ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๙

 
khampan.a
วันที่  28 ม.ค. 2567
หมายเลข  47329
อ่าน  2,012

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจาก
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๙





~ เมื่อมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็น "พุทธรัตนะ" เหนือสิ่งอื่นใด แก้วแหวนเงินทองใดๆ ก็ไม่มีค่าเท่ากับพระปัญญาคุณซึ่งทำให้พระองค์บริสุทธิ์จากความไม่รู้ทั้งหมดดับกิเลสได้ และมีพระมหากรุณาที่จะอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย ถ้าไม่ทรงมีพระมหากรุณา แต่ละคนจะไม่ได้ยินคำที่ตรัสเลยแม้แต่คำเดียว แล้วก็จะเห็นความลึกซึ้งจริงๆ ว่า ถ้าไม่มีการได้ฟัง ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงใดๆ ได้ ตั้งแต่เกิดจนตาย

~
พระธรรมทุกคำ คือ การให้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ให้อย่างอื่นเลย เพราะเหตุว่าอย่างอื่นให้แล้วก็หมดไป แต่ว่าถ้ามีการให้ความเข้าใจที่ถูกต้องสะสมไปก็จะเป็นผู้ที่ตรงมีเหตุผล สามารถที่จะเข้าใจความจริงเมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ละเอียดขึ้น

~
ไม่เสียหายเลยในการที่จะได้ฟังธรรม เพราะเหตุว่า บังคับให้ปัญญาเกิดเร็วๆ ไม่ได้ แต่มีความเข้าใจลึกซึ้งว่าบังคับไม่ได้ อันนี้ก็ป้องกันแล้วไม่ให้ไปสู่ความเห็นผิดและก็เริ่มมีความอดทนขันติบารมีที่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เมื่อยังไม่เป็นอย่างนี้ก็จะต้องอาศัยเหตุที่สมควร คือ ไม่ใช่มีความเป็นตัวตนไปเร่งรัดไปทำอะไรเลย แต่เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงซึ่งขณะนี้เป็นปกติ หมายความว่าเป็นธรรมดาของธรรม

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทรงบำเพ็ญกุศลบารมีมาเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น คนที่ไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะเห็นประโยชน์เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?

~
ที่สำคัญที่สุดของการฟังธรรม ต้องไม่ลืมว่าเพื่อเข้าใจ ประโยคธรรมดา สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้เอง ถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นไม่มีเห็น ถ้าได้ยินไม่เกิดขึ้นก็ไม่มีได้ยิน ถ้าไม่มีคิดเกิดขึ้นก็ไม่มีคิด แต่ธรรมดาๆ อย่างนี้ กว่าจะถึงความสมบูรณ์ของปัญญาที่สามารถจะถึงการประจักษ์แจ้งสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่จะทำให้มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

~
ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นวาจาสัจจะ คือ เป็นคำจริง ที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะถึงที่สุดของการตรัสรู้ทุกอย่างตามความเป็นจริง

~
กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ด้วยความยากลำบากเกินกว่าบุคคลใดที่จะทำได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้บำเพ็ญมาทั้งหมด ก็คือ เพื่อให้แต่ละคำกับคนที่สามารถที่จะรู้ความจริงเข้าใจความจริงได้ เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าได้อะไรมาสิ่งนั้นก็หมดไป แต่ความเข้าใจถูก จะมีและก็สะสมแล้วก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่สุดของทุกชาติก็คือได้มีโอกาสเข้าใจพระธรรม

~ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ไม่ใช่ของใครด้วย เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีปัจจัยที่อาศัยปรุงแต่งทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เลือกให้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วแต่ปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้น

~
ปัญญาทำให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าขณะใดที่กุศลไม่เกิดขณะนั้นเป็นอกุศล น่ากลัวไหมคำว่า "อกุศล"? ไม่ได้นำสิ่งที่เป็นสุขหรือว่าไม่ได้นำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์มาให้เลย ไม่ว่าจะบางเบาเล็กน้อยสักเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกับทางฝ่ายดี แม้เล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้ให้โทษเลย มีแต่นำสิ่งที่ดีมาให้

~ ตั้งแต่เกิดมาแล้ว ทุกอย่างที่มีเมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือเลย เมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือเลย ทุกขณะก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงขณะสุดท้ายที่จะต้องจากโลกนี้ไป แต่ก็มีสิ่งที่สะสมแล้วในโลกนี้ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งดี และชั่วอยู่ในจิต แล้วแต่ว่ามีปัจจัยที่จะทำให้สภาพธรรมประเภทไหนเกิดขึ้น ก็บังคับบัญชาไม่ได้ เห็นความเป็นอนัตตาความตรงต่อความจริงของพระธรรมตั้งแต่ต้นถึงที่สุดซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย

~
เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าขณะนี้ทุกสิ่งที่มีขณะนี้ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดงความจริงว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีก

~
ปัญญาความเข้าใจถูกความเห็นถูกแต่ละครั้ง ก็มีคุณค่า สามารถชำระจิตที่ไม่บริสุทธิ์ ลองคิดถึงว่าจิตไม่บริสุทธิ์ขนาดไหน รู้ตัวไหม?

~
มีปัญญาเป็นที่พึ่ง แล้วปัญญานั้นมาจากใคร? ก็มาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ก็มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ใช่พึ่งให้เราไปร่ำรวยให้เราหายโรคให้เราโชคดีให้เรามีเกียรติยศให้เรามีคนสรรเสริญ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เป็นที่พึ่งซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะให้เขาเองเป็นที่พึ่งได้อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเขาไม่ได้ให้ใครเกิดปัญญา แต่ที่ได้มีการพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงสามารถจะทำให้มีความเข้าใจถูกเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ก็ไม่มีอะไรที่จะชำระกิเลสได้เลย

~
ทั้งวันเมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง ได้อะไรบ้าง เป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า? แม้แต่เมื่อกี้นี้เอง ธรรมก็เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีใครรู้เลย แล้วได้อะไรจากสิ่งที่เกิดแล้วดับ นอกจากความไม่รู้และความติดข้อง จนกว่าจะเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของบารมี บารมีคือกุศล ถ้ากุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด เพราะฉะนั้น กุศลเท่านั้นที่ถ้ามีมากขึ้นอกุศลก็น้อยลง

~
โอกาสที่ยังเหลืออยู่ที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุดซึ่งจะติดตามต่อไปเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะเข้าใจตรง อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรจริง อะไรเท็จ เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้คนนั้นเป็นคนที่ตรง เมื่อเป็นคนตรง จะไม่เห็นผิดเป็นชอบ จะไม่เห็นชั่วเป็นดี แล้วก็สามารถที่จะตรงจนละสิ่งที่ชั่วได้

~ ถ้าไม่เป็นผู้ตรง จะละกิเลสได้ไหม มีแต่เพิ่มพูน



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๔๘



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 28 ม.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธีรพันธ์
วันที่ 28 ม.ค. 2567

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ธนรัช
วันที่ 28 ม.ค. 2567

ขอบพระคุณและกราบแทบเท้าที่อจ.ได้มาแสดงธรรมที่ตรงและลึกซึ้งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
shsso2551
วันที่ 28 ม.ค. 2567

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Napong
วันที่ 28 ม.ค. 2567

กราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 29 ม.ค. 2567

กราบอนุโมทนาคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ