พ่อแม่หรือผู้มีคุณ เป็นต้น
ดังนั้น โลกมนุษย์จึงเป็นที่ดูบุญและบาป และผลของบุญและบาป ถ้าสังเกตความคิดและการแสดงออกของตนเองดู ก็จะเห็นได้ว่า ในวันหนึ่งเราทุกคนก็เป็นได้หลายอย่าง ส่วนใหญ่คนที่สนิทสนมคบค้ากันก็อยู่ในระดับมนุษย์มนุษย์ มนุษย์เทวดานางฟ้า และมนุษย์พรหม เราจึงเรียกว่า นางฟ้า เมื่อแสดงออกถึงจิตใจที่ดีงามระดับนางฟ้า
ความคิด การกระทำ คำพูดที่กระทำบ่อยๆ ในชาตินี้ส่องให้เห็นถึงอนาคตของชาติหน้าว่าจะเป็นคนเช่นไร เหมือนต้นไม้เอนเอียงไปทางทิศใด เวลาล้มก็จะล้มไปทางทิศนั้น
ตั้งแต่ได้ศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาตั้งแต่ พ.ศ. 2527 จนบัดนี้เกือบ 40 ปี จะนับเวลาก็นานพอสมควร แต่ความเข้าใจพระธรรมที่ลึกซึ้งยังไม่ปรากฏให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน มีแต่สภาพรู้และสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ จึงหาความเป็นเราจากความว่างเปล่าไม่ได้เลย เพียงแต่ได้ยินและพูดตามได้คล่องปาก ไม่เคยมีสภาพรู้ปรากฏเลยแม้สภาพรู้จะมีอยู่ทุกขณะก็ตาม มีแต่สมมติบัญญัติว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้ติดข้องตลอดเวลา แต่ก็เริ่มเข้าใจขึ้นว่า ความไม่รู้มากมายมหาศาลเหมือนภูเขาสิเนรุอันสูงใหญ่ ความรู้ความเข้าใจเล็กน้อยเหมือนเอาเล็บขุดภูเขา เวลาเกือบ 40 ปีนั้นเล็กน้อยมาก และยังไม่ใช่เล็บด้วย เป็นเพียงรู้ขั้นฟังเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นเล็บที่จะเอาไปขุดภูเขาได้ จะได้รู้กำลังของตนเอง ไม่บังอาจหวังที่จะประจักษ์สภาพรู้ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา แต่ก็รู้ว่า นี่คือหนทางที่ถูกต้องที่จะต้องฟังและไตร่ตรองให้เข้าใจเพิ่มขึ้น จะอีกนานเท่าไรก็ตาม ก็จะฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ๆ จนกว่าปัญญา ความเข้าใจจะทำกิจละความไม่เข้าใจไปทีละเล็กละน้อย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่อดทนพร่ำสอน ย้อนถามบ่อยๆ เนืองๆ ให้รู้ตัวเองว่า ความเข้าใจอยู่ระดับไหน
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า พระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นลึกซึ้งยากที่จะรู้ตามได้จริงๆ แต่ก็ร่าเริงยินดีที่ชาตินี้ได้มีโอกาสฟังพระธรรมและเข้าใจบ้างตามกำลังปัญญาของตน
" ... เวลาเกือบ 40 ปีนั้นเล็กน้อยมาก และยังไม่ใช่เล็บด้วย เป็นเพียงรู้ขั้นฟังเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นเล็บที่จะเอาไปขุดภูเขาได้ จะได้รู้กำลังของตนเอง ไม่บังอาจหวังที่จะประจักษ์สภาพรู้ที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ว่าไม่ใช่เรา แต่ก็รู้ว่า นี่คือหนทางที่ถูกต้อง ที่จะต้องฟังและไตร่ตรองให้เข้าใจเพิ่มขึ้น จะอีกนานเท่าไรก็ตาม ก็จะฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ๆ จนกว่าปัญญา ความเข้าใจจะทำกิจ ละความไม่เข้าใจ ไป ทีละเล็กละน้อย ... "
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้ทรงพระคุณยิ่งในชาตินี้ ที่ได้เมตตา กล่าวธรรม ให้พอได้มีความเข้าใจธรรม สะสมไป ทีละเล็ก ทีละน้อย เป็นเสบียงหล่อเลี้ยงตน ด้วยความอาจหาญ ร่าเริ่งขึ้นๆ ในสังสารวัฏฏ์ที่แสนกันดาร และยาวนาน
กราบขอบพระคุณพี่แดง พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง สำหรับการถ่ายทอดประสบการณ์ทางธรรม สู่บทความที่มีค่าเสมอๆ เพื่อเตือนใจ เพื่อเป็นกำลังใจ สำหรับสหายธรรมผู้ร่วมทางเดินตามรอยพระบาทพระศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งพระองค์นั้น จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทั้งเป็นปัจจัยให้ได้พบกับหนทางนี้ จนกว่าจะสิ้นสุดหนทาง ไม่ว่าจะอีกกี่อสงไข อีกกี่กัป ก็ตาม
ขออนุญาตพี่แดง นำลิงก์ของกระทู้ที่มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมาแปะไว้เพื่อท่านที่สนใจ สามารถคลิกอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่าง นะครับ