ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๙

 
khampan.a
วันที่  19 พ.ย. 2566
หมายเลข  46987
อ่าน  2,380

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๙




~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำสอนเรื่องของปัญญา เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ตามปกติ ตามความเป็นจริง ซึ่งทุกคนเกิดมาด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ทุกคนก็ยังคงไม่รู้ แม้ว่าเห็นก็ไม่รู้ ได้ยินก็ไม่รู้ ได้กลิ่น คิดนึก สุขทุกข์ในวันหนึ่งๆ เหมือนกันทุกคน ตั้งแต่เกิดจนตาย ด้วยความไม่รู้

~ การฟังพระธรรม มีพระธรรม คือ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์เหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ตรงกันเลย คำไหนที่ตรัสไว้แล้ว คำนั้นก็ยังดำรงอยู่ เป็นคำของพระองค์ ไม่ใช่คำของคนอื่น

~ ความยากของพระธรรม ก็เป็นเครื่องส่องถึงความอดทน ความเพียรความตั้งใจมั่นของแต่ละคนว่ามีมากแค่ไหนในการที่จะฟังที่จะศึกษาให้เข้าใจต่อไป

~ เราประมาทไม่ได้เลยสักคำเดียว ถ้าเป็นผู้ที่เคารพจริงๆ ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้ว ประโยชน์ คือ ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจว่า สิ่งที่เราได้ฟัง คือ อะไร เป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก ถึงจะเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า ธรรม เข้าใจกันทุกคนหรือยัง? ธรรมคืออะไร?

~ ไม่มีใครสามารถที่จะให้ความรู้คนอื่นได้อย่างกระจ่าง เท่ากับว่าได้ศึกษาพระธรรม การศึกษาพระธรรม ก็คือ สนทนาธรรม อ่านพระธรรม ไตร่ตรองพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังด้วย จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตัวเราเอง แล้วก็จะรู้ได้ว่ากิเลสที่มีอยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะให้หมดไปได้ จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาท อันนี้ก็จะได้ประโยชน์จากการเข้าใจพระธรรม

~ เห็นคุณของพระธรรม ว่า อนุเคราะห์ให้ชีวิตทั้งชีวิตซึ่งเกิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งยากที่จะรู้ เมื่อรู้แล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เบื่อหน่าย ไม่ได้ท้อถอย แต่รู้ว่าชีวิตควรจะดำเนินไปอย่างไร ที่ขาดไม่ได้คือการที่จะได้เข้าใจพระธรรม เท่าที่จะมีโอกาสตามเหตุตามปัจจัย ทำความดีทุกขณะที่สามารถจะกระทำได้ อย่างนั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับการที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม

~ ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลาได้ และปัญญาเพียงเล็กน้อย ก็ไม่สามารถที่จะละอกุศลซึ่งมีกำลังที่จะเกิดบ่อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงเข้าใจคำว่าบารมี (ความดีที่ทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) แม้เพียงเล็กน้อยนิดหน่อย ก็สามารถที่จะลดจำนวนของอกุศลซึ่งถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นอกุศล

~ การศึกษาธรรมไม่ใช่ใจร้อนหรือว่ารีบร้อนที่จะเข้าใจให้หมดทุกอย่าง แต่ว่าในขณะที่ได้ฟัง มีธรรมที่กำลังปรากฏ ให้ค่อยๆ พิจารณา ให้ค่อยๆ เข้าใจถูก จนกระทั่งเป็นความเข้าใจของเรา เมื่อเข้าใจส่วนใดจริงๆ ก็จะไม่ลืมในส่วนนั้น

~ เราฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร เพื่อความเห็นที่ถูกต้อง เราไม่ต้องการอะไรจากพระธรรม จะเอาพระธรรมไปทำอะไร มีอยู่อย่างเดียวคือเพื่อให้เข้าใจถูก ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ

~ ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศลที่สะสมมายังไม่มากพอที่จะเท่ากับทางฝ่ายอกุศล ถ้าเห็นอย่างนี้จริงๆ ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเพียรทางฝ่ายกุศลขึ้น ความเพียรขั้นต้นของการเจริญกุศล ก็คือ ต้องเพียรฟังพระธรรมให้เข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ใช่วันนี้วันเดียว แต่ว่าวันอื่นๆ ต่อไปด้วย

~ ขณะแต่ละหนึ่งขณะที่เป็นชีวิตที่มีอยู่ ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เป็นจิตที่ดี ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศล

~ ถ้าบุคคลนั้นกระทำกายทุจริต หรือ วจีทุจริตก็ตาม ทำไมเราจะต้องโกรธ ในเมื่อที่จริงแล้วบุคคลนั้นน่าสงสารที่สุดที่ว่าเขาจะต้องได้รับผลของกรรม ถ้านึกถึงภาพของบุคคลนั้นที่จะต้องอยู่ในนรก ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จะเกิดความกรุณาในผู้กระทำกายทุจริตและวจีทุจริต ในขณะนั้นท่านก็จะไม่โกรธเหมือนกัน เพราะรู้สึกเห็นใจสงสารจริงๆ ในผู้กระทำอกุศลกรรม

~ เมื่อความไม่ดีเกิดขึ้นกับบุคคลใดแล้ว จะห้าม จะกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ไหม? ไม่ได้ เขามีปัจจัยที่จะให้กระทำกรรมนั้น ใครจะทำอะไรได้ ก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นที่เกิดขึ้นกระทำอย่างนั้น เพราะเหตุปัจจัย

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศล ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุปมาไว้มากมายในพระสูตรต่างๆ เพื่อแสดงให้เห็นโทษจริงๆ ว่า ผู้ที่กระทำทุจริตกรรมนั้น เหมือนกับสัตว์ หรือปลา ที่เข้าไปสู่กับดัก หรือแร้ว เพราะไม่รู้ว่าเมื่อเข้าไปแล้ว จะได้รับผลที่เดือดร้อนเป็นทุกข์

~ ธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ มีปัจจัยที่จะให้กิเลสอกุศลเกิดขึ้น กิเลสอกุศลก็เกิด และถ้าสะสม ก็เพิ่มพูนมีกำลังแรงกล้าขึ้น ซึ่งกิเลสที่มีกำลังแรงกล้านี้จะทำให้ท่านสามารถที่จะกระทำทุจริต คือ ถึงกับเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อนได้

~ ถ้าพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน อย่างการเห็นก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้ยินก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง การได้กลิ่น ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เอาความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลออก ก็จะเห็นตามความเป็นจริงว่า แต่ละขณะนี้ก็เป็นเพียงแต่ละธาตุ ซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ กัน เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป

~ ต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) ความถูกต้องเป็นความถูกต้อง เปลี่ยนไม่ได้ ธรรม ตรง คือ กุศลธรรมเป็นกุศลธรรมและอกุศลธรรมก็เป็นอกุศลธรรม ศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูก ถ้ามีความเข้าใจถูกแล้ว ความเข้าใจถูก ไม่เป็นโทษ ไม่ว่าที่ไหนกับใคร

~ ทำความดีหรือเป็นคนดี ไม่ยากถ้าเข้าใจ พูดก็พูดอยู่แล้ว ก็พูดดีเท่านั้นเอง ใช่ไหม? ก็ไม่ยาก ใช่ไหม? หรือแม้แต่กาย วาจา ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เป็นผู้ที่ละเอียดขึ้น

~ คนเราเกิดมา แสนสั้น ไม่มีใครรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปวันไหน ที่ไหน ด้วยอาการอย่างไร แต่ก่อนจากไป เป็นคนดีหรือเปล่า? สามารถที่จะดีกว่านี้ได้ไหม? เพราะเหตุว่า เป็นมนุษย์มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังพระธรรมได้คิดได้ไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น ถ้าจะจากโลกนี้ไป ก็ให้สมกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็คือ ได้มีความเข้าใจถูกซึ่งสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำจริงที่ทำให้เข้าใจต่อไป

~ ชีวิตก็มีแค่นี้ ไม่มากมายมหาศาล เดี๋ยวก็จบแล้ว จะจบวันไหนก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะจบก่อนจะจาก ขอให้เป็นผู้ที่ได้ขัดเกลากิเลสแล้วก็สามารถที่จะมีเมล็ดพืชของความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อที่จะมีการเจริญเติบโต ทุกชาติๆ ไป

~ ความเข้าใจพระธรรม เป็นสิ่งเดียวที่จะนำมาซึ่งความสงบที่แท้จริง เพราะดีงาม เป็นกุศล ไม่คิดร้าย ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย

~ การที่จะเป็นคนดีได้จริงๆ ก็คือ ต้องดีถึงกับหมดกิเลส แต่ว่าเมื่อไม่สามารถจะดับกิเลสหรือหมดกิเลสได้ ก็จะต้องอบรมเจริญเหตุ คือความดี ที่จะให้หมดกิเลสไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่า การจะเป็นคนดีจริงๆ ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาและดับกิเลส



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๘


... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 19 พ.ย. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 19 พ.ย. 2566

อันพระสูตรท่านให้ นานมา
เสริมอีกคำสนทนา เด่นล้ำ
อาจารย์สุจินต์พา ตรองตรึก
ฟังอภิธรรมตามค้ำ เกิดล้วนอนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
chatchai.k
วันที่ 19 พ.ย. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 20 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 20 พ.ย. 2566

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 20 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ า

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
shsso2551
วันที่ 20 พ.ย. 2566

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และยินดีในกุศลของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 21 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Lai
วันที่ 21 พ.ย. 2566

อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ