ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก ท่าน อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๘
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ไม่ได้ต้องการอะไรจากสัตว์โลกเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ธูปเทียนอะไรๆ ทั้งหมด พระประสงค์ ก็คือ มีพระมหากรุณาให้คนอื่นได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ซึ่งไม่สามารถที่จะเข้าใจเองได้ เพราะฉะนั้น ทุกคำ ต้องศึกษาด้วยความเคารพ
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองละเอียดทุกคำ ตรงทุกคำ ธรรมจะเป็นอะไรไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากสิ่งนั้นมีจริงอาศัยกันและกันเกิดแล้วดับ มั่นคงแค่ไหน? ถ้ามั่นคง ก็ฝังรากลึกของบารมีที่จะรู้ความจริง สัจจบารมี คำใดก็ตามที่ผิดจากคำนี้ ไม่จริง
~ ฟังขณะนี้กำลังละความไม่รู้ จะไปเอาวิธีอื่นมาได้ไหม? ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่ฟัง ๒ - ๓ คำแล้วก็จะไปละ เป็นไปได้ไหม? (เป็นไปไม่ได้) เพราะฉะนั้น จึงต้องรู้ว่าขณะที่เริ่มเข้าใจนี่แหละ เริ่มละความไม่รู้ เริ่มละการเป็นผู้ที่ไม่ไตร่ตรองมีแต่เชื่อทำตามและคิดว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทำ ถูกไหมแค่คำนี้?
~ ฟังไว้เพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่มีเราที่จะไปทำอะไร แต่ว่าความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากหนทางเดียวคือฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วมีความมั่นคงที่จะรู้ความจริงว่าธรรมไม่ใช่เรา
~ ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง คือ เข้าใจคำของพระองค์ถูกต้อง ถ้าฟังคำของพระองค์แล้วคิดเอง ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้น มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหมายความว่าได้ยินคำของพระองค์ ไตร่ตรองให้เข้าใจแต่ละคำของพระองค์ตามที่พระองค์ตรัส
~ ธรรมจริงๆ ไม่มีคำ แต่ว่ามีลักษณะที่แสดงความจริงว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็กำลังมี แต่ว่าใครจะรู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ประมาทไม่ได้เลย ใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ แต่ว่าถ้าจากไปเดี๋ยวนี้เข้าใจความจริงแค่ไหน? พอหรือยัง? หรือว่าไม่รู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้น เกิดมาไม่รู้ความจริงกับการที่เกิดมาแล้วรู้ความจริง ก็น่าจะไตร่ตรองเองว่าอะไรจะเป็นประโยชน์กว่ากัน
~ บารมีเป็นคุณความดีซึ่งขณะนั้นอกุศลและความไม่รู้เกิดไม่ได้
~ ชีวิตของผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งนั้นที่เป็นสาวก เป็นปกติ เพราะรู้ความจริงว่าเป็นธรรมเกิดแล้วทั้งหมด ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องขวนขวาย แต่รู้สิ่งที่กำลังเกิดแล้วในขณะนั้น
~ เมื่อเป็นธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เราอยู่ไหน ตัวตนสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไหน? ไม่มีเลย จึงเข้าใจคำว่าอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และธรรมทั้งหมดไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แข็งเป็นแข็ง เห็นเป็นเห็น จำเป็นจำ โกรธเป็นโกรธ แต่ละหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ได้ปะปนกัน
~ การพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ทราบว่าคนพูด พูดสิ่งที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ เป็นความหวังดีที่เป็นมิตร ไม่ใช่เป็นศัตรู แต่มีความปรารถนาที่จะให้คนอื่นเข้าใจถูกพ้นจากความเห็นผิด
~ ทุกคนที่กำลังฟังและมีความเข้าใจ กำลังสะสมบารมีเหมือนบุคคลในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร ได้ฟังว่าพระองค์ทรงพยากรณ์สุเมธดาบสว่าท่านผู้นี้อีกสี่อสงไขยแสนกัปป์จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาปลาบปลื้มเพราะรู้ความลึกซึ้งของอวิชชาความไม่รู้ ความสงสัยซึ่งไม่มีทางจะหมดไปได้เลยถ้าไม่เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงและค่อยๆ สะสมปัญญาบารมีความเห็นถูกต้อง ด้วยความเพียรและความอดทน วิริยบารมี ขันติบารมี เพื่อจะละสิ่งที่ลึกซึ้งมากในความไม่รู้ ความสงสัยและความเป็นเรา จนกระทั่งมีผู้ที่สามารถที่จะรู้ธรรม เพราะได้อบรมเจริญปัญญาเพื่อละ ถ้าเป็นความรู้ต้องละความไม่รู้
~ ชีวิตที่เหลือ ควรที่จะให้เป็นประโยชน์สูงสุด คือ ฟังพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจ แล้วกุศลทั้งหลายก็จะเจริญขึ้น ใครจะเกลียดเรา นั่นเรื่องของเขา แต่ถ้าเราเกลียดคนอื่น ดีหรือ? ขณะนั้น เป็นอกุศล เร่าร้อน แล้วก็จะทำสิ่งที่ไม่ดีซึ่งให้โทษทั้งกับตนเองและคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรเลยทั้งสิ้น
~ แต่ละคำ ขอให้เริ่มเป็นความเข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจคำหนึ่ง จะไม่มีทางเข้าใจคำอื่นต่อไปได้เลย ทุกคำต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ทีละคำ เพราะฉะนั้น คงจะไม่รีบร้อนไปไหน เพราะทุกคนก็ทราบว่ากิเลสมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง กว่าจะดับกิเลสได้ ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเรากว่าจะเข้าใจคำของพระองค์และรู้คุณค่าและสะสมความเข้าใจจนกว่าจะสามารถรู้จักพระองค์ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน
~ แม้กุศลเล็กน้อยขณะนั้นเกิดแล้ว อกุศลไม่เกิด ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม จึงไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าขณะนั้น ไม่ใช่เรา
~ เสียง เป็นกุศลได้ไหม? เสียง มีจริง เสียง ไม่รู้อะไร เสียง ทำบุญได้ไหม? เสียง เป็นบุญได้ไหม? เสียง เป็นบาปได้ไหม? ในเมื่อเสียงไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น เสียง ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล เสียง เป็นอัพยากตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล
~ ธรรม ยาก เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตนที่จะไปทำให้ง่าย หรือว่าไม่มีความเป็นตัวตนที่อยากจะได้ผลเร็วๆ แต่เป็นผู้ที่ตรงที่จะต้องสะสมความเข้าใจ ความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรมจนกว่าจะเป็นปัญญาของตัวเองที่ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น
~ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริงหรือเปล่า? มีสิ่งที่มีจริง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณา ไตร่ตรอง เพื่อที่จะได้เป็นปัญญาของผู้ที่ฟังเอง เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วจึงรู้ว่าไม่มีอะไรมีค่าเท่ากับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ การสะสมแต่ละขณะนั้นมีผล ถ้าเริ่มขณะที่จะเจริญทางฝ่ายกุศล แม้เล็กน้อย แม้นิดหน่อย ในภายหลังจะไม่เป็นผู้ที่เกียจคร้านเลย ในการที่จะเป็นผู้ที่เจริญกุศล
~ ถึงแม้ว่าจะทำทุจริตใดๆ มา แต่ว่าถ้าฟังธรรม มีความเข้าใจ พระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้เขาทิ้งความเห็นผิดหรือความประพฤติผิดได้
~ ถึงเขาจะเป็นใครก็ตาม ดีชั่วประการใดก็ตาม ถ้าเขาสะสมมาที่จะเข้าใจ เขาสามารถที่จะได้รับประโยชน์จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า คำของพระองค์แม้เพียงคำเดียวไม่นำโทษไปให้ใครเลย พระคุณแค่ไหน?
~ ถ้าพูดถึงความไม่โกรธ ความเป็นมิตรหรือความหวังดี ทุกคนต้องการ ใช่ไหม? ต้องการเพื่อนที่ดี แต่ในขณะเดียวกัน เป็นคนดีเพื่อที่จะได้เป็นเพื่อนที่ดีของทุกคน ไม่ใช่เพียงหวังว่าอยากจะพบคนดี แล้วจะไปหาคนดีที่ไหน ถ้าตนเองไม่ดี
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๗
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ สุจินต์บริหารวนเขตต์และ กราบอนุโมทนาค่ะ