ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๒
~ เข้าใจพระธรรมจากการฟัง ก็จะเป็นการสะสมให้ความเข้าใจนั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ นอกจากการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้ เราจะไม่รู้เลยว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล เพียงแค่ลืมตา ก็ไม่รู้แล้ว กิเลสก็เกิดแล้ว ก็ไม่รู้
~ พระธรรม ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งที่จะต้องดำรงรักษาไว้เพื่อจะได้ไม่อันตรธาน (สูญสิ้น) เพราะมีค่าอย่างยิ่งในชีวิต ไม่มีสิ่งใดประเสริฐสุดเท่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง มาจากไหน? คิดเองไม่ได้ ต้องมาจากผู้ได้ตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงให้ได้ฟังแล้วไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง
~ ถ้าทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้คนอื่น รู้ไหมว่า นั่นคือ ประโยชน์ของตนเอง ไม่ต้องไปหาประโยชน์มาให้ตัวเองอีก แค่นั้นแหละนั่นก็เป็นประโยชน์ของตนเองแล้ว
~ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นเข้าใจ คนที่เข้าใจแล้วเห็นประโยชน์ ก็มีความเป็นเพื่อนที่ดีที่จะให้คนอื่นได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าใจพระองค์และดำรงคำสอนของพระองค์ต่อไปด้วย นี่คือ การเคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เป็นมิตรที่หวังดีจริงๆ ให้สิ่งที่ดีที่สุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เขาจะไม่ชอบ ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็มีความหวังดี ถึงที่สุด แล้วแต่ว่ากาลไหน โอกาสไหน ก็ตามแต่ ก็พูดคำจริงตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คือ เปิดเผยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนได้พิจารณาไตร่ตรอง เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ทั้งพระธรรมและพระวินัย
~ มิตรที่ดี ก็คือ ให้ความจริง ให้ประโยชน์ แล้วก็หวังดี ความเป็นมิตรคือความไม่โกรธ เวลาที่โกรธใคร รู้ได้เลย ขณะนั้นไม่ใช่มิตรของคนนั้น จึงสามารถที่จะโกรธเขาได้
~ ขณะใดที่ความดีเกิดขึ้น ไม่ทำร้ายตนเองและไม่ทำร้ายคนอื่น อกุศลเป็นศัตรู แต่คุณความดีเป็นมิตร เรามีความดี คือ ความหวังดี เกื้อกูล อดทนที่จะให้คนอื่นเกิดปัญญา อดทนรอให้เขาเป็นคนดี ไม่ว่าคำพูดของเขาจะร้ายต่อเรา หรือจะทำอะไรต่อเราก็ตาม แต่ความเป็นมิตรที่แท้จริงจะทำให้สามารถอดทนคอย จนกระทั่งพระธรรมทำให้เขาเป็นคนดีได้
~ ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่จะสามารถบำเพ็ญความดีหรือทำความดีได้ทุกโอกาส แล้วก็ไม่ควรประมาทแม้ความดีเพียงเล็กน้อยด้วย เพราะว่าขณะใดก็ตามที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วก็ไม่ใช่ขณะเดียว แต่เพิ่มขึ้นๆ แต่ละขณะมากมายมหาศาล
~ เกิดมาเพราะกุศลกรรมทำให้เป็นมนุษย์ แต่ก็ยังไม่พอ เพราะว่าสะสมอกุศลมามาก เพราะฉะนั้น ทำความดีทุกโอกาสก็ยังไม่พอ ต้องเข้าใจธรรมด้วย เพราะว่าหลายคนเกิดมาก็เป็นคนดีตามการสะสม แต่ก็เป็นคนที่ไม่สามารถที่จะรู้จักธรรมตามความเป็นจริงได้
~ ให้เขาเข้าใจจริงๆ ว่า อะไรถูก อะไรผิด ถ้ามีความเข้าใจมากขึ้น คนก็จะรู้ได้ว่า อะไรที่ผิด ไม่ควรที่จะส่งเสริม เพราะฉะนั้น ก็จะไม่มีการที่จะทำสิ่งที่ผิดๆ ต่อไป แต่ที่ยังคงทำผิดต่อไป เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจพระธรรมวินัย
~ กังวลใจทำไม เดือดร้อนใจทำไม ในเมื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะดลบันดาลได้ ทำดีที่สุด เพราะว่า ชีวิตสั้นมาก ใครจะรู้ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น โอกาสที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วก็ทำดีที่สุดและเข้าใจพระธรรม
~ เราโกรธคนอื่น เห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น ในขณะนั้น คนที่เราโกรธนั้นกำลังสบาย แต่เรากำลังเติมความดำความสกปรกให้กับจิตใจของเรา ซึ่งคนอื่นก็เอาความดำความสกปรกของจิตใจเราออกไม่ได้ นอกจากปัญญาของเราเอง เพราะฉะนั้น ปัญญาจะทำให้เราสามารถที่จะเข้าใจเหตุผลได้ตามความเป็นจริง เห็นอกุศลเป็นอกุศล แล้วก็เห็นโทษของอกุศลตามความเป็นจริง
~ โกรธมีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจเล็กน้อยนิดหน่อยจนกระทั่งพยาบาทไม่ลืมทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต่งเป็นความคิดที่จะทำร้ายและทำลาย มาจากไหน มาจากความไม่ดี ไม่เห็นโทษของความโกรธว่า เพียงโกรธเกิดขึ้น ใครไม่สบาย ใครเป็นทุกข์?
~ ถ้ารู้ว่าเป็นธรรม จะโกรธอะไร? ธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แต่เพราะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราก็ทำให้มีอกุศลประเภทต่างๆ เกิดขึ้น
~ โลภะเกิด คนนั้นเห็นอะไรชอบหมดทุกอย่างเลย อยากจะได้ไปหมด ถ้าคนไหนที่สะสมความขุ่นเคืองใจ คนนั้นก็มักโกรธ เจออะไรนิดหนึ่งก็ไม่ถูกใจ เพราะเหตุว่าสะสมสะสมไว้เรื่อยๆ บางคนก็เป็นคนที่ริษยา เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคนที่สะสมความริษยาไว้ ความริษยาก็มีมากกว่าคนอื่นที่ไม่ได้สะสมมา
~ ควรจะเป็นคนดีไหม? แค่นี้ เคยคิดบ้างไหม ว่า ในวันหนึ่งๆ เราเห็นคนไม่ดี คนชั่ว คนทำทุจริตมากมาย จะเป็นอย่างนั้นไหม? และใครก็จะมารับผิดชอบแทนเรา ไม่ได้
~ ไปสำนักปฏิบัติ ทำอะไร เข้าใจอะไรหรือเปล่า? ไม่เข้าใจอะไรเลย ได้แต่ทำตาม เพราะฉะนั้น ก็เป็นศาสนาที่ให้ทำตาม แต่ไม่ได้ให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น จึงไม่ใช่พระพุทธศาสนา เพราะไม่เข้าใจ
~ ท่านที่อบรมเจริญเมตตาจริงๆ ต้องไม่ปรารถนาทุกข์แก่คนอื่น เพราะฉะนั้น ถ้าท่านมีโทสะแม้นิดเดียว อาจจะลืมว่า ขณะใดที่โทสะเกิด ขณะนั้นปรารถนาทุกข์แก่ผู้นั้นแล้ว ไม่ว่าท่านจะโกรธใครก็ตาม เพราะฉะนั้น ถ้าเพียงแต่คิดจะเจริญเมตตามากๆ แต่กายวาจาก็ยังก่อทุกข์ให้คนอื่นอยู่บ้างแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ขณะนั้นก็แสดงว่า ยังเป็นผู้ไม่ละเอียด แต่ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ก็ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม แล้วก็เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่ทรงแสดงละเอียดขึ้นๆ ในทุกเรื่อง
~ ไม่มีใครปรารถนาทุกข์ แต่ทุกคนมีทุกข์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ด้วยว่า อะไรเป็นเหตุของทุกข์ เหตุของทุกข์คือโลภะนั่นเอง เมื่อมีความปรารถนาสุข เมื่อมีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วไม่ได้ความสุขที่ต้องการ ขณะนั้นจึงเป็นทุกข์ แต่ลองคิดถึงผู้ที่ไม่มีความปรารถนาอะไรเลย ดับความปรารถนาหมด ผู้นั้นจะเป็นทุกข์ได้อย่างไร
~ ทุกข์มาจากกิเลส เพราะฉะนั้นทุกคนมีกิเลสเยอะ แสวงหามากๆ แสวงหาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่า นั่นคือ ทุกข์จริงๆ เพราะเหตุว่า จะนำมาซึ่งความไม่พอ โลภะเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แล้วเป็นเหตุให้เกิดโทสะด้วย แล้วเราก็อยู่ในโลกของสังสารวัฏฏ์ เพราะว่ามีเหตุที่จะให้เกิด คือ โลภะยังเต็มเพียบอยู่ เราก็จะต้องเกิดต่อไป
~ ถ้ารู้ความจริงของธรรม ถ้าเกิดพลัดพรากจากคนที่เป็นที่รัก จะเดือดร้อนไหม เป็นธรรมดาหรือเปล่า พลัดพรากมาแล้วนานเท่าไหร่ ชาติก่อนๆ ก็พลัดพรากจากชาติก่อนหมดเลย ไม่เหลือเลย ชาตินี้ก็พลัดพรากอยู่ทุกขณะ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ซึ่งไม่เหลืออีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ก็พลัดพรากโดยตลอด เดือดร้อนไหม ถ้าเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น?
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอในการทำกุศลทุกประการ ทุกขณะด้วย ทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราจะไม่อยู่โลกนี้ในวันไหน อาจจะเป็นขณะต่อไปพรุ่งนี้ หรือเดือนนี้ก็ได้
~ ไม่ว่าเราเคารพใคร เราเคารพในคุณความดี เพราะฉะนั้น พุทธบริษัททุกคนฟังธรรม เมื่อเข้าใจแล้วจึงเริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ยิ่งเคารพมากเท่านั้น
~ จริงๆ แล้ว ศรัทธาต้องเป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่ใช่ไปศรัทธาในนกหนูปูปลา เครื่องรางของขลัง เพราะศรัทธาต้องเป็นธรรมฝ่ายดีงาม ขณะนั้นจิตต้องผ่องใส ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ และไม่มีความหลงด้วย
~ จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจคำที่พระองค์ตรัสจากการตรัสรู้แล้ว จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ต้องเป็นคนตรงต่อความจริง ใครจะพูดอะไรก็ได้ ใครจะคิดอะไรก็ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยเป็นสัจจธรรม
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ไม่ใช่ให้ใครพูดตาม แต่ให้เข้าใจทุกคำที่ลึกซึ้งที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สัจจธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมเพราะมีจริงๆ
~ ทุกคนมีอกุศล ทุกคนมีโลภะ มีโทสะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา คือ อนัตตา
~ ถ้าไม่เข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเคารพพระองค์น้อยมาก คนที่ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือคนที่ฟังแล้วไม่ไตร่ตรองให้ละเอียดให้ลึกซึ้ง ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าใครเพียงฟังแล้วเชื่อแล้วจำ ไม่ใช่ผู้ที่เป็นสาวกหรือผู้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ขณะใดก็ตามเริ่มรู้จักธรรม นั่นเป็นขณะที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์
~ คำว่าธรรม เป็นคำเริ่มต้นที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ คนที่ไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่เข้าใจคำว่าธรรมจะเป็นการนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า?
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๑
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กุศลที่มอบให้ น้อมด้วยใจจะฝึกฝน อันละแห่งตัวตน สู่หลุดพ้นกิเลสมาร น้อมกราบสาธุครับ ยินดีกับทุกคำสาร ทุกรูปทุกจิตวาร สาธุการนิรันดร์เทอญ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศล อ.คำปั่นด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ