ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๐
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๐
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูก และเมื่อนั้นแหละจะได้รู้คุณจริงๆ ของความประเสริฐยิ่งที่ไม่มีใครเปรียบที่สามารถที่จะเกื้อกูลอนุเคราะห์ให้สัตว์โลกสามารถเข้าใจถูกต้องได้ซึ่งยากแสนยากที่จะเข้าใจได้
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ หวังดี เกื้อกูล เป็นประโยชน์ให้คนฟังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจริง ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจผิด ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร แต่ละพระชาติ แล้วบารมีก็ยากยิ่งที่ใครจะทำได้ แต่พระองค์ก็ทรงกระทำเพื่อเราจะได้ฟังคำของพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อพระองค์จะได้ตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว แต่ยังเห็นประโยชน์ว่าสัตว์โลกไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่มีทุกขณะในชีวิตถ้าพระองค์ไม่ตรัส ไม่อนุเคราะห์ ด้วยเหตุนี้โอกาสใดที่มีโอกาสจะได้ฟังก็ฟังด้วยความเคารพ ด้วยความไตร่ตรอง ด้วยความมั่นคงด้วยการกล้าที่จะกล่าวคำของพระองค์เพื่อที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระองค์ด้วย
~ ความเข้าใจพระธรรม ก็ทำให้ความประพฤติเป็นไปในทางที่เป็นกุศลดีงามยิ่งขึ้น ไม่มีอะไรที่สามารถจะดลบันดาลได้ นอกจากปัญญาที่เข้าใจว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ทั้งหมด ก็คือ มาจากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
~ ไม่ว่าสมัยไหน จะต้องไม่มีสำนักปฏิบัติเมื่อเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เครื่องวัดก็คือว่าตราบใดที่คิดว่าต้องมีสำนักปฏิบัติหรือควรมี นั่นคือ ไม่เข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่า มีสำนักปฏิบัติเมื่อไหร่ เป็นวิปัสสนาเขาบอก ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมโดยไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ผิดแน่นอน แล้วก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
~ ธรรมไม่ใช่ไปคอยเมื่อไหร่ แต่ฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจเดี๋ยวนี้ ความเข้าใจนั้น กำลังเริ่มที่จะขัดเกลาความไม่รู้และความเป็นตัวตน แต่น้อยมาก เมื่อเทียบกับความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์
~ ๔๕ พรรษาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้ยากเป็นอย่างยิ่ง
~ อกุศลทั้งหลายจะละหมดได้ ก็ต่อเมื่อปัญญารู้อกุศลนั้นตามความเป็นจริง ถ้าเห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล ขณะนั้นเป็นปัญญา ซึ่งย่อมจะเห็นว่า น่ารังเกียจ เป็นโทษ และปัญญาขั้นต่อไป ก็คิดที่จะละคลายอกุศลที่น่ารังเกียจนั้นให้เบาบาง
~ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นได้ เพราะฉะนั้น สัจจะที่มั่นคงในความถูกต้อง ก็จะทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ จะให้ผิดมาเป็นถูกไม่ได้ แล้วสิ่งที่ถูกแล้วจะบอกว่าผิดก็ไม่ได้ นี่คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความตรง ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ความเห็นถูกความเข้าใจถูก เป็นสมบัติที่ล้ำค่าของแต่ละคน เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะทำความเห็นถูกให้กลับกลายเป็นความเห็นผิดได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ประโยชน์สูงสุดในชีวิต ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ไม่ใช่ลาภ ยศ ไม่ใช่สมบัติ ไม่ใช่คำสรรเสริญ แต่เป็นความรู้ถูกต้องในสิ่งที่มีซึ่งไม่เคยรู้และรู้ไม่ได้ถ้าไม่ได้ฟังคำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องละเอียดชัดเจนจนประจักษ์แจ้งได้ นั่นเป็นการพิสูจน์ว่าคำนั้นเป็นคำจริงเพราะสามารถที่จะรู้ได้
~ ธรรมทั้งหมดเลย มีจริง แล้วก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงว่าไม่มีเรา จะทำให้เกิดความเบาสบายขึ้นอีกไหม? ไม่เดือดร้อนเลย เป็นธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นแล้วแต่จะเป็นอะไร บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุ แต่ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย เป็นธรรมที่ต้องเกิดขึ้นเป็นไป คือ เพียงเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่มีอีกเลย นี่แหละ คือ ความจริงแท้
~ กุศลจิต จะทำให้ท่านไม่ลืมการที่จะสงเคราะห์ผู้ที่ควรสงเคราะห์ทั้งหลาย ตั้งแต่มารดาบิดา ตลอดไปจนถึงบุคคลในบ้านและบุคคลอื่นซึ่งถ้าเป็นบุคคลที่ห่างไกลออกไปก็เป็นการสงเคราะห์สังคมทั้งหมด
~ เวลาที่มีโลภะเกิดขึ้น เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน ยินดีพอใจ ขณะนั้นไม่เบื่อหน่ายด้วยกำลังของโลภะ ซึ่งเป็นอกุศล อกุศลที่สะสมมามีกำลังมากทีเดียว บางท่านที่ว่าไม่มีแล้วโลภะ น้อยลงไปแล้ว ขอให้ได้พบปัจจัยที่เหมาะสมเถอะ จะเห็นเรี่ยวแรงกำลังมหาศาลของโลภะ ซึ่งยังมีกำลังอยู่มาก ยังไม่ได้ดับไปเป็นสมุจเฉท (ละได้อย่างเด็ดขาด)
~ เวลาที่อกุศลธรรมปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพศหนึ่งเพศใด แต่เป็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ อกุศลธรรม ซึ่งกำลังเป็นอารมณ์ในขณะนั้น จิตก็สามารถจะระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเกิดเมตตา แทนที่จะเป็นโทสะ เพราะไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วถ้าเขาทำอกุศลกรรม ก็น่าสงสาร น่าเมตตา น่ากรุณา น่าจะอนุเคราะห์สงเคราะห์กว่าที่จะให้จิตใจของท่านเดือดร้อนด้วยอกุศลธรรม
~ อวิชชา เป็นสภาพที่มืด ทำให้ไม่รู้ความจริง ไม่เห็นว่าอกุศลเป็นอกุศล และ ไม่เห็นหนทางที่ถูกที่ชอบที่ควรจะกระทำ ทำให้คิดก็คิดผิด ทำก็ทำผิด พูดก็พูดผิด แต่ขณะใดที่ปัญญาเกิดขึ้น ขณะนั้นเห็นอกุศล และยังเห็นความน่ารังเกียจของอกุศล เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ขณะนั้นเป็นผู้ที่คิดถูก ทำถูก พูดถูก
~ ขณะใดที่กุศลเกิดขึ้น ก็เป็นกุศล ขณะนั้นจะเป็นอกุศลไม่ได้ ขณะใดที่อกุศลเกิดขึ้นก็ต้องเป็นอกุศล แล้วจิตก็เกิดดับสืบต่อกันรวดเร็วเหลือเกิน ยากเหลือเกินที่ใครจะไปจับจิตของใครมารู้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะฉะนั้น ตนเองเท่านั้นจะทราบตามความเป็นจริง
~ ถ้าท่านยังเป็นคนที่ย่อหย่อน เกียจคร้านในการกุศล ลำบากจัง เหนื่อยนัก หรือว่าเสียเวลามากหรือว่าลำบากนิดหน่อยก็แล้วแต่ในความรู้สึกของท่าน ขณะนั้นเป็นอกุศล ถูกครอบงำแล้วด้วยอกุศล กุศลจึงเกิดไม่ได้
~ บางท่านจะรู้ได้ว่า พอเวลาผ่านไป ท่านก็เกิดเสียดายโอกาสของกุศลที่ควรจะได้กระทำ แล้วก็ไม่ได้กระทำ เพราะขณะนั้นเป็นผู้ที่ย่อหย่อน เกียจคร้านในกุศล เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะระลึกถึงวิริยบารมี (ความเพียร) และสะสมวิริยบารมี เพื่อที่จะละคลายอกุศล
~ ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นไหม ในขณะนั้นมีความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข เขายังไม่ได้มีความทุกข์อะไร แต่ท่านก็มีจิตเมตตาอนุเคราะห์ที่จะให้เขามีความสุข ขณะนั้นเป็นเมตตา ความหวังดีต่อคนอื่น แต่ว่าถ้าขณะใด คนใดกำลังทุกข์ร้อน เดือดร้อน ท่านเกิดความกรุณาใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นพ้นจากความทุกข์ มีการช่วยเหลือบุคคลที่ป่วยไข้ได้เจ็บ การรักษาพยาบาลบุคคลที่กำลังเจ็บป่วย นั่นคือ ความกรุณาที่ใคร่จะให้บุคคลนั้นพ้นทุกข์
~ ทุกคนอยากจะมีกุศลจิต เพราะรู้ว่าอกุศลจิตวันหนึ่งนี้มากเหลือเกิน แต่ว่าทำอย่างไรจึงจะพ้น หรือว่าจะมีกุศลจิตเกิดแทนอกุศล ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรู้หนทาง ขณะนั้นก็ยาก ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้จิตเป็นกุศลเกิดขึ้น จิตที่เป็นกุศลก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น กุศล จะเจริญให้เพิ่มพูนขึ้นโดยปราศจากปัญญา ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
~ จะต้องศึกษาทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความจริงใจ ด้วยความตรงที่จะรู้ว่าถ้าเราขาดการไตร่ตรอง เราจะเข้าใจผิดซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น จึงต้องศึกษาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
~ ถ้าเห็นกำลังของอกุศล ก็จะรู้ว่า ขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของกุศลจริงๆ แม้กุศลเพียงเล็กน้อย นิดหน่อยในชีวิตประจำวัน กำลังเผชิญหน้า ทำทันที ไม่ต้องคอยเลย และไม่ต้องคิดว่า กุศลนี้จะให้ผลมากน้อยแค่ไหนด้วย เพราะมีความเข้าใจถูกต้องว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โอกาสของกุศล กุศลไม่เกิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศลแน่นอน ถ้าเห็นโทษภัยของอกุศล ก็เป็นปัจจัยที่จะให้มีกุศลในแต่ละทางเพิ่มขึ้น โดยไม่ใช่ด้วยความหวัง
~ เมื่อมีความเข้าใจถูก ก็สามารถรู้ว่า สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งที่ไม่ดี และธรรมที่ตรงกันข้าม คือ ความดีนั้นคืออะไร ถ้ามีปัญญาเหมือนแสงสว่าง ก็จะนำไปสู่ทางของกุศล ห่างไกลจากอกุศลซึ่งเคยมีมากมาย แต่ว่าห่างทันทีไม่ได้เลย ค่อยๆ เป็นไปตามความเข้าใจ
~ กุศลเป็นกุศล กุศลเป็นสิ่งที่ดีงาม ควรไหมที่จะเจริญ (สะสมให้มีมากยิ่งขึ้น) แต่ไม่ใช่หมายความว่าเป็นตัวเรา เพราะกุศลก็ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นธรรมที่ดี แล้วเจริญได้อย่างไร ก็ไม่ใช่เราไปทำให้เจริญ แต่เจริญเมื่อมีเหตุที่จะให้กุศลนั้นเจริญ
~ เมตตาคือสภาพที่ไม่โกรธ สภาพที่เป็นมิตร สภาพที่หวังดี ไม่มีศัตรู ใครจะเป็นศัตรูกับเราก็ตาม แต่จิตของเราไม่เป็นศัตรูกับบุคคลนั้น นั่นคือ สภาพของจิตที่มีเมตตา
~ คิดด้วยความเมตตาว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ทำอกุศลกรรมไว้แล้ว เมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมให้ผล ใครก็ช่วยไม่ได้ มารดาบิดาก็ช่วยไม่ได้ ญาติพี่น้องมิตรสหายก็ช่วยไม่ได้ ก็จะทำให้เรามีแต่การที่จะคิดเป็นมิตรและก็ช่วยเหลือคนอื่น
~ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคลผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว
~ ไม่มีใครอยากเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีใครอยากเกิดมายากไร้ แต่ก็เป็นแล้ว ตามเหตุที่ได้กระทำมาแล้ว
~ ทำชั่ว ในขณะที่ทำ ไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรมที่เป็นโทษ
~ โกรธ ดีไหม? โกรธ ไม่ดีแน่นอน แล้วก็ยังโกรธ มีหนทางที่จะไม่โกรธ แต่หนทางนี้ ต้องอาศัยบารมีความอดทนที่รู้ว่า จะไม่โกรธได้อย่างไรในเมื่อสะสมความโกรธมานานแล้ว แล้วก็เป็นคนที่โกรธง่ายด้วย ก็รู้ตัวเอง เพราะฉะนั้น การเข้าใจถูกตามความเป็นจริง ก็จะค่อยๆ เห็นโทษของอกุศล
~ คนอื่นทำให้เราโกรธไม่ได้ เพราะเราสะสมความโกรธไว้ เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้สิ่งที่ไม่ดีทุกอย่าง ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็โกรธ เพราะไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะโกรธ
~ ไม่มีใครไม่โกรธ จนกว่าจะสามารถรู้ความจริงจนไม่โกรธได้
~ ถ้าขณะนี้ไม่รู้ความจริง ดับกิเลสไม่ได้
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๓๙
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ครับ