กำลังฟังเรื่องจริง

 
เมตตา
วันที่  26 ม.ค. 2567
หมายเลข  47320
อ่าน  343

สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้า 473

๖. อันธการีสูตร

ผู้รู้ตามความเป็นจริงไม่ตกไปสู่ที่มืด

[๑๗๓๙] ... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกันตนรกมีแต่ความทุกข์ มืดคลุ้มมัวเป็นหมอก สัตว์ในโลกันตนรกนั้น ไม่ได้รับรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้.

[๑๗๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความมืดนั้นมาก ความมืดนั้นมากแท้ๆ ความมืดอย่างอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความมืดนี้ มีอยู่หรือ.

พ. ดูก่อนภิกษุ ความมืดอย่างอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความมืดนี้ มีอยู่.

ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความมืดอย่างอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความมืดนี้ เป็นไฉน.

[๑๗๔๑] พ. ดูก่อนภิกษุ ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ฯลฯ ยินดีแล้วย่อมปรุงแต่ง ครั้นปรุงแต่งแล้ว ย่อมตกไปสู่ความมืดคือความเกิด ... และความคับแค้นใจ เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ... และความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์.

[๑๗๔๒] ดูก่อนภิกษุ ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลายซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ฯลฯ ไม่ยินดีแล้ว ย่อมไม่ปรุงแต่ง ครั้นไม่ปรุงแต่งแล้ว ย่อมไม่ตกไปสู่ความมืดคือความเกิดบ้าง ... และความคับแค้นบ้าง เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมพ้นไปจากความเกิด ... และความคับแค้นใจ ย่อมพ้นไปจากทุกข์ ดูก่อนภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ เธอพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

จบอันธการีสูตรที่ ๖


[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 352

๑. บุคคลที่เป็นคนเปล่าปิด เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร น่าเลื่อมใส บุคคลนั้นย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นคนเปล่าปิด หม้อเปล่าปิดนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมย ฉันนั้น.

๒. บุคคลที่เป็นคนเต็มเปิด เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ไม่น่าเลื่อมใส บุคคลนั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้เรียกว่า เป็นคนเต็มเปิด หม้อเต็มเปิดนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น.

๓. บุคคลที่เป็นคนเปล่าเปิด เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ไม่น่าเลื่อมใส บุคคลนั้น ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นคนเปล่าเปิด หม้อเปล่าเปิดนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมย ฉันนั้น.

๔. บุคคลที่เป็นคนเต็มปิด เป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียวซ้ายแลขวา คู้เข้าเหยียดออก ทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร น่าเลื่อมใส บุคคลนั้น รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นคนเต็มปิด หม้อเต็มปิดนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น.


พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 146

พระเถระ. มหาบพิตร มหาคงคาเต็มด้วยห้วงน้ำ บุคคลพึงเทใส่ในรูเข็ม น้ำที่เข้าไปในรูเข็มมีน้อย น้ำที่เหลือมีมาก ฉันใด พระคุณที่อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมากฉันนั้น.พระราชา. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ จงทําอุปมาอีก. พระเถระ. มหาบพิตร ธรรมดาว่านกเล่นลมเที่ยวบินเล่นในอากาศในโลกนี้ สกุณชาติตัวเล็กๆ สถานที่ปรบปีกของนกนั้น ในอากาศมีมาก หรืออากาศที่เหลือมีมาก. พระราชา.ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวอะไร โอกาสเป็นที่ปรบปีกของนกนั้นน้อย ที่เหลือมีมาก พระเถระ. มหาบพิตรอย่างนั้นแหละ พระพุทธคุณที่อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมากไม่มีที่สุด ประมาณไม่ได้. พระราชาข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวดีแล้ว พระพุทธคุณ ไม่มีที่สุด ท่านอุปมาด้วยอากาศไม่มีที่สุดนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าเลื่อมใส


อ.ชุมพร: มีข้อความที่ได้สนทนากันเมื่อวาน ยังมีความไม่เข้าใจ คือได้ฟังท่านอาจารย์สนทนากับอาจารย์วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงเห็น แล้ว อ.วิชัยบอกว่า มีเห็น เห็นมี แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็นไม่มีแล้ว ขอกราบเรียนความละเอียดความเข้าใจว่า เห็นเดี๋ยวนี้ก็มีอยู่เสมอๆ ทำไมท่านอาจารย์กล่าวว่า เห็นไม่มีแล้วคะ

ท่านอาจารย์: เห็น ไม่มีเรา หรือเห็นไม่มีแล้ว?

อ.ชุมพร: เห็นไม่มีแล้วค่ะ

ท่านอาจารย์: เห็นไม่มีแล้ว เห็นเดี๋ยวนี้กับเห็นเมื่อกี๊นี้เป็นเห็นเดียวกันหรือเปล่า?

อ.ชุมพร: ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ก็มีเห็นปรากฏอยู่เหมือนกับจะลวงให้รู้ว่า มันยังมีอยู่ค่ะ

ท่านอาจารย์: จะลวง หรือลวงแล้ว?

อ.ชุมพร: ลวงไปแล้วค่ะ แล้วอะไรที่ลวงให้เข้าใจผิดว่ามีอยู่คะ?

ท่านอาจารย์: ความไม่รู้มีไหม?

อ.ชุมพร: ก็มากมายค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะไม่รู้ จึงเห็นผิดใช่ไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ หมายความว่าขณะที่มีความเข้าใจว่า เห็นมีอยู่ เป็นความเห็นผิดซึ่ง ...

ท่านอาจารย์: ขอโทษค่ะ ความเข้าใจว่า เห็นมีอยู่ นี่เข้าใจอะไรไม่ทราบ ไปรู้เพียงแต่ว่า มีเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังเห็น แต่ไม่รู้ความจริงอะไรเลย ถ้าบอกว่า มีเห็น มีใครบ้างไหมที่ไม่รู้

อ.ชุมพร: ทุกคนก็รู้ว่ามีอยู่ แต่ที่จะรู้ว่าไม่เหลือแล้ว

ท่านอาจารย์: ก็ต้องฟังแล้วคิดว่า อะไรจริง ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงความจริง แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า เห็นเดี๋ยว ไม่ใช่เห็นเมื่อกี๊นี้ และเห็นเมื่อกี๊นี้ก็ไม่ใช่เห็นเมื่อตอนตื่นขึ้นมา และเห็นตอนตื่นขึ้นมาก็ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้ จริงไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อกี๊นี้ จริงไหม?

อ.ชุมพร: เป็นจริงเช่นนั้น ปกติแล้วก็ไม่ได้จะไปสนใจที่เห็น แต่ไปสนใจสิ่งที่เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่นนี้ก็เป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งก็ไม่รู้ความจริงมากมายค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: แล้วก็จะไม่รู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ใช่ไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น กำลังฟังอะไร?

อ.ชุมพร: ฟังความจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: ก็ต้องไตร่ตรองว่าอะไรจริงใช่ไหม ไม่ใช่จริงเฉยๆ อะไรจริง?

อ.ชุมพร: ท่านอาจารย์ถามว่า อะไรจริง?

ท่านอาจารย์: ก็กำลังฟังเรื่องจริงใช่ไหม ก็ต้องตั้งต้นว่าอะไรจริง จะได้รู้ว่าเรากำลังฟังเรื่องจริง

อ.ชุมพร: คิดมีจริง

ท่านอาจารย์: คิดมีจริง ถ้าคิดไม่เกิดมีคิดไหม?

อ.ชุมพร: คิดเกิด คิดมีจริงค่ะ

ท่านอาจารย์: และขณะที่กำลังเห็น มีคิดหรือเปล่า?

อ.ชุมพร: ขณะเห็น ไม่คิดค่ะ

ท่านอาจารย์: และคิดที่กำลังคิด หายไปไหนขณะที่กำลังเห็น?

อ.ชุมพร: มีคิดใหม่เกิดขึ้น

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น คิดเก่าอยู่ไหน ไปไหน?

อ.ชุมพร: คิดเก่าก็ไม่เหลือ

ท่านอาจารย์:ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นจริงอย่างนี้ทุกขณะไหม ไม่ใช่ต้องไปทำอะไรเลย เพียงแต่จากไม่เคยคิดเลย ก็เริ่มได้ยินได้ฟังว่า อะไรมีจริง เราคิดว่าคนมีจริง เรื่องราวมีจริง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทุกอย่างมีจริง แต่ว่า ความจริงเดี๋ยวนี้ ต้องในขณะนี้ เพราะขณะนี้จริงใช่ไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จริงแต่ละหนึ่งขณะ แต่ละหนึ่งขณะ ถ้าไม่มีขณะที่เกิดขึ้นจริงก็ไม่มีอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทันทีที่เกิดแล้วดับตามปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลย เช่น เห็นเดี๋ยวนี้ พูดไปเห็นไปเหมือนกับเห็นไม่ได้ดับเลย แล้วนั่นจริงหรือ? แต่ขณะที่ได้ยิน ในขณะที่คิด ในขณะที่พูด จะยังคงมีเห็นอยู่หรือ? นี่คือตรงต่อความจริง

อ.ชุมพร: ความจริงพิสูจน์ว่า มีสิ่งอื่นเกิด แต่ความรู้ความเข้าใจก็เห็นความไม่รู้มากมายแม้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ความจริง แต่ว่ามีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมาให้เข้าใจผิดว่า สิ่งเก่ายังมีอยู่ค่ะท่านอาจารย์

เพราะฉะนั้น ก็คงจะเริ่มที่จะรู้ว่า ไม่รู้อีกมากมาย แม้ว่าได้ฟังอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจตามที่พูดได้ค่ะ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ต่างจากที่เราไม่ได้สนทนากันใช่ไหม?

อ.ชุมพร: ค่ะ ต้องกราบท่านอาจารย์ที่ให้คิดจนกระทั่งเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงของความเป็นไปแม้ขั้นการฟังก็เป็นประโยชน์มหาศาล กราบท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะฟังอะไร ฟังใคร?

อ.ชุมพร: ฟังผู้ที่มีความเข้าใจ กล่าวคำจริงให้เข้าใจค่ะ

ท่านอาจารย์: ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ฟังคำของใครทั้งสิ้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้ว ตรัสสิ่งที่มีจริงทุกประการ จนกระทั่งมีความเข้าใจถูกต้อง จึงระลึกถึงคุณซึ่งในสังสารวัฏฏ์ไม่ได้มีความเข้าใจอย่างนี้เลย แต่ก็สามารถจะเริ่มเข้าใจ รู้ว่า อะไรจริงในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ และใครล่ะสามารถกล่าวถึงความจริงตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ นี่คือการรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิเช่นนั้น ก็เรียกแต่ชื่อ กราบไหว้ไป แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจคุณที่ประมาณไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์จากความไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริงทั้งสิ้น เริ่มรู้ความจริงที่ละเอียดอย่างยิ่ง ที่ยากที่จะรู้ได้ แต่เริ่มมั่นคงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสามารถจะไปทำอะไรได้เลย เพราะไม่มีใคร แต่มีปัจจัยให้เกิดธรรมแต่ละหนึ่ง เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณ จนกระทั่งปรากฏเหมือนไม่ได้ดับเลย แยกออกจากกันไม่ได้ รวมกันหมดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดตลอดไป แต่ความจริง คือธรรม สิ่งที่มีจริงเป็นอนัตตา ต้องมั่นคงในคำนี้ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เปลี่ยนไม่ได้.

อ.ชุมพร: กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เน้นให้มั่นคงตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า ธรรม ซึ่งพิจารณาแล้วก็ไม่มีความมั่นคง อีกมากมาย

ขอเชิญฟังได้ที่ ...

เกิดมาหลงวนในโลกของนิมิต

ขอเชิญอ่านได้ที่ ...

ใครก็ตาม ไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้น ไม่รู้

ไม่รู้อะไรเลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ คุณเมตตาและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 28 ม.ค. 2567

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลทุกประการค่ะน้องเมตตา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ